Tuesday, 5 December 2023
NEWSFEED

รวบแล้ว..!! "ผบช.ภ.7" แถลง #รวบสาวมือเผาโกดังเก็บน้ำมัน สารภาพสิ้นหลังสอบเค้น พบพิรุธ อ้างเหตุแค้นนายจ้างด่า

1 ธันวาคม 2564 สภ.โพธิ์แก้ว ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ 

ผบช.ภ.7 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวผู้ต้องหา นางสาวสิราสินี หรือแอน ศรียา อายุ 38 ปี ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน​ "วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ซึ่งทรัพย์นั้นเป็นโรงเรือนที่เก็บสินค้า, แจ้งความเท็จ (รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำ และแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย"

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่า คดีนี้เหตุเกิด เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2564 เวลาประมาณ 12.15 น. ได้มีเหตุเพลิงไหม้โกดังสำหรับเก็บน้ำมันของบริษัท ประภากรออยล์ จำกัด เลขที่ 26/15 หมู่ที่ 2 ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม    ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์แก้ว พร้อมด้วยฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยใช้รถดับเพลิงประมาณ 40 คัน และสามารถดับเพลิงได้ ในเวลาประมาณ 16.00 น. (รวมประมาณ 4 ชม.) 

ซึ่งตรวจสอบพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ จำนวน 1 คน คือ น.ส.สิราสินี หรือแอน ศรียา ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทฯ ตำแหน่งหัวหน้าแผนกคลังสินค้า ให้การว่าขณะที่ตนเองทำหน้าที่ตรวจนับคลังสินค้าอยู่ ได้พบกับคนร้ายเป็นชาย 2 คนที่เข้ามาก่อเหตุวางเพลิง และถูกทำร้าย ก่อนจะหลบหนีไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ประกอบการซักถามผู้ต้องหา พบมีพิรุธ จึงได้ทำการสอบสวนจนรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุวางเพลิงโกดังเก็บน้ำมันจริง โดยใช้ไฟแช็คจุดกระดาษแล้ววางไว้ในกล่องกระดาษบรรจุน้ำมันหล่อลื่นจำนวน 2 จุด จนเกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว ไม่ได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คนตามที่ได้ให้การในครั้งแรกแต่อย่างใด สาเหตุเกิดจากความคับแค้นที่ถูกนายจ้างดุด่า จึงได้ทำการจับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

'โฆษก ตร.'​ ยัน!! ไฟล์ร่างยกฐานะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกระทรวงฯ​ แชร์ว่อนทางไลน์ เป็นเฟกนิวส์

1 ธ.ค.2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ (ตร.) พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. ได้เปิดเผยว่า จากที่ปรากฏมีการแชร์ ไฟล์ข้อความ ร่าง ฯ ยกฐานะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกระทรวงตำรวจ นั้น  ขอยืนยันว่า ข้อมูลในไฟล์ ดังกล่าว มิได้เป็นข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนจะเป็นข้อมูลจากที่ใด และมีการแชร์ข้อมูลดังกล่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยเหตุผลอันใดนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ 

ตร.เตือน รหัส OTP กุญแจดอกสุดท้าย ความลับที่ห้ามบอกใคร

1 ธ.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบันพบพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ยังขาดความเข้าใจและความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยบัญชีของตน ทั้งบัญชีธนาคาร บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนบัญชีออนไลน์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องของรหัสใช้ครั้งเดียว (OTP)หรือ One Time Password ทำให้พี่น้องประชาชนถูกคนร้ายฉวยโอกาสหลอกลวง เพื่อขอรหัส OTP และนำไปใช้ในการเข้าถึงข้อมูลหรือทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก เช่นที่ปรากฏเป็นข่าวว่า มีคนร้ายแอบอ้างตัวเป็นคอลเซ็นเตอร์ ผู้ให้บริการสกุลเงินดิจิทัลรายหนึ่ง โทรศัพท์เข้ามาหาเหยื่ออ้างว่าบัญชีของเหยื่อมีปัญหา จากนั้นได้สอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแจ้งว่าให้เหยื่อบอกรหัส OTP ที่ส่งไปให้ เพื่อยืนยันตัวตน จากนั้นคนร้ายจะนำ OTP ที่ได้รับไปใช้ในการทำธุรกรรม เอาเงินออกจากบัญชีผู้เสียหาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับรหัส OTP เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้กับพี่น้องประชาชน โดยรหัส OTP นั้นเป็นชุดรหัสผ่านใช้ครั้งเดียวที่ระบบสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต โดยเป็นชุดตัวเลขหรือตัวอักษรจำนวนหนึ่ง ที่ระบบจะสุ่มขึ้นมาและส่งไปให้กับเจ้าของบัญชี ทางอีเมล หรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ในการตรวจสอบและยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน นอกเหนือจากบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านตามปกติ ซึ่งจะช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับบัญชีของพี่น้องประชาชน ถือได้ว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่จะเข้าถึงข้อมูล จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะบอกรหัส OTP ให้กับบุคคลอื่น เพราะอาจทำให้ถูกคนร้ายนำไปใช้โดยมิชอบได้

