Friday, 4 July 2025
NEWS FEED

ฤาถึงคราวที่จีนจะหนุน CRPH?

ข่าวดังรับสงกรานต์ของวันที่ 12 เมษายน คงหนีไม่พ้นเรื่องที่จีนยกหูติดต่อรัฐบาล CRPH เพื่อตกลงเจรจาผลประโยชน์ของจีนในเมียนมา  แต่ก่อนจะมาถึงข่าวนี้หลายคนคงได้ทราบแล้วว่า รัฐบาลเงา CRPH นั้นจะเรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงและการปล่อยข่าวต่างๆออกมา  ซึ่งหนึ่งในข่าวเหล่านั้นคือข่าวที่ว่าจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพเมียนมา

และเรื่องราวก็ลุกลามใหญ่โตจนไปถึงเรื่องของการเผาโรงงานและธุรกิจของชาวจีนในเมียนมาหลายแห่งรวมถึงธุรกิจตามนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่สิ่งที่ทางจีนห่วงที่สุดก็น่าจะเป็นท่อก๊าซในเมียนมาที่ต่อตรงจากเมืองเจาท์ผิ่วไปยังชายแดนจีน  โดยมีระยะทางยาวมากกว่า 2,500 กิโลเมตร ซึ่งลงทุนโดย บริษัทปิโตรเลียมแห่งชาติจีน (China National Petroleum Corp : CNPC) และนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทางจีนมองว่าได้ไม่คุ้มเสียหากไม่หาทางป้องกัน  

เพราะจีนน่าจะรู้ดีที่สุดว่างานนี้ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังและการที่จีนยกหูถึงรัฐบาล CRPH ครั้งนี้ก็อาจจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเลือกหนทางแบบพ่อค้าดีกว่าหนทางแบบมาเฟียคือดีลกับทุกค่าย  ใครแพ้ ใครชนะ  จีนก็ไม่มีวันแพ้   แต่ถ้างานนี้รัฐบาล CRPH ยอมซูเอี๋ยกับทางรัฐบาลจีน อาจจะถึงคราวกลืนน้ำลายตัวเอง  และนี่อาจจะเป็นจุดที่ทาง CRPH ต้องเลือกก็เป็นได้  เพราะทุกวันนี้แม้ชาติตะวันตกจะให้การรับรู้ว่ามีรัฐบาลพลัดถิ่นของ CRPH แต่ก็ไม่มีประเทศไหนได้ให้การรับรองรัฐบาล CRPH แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ตาม  นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเมียนมาในยามวิกฤตและถ้าหากรัฐบาลจีนยอมรับรองรัฐบาลพลัดถิ่น CRPH แล้วละก็ งานนี้กลุ่มผู้ประท้วงผู้รักประชาธิปไตยคงได้หันตัวแบบ 365 องศากันเลยทีเดียว หรือไม่ก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับก็เป็นได้ เพราะจากคนที่เคยเกลียดจีนเข้าไส้  ต้องหันมาจูบปากกันอย่างดูดดื่มซึ่งเชื่อได้ว่าถ้าออกรูปนี้จริงเอย่าว่าดูไม่จืดแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตามถามว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแผนดึงเมียนมากลับมาเป็นมหามิตรของจีนอีกครั้งได้หรือไม่ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าเป็นไปได้   งานนี้คงต้องขึ้นกับรัฐบาล CRPH แล้วละว่าหากมีการต่อสายตรงถึงกันจริงจะยังชังกันอยู่หรือยอมกลืนน้ำลายตัวเองเสียเครดิตกับมวลชนนิดหน่อยแต่ได้ประเทศใหญ่และมีศักยภาพอย่างจีนมาเป็นมิตรเช่นเดิม   สุดท้ายรัฐบาล CRPH อาจจะต้องประเมินว่าหากกลับไปจูบปากกับจีนคนเมียนมาปัจจุบันที่เป็นมวลชนของ CRPH จะรับได้ไหมหรือรัฐบาล CRPH จะแก้ลำอย่างไร แล้วคนเมียนมาจะเชื่อไหม  หรือสุดท้ายคนเมียนมาจะตื่นรู้ว่าสุดท้ายพวกเขาก็คือเบี้ยของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่เมื่อสมยอมตกลงกันได้  อะไรที่ผ่านมาก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

