Wednesday, 2 July 2025
NEWS FEED

ศาลสูงสิงคโปร์พิพากษาให้บล็อกเกอร์รายหนึ่งชดใช้ค่าเสียหายแก่นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง เป็นเงิน 133,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเกือบ 3 ล้านบาท ในความผิดฐานหมิ่นประมาท จากการที่จำเลยได้แชร์บทความกล่าวหานายกฯ ลี

ผู้นำสิงคโปร์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย เหลียง ซื่อ เฮียน (Liang Sze Hian) ที่ปรึกษาด้านการเงิน สืบเนื่องจากการที่นาย เหลียง ได้นำบทความจากเว็บไซต์ข่าว The Coverage ของมาเลเซียมาแชร์ลงเฟซบุ๊กเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2018 โดยที่บทความดังกล่าวมีการอ้างว่านายกฯ ลี พัวพันกับเครือข่ายฉ้อโกงเงินกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB)

ทีมทนายของ ลี ระบุว่า บทความดังกล่าวเต็มไปด้วยข้อครหาที่ “ไม่ถูกต้องและไม่มีมูลความจริง” และยังกล่าวหา เหลียง ว่าจงใจแชร์โพสต์ดังกล่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้นำประเทศ ขณะที่ เหลียง ก็ได้ลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งหลังจากที่แชร์ไปได้เพียง 3 วัน

ผู้พิพากษา เอดิต อับดุลเลาะห์ ระบุในคำตัดสินว่า เหลียง “ไม่สามารถอ้างอย่างมีเหตุผลได้ว่า ถ้อยคำดูหมิ่นเหล่านั้นไม่เป็นการกล่าวหา นายกฯ ลี” เนื่องจากบทความดังกล่าวมีการระบุชัดเจนว่านายกฯ สิงคโปร์ “อย่างน้อยที่สุดก็เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาร้ายแรง”

ผู้พิพากษาระบุด้วยว่า โพสต์ของ เหลียง ถูกตั้งค่าเป็นสาธารณะ และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นถึง 45 คน

เหลียง อ้างว่าเขา “แค่แชร์” บทความดังกล่าวโดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือปรับแก้เนื้อหาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปฏิเสธข้อครหาที่ว่าตนมีเจตนามุ่งร้ายต่อนายกฯ ลี

เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของ ลี แถลงว่า คำตัดสินดังกล่าวเป็นดุลยพินิจของศาล และนายกฯ ไม่มีอะไรจะกล่าวเพิ่มเติมอีก

ด้านนาย เหลียง ให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกโล่งใจที่คดีนี้มาถึงจุดจบเสียที แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังกับคำตัดสินของศาล และเตรียมที่จะขอคำปรึกษาทางด้านกฎหมาย รวมถึงรับฟังความเห็นจากชาวสิงคโปร์คนอื่น ๆ

ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ประกาศนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” กับการทุจริตคอร์รัปชัน ลี เซียนลุง วัย 69 ปี เคยใช้กลไกทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียงของตนมาแล้วหลายครั้ง ในขณะที่บรรดาผู้นำอาวุโสของพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งรวมถึง ลี กวนยู บิดาของนายกฯ ลี ก็เคยฟ้องร้องเอาผิดกับสื่อต่างชาติ, ศัตรูทางการเมือง รวมถึงบุคคลที่โพสต์ข้อความดูหมิ่นทางออนไลน์มาแล้วด้วย

ที่มา: รอยเตอร์

https://mgronline.com/around/detail/9640000028254


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"กานต์" เชื่อยังมีหวัง "เสก โลโซ” ไม่ต้องนอนคุก เผยล่าสุดเจ้าตัวยังปกติดี เตรียมใจไว้แล้ว

ภายหลังฟังคำสั่ง นางวิภากานต์ ศุขพิมาย หรือ กานต์ ภรรยา นายเสกสรรค์ ศุภพิมาย หรือ เสก โลโซ ศิลปินชื่อดัง เปิดเผยเกี่ยวกับคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาคดีของนายเสกสรรค์ ว่า เบื้องต้น ก็ขอให้เป็นไปตามความเห็นของศาล ซึ่งตนเองอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการในส่วนของคดีอยู่ ซึ่งตนเองยังมีความหวังว่า สามี อาจจะไม่ต้องถูกจำคุก โดยก่อนหน้านี้ ตนเองกับสามีได้มีการพูดคุย เตรียมการไว้ในเบื้องต้นแล้ว 