ตำรวจยังเข้ม!! ‘ผบ.ตร.’ สั่งทุกพื้นที่กวดขันมาตรการโควิด ตรึงชายแดน - สกัดต่างด้าว! ส่วนสถานบันเทิง รอก่อน

30 พ.ย. 64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้เผยแพร่แนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ล่าสุด คือ ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม), ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ, ผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศเพิ่มเติมเพื่อให้การเดินทางเข้ามาในประเทศสะดวกมากยิ่งขึ้น คือ ผู้เดินทางที่มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อเดินทางถึงไทยให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK เท่านั้น และเปิดพื้นที่กักตัวแรงงานข้ามชาติใน 5 จังหวัด คือ ตาก ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และสระแก้ว 

เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศและเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการควบคุมโรค นอกจากนี้ยังให้ สถานบันเทิง ผับ บาร์ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) เตรียมความพร้อมการเปิดดำเนินการ โดยให้ปรับปรุงสภาพแวดล้อม ระบบระบายอากาศ และเร่งรัดให้บุคลากรได้รับวัคซีน 100% และให้ซักซ้อมความเข้าใจมาตรฐานเพื่อให้ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. ทำการประเมินและออกใบอนุญาตต่อไป นั้น  

ล่าสุด กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 47) เพื่อให้การดำเนินการมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในพื้นที่แบบบูรณาการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นการผ่อนคลายให้บางสถานที่สามารถดำเนินการหรือทำกิจกรรมบางอย่างได้ภายใต้เงื่อนไขเวลา การจัดระเบียบ และมาตรการการป้องกันที่ทางราชการกำหนด เพื่อการดำเนินการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร จึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ให้ผ่อนคลายมาตรการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยสรุปได้ดังนี้

 

>>ให้ปิดสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์  คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน และ สถานประกอบกิจการอาบอบนวด ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ผ่านการตรวจประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration) ในระดับSHA ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถให้บริการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ถึง 23.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

>> สถานที่อื่นนอกจากที่ได้เคยมีคำสั่งให้ปิดสถานที่และได้รับการผ่อนคลายจากประกาศนี้ให้เปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และ มาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด เช่น มาตรการ DMHTTA มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร รวมทั้งมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยเคร่งครัด และ ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้วแต่กรณี และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีการกำชับอย่างต่อเนื่อง ไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วประเทศ โดยเสริมจากแนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ของ ศบค. ให้กวดขันสถานประกอบการในพื้นที่สถานที่ที่จะเป็นคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  รวมถึงสถานบริการ บ่อนการพนัน ที่อาจลักลอบดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย หากพบพื้นที่ใด มีการปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิด ผู้บังคับการที่ควบคุมพื้นที่นั้นๆ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย  หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดให้มีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 62/2564 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 

โดยมี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ได้มีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกวดขันสถานบริการที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด ทั้งสถานบริการ บ่อนการพนัน และสถานที่ที่จะเป็นคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดของโควิด-19, เพิ่มความเข้มงวดมาตรการป้องกันและสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด อาวุธสงคราม และสินค้าผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดน และให้กำกับดูแลการจัดกิจกรรม ที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก

ตำรวจ CIBER (CCIB) บุกทลายเพจขายของปลอม Hold’em Denim กลางห้างดังย่านประตูน้ำมูลค่าความเสียหายนับ 10 ล้านบาท!!

