Thursday, 3 July 2025
NEWS FEED

ร่วมโลกกันไม่ได้!! คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำไม่เลิก หลังกลุ่มคนเถื่อนมะกันทำร้ายแมวคนไทยตาย ซ้ำกระทืบเจ้าของ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจนิ่งเฉย สังเวย ‘แอนตี้เอเชีย’ อย่างเจ็บปวด

เรื่องของการเหยียดและรังเกียจคนเอเชียและคนไทยในสหรัