Sunday, 24 September 2023
NEWSFEED

รวบคนร้าย! แฝงตัวเป็น ADMIN FACEBOOK PAGE “djpoom” หลอกเอาเงินบริจาค ขยายผลพบว่ามีการปลอม PAGE FACEBOOK ที่ LIVE สดขายสินค้า พบผู้เสียหายร่วม 100 ราย ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.ระดมกวาดล้างคนต่างด้าว ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ขบวนการขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนการขนแรงงานต่างด้าวเข้า – ออกพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค  โควิด-19 และรวมถึงการที่คนต่างชาติเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,พ.ต.ท.ภาสกร นภาโชติ รอง ผกก.กก.3.บก.ปอศ, พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รอง ผกก.สส.บก.ตม.3

เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ว่าที่ พ.ต.ต.สิทธิมณ  สร้อยภู่ระย้า สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม., ร.ต.อ.อดิศร บุญชุ่ม รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม, ร.ต.อ.ฉัตรมงคล มิ่งเชื้อ รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม,ร.ต.อ.จตุรโชค เพชรคง รอง สว.ฝอ.ภ.จว.ปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ร่วมกันจับกุม นายอดิศร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี  ตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อหา “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ”

สืบเนื่องจาก กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่าได้มีคนร้ายเข้ามาทำการแฝงตัวเป็น ADMIN PAGE “djpoom” และทำการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินที่ทาง PAGE “djpoom” ต้องการนำไปบริจาคไป และมีคนร้ายได้ปลอมเป็น PAGE ใน FACEBOOK ที่ทำการ LIVE สด ขายสินค้า จากนั้นจะทำการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไปเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และโอนต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายต้องการจนมีผู้เสียหายหลายราย  

ต่อมาทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. , ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายในคดีนี้คือ นายอดิศรฯ จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและทำการออกหมายจับผู้ต้องหา ในข้อหา  “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายอดิศรฯ ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในจังหวัดนนทบุรี จึงได้ทำการขอหมายค้นและเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ

โดยจากการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สามารถตรวจยึดคอมพิวเตอร์และสมุดบัญชีหลายรายการ ที่ผู้ต้องหานำมาใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ทำการสร้าง PAGE FACEBOOK “รับซื้อบัญชีธนาคาร - บัญชี true wallet รับซื้อในราคาสูง” ต่อมาได้มีนายวิรุณฯ ได้ติดต่อเข้ามายัง PAGE  และทำการขายบัญชีธนาคารจำนวน 2 บัญชี คือบัญชีธนาคารกรุงไทยและบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งได้ขายบัญชี กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2 บัญชี ในราคา 7,000 บาท ซึ่งหลังจากที่นายอดิศรฯ ได้บัญชีมาแล้วก็ได้เข้าไปแฝงตัวปลอมเป็น ADMIN  ของ PAGE  “djpoom” ที่กำลัง LIVE สด ในการหาเงินมาร่วมบริจาคช่วยในสถานการณ์ COVID – 19 และทำการส่งเลขที่บัญชีที่ซื้อมาจากนายวิรุณฯไปยังผู้เสียหาย และให้ผู้เสียหายทำการโอนเงินมาให้ อีกทั้งนายอดิศรฯ ยังมีพฤติการณ์ในการปลอม PAGE FACEBOOK ที่กำลัง LIVE สด ขายสินค้า และจากนั้นจะทักไปหาผู้เสียหายทาง MASSENGER  และจะหลอกผู้เสียหายโอนเงินมาให้โดยอ้างว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม รวมทั้งหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลธนาคารจากผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไป ซึ่งจากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้เสียหายร่วม 100 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งนายอดิศรฯ ยอมรับว่าได้ทำมาแล้วหลายครั้งและจากการตรวจสอบพบว่าเคยเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีฉ้อโกงมาก่อน

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

แถลงผลการจับกุม 2 คดีสำคัญ! รวบ 5 ผู้ต้องหา พบของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด และกัญชา 560 กก.