ซึ่งหลังจากที่ศาลมีสั่งแล้ว จากการพูดคุยกับสามี พบว่า เจ้าตัวยังมีน้ำเสียงปกติ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการเตรียมการไว้แล้วหากผลการตัดสินออกมาในรูปแบบนี้ ซึ่งก็เคารพการตัดสินยอมรับในดุลยพินิจของศาล ซึ่งคดีดังกล่าวถือว่ามีอัตราโทษไม่สูง เป็นเพียงการเสพยาเสพติดไม่มีของกลาง ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวภายในเรือนจำ แต่ก็ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาล คาดว่าจะทราบผลในช่วงบ่ายวันนี้ โดยตนเองได้บอกสามีว่าไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวก็เจอกัน ส่วนการแถลงข่าวอาจจะมีในช่วงเย็นวันนี้ ใกล้ๆบ้าน 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลใจในการใช้ชีวิตภายในเรือนจำของสามีหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบทันควันว่า ยังไม่ได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำเลยพูดจาไม่เป็นมงคล ยังไม่เสร็จกระบวนการ ก่อนที่จะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป

วัดเสาธงทอง เพชรบูรณ์ ไอเดียบรรเจิด เปิดร้าน ‘ป่าช้า-คาเฟ่’ มิติใหม่แห่งการดื่มกาแฟ กับหลากหลายเมนูผี ท่ามกลางบรรยากาศสุดหลอน เผยเปิดเพียง 3 สัปดาห์ ลูกค้าตอบรับดีเกินคาด

เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่แห่งการนั่งจิบกาแฟสายหลอน กับหลากหลายเมนูผี ท่ามกลางบรรยากาศที่ สงบ ร่มรื่น เย็นสบาย แต่แฝงไว้ด้วยความวังเวง ต้องมาสัมผัสด้วยตนเองได้ที่ ป่าช้า-คาเฟ่ ตั้งอยู่ภายในวัดเสาธงทอง หมู่ 4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

ทั้งนี้ จากการเปิดให้บริการมาได้เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ปรากฎว่า ผลตอบรับดีเกินคาด มีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ทั้งในจังหวัดและใกล้เคียง ต่างเดินทางมาชิมเมนูผี พร้อมสัมผัสความหลอนกันเป็นจำนวนมาก

สำหรับร้านกาแฟ ป่าช้า-คาเฟ่ เปิดให้บริการอยู่ตรงซุ้มประตูทางเข้าหน้าวัดเสาธงทอง ตั้งแต่ 08.30 - 17.00 น.โดยมีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ต่างพากันเดินทางมาชิมเมนูผีสุดหลอน อาทิ กระหังโบยบิน(เอสเปรสโซ่) , ผีน้อยน่ารัก(คาปูชิโน่) , ผีผ้าอ้อม(ลาเต้) ,ผีเล่นตม(ม็อคค่า),ปีศาสทมิฬ(อเมริกาโน่),ซอมบี้ ฉวีวี้วี(โกโก้),ตานีตองอ่อน(ชาเขียว),ตานีมรกต(เขียวผึ้งนาว),กระสือวิบวับ(ผึ้งนาวโซดา),ตะเคียนแสนหวาน(ชาไทย),ตะเคียนแพ้ท้อง(ชามะนาว),แวมไพร์หลายใจ(แดงผึ้งนาวโซดา),แดกคูล่าซ่าสุดๆ(แดงโซดา),สางสาวพราวเสน่ห์(นมเย็น) เป็นต้น

ซึ่งแต่ละเมนู ทางป่าช้า-คาเฟ่ จะขายในราคาเพียงแก้วละ 30 บาทเท่านั้น โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะนำถวายวัดเพื่อใช้ทำนุบำรุงศาสนา ซึ่งผู้ที่มาอุดหนุนป่าช้า-คาเฟ่

จากการ สอบถาม พระมหาจักรพันธ์ เมตติโก เลขานุการ เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เปิดเผยว่า แรกเริ่มเดิมที ทางวัดต้องการจัดสวน เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้าวัด เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของญาติโยมในชุมชนและญาติโยมที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อมีการจัดสวนเสร็จแล้ว ก็เกิดแนวคิดอยากมีเครื่องดื่มไว้ให้บริการญาติโยม จึงเกิดไอเดียทำร้านกาแฟขึ้น โดยมีชาวบ้านในพื้นที่มาช่วยกันคิดค้น ร่วมกันทดลองชง ชิม จนได้สูตรเด็ดที่ลงตัว

และในตอนแรกนั้น ก็ไม่ได้ตั้งชื่ออะไร แต่ระหว่างที่ยืนพูดคุยกันอยู่นั้น ได้หันไปมองเห็นบริเวณด้านหลังของพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่เก็บกระดูกตั้งเรียงรายอยู่ จึงนึกถึงคำว่า ป่าช้า ขึ้นมา จึงนำมาตั้งชื่อร้าน เพื่อต้องการให้สื่อถึงร้านกาแฟที่อยู่ในวัด เลยได้ชื่อว่า ป่าช้า-คาเฟ่ จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์และฟังแล้วสะดุดหู ทำให้มีผู้ที่สนใจแวะเวียนมาชิมเมนูคาเฟ่สุดหลอนกันเป็นจำนวนมาก โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะนำถวายวัดเพื่อใช้ทำนุบำรุงศาสนา สืบต่อไป