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ตำรวจไซเบอร์ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายว่ามีการลักลอบเปิดเพจเฟสบุ๊คขายสินค้าที่ปลอมและเลียน เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วแบรนด์ Hold’em Denim ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่านับสิบล้านบาท ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าเพจดังกล่าวตั้งอยู่ที่กลางห้างดังย่านประตูน้ำ

พล.ต.ท.กรชัย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.รณชัย จินดามุก ผบก.บก.สอท.1 ,พล.ต.ต.กานตพงศ์ ชัยรุ่งเรื่อง ผบก.บก.สอท.2 , พ.ต.อ.ณัฐภณจินตะนานุช ผกก.3 บก.สอท.2 นำกำลังเข้าไปทำการสืบสวนจับกุม เมื่อจะให้ตำรวจไปถึงได้พบผู้ต้องหาจำนวน 2 รายกำลังเปิดขายสินค้าผ่านเพจ Facebook ขายสินค้าของปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นอยู่บริเวณดังกล่าวเจ้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงหมายค้นจากศาลให้ทางผู้ต้องหาดู 

จากนั้นผู้ต้องหาได้นำเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นภายในร้านพบเสื้อและกางเกง ที่ปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น เกือบ 1,000 ตัว ซึ่งสร้างความเสียหายมูลค่านับ 10 ล้านบาท ตำรวจจึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางและจับกุมตัวผู้ต้องหานำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการสอบปากคำผู้ต้องหารับว่าได้จำหน่ายสินค้าที่ปลอมและเรียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวจริงเนื่องจากเป็นแบรนด์ดังและสร้างกำไรดี 

‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ กำชับทุกหน่วย!! เตรียมพร้อมขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ปราบปรามแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย มีโทษทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติกำชับหน่วยงานในสังกัดขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามแรงงานต่างด้าว ตามมติ ครม. เมื่อ 28 ก.ย. 64 ให้นายจ้างและแรงงาน 3 สัญชาติ(ลาว กัมพูชา เมียนมา) ดำเนินการเข้าสู่กระบวนการจ้างงานตามกฎหมาย ภายในวันที่ 1-30 พ.ย.64 รวมถึงประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมกลุ่มแรงงาน MOU นั้น

เนื่องด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและสถานประกอบการที่ขาดแคลนแรงงาน พร้อมกับควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งได้มีมติให้มีการตรวจสถานที่ประกอบการต่าง ๆ เพื่อให้คำแนะนำการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าว รวมถึงให้นำแรงงานต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายเข้าสู่ระแบบการจ้างงานตามกฎหมายประเทศไทย เพื่อให้ได้รับการดูแลตามสิทธิที่พึงมี ภายในวันที่ 30 พ.ย. 64 หลังจากนั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สนองนโยบายรัฐบาลโดยได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้ทำการประสานการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประชาสัมพันธ์พร้อมสร้างการรับรู้ให้กับนายจ้างและแรงงาน 3 สัญชาติ( ลาว กัมพูชา เมียนมา) เพื่อให้มาดำเนินการภายในกำหนดตาม มติ ครม.  โดยหลังจาก 30 พ.ย.64 ให้ประสานการปฎิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจสอบสถานประกอบการ โรงงาน ที่พักคนงาน และพื้นที่สุมเสี่ยง ทำการสืบสวนปราบปราม จับกุมแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยผิดกฎหมายและนายจ้างที่เกี่ยวข้อง  เพิ่มการกวดขันการตรวจตราการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง โดยให้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยร่วมปฏิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง ตลอดจนขยายผลไปยังเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิดทุกราย  พร้อมให้เจ้าหน้าที่ทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังตามหลักยุทธวิธีตำรวจและถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้กำหนด

หากตรวจพบว่าพื้นที่ใดหย่อนยาน ปล่อยปละละเลย หรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะถือว่าเป็นความบกพร่อง ต่อหน้าที่ อีกทั้งเน้นย้ำให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ควบคุม กำกับดูแล การปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ห้ามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือเรียกรับผลประโยชน์ทุกกรณี ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม หากพบจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาดทุกราย

ผู้ที่ให้การช่วยเหลือหรือนำพาบุคคลต่างด้าวลักลอบข้ามพรมแดน จะมีโทษฐานเป็นบุคคลที่นำพาบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองซึ่งจะมีโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่ถ้าเกิดมีการช่วยเหลือซ่อนเร้นคือบุคคลต่างด้าวนั้นเข้ามาหลบอยู่ในบ้านท่านหรือมีการอำนวยความสะดวกให้ขึ้นรถหรือว่ามีการหลบหลีกด่านตรวจต่างๆ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีปรับไม่เกิน 50,000 บาท

 

ตร.เตือน!! BEC (Business Email Compromise) ‘แฮก’ หรือ ‘ปลอม’ อีเมลธุรกิจ...ความเสียหายหลักล้าน!!

วันที่ 26 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

จากกรณีที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเป็นหญิงไทยจำนวน 3 ราย และชายแคมมารูน จำนวน 1 ราย ซึ่งมีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำ ในการแฮกอีเมลบริษัทผู้เสียหาย ปลอมอีเมลสวมรอยบริษัทเพื่อพูดคุยกับบริษัทลูกค้า การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด จัดหาบริษัท และบัญชีธนาคารในการรับโอนเงิน ไปจนถึงการถอนเงินออกจากบัญชี ซึ่งทำให้บริษัทผู้เสียหายได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนรวมกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว เป็นอาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบ Business Email Compromise (BEC) หรือ การสร้างความเสียหายต่ออีเมลทางธุรกิจ โดยการแฮกหรือปลอมอีเมลของคู่ค้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อสวมรอยเป็นบริษัทคู่ค้า หรือตัวแทนที่ติดต่อเจรจาทางธุรกิจ และหลอกเอาทรัพย์สิน ข้อมูล หรือผลประโยชน์อื่น ๆ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะบริษัทที่ใช้การติดต่อธุรกิจผ่านทางอีเมล ให้ใช้ความระมัดระวัง และหากมีการแจ้งเปลี่ยนการชำระเงิน หรือสถานที่ส่งสินค้า ให้ติดต่อกับคู่ค้าโดยตรงนอกเหนือจากทางอีเมล เช่น โทรศัพท์ การสนทนาผ่านวีดิโอ หรือช่องทางอื่น ๆ ที่สามารถติดต่อกับคู่ค้าได้โดยตรง ก่อนที่จะทำการโอนเงินหรือส่งมอบสินค้า เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และขอให้องค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญในการให้ความรู้และการอบรมแก่บุคลากร ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงถูกโจมตีในรูปแบบ BEC

 

ตำรวจ PCT ‘ทลายเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ MBC Club’ มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท มีเหยื่อหลงเชื่อกว่า 1,000 ราย

วันนี้ (24 พ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ MBC Club มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า เครือข่าย MBC Club ได้ชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนใน Forex โดยหลอกลวงว่าจะได้กำไรเฉลี่ย 40% ของเงินที่ลงทุนต่อเดือน และจะนำผลกำไรมาปันผลให้กับผู้ร่วมลงทุน แต่หากลงทุนครบจำนวน 40,000,000 บาท ภายในสิ้นปีจะได้รับรางวัลเป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Porsche 718 Boxster จากบริษัท ซึ่งการลงทุนดังกล่าวมีแผนการร่วมลงทุน แบ่งเป็น 5 แพ็คเกจ ดังนี้

แพ็คเกจที่ 1 MEMBER ทุนจำนวน 50,758 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 110% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 27.50 %

แพ็คเกจที่ 2 SILVER ทุนจำนวน 253,750 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 115% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 28.75%

แพ็คเกจที่ 3 TITANIUM ทุนจำนวน 507,500 บาททาง CLUB เพิ่มทุนให้ 120% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 30%

แพ็คเกจที่ 4 GOLD ทุนจำนวน 2,537,500 บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 125% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 31.25%

และ เเพ็คเกจที่ 5 PLATINUM ทุนจำนวน 5,075,000บาท ทาง CLUB เพิ่มทุนให้ 130% เฉลี่ยกำไรต่อวันคิดเป็น 32.50%  

