Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

กทม. ออกข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัย หากโรงเรียนในสังกัด จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยแก่เด็กนักเรียน และผู้ปกครองทุกคน

หลังจากหยุดยาวมากว่า 1 เดือนเต็ม เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ ล่าสุด กทม. ได้หารือเตรียมมาตรการในการปฏิบัติ หากว่าโรงเรียนในสังกัดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

โดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เข้ารับฟังการหารือจากสำนักการศึกษาและพัฒนาสังคม ที่รายงานความพร้อมในการเปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน เบื้องต้นยังเน้นย้ำเรื่องผู้ปกครองและบุคคลที่จะเข้ามาในโรงเรียน ต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวด มีการสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การล้างมือ และการทำความสะอาด

ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีโรงเรียนในสังกัดทั้งสิ้น 437 แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานครอีก 292 ศูนย์ ในพื้นที่ 45 สำนักงานเขต โดยในวันที่ 27 มกราคมนี้ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้งหมดจะจัดกิจกรรม Big Cleaning พร้อมกัน เพื่อเตรียมความพร้อม หากจะมีการประกาศเปิดการเรียนการสอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง

ส่วนเมื่อเปิดเรียนแล้ว นักเรียนและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง The States Times รวบรวมมาให้ได้ทราบกันดังนี้


ข้อมูลจาก: เพจกรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์

ครม. เคาะปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ.–มี.ค. 64) โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 เหลือ 0.5% ของค่าจ้าง ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จากเดิมอัตรา 278 บาทต่อเดือน ให้เหลืออัตรา 38 บาทต่อเดือน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนก.พ. – มี.ค. 2564 โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายผู้ประกันตนมาตรา 33 เหลือ 0.5% ของค่าจ้างผู้ประกันตน จากเดิม 3% ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือ 75 บาทต่อเดือน สำหรับฝ่ายนายจ้างให้คงอัตราเดิมโดยส่งเงินสมทบ 3% ของค่าจ้างผู้ประกันตน รัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม 2.75% ของค่าจ้างผู้ประกันตน

สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จากเดิมอัตรา 278 บาทต่อเดือนให้เหลืออัตรา 38 บาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้นายจ้าง 486,192 ราย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,164,387 คน และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,832,500 คน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย โดยนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเสริมสภาพคล่อง เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง มีนาคม 2564 จำนวน 23,119 ล้านบาท ลดปัญหาทางการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ประกันตนดีขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า การลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนในครั้งนี้ ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลงจำนวน 7,166 ล้านบาท และหากรวมกับการลดอัตราเงินสมทบครั้งที่หนึ่งตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563 ครั้งที่สองตั้งแต่เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2563 และการลดอัตราเงินสมทบปัจจุบันตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 เงินสมทบทั้งหมดรวมกัน 9 เดือนจะลดลงประมาณ 68,669 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีผู้ประกันตน ม.33 ได้รับผลกระทบหนัก ทางพรรคก้าวไกล ก็เตรียมเชือด ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน’ กลางเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฐานละเลยแรงงานอยู่

โดยนายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเเรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะปีกเเรงงาน พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเครือข่ายสิทธิแรงงานเพื่อประชาชนและผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อยู่ในระบบของประกันสังคม รวมตัวกันไปเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาล ให้เยียวยาผู้ใช้เเรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ อย่างถ้วนหน้า เสมอภาคและเท่าเทียมกันบริเวณ หน้าทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ ( 26 มค. 64 )

นายสุเทพ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นคือการเรียกร้องของผู้ประกันตน มาตรา 33 ในระบบประกันสังคมที่ถูกตัดออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามาตั้งเเต่การระบาดของโควิดในรอบแรก เนื่องจากรัฐบาลอ้างว่า ในส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ไปใช้เงินสะสมในส่วนของประกันสังคม ซึ่งสำนักงานประกันสังคม มีระเบียบเเละเงื่อนไขในการรับเงินเยียวยาหรือเงินกรณีที่เกิดวิกฤติโควิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของผู้ประกันตน