ด้าน นางสางวิไล หลงใจคอย ผอ.โรงเรียนบ้านนายม เป็นผู้ที่ช่วยคิดไอเดีย เมนูผี เผยว่า ตอนแรกชื่อเมนูต่างๆ ในร้านป่าช้า-คาเฟ่ ยังคงมีชื่อเรียกปกติทั่วไป แต่เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปกับทางชื่อร้าน ก็เลยช่วยออกไอเดีย ตั้งชื่อเมนูขึ้นมาใหม่ โดยนำลักษณะของผีต่าง ๆ มาตั้งให้สอดคล้องกับรสชาติและจุดเด่นของเครื่องดื่มนั้นๆ เช่น กระหังโบยบิน(เอสเปรสโซ่) , ผีน้อยน่ารัก(คาปูชิโน่) , ผีผ้าอ้อม(ลาเต้) ,ผีเล่นตม(ม็อคค่า) เป็นต้น ซึ่งเมนูแนะนำของที่นี่ ก็ต้องบอกได้เลยว่า อร่อยทุกอย่าง ต้องมาลองชิม ลองสัมผัสความหลอนกันด้วยตัวเอง

ขณะที่ นางเยาวถา โตสงวน วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า วัดเสาธงทอง เป็นหนึ่งในสถานที่ของ บ-ว-ร ออนทัวร์ เป็นชุมชนคุณธรรม ที่มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าชุมชน เกิดจากความร่วมมือของบ้าน วัด ราชการ อย่างร้านกาแฟ ป่าช้า-คาเฟ่ แห่งนี้ เกิดจากแนวคิดของทางวัด ในการรวมตัวกันระหว่างชาวบ้าน คนขายก็เป็นชาวบ้าน ซึ่งใครที่มาเที่ยวชุมชนคุณธรรมวัดเสาธงทองแห่งนี้ ก็สามารถแวะมาชิมกาแฟก่อนได้ และหากอยากเข้าไปชมโบราณวัตถุ โบราณสถาน ก็สามารถเข้าไปกราบไหว้ ชมความสวยงาม ภายในวัดได้อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับ ผู้ที่สนใจ อยากเดินทางมาชิมเมนูผี สุดหลอน สามารถมาได้ที่ วัดเสาธงทอง หมู่4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จ.เพชรบูรณ์ ห่างจากทางหลวงหมายเลข21 สายสระบุรี - หล่มสัก เข้ามาทางบ้านนายม ขับมาตามถนนสายเพชรบูรณ์ - นายม จากปากทางมาราว 2 กม.

เพชรบูรณ์ : มนสิชา คล้ายแก้ว


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีการประท้วงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Silent Strike กล่าวคือ ให้ประชาชนทุกคนอยู่แต่ในที่พักไม่ต้องออกไปทำงาน จนทำให้สาวกสามนิ้วบางคนถึงขั้นเชียร์อย่างออกนอกหน้าว่า "เนี่ยเขามี Energy ในการทำกันจริง ๆ นะ"

วันนี้ เอย่า เลยอยากมาชำแหละ และจะมาวิเคราะห์กันว่า สรุปแล้วการทำแบบนี้มัน Success หรือ Failure ต่อประชาชนเขากันแน่!!

ก่อนอื่นเลยการนัดแนะกันทำ Silent Strike นั้นใครเป็นตัวตั้งตัวตี 'ไม่สามารถบอกได้' แต่ภาพที่ออกมาจากสื่อในพม่าทั้งสื่อหลักและสื่อในเฟซบุ๊กก็ดี คือแบบ “โอ้โห….นี่มันสงบกันทั้งเมืองเลยนะนี่”

เอย่าไม่รอช้าค่ะ เพราะเราจะไม่เชื่ออะไรแค่สิ่งที่เขาป้อนให้เราเชื่อถูกไหมค่ะ เอย่าเลยได้ออกไปข้างนอกเก็บภาพมาให้ชมกันซะเลย

และนี่คือสิ่งที่เอย่าเห็นนะคะ รถมันก็ยังมี แต่มันอาจจะน้อยลง (ทีหลังอย่าเอารูปตอนเช้าๆ หรือเพิ่งหลังไฟแดงหมาดมาลงสิค่ะ มันบิดเบือนนะเจ้าคะ)

(ภาพทั้งหมดถ่ายจริง ณ วันที่ 24 มีนาคม เวลา 9.00 น. และ 15.00 น.)

นอกจากในโซเชียลที่มีการนำเสนอภาพแนวนั้นแล้ว ชาวโซเชียลรวมถึงดารานักแสดงบางคนยังแสดงภาพตนเองในสภาพที่ปิดปาก โดยมีการ Live ลงโซเชียลกันในวันดังกล่าว (24 มีนาคม 64)

สำหรับการทำ Silent Strike ครั้งนี้อ้างว่าเพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากการปราบจราจลโดยใช้อาวุธ ส่งผลให้ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร รวมถึง โรงงานและบริษัทหลายแห่ง ต้องปิดบริการในวันดังกล่าว

ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนพร้อมใจกันอยู่บ้านจริงไหม?