วันที่ 13 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. ณ บช.ปส. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหารวม 5 คน ของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด, กัญชา 560 กก. รายละเอียดมี ดังนี้    

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 12.00 - 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ กอง 12 ศรภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร บก.สส.ภ.5 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสิงห์บุรี และ อยุธยา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน    

1. นายขวัญนภัส ลี้เจริญสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 18/18 ม.13 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 1) 

2. ส.ต.ตั๋ว เจริญภัย อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ อายุ 82 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 2) ยศ.รด.  3. ส.ต.สิทธิพล เจริญงดงาม อายุ 40 ปี ที่อยู่ 6/2 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 3)  ยศ.รด.

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ  

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 27 กระสอบ จำนวนประมาณ 5,400,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะแครี่บอย ยี่ห้อ Nissan สีบรอนด์ทอง จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ Honda รุ่น City สีดำ จำนวน 1 คัน

4. เงินสด จำนวน 17,000 บาท 

5. โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  โดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณถนนหมายเลข 3283 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง บริเวณถนนหมายเลข 32 ต.โพบางดำออก อ.สรรพยา จว.ชัยนาท เวลาประมาณ 12.00-12.20 น. ของวันที่ 12 ก.ย. 64

ตามที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี ได้เข้าขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหานายชัยณรงค์ หมั่นเขตรกิจ ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายขณะขับรถ (เสพขับ) ในพื้นที่ สภ.บ้านแพง จว.นครพนม โดยสังเกตพบว่ารถยนต์ตู้ที่ผู้ต้องหาขับขี่มาภายในรถถอดเบาะโดยสารออกทั้งหมด มีลักษณะต้องสงสัย จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงกัญชา 274 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ของ บก.ปส.2 บช.ปส. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จนกระทั่งทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน  

1. นายนิพนธ์ หรือแสบ เก่งธัญการ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 8/2 หมู่ที่ 7 ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์   

2. นายสุรศักดิ์ หรือศักดิ์ พันธุ์สวัสดิ์ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 182/1 หมู่ที่ 5 ต.ระบำ อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวน  560 แท่ง/กิโลกรัม

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเซฟโลเล็ต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 4 กล 516 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด

3. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา ทะเบียน กษ 6187 นครสวรรค์ เป็นยานพาหนะใช้ในการสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด

4. โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” บริเวณถนนบ้านผือ – กุดจับ ในเขตพื้นที่บ้านเม็ก หมู่ที่ 1 ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.

ตร.เตือน ร่วมทัวร์บูลลี่! กลั่นแกล้ง ให้ร้ายผู้อื่นทางไซเบอร์ เสี่ยงคุก!! “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่วงที่สังคมไทยมีความคิดเห็นต่าง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จะพบเห็นการสร้างวาทะกรรมสร้างความเกลียดชัง มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างดุเดือด โดยชักชวนกันเข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมากในลักษณะที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” กลั่นแกล้งด้วยถ้อยคำต่อว่า ตำหนิ  ดูถูกเหยียดหยาม หยาบคาย เพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย อับอาย ที่เรียกว่า การบูลลี่ หรือ การระรานทางไซเบอร์ (Cyber bully)

โดยที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลายรายทั้งบุคคลทั่วไปและบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงเข้าพบพนักงานสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำให้ตนเองเสียหาย ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการโพสต์ การแสดงความคิดเห็น รวมถึงการแชร์ข้อมูลทั้งที่เป็นภาพ คลิปหรือข้อความ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำได้ง่ายดาย แต่ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำ เนื่องจากมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการระรานทางไซเบอร์ ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้อย่างขัดเจน ได้แก่

>> กรณีใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม และทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อาญา มาตรา 326 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการหมิ่นประมาทโดยมีการป่าวประกาศต่อสาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ป.อาญา มาตรา 328 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะข่มขู่ทำให้เจ้าของบัญชีเกิดความกลัว จะเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 392 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น และเป็นการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณาตาม ป.อาญา มาตรา 393 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> และกรณีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพตัดต่อของผู้อื่นในลักษณะที่จะทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกระรานทางไซเบอร์ สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ได้แก่  บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่กระทำความผิด , ข้อมูลหรือข้อความที่ได้รับความเสียหาย ฯลฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเป็นห่วงในปัญหาดังกล่าว จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลายให้มีสติ ใช้วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์แยกแยะ ก่อนแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดข้างต้น ดังที่มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