ได้ระบุไว้ว่า การเยียวยาในรอบเเรกที่รัฐให้เงินเยียวยาเดือนละ 3,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือน คือ 7,000 บาทนั้น รัฐเยียวยาไปทั้งหมดเพียง 31 ล้านคน แต่ยังมีการตกหล่นเเละได้อย่างไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะพี่น้องผู้ใช้เเรงงานในระบบประกันสังคมในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในธุรกิจหน่วยงานทุกภาคส่วนที่มีมากถึง 11 ล้านคน รวมไปถึงเเรงงานข้ามชาติที่เข้าระบบประกันสังคมประมาณ 1.5 ล้านคน ยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย

ในฐานะที่ตนเป็นประธานกรรมาธิการการเเรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้ทางคณะกรรมาธิการได้ส่งเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าวไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( ศบค. ) เพื่อให้มีการพิจารณาให้ผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคม 11 ล้านคน ได้รับการเยียวยาด้วย และเรื่องนี้จะเข้าสู่การหารือเป็นวาระเร่งด่วนของคณะกรรมาธิการการเเรงงานในวันที่ 27 ม.ค. ในส่วนของปีกเเรงงานของพรรคก้าวไกล ขณะนี้ได้จัดประชุมเครือข่ายเเรงงานในทุกภาคส่วน เพื่อรับฟังปัญหาและนำปัญหาเหล่านี้เข้าสู่การแก้ไข รวมถึงจะนำไปใช้เป็นประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในกลางเดือนกุมพาพันธ์

“ขอฝากไปยังนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงาน จากการที่เคยหารือไปหลายครั้งให้นำเรื่องมาตรการเยียวยาแรงงานในระบบให้เท่าเทียมกับประชาชนทั่วไปเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายสุชาติ อ้างว่า การดำเนินการในส่วนของตนเป็นการช่วยเหลือผู้ใช้เเรงงานอยู่เเล้ว เช่น เรื่องของการลดเงินสมทบประกันสังคมหรือเงื่อนไขการได้รับชดเชยในกรณีว่างงาน

เเต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ใช้แรงานในระบบ 11 ล้านคน จะต้องตกหล่นจากการรับการเยียวยาเหมือนประชาชนคนอื่นๆ เพราะในข้อเท็จจริงยังมีผู้ประกันตนในระบบมีรายได้ลดลงมากแต่ก็ต้องทำเพื่อรักษางานไว้ จึงอยากให้นายสุชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สะท้อนปัญหาดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เป็นรูปธรรมเเละเยียวยาประชาชนได้อย่างทั่วถึง”

ขณะที่ วรรณวิภา กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นกลุ่มเดียวที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากรอบเเรกของภาครัฐ ซึ่งการบริหารของรัฐรอบแรกต่อกรณีนี้ทำให้เงินประกันสังคมไหลออกอย่างมหาศาล ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นเงินสะสมของลูกจ้างเเละนายจ้างเพื่อไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน 7 อย่าง ตามประกาศเเละระเบียบของประกันสังคม

อาทิ รักษาพยาบาล ชราภาพ คลอดบุตร และว่างงาน แต่ตอนนี้ได้ถูกนำเงินส่วนนี้ออกมาใช้เพื่อเยียวยาแทนรัฐบาล เเละในปัจจุบันผู้ประกันตนในส่วนนี้ลดน้อยลง ทำให้เงินในกองทุนลดลง สวนทางกับความต้องการของคนที่ใช้เงินจากกองทุนนี้มากขึ้น ซึ่งการบริหารเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับกองทุนประกันสังคมในอนาคต เมื่อมีการเยียวยารอบ 2 คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้รับการประกาศเยียวยาจากภาครัฐอีก นวันนี้จึงมีที่ผู้ประกันตนออกมาเรียกร้องสิทธิของเขา