คงจะไม่ใช่สักทีเดียว!!

...เพราะมีทั้งคนอยากจะหยุด เนื่องจากทำตามประกาศ

...คนอยากหยุด เพราะไม่อยากทำงาน แต่ได้เงิน

...คนไม่อยากหยุด แต่ที่ทำงานปิด

แต่ยังไงซะ สำหรับคนทำงานที่แม้อยากจะหยุดงานหรือไม่หยุดงานก็ดี หากต้องหยุดงานแบบโดนบังคับเช่นนี้ ในมุมพนักงานกินเงินเดือนที่ได้รับผลกระทบเรื่องเงินเดือนจากหลายธนาคารได้ออกมาแจ้งแล้วว่าเดือนนี้จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน 25% ของเงินเดือนทั้งหมด ย่อมไม่ทำให้เขารู้สึกกระทบอะไรมากหรอก

แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ พนักงานรายวัน คนขายของรายทางแล้วนั้น หากวันนี้เป็นวัน Silent Strike ที่ประกาศกันเพียงข้ามวัน นั่นหมายถึงครอบครัวจะขาดรายได้ไปทันที

แล้วถามกลับว่าคนเหล่านี้ จะสู้เพื่อคุณได้กี่วัน?

ใครก็ตามที่คิดการประท้วงครั้งนี้ ได้เห็นหัว เห็นค่าของ 'คนหาเช้ากินค่ำ' บ้างหรือไม่?

หากการทำ Silent Strike เพื่อต้องการจะรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจริงๆ หรือต้องการจะเช็คเรทติ้งว่าเรายังมีคนเข้าข้างเราอีกมากแค่ไหนก็ดี...เอย่าแนะนำให้ไปรวมตัวสวดมนต์ที่เจดีย์ชเวดากองหรือเจดีย์ประจำของแต่ละเมืองนะคะ

อย่างน้อยคนหาเช้ากินค่ำ เขาจะได้ออกมาขายน้ำ ขายอาหารว่าง มีรายได้บ้าง คนทำงานรับจ้างจะได้มีงานบ้าง

ไม่ใช่คิดกลยุทธ์ประท้วงอะไร ที่เหมือนเกือบจะดีแต่พังทุกทีแบบนี้...


ที่มา: AYA IRRAWADEE

‘หมอเหรียญทอง’ โพสต์ประจาน สปสช. เบี้ยวหนี้ผู้ป่วยคลินิกคู่สัญญาอ่วม 13 ล้าน ซ้ำร้ายเจอสรรพากรคิดภาษีตรงนี้อีก 2 ล้าน รวมความเสียหายมูลค่ากว่า 15 ล้าน ลั่นจากนับจากวันที่ 1 ต.ค. 64 ยกเลิกรับผู้ป่วยส่งต่อจากคลินิกแล้ว

วันที่ 25 มีนาคม 2564 นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เหรียญทอง แน่นหนา โดยระบุว่า

ประจาน

ตั้งแต่ 1 ต.ค.64 เป็นต้นไป รพ.มงกฎวัฒนะ ไม่รับส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกคู่สัญญาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เพราะสาเหตุ สปสช.เบี้ยวหนี้ครับ...

เบี้ยวหนี้อย่างไร ผมสรุปให้เข้าใจกันง่ายๆว่า เมื่อเดือนก.ค.-ก.ย.63 สปสช.ยกเลิกคลินิกคู่สัญญา เพราะมีการทุจริตกัน แล้วสปสช.ก็ให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจำนวนมากจากคลินิกที่สปสช. เลิกสัญญามารับการรักษาที่ รพ.มงกฎวัฒนะโดยตรง โดยสปสช.จะทำหน้าที่เคลียร์ค่าใช้จ่ายแก่รพ.มงกุฎวัฒนะ...

แต่พอถึงเดือน ต.ค.63 สปสช. ก็เป็นซามูไรชักดาบเบี้ยวหนี้หน้าตาเฉย โดยแจ้งให้รพ.มงกุฎวัฒนะ ทราบว่าไม่มีเงินเคลียร์ให้รพ.มงกุฎวัฒนะ...

ค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากเป็นเงิน 13,207,774.42 บาท ที่สปสช.เบี้ยวหนี้นั้น รพ.มงกุฎวัฒนะได้รับรู้เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สรรพากรที่จะถึงในปีนี้ในอัตรา 20% คิดเป็นเงินมากกว่า 2,600,000 บาทครับ...

หมายความว่า นอกจาก รพ.มงกุฎวัฒนะ จะไม่ได้เงินจากการรักษาผู้ป่วยของคลินิกคู่สัญญาสปสช. ที่ทุจริตจำนวนมากกว่า 13.2 ล้านบาทจากสปสช.แล้ว รพ.มงกุฎวัฒนะ ยังจะต้องเสียภาษีให้สรรพากรอีกกว่า 2.6 ล้านบาทครับ...