ตม.จว.ตาก คุมเข้มชายแดน! จับกุมคนเมียนมา พาเพื่อนร่วมชาติ 44 คน เดินลัดเลาะเขาหลบหนีเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5, พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายพาเข้าไปทำงานยังพื้นที่ชั้นในโดยวิธีลัดเลาะขึ้นป่าเขา จึงได้ประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยกันสกัดกั้น จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ สามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ขณะกำลังเดินลัดเลาะแนวเขาบ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก จากการตรวจสอบพบนายเปาเป็ง ไม่มีนามสกุล อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา ยอมรับว่าตนเป็นชาวเมียนมา เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้ประมาณ 5 ปี ต่อมาตนและเพื่อนอีก 3 คน ได้ตกลงนัดหมายกันที่จะลักลอบพาชาวเมียนมา จำนวน 44 คน เดินทางข้ามมายังฝั่งไทย โดยใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะเขาเพื่อพาไปส่งยังจุดนัดพบที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก จะมีกลุ่มขบวนการอีกกลุ่มรอรับอยู่ โดยนายเปาเป็ง ยอมรับว่าตนพร้อมพวกเป็นคนนำทางจริง ได้ค่าจ้างหัวละ 200 บาท ส่วนนายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองอีก 44 คน รับว่าได้ลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย โดยได้จ่ายค่าเดินทางให้กับนายหน้าไปแล้วคนละ ประมาณ 7,500 - 20,000 บาท เพื่อเข้าไปทำงานที่เขตบางแค กรุงเทพฯ โดยเดินทางข้ามฝั่งทางเรือมายังฝั่งไทยในเวลากลางคืน แล้วก็มีนายเปาเป็ง กับพวก เป็นคนนำทางพาเดินลัดเลาะป่าเขาจนกระทั่งถูกจับกุม จนท.ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.พะวอ เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้ถูกจับที่ 1 นายเปาเป็ง ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2 – 45 นายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง (ช.22 ญ.22) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิด บริเวณกลางป่าไม้บ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใด เห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตม.จว.ระนอง จับกุม! เครือข่ายขบวนการ ‘นำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง’ หลังสารภาพได้รับการว่าจ้าง จัดหาอาหาร มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่า เพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6 พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.5 บก.ป., สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ต.ช.ด.ที่ 415, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, กก.สส.ภ.8, ตำรวจน้ำระนอง, จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 (จุดตรวจคลองจั่น, จุดตรวจศิลาสลัก), ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวจาก จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร เส้นทางบ้านคลองจั่น-ท่าแซะ ต่อมา จนท.ทหาร ประจำจุดตรวจคลองจั่น ม.8 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ตรวจพบ นายเกริกชัยหรือดอน และนายธวัชชัยหรือโอ๋ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนระนอง ทำหน้าที่ขับรถนำหน้าดูเส้นทาง โดยได้ว่าจ้างให้นายไพโรจน์ ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนสุราษฎร์ธานี บรรทุกนายอาวกู อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 9 คน ซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากพื้นที่ ต.น้ำจืด อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร เป็นเงิน 13,000 บาท เมื่อมาถึงจุดตรวจบ้านคลองจั่น ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และจับกุมตัว ส่ง พงส.สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จนท.ตม.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, ตชด.ที่ 415, กก.5 บก.ปคม. และ จนท.ทหารชุด ร้อย ร.2521 ไล่สกัดจับกุมนายต้อยขับรถยนต์กระบะทะเบียนลพบุรี บรรทุกนายอาว อายุ 25 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน เป็นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จากการสืบสวนขยายผล นายต้อย รับสารภาพว่าว่าได้รับการว่าจ้างจาก นายเกริกชัยหรือดอน ให้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากซอยบ่อโยก ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร ได้รับค่าจ้าง 15,000 บาท โดยมี นายเกริกชัย และนายสุริยัน ทำหน้าที่ขับรถนำหน้า เมื่อมาถึงบ้านหินใหญ่ ม.6 ต.จ.ป.ร. อ.กระบุรี จว.ระนอง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ไล่สกัดจับกุมตัว