“ทำไมรัฐไม่เยียวยา ตกหล่น และเป็นเหตุให้ต้องนำเงินของเขาที่สะสมไว้ในอนาคตมาใช้ ทั้งที่รัฐควรจะต้องเยียวยาอย่างทั่วหน้า เเละให้เงินเยียวยาเป็นเงินสดเหมือนรอบแรก แรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ควรจะต้องได้รับการดูแลเหมือนประชาชนทุกคนที่ได้รับสิทธิดังกล่าว รวมไปถึงสิทธิต่างๆที่จะได้รับจากรัฐในการเยียวยาอย่างถ้วนหน้า เเละเท่าเทียม” วรรณวิภา กล่าว

‘พุทธิพงษ์’ ขอบคุณประชาชน แจ้งโพสต์ผิดกฎหมายมาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" เพียบ พร้อมเดินหน้าลุยส่งเรื่องให้ศาลและแจ้งความต่อปอท.แล้ว เร่งนำตัวคนทำผิดมาลงโทษถึงที่สุด

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ แจ้งเหตุกรณีพบการกระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านช่องทางเพจ "อาสาจับตาออนไลน์" จำนวนมากและส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ รายงานสถิติการรับแจ้งเหตุจากประชาชน ผ่านช่องทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ระหว่างวันที่ 1-22 มกราคม 2564 รวมจำนวน 15,306 รายการ ตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล)ทั้งทางแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก,ยูทูบ,ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์อื่น

ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ส่งเรื่องที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขออำนาจศาลในการปิดกั้นหรือลบข้อความไปแล้ว 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล) และเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ยื่นแจ้งความต่อตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว 254 รายการ(ยูอาร์แอล)

โดยหลังจากนี้ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจปอท.ที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน นำตัวผู้ที่กระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

"ฝากเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดียและประชาชน ก่อนที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ขอให้ใช้วิจารณญาณและไตร่ตรองให้ดีก่อนโพสต์ เพราะหากกระทำผิด เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ได้อย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย"

‘กาละแมร์’ โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจตัวเอง หลังตกเป็นประเด็นดราม่าเหตุโฆษณาอาหารเสริมของตัวเองเกินจริง ตัดพ้อ “ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ”

จากกรณีที่ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง ตกเป็นประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการโฆษณาสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตัวเองอย่างเกินจริง จนกลายเป็นเรื่องราวที่โลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ต่อมา อย. ออกมายืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารตัวใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือการทำงานของร่างกายได้ตามที่กล่าวอ้าง

จนกระทั่ง (25 ม.ค. 64) มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (1) และ ฉ้อโกงประชาชน หลังโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกินจริง

ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเคลื่อนไหว โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพให้กำลังใจตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

ขอบพระคุณทุกคำแนะนำจากทุกคน ผู้ใหญ่จากทุกหน่วยงานภาครัฐ ทำให้แมร์ได้พัฒนาทุกอย่างให้ถูกต้อง แมร์ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ

แมร์อาจไม่ทราบทุกกฎทุกเรื่องต้องกราบขออภัยจากใจ

และแมร์ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ส่งทั้งกำลังใจ รีวิวการกินมาอย่างทะลักทะล้น แมร์ซาบซึ้งไม่มีวันลืม สัญญาจะทำผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยค่ะ

‘บิ๊กตู่’ และครม. ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร หลังแพทย์เจาะคอปรับวิธีรักษา เชื่อบุญกุศลทำให้ปลอดภัย ขอบคุณในการเสียสละ ย้ำเราจะดูแลให้ดีที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่า

วันนี้ตนได้พูดให้ที่ประชุมครม.ทราบ และขอให้ทุกคนรวมพลัง รวมกำลังใจและห่วงใยส่งไปให้ไปยังผู้ว่าฯ ซึ่งวันนี้มีสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น โดยคณะแพทย์โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งได้มีการหารือมาตลอดและตนได้รับคำชี้แจงมาว่าต้องมีการปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของช่องคอและช่วงอก เพราะการใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนี้ จึงต้องมีการเจาะคอ ซึ่งเป็นเรื่องของทางการแพทย์

"ผมขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว และขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้ผมคิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้ จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้ปลอดภัยเป็นปกติสุขโดยเร็วกำลังใจจากผมเอง ซึ่งผมก็ให้ไปเยี่ยมเยือน 3 ครั้งแล้ว และทางกระทรวงสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีก็เยี่ยมเยียนเป็นพิเศษอยู่แล้ว วันนี้ก็เอากำลังใจจากครม. ไปถึงท่านและครอบครัวท่านด้วย เราจะดูแลให้ดีที่สุด"นายกฯ กล่าว