เบ็ดเสร็จ รพ.มงกุฎวัฒนะ เสียหายมากกว่า 15.8 ล้านบาทครับ

สปสช. มันซี้ซั๊วอย่างนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะไปรับส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกคู่สัญญาสปสช.ได้อย่างไรกันล่ะครับ...

แถมคลินิกทั้งหลายมันก็ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ ทั้งนั้น (ไม่เชื่อตรวจสอบดูก็ได้ครับ)...นี่หรือธรรมาภิบาล


ที่มา : https://www.facebook.com/100000491468200/posts/5952669601426030/?_rdc=1&_rdr

ม.มหิดล คิดค้น ‘วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19’ และ ‘วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร’ เล็งต่อยอดวิจัยวัคซีนป้องกันมะเร็ง - โรคอุบัติใหม่

มหาวิทยาลัยมหิดล คิดค้นนวัตกรรมใหม่ "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" โดยผศ.ดร.ปฐมพล วงศ์ตระกูลเกตุ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ นายโชติวัฒน์ ศรีเพชรดีนักศึกษาปริญญาเอก ประจำภาควิชาฯ ได้ร่วมกับ ศ.นพ. สุรเดช หงส์อิง ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย หัวหน้าสาขาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งในเด็ก และ รศ.พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้กลุ่มวิจัยโควิด-19 มหาวิทยาลัยมหิดล

ร่วมคิดค้นนวัตกรรม "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" โดยได้ยื่นขอรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแล้วเป็นครั้งแรก ผ่านการดำเนินการโดยสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" ซึ่งได้นำเสนอในฐานข้อมูลงานวิจัย bioRxiv แล้ว

ผศ.ดร.ปฐม ได้อธิบายถึงผลงานซึ่งได้รับการยื่นจดสิทธิบัตรแล้วว่า จะต้องมีความใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีการสร้างวัคซีนจาก กรดไรโบนิวคลีอิก(Ribonucleic Acid) หรือ RNA สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยศึกษาร่วมกับโปรตีนอีก 2 ชนิด ได้แก่ เมมเบรนไกลโคโปรตีน (Membrane Glycoproteins) และ เอวีโลปโปรตีน (Envelope Protiens) หรือ โปรตีนซึ่งเป็นเยื่อหุ้มของเชื้อไวรัส ซึ่งเมมเบรนไกลโคโปรตีน ประกอบด้วยน้ำตาล หรือ Glyco ซึ่งมีโครงสร้างที่ละลายน้ำได้ จึงคาดว่าน่าจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ด้วย ได้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยรายงานมาก่อน และสามารถใช้ยื่นจดสิทธิบัตรได้

ด้านนายโชติวัฒน์ นักศึกษาปริญญาเอก ในฐานะผู้ร่วมวิจัยกล่าวเสริมว่า DNA เป็นข้อมูลรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเป็น RNA แล้วกลายเป็นโปรตีน ซึ่งเปรียบเหมือนตัวขับเคลื่อนการทำงานภายในร่างกายได้ แต่ในเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น สารพันธุกรรมไม่มี DNA แต่จะเป็น RNA ซึ่งสามารถกลายเป็นโปรตีนได้ทันที ทีมวิจัยจึงได้นำเอา RNA ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นโปรตีนของเชื้อไวรัส COVID-19 มากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสCOVID-19 ได้เองต่อไป ซึ่งการใช้กรดไรโบนิวคลีอิก หรือ RNA มาพัฒนาเป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ต่างจาก platform อื่นๆ ตรงที่ไม่มีส่วนประกอบของไวรัส ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ และไม่ก่อให้เกิดโรค

นอกจากวัคซีนชนิดกรดไรโบนิวคลีอิกแล้ว ทีมวิจัยยังได้พัฒนาวัคซีน COVID-19 ชนิด subunit vaccine หรือการใช้โปรตีนบางส่วนของเชื้อไวรัสมากระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยโปรตีนที่ทีมวิจัยเลือกมาใช้ในการผลิตวัคซีนชนิดนี้ ได้แก่ สไปค์ไกลโคโปรตีน ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้มีความเสถียรมากขึ้น และคาดว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงกว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

สไปค์ไกลโคโปรตีน ซึ่งได้รับการดัดแปลงนี้มีชื่อว่า "เฮกซะโปร" (HexaPro) ซึ่งคิดค้นโดยทีมวิจัยจาก University of Texas at Austin ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทีมวิจัยของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฐมพลวงศ์ตระกูลเกตุ ได้นำเสนอผลการวิจัยของวัคซีนดังกล่าวในห้องปฏิบัติการบนฐานข้อมูลงานวิจัย bioRxiv แล้ว