ตม.จว.ระนอง, กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3, สันติบาล, กก.5 บก.ปคม., ตำรวจน้ำระนอง และ จนท.ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25 ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มาแอบหลบซ่อนอยู่ในป่าจากบ้านสองพี่น้อง ม.1 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง จึงไปตรวจสอบพบ นายธวัชชัยหรือจ้ง ทำหน้าที่จัดหาอาหารและน้ำดื่ม ไปส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจาก จึงจับกุมตัวไว้ ต่อมาจากการสืบสวนขยายผล นายธวัชชัยให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายสุนทร นายหน้าชาวเมียนมา และนายเกริกชัยหรือดอน ให้จัดหาอาหารและน้ำดื่ม มาส่งให้แรงงานต่างด้าวที่หลบซ่อนอยู่ในป่าจากเพื่อรอเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นในต่อไป

นายเกริกชัยหรือดอน ได้รับการติดต่อกลุ่มขบวนการหรือเครือข่ายลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศต้นทาง โดยได้นำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ จว.ระนอง จากนั้นนายเกริกชัยหรือดอน ได้ว่าจ้าง สั่งการ ให้กับขบวนการรับขน เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจากพื้นที่ชายแดนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ไปส่งยังพื้นที่ปลายทางที่แรงงานต่างด้าวต้องการเดินทางไปหางานทำในประเทศไทย หรือส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

"บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) ลงพื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตรวจสอบดูความพร้อม กล้องวงจรปิด พร้อมใช้งาน

ตามนโยบาย ผบ.ตร.วางเป้าหมาย การพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก สร้างพื้นที่ปลอดภัยจากอาชญากรรม ด้วยระบบการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรม และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง "เมืองอัจฉริยะ" อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน

วันที่ 6 กันยายน 2564 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) "บิ๊กโจ๊ก" ได้เดินทาง มาตรวจโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซนฯ พื้นที่ สน.ห้วยขวาง ตามนโยบายสำนักงานตารวจแห่งชาติ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ดำเนินโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0  (SMART SAFETY ZONE 4.0) ร่วมกับ พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อม พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง

โดยพื้นที่ของ สน.ห้วยขวางควบคุม 7.61  ตร.กม  13,583 หลังคาเรือน รวม 53 จุด กล้อง 105 ตัว รวมกับกทม. 32จุด 1กล้อง 105 ตัว และภาคประชาชน 26 จุด กล้อง 28 ตัว

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์  กล่าวว่า ผบ.ตร. สั่งการให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมดูความพร้อมโครงการนำร่อง สมาร์ทเซฟตี้โซน วันนี้ ช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ สน.ภาษีเจริญไปแล้ว ช่วงบ่ายจึงเดินทางมา สน.ห้วยขวาง ผบ.ตร อย่างให้ ผู้หญิงหรือเด็ก มีความเชื่อมั่นในการเดินทางที่เปลี่ยวในช่วงเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัดเจน รองรับให้ประชาชนมีความปลอดภัย อุ่นใจ ทั้งชีวิต และ ทรัพย์สิน  ยกตัว  กล้องวงจรปิดภายในชุมชนจะลิงค์ ภาพทั้งหมดเข้าไปที่ สน. ต่อไปจะมีระบบ ai เชื่อมโยงกับกล้องที่มียู่แล้ว ซึ่งรวมกับกล้องเดิม อีก 1 หมื่นตัว จากการลงพื้นที่ 2 สน. เชื่อว่า ประชาชนจะมีความปลอดภัย มากขึ้น  ส่วนนี้ฝากถึงประชาชนทุกท่าน โครงงานนี้ขยายวงออกไปอีก เพื่อควบคุมอาชญากรรมเป็นการทำงนเชิงรุก และ ทั้ง 15 สน. ที่นำร่อง มีความพร้อม

ตม.สุราษฎร์ธานี ลุยจับ!! เมียนมาหัวโจกขบวนการ พร้อมแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโควิด-19