เขาก็มีชีวิต - จิตใจ... โฆษก ตร.เตือน!! “กระทำทารุณกรรมสัตว์” จำคุก 2 ปี

24 พ.ย.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจํานงค์ โฆษก ตร. เผยว่า จากกรณีในสื่อสังคมออนไลน์ปรากฏคลิปเหตุการณ์ลูกสุนัขสองตัวลอยออกจากรถยนต์กระบะสีแดงสภาพเก่า ตกลงมาบนถนนก่อนถูกรถยนต์ทับตายคาที่หนึ่งตัว อีกตัวรอดชีวิตหวุดหวิด เพราะคนขับรถยนต์เจ้าของคลิปเหตุการณ์จอดรถลงไปช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา หลังจากนั้นจึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานสาเหตุว่าลูกหมาอาจปีนตกลงมาเอง หรือ ถูกคนในรถโยนลงมา หวังให้ถูกล้อรถยนต์ทับตาย นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษก ตร. กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กำแพงแสน ได้ติดตามตัวผู้ขับรถกระบะดังกล่าวมาเพื่อสอบถามสาเหตุแล้ว โดยผู้ก่อเหตุได้ให้การอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนมา ระหว่างทางกลับบ้านทนเสียงเห่าหอนของลูกสุนัขไม่ไหว ประกอบกับลูกสุนัขได้กัดแทะเบาะ แล้วยังปัสสาวะ อุจจาระจนเลอะเทอะไปทั่วรถ และส่งกลิ่นเหม็น จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบโยนลูกสุนัขออกไปจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาตามกฎหมายจึงอยากขอเตือนไปถึงพี่น้องประชาชนผู้เลี้ยงสัตว์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บ้าน สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้งาน สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้เป็นพาหนะ สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้เป็นเพื่อน สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหาร สัตว์เลี้ยงเพื่อใช้ในการแสดง จะมีเจ้าของหรือไม่มี หากท่านกระทำทารุณต่อสัตว์ของท่านหรือของผู้อื่นอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557

 

ตร.เตือน!! จัดหาเด็กมาค้าประเวณี โทษสูงถึงประหาร คนซื้อบริการผิดด้วย โทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

วันที่ 24 พ.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สนธิกำลัง ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เข้าจับกุมหญิงสาวที่อ้างตัวเองว่าเป็นโมเดลลิ่ง ทำการจัดหาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อส่งต่อไปค้าประเวณีให้กับลูกค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมากนั้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายที่สำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันมิให้เกิดการกระทำความผิดขึ้น  จึงอยากจะขอประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือน สำหรับผู้ที่คิดจะกระทำความผิดเกี่ยวกับการเป็นธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณีนั้น เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบุคคลที่ถูกนำตัวไปค้าประเวณีเป็นเด็ก อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ตาม จะเข้าข่ายเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ และในบางกรณีอาจมีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ส่วนผู้ซื้อบริการ ก็มีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน และในบางกรณีอาจมีอัตราโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต โดย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเป็นธุระจัดหาหรือเป็นผู้ซื้อบริการทางเพศจากเด็ก มีดังต่อไปนี้

ผู้ที่เป็นธุระจัดหา หรือที่เรียกตัวเองว่า โมเดลลิ่ง

1. บังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่ง ค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26(9) ประกอบมาตรา 78

2. เป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยในกรณีเด็กอายุ เกินกว่า 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท และในกรณีที่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 800,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6(2) ประกอบมาตรา 52

3. เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็ก แม้เด็กนั้นจะยินยอมก็ตาม หากเด็กนั้นอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 6,000 บาท ถึง 30,000 บาท และหากเด็กนั้นอายุยังไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282

4. ถ้ากรณีตาม ข้อ 3. เป็นการกระทำดังกล่าวกระทำโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หากเด็กนั้นอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 14,000 บาท ถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต และหากเด็กนั้นอายุยังไม่เกิน 15 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283

ผู้ซื้อบริการทางเพศจากเด็ก

- กรณีเด็กอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี

1. พาบุคคลอายุเกิน 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ทวิ

2. พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสีย จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319

- กรณีเด็กอายุ ไม่เกิน 15 ปี

1. กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 400,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก

2. ถ้ากรณีตาม ข้อ 1. เป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000 บาท ถึง 400,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง

3. พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 400,000 บาท ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top