ผลงานวิจัย "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" เป็นเพียงการทดลองวิจัยในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่ได้มีการทดลองในคน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงจำเป็นต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านอุปกรณ์ สถานที่ และเงินทุนวิจัยโดยเป็นผลงานวิจัยซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เป็น "ปัญญาของแผ่นดิน" ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลภาคภูมิใจ และสามารถจุดประกายแห่งความหวังที่จะต่อยอดการผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โรคมะเร็ง รวมทั้งโรคอุบัติใหม่ต่างๆ ที่อาจแพร่ระบาดในอนาคตได้ต่อไป

ตำรวจกองปราบ บุกรวบ "หลงจู๊สมชาย" เจ้าพ่อบ่อนคนดังภาคตะวันออก คาคฤหาสน์หรู โยงคดีจ้างวานฆ่าวินจักรยานยนต์ แอบถ่ายรูปบ่อนพนันเมืองพัทยา นำไปแฉ พ่วงจับลูกชายข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันและฟอกเงิน

กองปราบ - เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 25 มี.ค.2564 พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. , พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ , พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป. , พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. , พ.ต.อ.วิจักข์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.2 และ กก.3 บก.ป.

พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ บช.ภ.2 นำหมายค้นศาลอาญากระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 21 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ชลบุรี และ กรุงเทพมหานคร เพื่อจับกุมตัว นายสมชาย จุติกิติ์เดชา หรือหลงจู๊ชาย อายุ 56 ปี เจ้าพ่อบ่อนพนันภาคตะวันออก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดี“จ้างวานฆ่า” พร้อมกับกลุ่มเครือญาติและลูกสมุนในคดี “ร่วมกันฟอกเงิน” ที่ได้มาจากธุรกิจบ่อนพนัน

โดยจุดสำคัญในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ เป็นคฤหาสน์กลางเมืองระยองเนื้อที่ 2 ไร่ เลขที่ 158/28 ถนนราษฎร์บำรุง ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย ผู้มีอิทธิพลคนดังเมืองระยอง ทันทีที่เจ้าหน้าทีไ่ปถึงได้แบ่งกำลังออกเป็นหลายส่วน พร้อมกระจายกำลังเข้าปิดล้อมเพื่อป้องกันการหลบหนีรอบทิศทาง ก่อนกดกริ่งประตูหน้าบ้านแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น

แต่ผู้ที่อยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวไม่มีใครยอมออกมาเปิดประตูรั้วให้ ทางเจ้าหน้าที่จึงใช้บันไดปีนรั้วเข้าไป กระทั่งพบตัวนายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย และนายธนา จุติกิติ์เดชา อายุ 26 ปี ลูกชาย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา จัดให้มีการเล่นพนัน และ ร่วมกันฟอกเงิน อยู่ในบ้านพักหลังดังกล่าวจึงแสดงหมายค้นและหมายจับให้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนรับทราบ พร้อมกับทำควบคุมตัวจากนั้นจึงเข้าตรวจค้นภายในบ้าน

ทั้งนี้ สำหรับการเข้าจับกุมนายสมชายครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2563 ได้เกิดเหตุคนร้ายจำนวน 2 ราย ขี่รถจักรยานยนต์ใช้อาวุธปืนประกบยิง นายประทุม สะอาดนัก อายุ 47 ปี อาชีพวินจักรยานยนต์รับจ้าง เสียชีวิตด้านหลังโรงเรียนเมืองพัทยา 8 ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา สามารถจับกุม นายมนัส อิ่มหนำ อายุ 39 ปี และ นายนิพนธ์ ปานทอง อายุ 47 ปี ผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้

ก่อนให้การอ้างว่าสาเหตุมาจากมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ทางญาติของผู้เสียชีวิตไม่ปักใจเชื่อจึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพราะเชื่อว่าปมสังหารที่แท้จริงน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ตายไปมีความขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องการพนัน

เนื่องจากก่อนเกิดเหตุ นายประทุม ผู้ตาย ได้แอบเข้าไปถ่ายรูปสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองพัทยา ซึ่งมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ก่อนเรื่องดังกล่าวรู้ถึงหูของกลุ่มนายทุนเจ้าของบ่อนจึงเกิดความไม่พอใจ สั่งการให้นายสุพรรณ ใหม่งาม อายุ 53 ปี นายถาวร สาระกูล อายุ 53 ปี ผู้ดูแลบ่อน จัดหามือปืนมาก่อเหตุฆ่าปิดปาก ด้วยเหตุนี้ทาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ จึงมอบหมายให้ทางกองปราบ ในฐานะเลขาศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.)