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  ได้แถลงผลจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง นำโดย ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี  พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการกลางที่ 9 ตร. โดย พ.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว รอง ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ อํานาจเจริญยิ่ง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.อ.สิริวัฒน์ สมหวัง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.อ.กันต์ อักษรทอง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำชุดปฏิบัติการฯ ได้ทำการสืบสวนหาข่าว และออกสืบสวนจับกุมขยายผล ขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

สืบเนื่องจากได้รับแจ้งข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.64 เวลาประมาณ 17.00 น. มีการจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ จว.ชุมพร โดยจะมีการนำมาส่งให้นายฮูเซ็น สัญชาติเมียนมา ที่ อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี จึงสนธิกำลังร่วมกับจนท.ตร.กก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี,สภ.เวียงสระ และ จนท.ศรภ.บก.ทท.วางแผนตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถร่วมกันจับกุมตัว นางสาวชู อา ลิน สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 1 และ Mr.Man Jo Min หรือนายฮูเซ็น สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 2 (หัวโจกขบวนการ) โดยกล่าวหา  ผู้ถูกจับที่ 1 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ผู้ถูกจับที่ 2 ว่า “รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”  พร้อมด้วยของกลาง ได้แก่รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า,  โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง,ซิมการ์ด จำนวน 1 ซิม โดยจับกุมได้ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาเวียงสระ ม.1 ต.เวียงสระ อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี  โดยในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าหลบหนีเข้าเมืองมาตามช่องทางธรรมชาติอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และมาพักอาศัยอยู่กับผู้ถูกจับที่ 2 ตั้งแต่เดือน ก.ค.2564  จึงได้นำตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลาง ส่งพงส.สภ.เวียงสระ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนขยายผล ทราบว่า นานฮูเซ็นฯได้นำคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาอีก 3 คน ซ่อนตัวไว้ที่บ้านพักเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี จึงได้ไปตรวจสอบ จนกระทั่งสามารถร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ลาลาเมิด สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 3, น.ส.เคียน ชา อายุ 30 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่4, น.ส.จู จู เมียนนาน อายุ 20 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 5 โดยกล่าวหา ผู้ถูกจับที่ 3-5 ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”พร้อมด้วยของกลาง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง จับกุมได้บริเวณบ้านเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จว.สุราษฎร์ธานี

ในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับที่ 3-5 ให้การรับสารภาพว่าได้เดินทางเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ อ.แม่สอด จว.ตาก เมื่อวันที่ 30 ส.ค.64 และเดินทางด้วยรถตู้ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาพบนายฮูเซ็นฯที่ จว.สุราษฎร์ธานี โดยนายฮูเซ็นฯ ได้พามาพักที่บ้านหลังดังกล่าวเพื่อรอเดินทางออกไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย จนท.จึงได้นำตัวผู้ถูกจับทั้งสาม พร้อมด้วยของกลาง นำส่ง พงส.สภ.เขานิพันธ์ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เขานิพันธ์ ให้ดำเนินคดีกับ นายฮูเซ็นฯ สัญชาติเมียนมา ในข้อหา “รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6 ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม และเข้มงวดกวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามากระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองนั้น ถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศได้ พร้อมทั้งได้กำชับให้ดำเนินการสืบสวน จับกุมอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป  หากประชาชนพบเห็น หรือต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดในพื้นที่ จว.สุราษฎร์ธานีให้แจ้งได้ที่ สายด่วน สตม. 1178 หรือที่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ทุกจุด

ศรีสะเกษ!แถลงข่าวผลการจับกุม ‘เครือข่ายยาเสพติด’ พบยาบ้า 243,045 เม็ด ยึดทรัพย์มูลค่าประมาณ 19,928,070 บาท

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  นายสำรวย เกษกุล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต. สันติ เหล่าประทาย   ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ  พันเอก ณัฐพงศ์ จินดาเวช  รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ  และคณะ   ได้ร่วมก้นแถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ ภายใต้ยุทธการ พิฆาตทรชน คนค้ายา อีสานใต้ และ ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน  ในห้วงระหว่างวันที่  19 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 4 กันยายน 3564    