กองทัพภาค 1 ยัน ลงโทษพลทหารจริง หลังพบเสพยาเสพติดในค่าย พร้อมกักบริเวณ ลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร รอผลกรรมการสอบวินัย ‘ครูฝึก’ ลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ

จากกรณีที่ 2 พลทหารหนีออกจากค่าย หลังถูกครูฝึกซ้อมโหดเพราะถูกจับได้ว่าแอบสูบกัญชา โดยวันนี้ทางศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 1 ได้ส่งเอกสารขี้แจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า เข้าใจความรู้สึกของพลทหารและครอบครัวในความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเบื้องต้นได้มีการตั้งกรรมการสอบสวน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ 1.) พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเรื่องยาเสพติดของพลทหาร ซึ่งถูกตรวจพบว่าเสพยาเสพติด จึงถูกลงทัณฑ์ตามวินัยทหาร โดยครบกำหนดวันที่ 22 มกราคม 2564 และทางหน่วยพบว่ายังกระทำผิดซ้ำอีก 5 นาย จึงลงทัณฑ์เพิ่มเติม ระหว่างนี้ 2 ใน 5 นาย ได้หลบหนีกลับบ้านและร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมตามที่เป็นข่าว

2.) การลงทัณฑ์เกินกว่าเหตุ ทางหน่วยได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งเบื้องต้นมีมูลจึงให้กักบริเวณครูฝึก และสั่งทัณฑกรรม (การบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ อาทิ โยธา ) ตามวินัยทหาร ระหว่างการรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการ

ล่าสุดในวันนี้ หน่วยต้นสังกัดได้ติดต่อประสานพูดคุยกับผู้ปกครองของทหารทั้ง 2 นายเพื่อสร้างความมั่นใจ และจะดูแลด้านการรักษาพยาบาล ทั้งนี้กำลังพลมีความประสงค์ที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและสอบสวน ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่าจะให้การดูแลกำลังพลตามขั้นตอนและวินัยทางราชการ เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย

‘รมว.พลังงาน’ ดึง ‘ปตท.-กนอ.’ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาระบบห้องเย็นผลไม้ไทย เดินหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก เสริมความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การจัดทำระบบห้องเย็น (Blast freezer & Cold storage) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (อีเอฟซี) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) ว่า

การเดินหน้าโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก ถือเป็นก้าวสำคัญ เสริมความแข็งแกร่ง สร้างรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน ซึ่งเป็นกลุ่มฐานรากสำคัญของประเทศ

ทั้งนี้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้จะพัฒนาโครงการฯ ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดย ปตท. ที่มีความพร้อมด้านห้องเย็น จะนำพลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร กนอ. จะสนับสนุนการจัดหาพื้นที่ และ สกพอ. จะประสานความร่วมมือส่งเสริมด้านสิทธิประโยชน์ให้หน่วยงานรัฐและเอกชน

เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบห้องเย็น ให้บริการเก็บรักษา สินค้าคุณภาพดี สดใหม่ และรสชาติยังดีคงเดิม ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งจะช่วยให้ชาวสวนไม่ต้องรีบเก็บ-รีบขาย-รีบส่ง ทำให้ไม่ได้ราคา เสียคุณภาพ และเสียชื่อเสียง เมื่อโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกสำเร็จ ชาวสวนจะมีรายได้ดีมั่นคง สม่ำเสมอ รวมทั้งต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางเกษตรแข่งขันได้ทั่วโลกเสริมความเข้มแข็งให้ประเทศไทย ก้าวสู่ศูนย์กลางตลาดผลไม้โลก

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการบอีเอฟซี เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาภาคเกษตรในพื้นที่อีอีซี ที่ปรับการทำธุรกิจให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด คือ การวางธุรกิจทั้งระบบจากการกำหนดสินค้าและบริการที่ตลาดต้องการ ไปกำหนดวางวิธีการค้า-การขนส่ง-การเพาะปลูก ให้สนองความต้องการของตลาด ในขณะเดียวกัน ก็จะนำเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยให้เกิดการปรับปรุงทั้งกระบวนการผลิต โดยโครงการอีเอฟซี จึงประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ

1.) ศึกษา ติดตาม ความต้องการของตลาด ในเรื่องนี้ สกพอ. กำลังศึกษาความต้องการตลาดต่างประเทศและในประเทศ ของ ทุเรียน มังคุด และผลไม้ของภาคตะวันออก เป็นโครงการที่อยู่ในงบประมาณปี 64 เพื่อให้เข้าใจถึงพฤติกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ

2.) การวางระบบการค้าสมัยใหม่ จะเป็นการค้าผ่านอี-คอมเมิร์ส รวมทั้งการลงทุนแพคเกจจิ้ง จากวัสดุธรรมชาติ ให้สามารถขนส่งทางอากาศได้สะดวก เพื่อให้ผลไม้ของภาคตะวันออกเข้าสู่ตลาดสากลได้ทันที

3.) การลงทุนทำห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นโครงการที่เราจะลงนามเอ็มโอยูในวันนี้

4.) การจัดระบบสมาชิก ชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ ที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ได้ผลผลิตพรีเมียมตรงความต้องการของตลาด เรื่องนี้ได้ดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่ง และจะส่งผลประโยชน์ให้เกษตรกรโดยถ้วนหน้า

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในครั้งนี้ประกอบด้วย 3 ฝ่ายคือ 1.) ปตท. จะเป็นผู้ลงทุนจัดทำระบบห้องเย็นทันสมัยขนาด 4,000 ตัน ส่วนหนึ่งเป็นเทคโนโลยี Blast freezer เพื่อรักษาคุณภาพผลไม้ให้เสมือนเพิ่งเก็บจากสวน และระบบ Cold storage ที่จะรักษาคุณภาพผลไม้นั้นให้ขายได้ตลอดปี ไม่ต้องรีบส่งตัด-รีบขาย-รีบส่ง เช่นในปัจจุบัน

2.) การนิคมแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้หาพื้นที่ โดยกำหนดว่าจะเป็นพื้นที่บริเวณ Smart Park ที่มาบตาพุด และ 3.) สำนักงานอีอีซีจะเป็นผู้วางกลไกการบริหาร และประสานผู้ที่เกี่ยวข้องมาบริหารโครงการ โดยเฉพาะ เอกชนผู้เชี่ยวชาญการค้า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สหกรณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประโยชน์จากโครงการกลับไปสู่ประชาชนในพื้นที่

"โครงการนี้จะนำร่องด้วยทุเรียน ซึ่งเป็นราชาผลไม้ของไทย รวมทั้งผลไม้อื่นๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นอาหารทะเล ที่ต้องการเก็บรักษาคุณภาพสินค้าให้สดใหม่ สีสันน่ารับประทาน และสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้ที่มั่นคงกับเกษตรกรไทย นอกจากนี้ จะมีการพัฒนากิจกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กิจกรรมแปรรูป การประมูลสินค้า และการส่งออก ต่อไป " นายคณิศ กล่าว

ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แจง กลุ่มเฟมินิสม์ และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย หลังออกมาเรียกร้องกให้ยกเลิก ม.301 กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ ระบุบางเรื่องต้องใช้เวลา พร้อมผลักดันเป็นขั้นตอน

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.เขตบางซื่อ-ดุสิต และประธานกรรมการนโยบายสตรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเฟมินิสม์ปลดแอก ก และเครือข่ายรณรงค์เพื่อสิทธิ์ทำแท้งปลอดภัย เรียกร้องให้ยกเลิก ม.301 ของกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เพราะยังกำหนดความผิดของผู้หญิงที่ทำแท้งหากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯและวุฒิสภา สามารถทำแท้งได้เลยหากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และหลังจาก 12 สัปดาห์