โดยได้รับโอนสำนวนคดีดังกล่าวมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนขยายผลจนสามารถติดตามจับกุมนายสุพรรณ และ นายถาวร ได้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นจึงขยายผลต่อเนื่องจนกระทั่งพบความเชื่อมโยงถึง นายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย ผู้ต้องหารายนี้ซึ่งเป็นนายทุนบ่อนดังกล่าวและบ่อนการพนันอีกหลายแห่งในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ จะควบคุมตัวนายสมชาย พร้อมพวก ไปทำการสอบปากคำ พร้อมกับแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดทางคดีต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่กองบังคับการปราบปรามต่อไป


ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/crime/462019

ออฟฟิศเมท พลัส ประกาศรับผู้ประกอบการท้องถิ่นทั่วไทย ร่วมลงทุนแฟรสไชส์ การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน งบลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัลรีเทล ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้ออุปกรณ์สำนักงานเพื่อธุรกิจ เดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มในไตรมาสแรก 2564 อีก 3 สาขา และวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่องตลอดปี สำหรับสาขาที่เปิดเพิ่มในไตรมาสแรกนี้ ได้แก่ ออฟฟิศเมท พลัส สาขาเลย (แยกบิ๊กโฮม), สาขาศรีสะเกษ (คิงส์วัสดุ) และ สาขานครสวรรค์ (เยื้องซอยสวรรค์วิถี 18) ทำให้ปัจจุบันมีร้านแฟรนไชส์ออฟฟิศเมท พลัส รวม 11 สาขา หากรวมสาขาของออฟฟิศเมททั้งหมด จะเป็น 86 สาขาทั่วไทย

พร้อมกันนี้ ออฟฟิศเมท พลัส ยังได้ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มาเป็นเจ้าของร้านแฟรนไชส์เพื่อต่อยอดธุรกิจและฐานลูกค้า B2B ด้วยโมเดลการขายเชิงรุกแบบ ออมนิแชแนลแฟรนไชส์ #การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน* ซึ่งเป็นตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถเปิดร้าน พร้อมระบบการขายและการบริหารสต๊อค และสามารถจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์โรงงาน และสินค้าเพื่อธุรกิจครบครันมากกว่า 60,000 รายการได้เท่าเทียมกับ ร้านออฟฟิศเมท ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ ออฟฟิศเมท พลัส ที่มีทำเลเปิดร้านได้ ในพื้นที่หัวเมืองหลักและรองที่มีศักยภาพสูงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติเป็นแฟรนไชส์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น จังหวัดชลบุรี สมุทรสาคร อยุธยา ระยอง ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต สระบุรี ปราจีนบุรี ราชบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช และอุดรธานี เป็นต้น

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางบริษัทจะเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ฉบับใหม่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง โดยใช้ข้อมูลใหม่ล่าสุด

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ทางการสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์แอสตร้าเซนเนก้าต่อการที่บริษัทใช้ข้อมูลเก่าในการเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้า เปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 โดยระบุว่า จากการทดสอบวัคซีนในสหรัฐซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก พบว่าวัคซีนที่แอสตร้าเซนเนก้าพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 79% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และมากถึง 100% ในการป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงหรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แต่อย่างไรก็ตาม สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ (NIAID) แถลงในวันเดียวกันว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19

“คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัย (DSMB) ได้แสดงความกังวลว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจรวมเอาข้อมูลเก่าจากการทดลอง ซึ่งอาจเป็นการให้ข้อมูลด้านประสิทธิภาพที่ไม่สมบูรณ์ เราขอให้แอสตร้าเซนเนก้าร่วมมือกับ DSMB ในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพวัคซีน และสร้างความมั่นใจว่าจะมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลปัจจุบันเพื่อให้สาธารณชนได้ทราบโดยเร็ว” NIAID ระบุ

ทางด้านแอสตร้าเซนเนก้า ชี้แจงว่า ข้อมูลที่มีการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ได้อ้างอิงจากข้อมูลเบื้องต้นที่มีการวิเคราะห์จนถึงวันที่ 17 ก.พ. และทางบริษัทจะร่วมมือกับ DSMB ในการแบ่งปันผลการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลประสิทธิภาพที่มีการปรับปรุงล่าสุด


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/73031

หลังจากที่เราสังเกตการรัฐประหารตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้นั้น ฉันว่าการต่อสู้ในเมียนมามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่และทำให้เหตุการณ์ไม่สงบยืดเยื้อ ซึ่งนั่นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Fake News ที่มากมายในเมียนมา

ขณะนี้ หลาย ๆ ข่าวหลายเรื่องราวที่ปรากฎออกมาบนเฟซบุ๊กก็ดี หรือข่าวออกสื่อหลักในไทยหรือพม่าก็ดี บางข่าวเป็นข่าวที่พูดออกมาจากคนโดยปราศจากหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งฉันขอเรียกสิ่งที่นำเสนอออกมาว่ามันคือ Fake News ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า โฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda นั่นเอง

ในเมียนมานับจากที่ทางทหารทำการรัฐประหารสิ่งที่ฉันเห็นมา คือ ข่าวทั้งจากฝั่งไทยก็ดี ฝั่งพม่าก็ดี ฝั่งชนกลุ่มน้อยก็ดี หลายข่าวหากไม่สืบหาข้อมูลดี ๆ ย่อมคล้อยตามได้ง่าย