โดยมีนายนพ พงศ์ผลาดิสัย  ปลัดจังหวัดศรีสะเกษ  / นายทนงค์ วีระแสงพงศ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีษะเกษ / นายวิชัย เลิศภัทรนันท์ แรงงานจังหวัดศรีสะเกษ / ว่าที่ รต.สิทบบัดถ์ สิทธิบัวครี ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครองจังหวัดศรีสะเกษ และสื่อมวลชนจังหวัดศรีสะเกษ เข้าร่วมรับฟังการแถลงผลการจับกุม

โดยมีผลการจับกุมรวมทั้งสิ้น 885 คดี ได้ผู้ต้องหา 913 คน ของกลาง ยาบ้า 243,045 เม็ด /กัญชาสด 57 ต้น 2,069 กรัม  ไอซ์ 481.56 กรัม กระท่อม 3,754 กรัม และอาวุธปืน 51 กระบอก  ตรวจยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการฯจำนวน 23 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 19,928,070 บาท  ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการปราบปราม จับกุม ทำลายเครือข่ายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเพื่อลดปัญหายาเสพติดให้สังคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดศรีละเกษ ต่อไป

นายวัฒนา พุฒิชาติ  ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  กล่าวว่า   ตามนโยบายรัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งระบบ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ทั้งพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน โดยให้เป็นการแก้ไขปัญหาภายในของประเทศด้วยกฎหมายไทยและหลักสากล ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษได้กำหนดให้วาระที่ 2 ของ 10 วาระเร่งด่วนในการพัฒนาจังหวัด เป็นเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด  

พล.ต.ต. สันติ เหล่าประทาย   ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า  ตร.ภาค 3 จึงขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งผู้เสพ ผู้ค้า โดยแจ้งข้อมูลผ่าน สายด่วนยาเสพติด 1594 , สายด่วน 191, Application Police I lert U และ เบอร์สายด่วน 1386 ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม (https://www.oncb.go.th/) ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดศรีสะเกษ สายด่วน 1567 ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการปราบปราม จับกุม ทำลายเครือข่ายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อลดปัญหายาเสพติดให้สังคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป


ภาพ/ข่าว  บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

ปคบ.ผนึกกำลัง อย. จับกุม FLASH SLIM ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ไซบูทรามีน)

วันที่ 1 กันยายน 2564 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) โดย พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา พ.ต.อ.ศรีศักดิ์ คัมภีรญาณ พ.ต.อ ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. และ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. พร้อมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติการ กรณีจับกุมผู้กระทำความผิดลักลอบผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ผสมไซบูทรามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตรวจยึดได้ของกลางเป็นจำนวนมาก

ปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการขยายผลจับกุมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลักลอบใส่วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสามและยาแผนปัจจุบัน โดยเข้าตรวจยึดจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 15/102-3 หมู่บ้านศิริทรัพย์ ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก. ปคบ.) ได้ตรวจสอบพบการโฆษณาจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM บรรยายสรรพคุณใช้ลดน้ำหนัก อ้างสูตรหมอเกาหลี เมื่อตรวจสอบฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่า ฉลากแสดงเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด ไม่ระบุเลขสารบบอาหาร สถานที่ผลิตหรือนำเข้า ส่วนประกอบ วัน เดือน ปี ที่ผลิตหรือควรบริโภคก่อน เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และอาจเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าโดยผิดกฎหมาย โดยในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าตรวจค้นสถานที่จัดเก็บและจำหน่ายสินค้า ตั้งอยู่ที่ ม.13 ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และได้ตรวจยึดแคปซูลเปล่าน้ำหนักรวม 110 กก. ผงสำหรับใส่ในแคปซูลน้ำหนักรวม 45 กก. นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ภายหลังการตรวจยึดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ ยังตรวจพบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่ได้หยุดการกระทำผิดกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับผลการตรวจพิสูจน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ยึดไปในครั้งก่อน ระบุพบไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1ลอร์คาเซริน (Lorcaserin) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ฟลูออกซิทิน (Fluoxetine) ซึ่งเป็นยาจำพวกสงบประสาท จัดเป็นยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อย. ได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นนทบุรี รวม 2 จุด ได้ตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ น.ส. สุภามณี (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี นางโสภา (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี และนายอัศรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี โดยพบเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 และ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ในข้อหา“ร่วมกันผลิตเพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2(ลอร์คาเซรีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา”