ที่มา: AYA IRRAWADEE

คนแห่ใช้มอเตอร์เวย์โคราชสายใหม่!!รถใช้บริการแล้วเกือบ 9 หมื่นคัน

กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์การเดินทางบนทางหลวงสายหลักในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า ตั้งแต่วันที่ 9-12 เมษายน 2564 รวม 4 วัน บริเวณมอเตอร์เวย์สายใหม่ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว ระยะทาง 35.75 กม. ซึ่งเปิดให้วิ่งชั่วคราว โดยให้บริการเดินทางทางแบบวันเวย์ในขาออกจากกรุงเทพฯ พบว่า มีปริมาณรถมาใช้บริการสะสมถึง 89,877 คัน โดยเฉพาะวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา มีปริมาณรถวิ่งมากถึง 19,685 คัน

ส่วนในวันที่ 13 เมษายนนี้  เมื่อเวลา 08.50 น.  สำนักอำนวยความปลอดภัย ได้รายงานข้อมูลปริมาณจราจรเข้าออกกรุงเทพฯ ของวันที่ 12 เม.ย. บนทางหลวงสายหลัก 10 สาย และทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) สาย M7 รวมทั้งหมด 884,475 คัน แบ่งเป็นปริมาณจราจรขาออก 505,697 คัน และปริมาณจราจรขาเข้า 378,778 คัน ลดลง 16.1% เทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ขาออก 505,697 คัน ลดลง 16.4%

จากประท้วงเงียบ สู่ สงกรานต์เงียบ

การประท้วงในเมียนมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการเคลื่อนไหวที่เรียกว่าอารยะขัดขืนจนมาถึงการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่จนวันหนึ่งมีการผุดไอเดียประท้วงเงียบ 1 วันโดยใครที่ไม่เอากับกองทัพให้ทำการ CDM หรืออารยะขัดขืนโดยการปิดห้างร้านไม่ออกไปทำงาน ไม่ขายของ  แต่นั่นคือ 1 วันแต่ล่าสุดมีการประชาสัมพันธ์มาอีกแล้วว่าให้ประท้วงเงียบในช่วงสงกรานต์ (Thingyan Silent Strike) โดยอ้างว่าเป็นการไว้อาลัยแก่คนที่เสียชีวิตไปในการประท้วงไปจนถึงบางคนบอกว่าหากใครเล่นน้ำจะเป็นพวกสนับสนุนเผด็จการ……เอาอย่างนี้กันเลยเหรอ

เทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลตะจ่านในเมียนมาเป็นวันหยุดยาวและมีความหมายของคนเมียนมามาก    แต่ไม่ใช่เพราะการเล่นน้ำแต่เป็นการกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวและมีกิจกรรมทางศาสนา  หลายครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันในการเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ หรือเข้าวัดทำบุญหรือไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน  การเล่นน้ำนั้นถือเป็นหนึ่งกิจกรรมในครอบครัวและเป็นหนึ่งกิจกรรมของเพื่อนที่เล่นสนุกกัน  แม้วันที่เขียนนี้วันที่ 12 เมษายนในเมียนมาตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีการตั้งเวทีให้เล่นน้ำแต่ปีนี้ก็ยังไม่เห็นมีการตั้งเวทีกิจกรรมแต่อย่างใด

เอาเป็นว่าแม้จะมีกระแสข่าวที่บอกว่ากองทัพจะไม่มีการใช้อาวุธตราบใดที่ไม่มีการประท้วงแต่กองทัพก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้มีเวทีเล่นน้ำเหมือนที่เคยเป็นในช่วงก่อนโควิดเช่นกัน  ดังนั้นการประท้วงสงกรานต์เงียบครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากช่วงสงกรานต์โควิดเมื่อปีที่แล้วที่ทำให้เมืองใหญ่ ๆ ในเมียนมาเสมือนเมืองร้างไร้ผู้คน 

คำถามคือไม่ใช่คนทุกคนที่เอาด้วยกับการประท้วงแม้จะไม่เห็นด้วยกับกองทัพก็ตาม  แต่การที่จะเล่นน้ำสงกรานต์ในปีนี้  ในภาวะการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรที่จะเอาตัวเองหรือครอบครัวเข้ามาเสี่ยงเพราะในเมียนมาการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ก็ยังไม่ได้ครอบคลุมและคนส่วนใหญ่ในเมียนมาก็เลือกแล้วที่จะไม่ฉีดวัคซีน  ดังนั้นไม่มีทางใดที่จะป้องกันอันตรายทั้งจากทหารและโควิด-19 ได้ดีกเท่ากับการอยู่บ้านซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายกองทัพก็ต้องการแบบนั้นเช่นกัน  เพราะไม่เช่นนั้นกองทัพคงให้ในแต่ละเขตทำการสร้างเวทีสำหรับเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว

ที่มา: AYA IRRAWADEE

 

การบินไทย ตั้ง “ศูนย์ TG ร่วมใจ ป้องกันภัยโควิด” เฝ้าระวังสุขภาพพนักงาน

วันนี้ (12 เมษายน พ.ศ.2564) รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในขณะนี้ บริษัท การบินไทยฯ มีความห่วงใยความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของพนักงานและผู้ใช้บริการ จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ TG ร่วมใจ ป้องกันภัยโควิด” มีภารกิจหลักในการติดตามและเฝ้าระวัง โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังสุขอนามัยของพนักงานให้เป็นไปอย่างเคร่งครัด 

เช่น อาทิ สวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งมาตรการทำความสะอาด โดยพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อภายในสถานประกอบการของการบินไทย เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันโรคระบาดดังกล่าว โดยคำนึงถึงการให้บริการและความปลอดภัยสูงสุด 

นอกจากนี้ บริษัทฯในฐานะสมาชิกคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน ประเทศไทย (Airline Operators Committee Thailand หรือ AOC) ได้ประสานกับคณะกรรมการ AOC ผ่านไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด ให้แก่พนักงานภายใต้สังกัดฝ่ายบริการลูกค้าภาคพื้น ฝ่ายบริการอุปกรณ์ภาคพื้น ฝ่ายครัวการบิน ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ และฝ่ายช่าง ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งสิ้นประมาณ 4,500 คน ซึ่งต้องทำการฉีด 2 ครั้ง 

โดยจะเริ่มทยอยฉีดเข็มแรกระหว่างวันที่ 19 - 25 เมษายน 2564 และจะนัดฉีดเข็มที่ 2 หลังจากฉีดเข็มแรกเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ การบินไทยยังได้จัดทีมพนักงานจิตอาสาเพื่อไปประจำตามจุดคัดกรองของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องโรคโควิด-19 ให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นระยะเวลา 2 เดือน 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะให้ผู้ปฏิบัติงานดูแลตนเองและสถานประกอบการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการและสังคมโดยรวม และผ่านพ้นช่วงวิกฤตการณ์นี้ไปได้ด้วยดี

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิตอกชัดขึ้น

ปัจจุบันการฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก และพอฝึกมาก็มีอายุงานไม่เกิน 10 ปีก็ต้องเกษียณ แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ทำให้วิทยาการหุ่นยนต์ที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ ก็เริ่มผลิดอกชัดขึ้น

เฟซบุ๊ก ‘ธุรกิจ4.0’ ได้นำเสนอถึงเรื่องราวของเทคโนโลยีที่จะมาแทนที่สุนัขนำทางคนตาบอดว่า…

สุนัขนำทางคนตาบอดแต่ละตัว กว่าจะฝึกฝนให้มันทำงานได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 18 เดือน ต้องฝึกให้มันดูแลคนตาบอดสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง ไม่ขับถ่ายเรี่ยราด ไม่สร้างความเสียหายให้กับสถานที่ ฯลฯ

โดยปกติแล้ว สุนัขนำทางแต่ละตัวทำงานกับเจ้าของที่เป็นคนตาบอดเพียงคนเดียว จำกัดอายุในการทำงานประมาณ 7 - 10 ปี ก็จะเกษียณ และต้องหาตัวใหม่เข้ามาทำงานแทน

การฝึกฝนให้สุนัขกลายเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด เป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ผู้ฝึกสอนต้องมีความอดทน มีขบวนการฝึกสอนซับซ้อน ทักษะของสุนัขตัวหนึ่งที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว ไม่สามารถถ่ายทอดให้สุนัขอีกตัว

แต่ความก้าวหน้าล่าสุดในด้านวิทยาการหุ่นยนต์ ซึ่งได้พัฒนาเป็น ‘หุ่นยนต์อัตโนมัติ’ (Autonomous robots) นั้น ดูเหมือนจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขาดแคลนสุนัขนำทางคนตาบอดให้เข้ามารับหน้าที่รับผิดชอบนี้มากขึ้น

โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จาก ‘มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์’ ได้พัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติ 4 ขาเหมือนสุนัขขึ้นมา ภายใต้จุดประสงค์หลักเพื่อใช้แทนสุนัขนำทาง ซึ่งสามารถนำทางและหลีกหนีสิ่งกีดขวางต่างๆ เวลาเดินได้แล้ว

สำหรับแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์สุนัช 4 ขา ใช้ Mini Cheetah จาก MIT มีเลเซอร์ในตัวเพื่อสร้างแผนที่สภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง ส่วนกล้องของหุ่นยนต์ทำหน้าที่แทนตาของคนตาบอด

ทั้งนี้หากเป็นสุนัขนำทางตัวเป็น ๆ ต้องใช้เวลาฝึกฝนประมาณหนึ่งปีครึ่ง แต่เจ้าหุ่นยนต์สุนัขนำทางอัตโนมัตินี้ ใช้วิธีการดาวน์โหลดข้อมูลลงในเครื่องโดยอัตโนมัติ และสามารถอัปเดตได้ตลอดเวลา หมายถึงการถ่ายทอดประสบการณ์ทุกอย่างจากสุนัขหุ่นยนต์ทุกตัวได้

ทางทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้พัฒนาโครงการได้ เผยด้วยว่า ต่อไปจะมีการซิงค์คอมพิวเตอร์หรือปฏิทินที่อยู่ในสมาร์ทโฟนให้กับสุนัขหุ่นยนต์ พร้อมติด GPS เพื่อช่วยนำทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้เองด้วย

อย่างไรก็ตามฮาร์ดแวร์หรือตัวสุนัขหุ่นยนต์ยังมีราคาค่อนข้างสูง แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีราคาลดต่ำลง และทำให้คนตาบอดจำนวนมากสามารถหาซื้อมาใช้งานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ง่ายขึ้น

คลิปสาธิตการทำงานของสุนัขหุ่นยนต์อัตโนมัติ >> https://www.youtube.com/watch?v=FySXRzmji8Y


ที่มา: https://www.facebook.com/698124263678932/posts/1915426945281985/

https://techxplore.com/news/2021-04-laser-equipped-robotic-dog-people.html

https://www.republicworld.com/technology-news/science/robotic-guide-dogs-could-help-visually-impaired-people-navigate-the-world-heres-how.html

สั่งพาณิชย์ตรวจตลาดกันคนโกงขายของแพงช่วงสงกรานต์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มงวดมากเป็นพิเศษ แม้จะเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ยังมีการเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตลอดจนให้ช่วยตรวจสอบดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสใช้โครงการของรัฐหาประโยชน์หรือมาเอาเปรียบจนได้รับความเดือดร้อน 

ขณะเดียวกันยังขอให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตามสถานีขนส่ง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้  หรือหากประชาชน พบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถร้องเรียนได้ 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง 

โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธ การจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“บิ๊กบี้” ตรวจความพร้อม รพ. สนาม 12 พื้นที่ รวม 2,220 พร้อมรับการแพร่ระบาดโควิด-19 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ดำเนินการเตรียมโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ และมีความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณเตียงในสถานพยาบาลไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ในการนี้ กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมความพร้อม โดยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทั่วประเทศ สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้กองทัพบกได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามระยะที่ 1 ใน 12 พื้นที่ รวม 2,220 เตียง โดยพิจารณาจัดตั้งในพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ห่างไกลจากแหล่งชุมชน อาทิ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. จำนวน 200 นาย,กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี 50 เตียง, ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี 300 เตียง, กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี 740 เตียง และกองพันทหารเสนารักษ์ในทุกกองทัพภาค อีก 930 เตียง

ซึ่งเป็นการนำศักยภาพของกองทัพ ทั้งด้านบุคลากร ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เตียงสนาม พร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้ง ในการจัดการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่ง ก็ได้สนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่ บริการคัดกรอง ดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้อง COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อไปในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทางหนึ่งด้วย

ซึ่งในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมการเตรียมการโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 สนับสนุนรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการดูแลและสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ กรมพลาธิการทหารบก, กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1

“กองทัพบกยืนยันความพร้อม และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งได้เตรียมการวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบการระบาดในประเทศ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อสามารถรับมือต่อสถานการณ์ บริหารจัดการได้อย่างทันท่วงที และเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว


 

“ผบ.ทร.” มอบนโยบาย ประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม (VTC) ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ห้องประชุม กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน อำเภอเมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี

ในการประชุมกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่ โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล/สถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม  เพิ่มเติมเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ดังนี้ 

1.) ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลหลัก สามารถให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหอผู้ป่วยวิกฤต ห้องแรงดันลบ หอผู้ป่วยรวม และห้องแยก รวมแล้ว 54 เตียง มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษา ตั้งแต่อาการเล็กน้อย จนถึงขั้นวิกฤติ

2.) ตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรค ได้แก่ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ และ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ มีหอผู้ป่วยรวม จำนวน 90 เตียง มีขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยเน้นในการดูแลในส่วนของกำลังพลกองทัพเรือเป็นหลัก

3.) ให้จัดตั้งคลินิก โรคระบบทางเดินหายใจ ในพื้นที่ หน่วยแพทย์ปฐมภูมิ ที่มีนายแพทย์ปฏิบัติงาน

4.) จัดตั้งพื้นที่ เฝ้าระวัง ควบคุมโรค สำหรับกำลังพลกองทัพเรือ ประกอบด้วย
- พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล / ใช้พื้นที่ สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- พื้นที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี / ใช้พื้นที่ อาคารรับรองของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
- พื้นที่จังหวัดจันทบุรี และตราด / ใช้พื้นที่ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน
- พื้นที่จังหวัดสงขลา / ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือสงขลา
- พื้นที่จังหวัดนราธิวาส / ใช้พื้นที่ ค่ายจุฬาภรณ์
- พื้นที่จังหวัดพังงา และภูเก็ต ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือพังงา

5.) จัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ประกอบด้วย
- ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
- ที่ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
- ที่สนามฝึกกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี
และยังให้จัดตั้งคลินิกให้บริการวัคซีน โควิด ให้กับกำลังพล และประชาชนทั่วไป มีการจัดทีมสอบสวนโรค เมื่อพบผู้ป่วยต้องสงสัยในพื้นที่ที่กองทัพเรือรับผิดขอบ และให้มีการจัดทีมคัดกรอง และตรวจ เมื่อได้รับการประสานให้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมกับหน่วยงานภายนอก

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำให้ข้าราชการกองทัพเรือ เพิ่มความระมัดระวังทั้งแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดตามที่รัฐบาลกำหนด และมาตรการเพิ่มเติม 18 ข้อ ตามที่ผู้บัญชาการทหารเรือเคยได้ให้ไว้แล้ว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่

ข่าวด่วนจากสำนักพระราชวังบักกิ้งแฮม ได้ประกาศข่าวเศร้าว่า เจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีแห่งสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบด้วยสิริอายุ 99 พรรษา

#เจ้าชายฟิลิป_พระสวามีสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่_2

#สิ้นพระชนม์

ทางการอังกฤษจะเริ่มพิธีไว้อาลัย ลดธงครึ่งเสาในสถานที่ราชการทุกแห่งตั้งแต่วันนี้

เจ้าชายฟิลิป ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระธิดาองค์โตของพระเจ้าจอร์จ ที่ 6 ในปี 1947 ก่อนที่จะเถลิงราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1952

ทั้ง 2 พระองค์มีพระโอรส และพระธิดาร่วมกัน 4 พระองค์ ได้แก่...

...เจ้าฟ้าชายชาร์ล เจ้าชายแห่งเวลส์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งมกุฏราชกุมาร ทายาทลำดับ 1 แห่งราชวงศ์อังกฤษ

...เจ้าหญิงแอน

...เจ้าขายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ค

...เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเส็ก

และร่วมพระราชกรณียกิจในราชสำนักอย่างยาวนาน จนกระทั่งต้องขอหยุดภารกิจในเดือนพฤษภาคม 2017 เนื่องด้วยปัญหาด้านพระพลานามัยและใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับในวัง Sandringham ในเมือง Norfolk

ครั้งสุดท้ายที่ชาวอังกฤษได้เห็น เจ้าชายฟิลิปในสื่ออังกฤษ คือช่วงที่ เจ้าชายฟิลิปเสด็จประทับที่โรงพยาบาล King Edward VII ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020 นานถึง 1 เดือน และมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าชายชาล์ส เสด็จเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์

แต่หลังจากที่เสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็มีข่าวการสิ้นพระชนม์ในวันนี้

เจ้าชายฟิลิป ถือเป็นสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษที่มีบุคลิกเฉพาะตัว เป็นนักกีฬาตัวยง มีอารมณ์ขันอยู่เสมอ