สามารถทำได้ใน 4 กรณี โดยไม่มีความผิดทางกฎหมาย คือ 1. เป็นภัยต่อสุขภาพกายและจิตใจของหญิงผู้ตั้งครรภ์ 2. มีความเสี่ยงทารกพิการ 3. ตั้งครรภ์จากมีการกระทำผิดทางเพศ และ 4. อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ โดยสามารถเข้ารับคำปรึกษาทางเลือกและยืนยันจะยุติการตั้งครรภ์

น.ส.ธณิกานต์ ระบุว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายในสังคมเกิดจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมายนั้นๆ และยังต้องคำนึงถึงผลกระทบส่วนอื่นๆ โดยรอบ ทางออกบางอย่างต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจและเห็นด้วย จึงขอให้เห็นใจคณะทำงานที่ต้องคิด กลั่นกรอง และต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายฝ่าย จึงต้องค่อยๆผลักดันเป็นขั้นตอนๆไป ซึ่งส่วนตัวก็ขออวยพรให้ทุกความคิดเห็นได้รับการรับฟัง และตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรม ทุกข้อ

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวขืนใจ

คดีอื้อฉาวสะเทือนวงการกีฬาเกาหลีใต้ที่เป็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วประเทศ เมื่อซิม ซุก-ฮี นักสเก็ตน้ำแข็งดาวรุ่งสาวเกาหลีใต้ ดีกรีระดับแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวถึง 2 สมัย ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดำมืดในค่ายฝึกซ้อมว่า เธอถูกอดีตโค้ชประจำตัวข่มขืน และทำร้ายร่างกายนานถึง 3 ปีตั้งแต่เธออายุเพียง 17 ปี

โค้ชทีมชาติที่ถูกกล่าวหา คือ นาย โช แจ-บอม วัย 39 ปี โดย ซิม ซุก-ฮี กล่าวหาว่าเขาทำร้ายร่างกาย และล่วงละเมิดทางเพศเธอมาตั้งแต่ปี 2014 ในสมัยที่เธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยม และต้องเข้าโปรแกรมฝึกนักกีฬาทีมชาติเพื่อลงแข่งกีฬาสเก็ตน้ำแข็งประเภท ความเร็วระยะสั้น ในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชังในปี 2018 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ เป็นเวลานานถึง 3 ปี

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันขมขื่นมานานนับปี ซิม ซุก-ฮี ตัดสินใจออกมาพูด และดำเนินคดี โช แจ-บอม อดีตโค้ชทีมชาติของเธอตอนปี 2019 ที่กำลังมีกระแส #MeToo เพื่อเรียกร้องให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำทางเพศออกมาเปิดเผยตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ และความยุติธรรม

เรื่องราวของ ซิม ซุก-ฮี กลายเป็นสิ่งที่ตบหน้าสังคมอนุรักษ์นิยมในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ด้วยวัฒนธรรมเกาหลีใต้ที่ยังถือว่าผู้ชายมีสถานะเหนือกว่าผู้หญิง ยิ่งเป็นถึงโค้ชระดับทีมชาติ ยิ่งมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการลงโทษนักกีฬาทั้งทางร่างกาย และจิตใจ รวมถึงการตัดสินใจให้นักกีฬาในทีมคนไหนติดทีม หรือถูกตัดสิทธิ์ โดยที่นักกีฬามักไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง มิฉะนั้น จะถูกมองว่าไม่มีความอดทน ไร้ความมุ่งมั่น ที่มักเป็นข้ออ้างในการถูกตัดสิทธิ์ออกจากทีมชาติ

ซึ่ง ซิม ซุก-ฮี ถูกกระทำในสภาพเดียวกัน โดยที่เธอไม่กล้าเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะอนาคตทีมชาติของเธอขึ้นอยู่กับโค้ช โช แจ-บอม จึงใช้อำนาจสิทธิ์ความเป็นโค้ชย่ำยีเธอ

เมื่อมีข่าวฉาวออกมา โค้ช โช แจ-บอม ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ซิม ซุก-ฮี เพราะเหตุผลทางชู้สาว แต่เป็นการทำโทษตามระเบียบวินัยต่างหาก ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขายอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายจริง จึงทำให้โค้ช โช แจ-บอม ถูกตัดสินจำคุกนาน 18 เดือนจากโทษฐานความผิดในกระทงแรก