แรก ๆ โฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาเป็นการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อต้าน พอได้จำนวนคนมาก็เริ่มดำเนินการหรือจะเรียกได้ว่า ม็อบสูตรประเทศไทย คือ การพยายามสร้างภาพว่าม็อบที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางอองซานซูจีนั้นเป็นสิ่งสวยงาม

ตามต่อมาด้วยภาพที่ทำให้เราต้องคิดว่า เฮ้ย…ผู้กำกับเดียวกันนี่หว่า…

แต่หลังจากทางกองทัพไม่ได้ให้ราคากับคนพวกนี้ ก็มีกลุ่มที่พยายามจะบิดเบือนด้วยประกาศปลอม แต่สุดท้ายก็มีคนจับโป๊ะได้ว่าประกาศนั้นเป็นประกาศปลอม

หลังจากที่มีคนชุมนุมมากพอจนทำให้ฝ่ายตำรวจต้องจับอาวุธมาสลายผู้ชุมนุม จนทำให้มะแจซินถึงแก่ความตาย แต่ความตายของมะแจซินเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไม่ว่าจะเป็นรูปที่โพสต์ไว้มากมายก่อนตายทั้งภาพและคลิปในเหตุการณ์ที่มะแจซินเป็นทั้งผู้บริจาคให้ผู้ชุมนุมและมะแจซินเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดี

หลายคนที่พยายามมองทั้งสองด้านคงมองแบบผมว่า มะแจซิน คือ ศพที่ถูกสั่งให้ตายด้วยมือที่สาม เพราะเห็นได้ว่าหลังจากการตายของมะแจซิน มีฝ่ายหนึ่งการนำการตายของมะแจซินออกมาโหนอย่างชัดเจน จนฝั่งทหารพม่าต้องเข้ามาตรวจสอบหัวกระสุนที่ยิงใส่มะแจซิน

แม้ทางฝ่ายทหารจะแถลงมาว่ากระสุนสังหารของมะแจซินไม่ใช่กระสุนสไนเปอร์เพราะลักษณะของแผลเป็นกระสุน .22 แต่อย่างไรก็ดีก็อย่างที่ทราบกันในประเทศที่ไม่มีมุมมองเป็นกลาง ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าการตายของมะแจซินเกิดจากมือที่สาม

ต่อมาแม้จะมีเฟคนิวส์มากมาย แต่ทางทหารก็ไม่ได้ตอบโต้อันใดทางโซเชียล แม้บางเฟคนิวส์ที่ฉันทราบจะทำให้ฉันขำจนถึงขั้นตกเก้าอี้อย่างเช่น การที่ทหารนำศพผู้เสียชีวิตที่ถูกสังหารไปผ่าพิสูจน์แล้วมีคนบอกว่าทหารนำเครื่องในคนตายไปขาย คือ เอิ่ม…เครื่องในคนนะ เอาไปต่อชีวิตนะ ไม่ใช่เอาไปต้มตือฮวน มันมีเวลาในการเก็บอวัยวะ ไม่ใช่ตายกันมาครึ่งวันหรือรอข้ามวันแล้วมาเอาเครื่องในตอนผ่าพิสูจน์

และล่าสุดที่ฉันทราบข่าวคือ การจับตัวหลวงพ่อ บะมอสะยาดอว์ก็ดี หรือ การที่ทหารไปลอกทองชเวดากองก็ดี คือเฮ้ย...พวกคุณรู้ไหม 'มิน อ่อง ลาย' เขาทำบุญเยอะมากนะ ถ้ามีใครตามข่าว 'มิน อ่อง ลาย' ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร เหมือนรู้ว่าตัวเองทำบาป เลยพยายามทำบุญเยอะมากเพื่อลบล้างบาป

สุดท้ายที่ฉันเจอคือข่าวหญิงสาวตกตึกตายก็ดี หรือ ข่าวตำรวจแบกกล้วยก็ดี ก็มีการตีข่าวว่า ตำรวจผลักคนตกตึก ตำรวจ ทหาร ปล้นกล้วยเพราะไม่มีอะไรจะกิน นี่คือเฮ้ยแค่รูปเดียวรู้ดีกันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันว่าภาพๆเดียวมันสื่ออะไรไม่ได้มั้ง

สุดท้ายเราแค่อยากจะสื่อว่าในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน การเสพข่าวอะไรก็ตามไม่ควรจะอินตามกระแส แต่ควรหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือหักล้างว่าสิ่งที่เราได้ทราบมานั้นจริงหรือไม่จริง เหมือนกับการมองภาพๆ หนึ่ง สื่อบางรายอาจจะเลือกมุมที่จะนำเสนอ แต่หากคุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล คุณควรจะมองภาพทั้งภาพไม่ใช่ภาพในมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น


ที่มา: AYA IRRAWADEE


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top