โดยจากการสอบสวนขยายผล พบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ผู้ต้องหาร่วมกันนำมาจำหน่ายมีการว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ. ปทุมธานี ให้เป็นผู้บรรจุลงแคปซูล ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ อย. ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้าตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 3 จุด พบว่า ที่บริษัทดังกล่าว และบ้านอีกหลังซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงาน มีการลักลอบผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยผิดกฎหมาย และบางผลิตภัณฑ์เมื่อมีการทดสอบด้วยชุดตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีน เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎมายต่อไป

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. ยังกล่าวอีกว่า ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน อย่าซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาสรรพคุณว่าลดความอ้วนมารับประทานเอง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ หากมีความจำเป็นต้องรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิดผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโรงงานรับจ้างผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ. เตือนภัยผู้บริโภค

ด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า อย. ได้เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มที่อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักเป็นกรณีพิเศษ โดยร่วมกับตำรวจ บก. ปคบ. สืบสวนสอบสวน หาตัวผู้กระทำผิด จนมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่กระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และแจ้งข่าวเตือนประชาชนให้ทราบข้อมูลอยู่เสมอเพื่อมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ทานแล้วลดน้ำหนักเห็นผลไว เห็นผลจริง ปลอดภัย การันตี ไม่มีผลข้างเคียง เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างใช้ลดน้ำหนักเหล่านี้มักพบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีนหรือยาแผนปัจจุบัน ผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียสุขภาพจากผลข้างเคียงของยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ใด ขอให้ตรวจสอบข้อมูลการได้รับอนุญาตผลิตภัณฑ์โดยละเอียดที่หน้าเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ หรือ Oryor Smart Application และหากพบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะผิดกฎหมาย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรืออีเมล [email protected]


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน

กก.สส.บก.ตม.4 “รวบหนุ่มแดนภารตะ หนีหมายจับ ทั้ง Overstay กว่า 700 วัน”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธรรอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4 พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 สั่งการให้ ร.ต.ท.ภัทรศักดิ์ ผู้มีทรัพย์ รอง สว.กก.สส.บก.ตม.4 พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการ ที่ 1 กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.ร้อยเอ็ด ออกปฏิบัติการกวาดล้างคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและบุคคลต่างด้าว

ตามหมายจับ จนสามารถจับตัว MR.AKHILESH สัญชาติ อินเดีย อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” และ “เป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายว่ามีบุคคลตามหมายจับในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 จึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 1 กก.สส.บก.ตม.4 ลงพื้นที่ตรวจสอบ จนพบว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติสัญชาติอินเดียมักจะขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปตลาดในพื้นที่ บ้านนาเมือง เจ้าหน้าที่นำกำลังไปดักซุ่มรออยู่หลายครั้ง แต่บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว มักจะไหวตัวทัน ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปก่อน

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวจะใช้เส้นทางรองบริเวณถนนสาธารณะ บ้านนาเมือง ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อเดินทาง จึงนำกำลังไปดักรออีกครั้ง พบบุคคลต่างด้าวเชื่อว่าเป็นชาวอินเดียแสดงอาการมีพิรุธ เมื่อพบเจ้าหน้าที่ ทั้งทำท่าจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี จึงได้เข้าสกัดจับตัวได้ เมื่อสอบถามจึงทราบชื่อ MR.AKHILESH สัญชาติ อินเดีย อายุ 28 ปี มีลักษณะตรงตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” จึงควบคุมตัวไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมยัง ตม.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อตรวจสอบผ่านระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (BIOMETRICS) จึงทราบว่า MR.AKHILESH สัญชาติอินเดีย เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 62 ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว ครบกำหนดอนุญาตเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 62 หรือเป็นระยะเวลากว่า 700 วัน จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงนำส่ง พงส.สภ.เสลภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top