แต่ในวันนี้ ศาลอาญาเมืองซูวอน เกาหลีใต้ได้ตัดสินคดีของ ซิม ซุก-ฮี เพิ่มเติ่มในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เป็นคดีร้ายแรง และศาลลงความเห็นว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประณามเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ตัดสินให้จำคุกอดีตโค้ช โช แจ-บอม นาน 10.5 ปี หากรวมกับคดีทำร้ายร่างกายก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าโค้ชโชต้องเข้าคุกนานเกือบ 12 ปี

ถึงแม้ว่า ทนายฝ่ายของ ซิม ซุก-ฮี พอใจกับผลคำตัดสิน แต่มีชาวเกาหลีใต้ไม่น้อยเห็นว่าลงโทษน้อยเกินไป สำหรับความผิดของโค้ชฉาว ควรต้องโทษจำคุกถึง 20 ปี ถึงจะสาสม

คดีของ ซิม ซุก-ฮี ถือเป็นคดีใหญ่ที่เปิดโปงด้านมืดในวงการกีฬาของเกาหลีใต้ก็จริง แต่เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่คนทั่วไปได้เห็นเท่านั้น และยังมีนักกีฬาอีกมากมายที่โดนทำร้ายร่างกายในค่ายเก็บตัว ที่มีตั้งแต่การกลั่นแกล้งภายในทีม จนกระทั่งถึงขั้นการทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศ และทารุณกรรม

ดังเช่นกรณีของ เช ซุก-ฮยอน นักไตรกีฬาหญิงที่เป็นหนึ่งในเยาวชนทีมชาติ ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายจากหอพักนักกีฬาในเมืองปูซาน เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 จบอนาคตอันสดใสของเธอเพียงแค่วัย 22 ปี ที่ภายหลังเปิดเผยว่าเธอถูกรุ่นพี่ และโค้ชกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงตลอดช่วงเวลาที่เธอเก็บตัวเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติ จนทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้า หมดความหวังในการมีชีวิตอยู่

และเธอได้บันทึกเรื่องราวการถูกบูลลี่ของเธอทั้งหมดส่งไปให้แม่ก่อนวันที่เธอจะฆ่าตัวตาย ซึ่งกลายเป็นหลักฐานมัดตัวรุ่นพี่ และโค้ช ที่ร่วมกันกระทำทารุณกรรมจิตใจนักกีฬา และถูกลงโทษแบนจากการแข่งขันนานถึง 10 ปี

ถึงแม้ว่าคดีของ ซิม ซุก-ฮี อาจไม่ใช่คดีสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาเกาหลีใต้ แต่ก็เป็นเสียงเรียกร้องให้แวดวงกีฬาเกาหลีใต้ได้ตระหนักรู้ว่า การเป็นนักกีฬาที่ดีไม่ควรต้องแลกกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


อ้างอิง:

https://www.scmp.com/week-asia/health-environment/article/3118784/south-korea-jails-former-olympic-coach-sexual-assault

https://www.bbc.com/news/world-asia-55746565

https://www.firstpost.com/sports/south-koreas-ex-olympic-coach-cho-jae-beom-jailed-for-10-5-years-for-sexually-assaulting-athlete-9224741.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Shim_Suk-hee

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (26 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 959 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 14,646 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 75 ราย รักษาหายเพิ่ม 230 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,892 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,676 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 959 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากอินโดนีเซีย 1 ราย ,อินเดีย 2 ราย ,เมียนมา 3 ราย ,ซูดาน 2 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 6 ราย ,เนปาล 1 ราย ,จีน 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,รัสเซีย 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 89 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 848 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 460 ราย รักษาหายแล้ว 412 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 8.09 แสน เสียชีวิต 28,132 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 44 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.87 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.45 แสน ราย เสียชีวิต 689 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.38 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.22 แสน ราย เสียชีวิต 3,069 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.15 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.75 แสน ราย เสียชีวิต 10,292 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,352 ราย รักษาหายแล้ว 59,066 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,549 ราย รักษาหายแล้ว 1,425 ราย เสียชีวิต 35 ราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top