ริชาร์ด ชาร์เตอร์ส บิชอปแห่งลอนดอน ได้เคยกล่าวถึงเจ้าชายฟิลิปว่า หากมีใครสักคนที่มีโอกาสได้อภิเษกสมรสกับพระราชินีแห่งอังกฤษ หลายคนมักคิดว่าเขาคนนั้นคงมีบุคลิกอันน่าเบื่อ เต็มไปด้วยแบบแผน แต่ท่านดยุคแห่งเอดินบะระ ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านมีความสามารถหลายอย่างน่าทึ่ง ที่ไม่เคยทำให้ใครเบื่อ


อ้างอิง:

https://www.bbc.com/news/uk-11437314

https://www.theguardian.com/uk-news/2021/apr/09/prince-philip-duke-of-edinburgh-dies?CMP=fb_gu&utm_medium=Social&utm_source=Facebook#Echobox=1617966382

ข่าวดีในวงการแพทย์วันนี้ ทีมแพทย์ญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนถ่ายปอด จากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 เรื้อรังจนปอดเสียถาวรได้แล้ว ซึ่งนับเป็นเคสการผ่าตัดเปลี่ยนปอดจากคนเป็นสู่คนเป็นได้เป็นรายแรกของโลก

ผู้ป่วยโควิด-19 รายนี้เป็นแม่บ้านชาวคันไซ ติดเชื้อ โควิด-19 ในช่วงปลายปี 2020 และเชื้อไวรัสได้เข้าไปทำลายปอดของเธอจนปอดไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ จำเป็นต้องใช้ปอดเทียมภายนอกเพื่อพยุงชีวิตไว้เท่านั้น

ทีมแพทย์จากมหาวิทยาเกียวโต นำโดย ด็อกเตอร์ ดาเตะ ฮิโรชิ ต้องหาผู้บริจาคอวัยวะให้กับแม่บ้านหญิงท่านนี้เป็นการด่วน ที่โดยทั่วไปมักเป็นผู้บริจาคที่สมองถูกทำลาย แต่อวัยวะอื่น ๆ ยังคงทำงานอยู่ แต่ทั้งนี้ก็เป็นเคสที่หายากมาก ๆ ในญี่ปุ่น และไม่รู้ว่าจะพบผู้บริจาคเช่นนี้ได้เมื่อไร

ดังนั้น สามี และลูกชาย ของคุณแม่บ้าน จึงตัดสินใจบริจาคเนื้อเยื่อปอดบางส่วนให้ หากมันจะสามารถนำไปใช้กับภรรยาของเขาได้ หลังจากนั้นทางทีมแพทย์ของด็อกเตอร์ ดาเตะ จึงได้ตัดสินใจทดลองรักษา

และน่าทึ่งอย่างมาก เพราะปรากฏว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ ทั้งสามี และ ลูกชาย สามารถบริจาคเนื้อเยื่อปอดบางส่วนได้ และปลอดภัย ส่วนแม่บ้านชาวคันไซยังคงต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลต่ออีกราว ๆ 2 เดือน โดยสภาพร่างกายถือว่าน่าพอใจ

เหตุการณ์นี้ นับเป็นการเปลี่ยนถ่ายปอด โดยผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตสมบูรณ์เป็นรายแรกของโลก หลังจากก่อนหน้านี้ที่สหรัฐอเมริกาเคยมีกรณีจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนปอดให้กับผู้ป่วยโควิด-19 เช่นเดียวกัน และได้ใช้กลยุทธที่เรียกว่า ‘Covid to Covid’ โดยใช้ปอดของผู้ที่เคยป่วยเป็น โควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นมาเปลี่ยนให้กับผู้ป่วย โควิด-19 อีกต่อหนึ่งได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นผู้บริจาคอวัยวะที่ถือว่าเสียชีวิตแล้ว

ดังนั้นความก้าวหน้าของทีมแพทย์ญี่ปุ่นในครั้งนี้ จึงกลายเป็นความหวังของผู้ป่วยโควิด-19 เรื้อรัง จนปอดได้รับความเสียหายอีกเป็นจำนวนมากทั่วโลก ที่ยังมีโอกาสหาผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต และยินดีบริจาคบางส่วนของอวัยวะอันมีค่าให้กับคนในครอบครัว ให้สามารถใช้ชีวิตได้ร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/04/09/asia/japan-lung-transplant-covid-intl-hnk/index.html

https://www.bbc.com/news/world-asia-56684073


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top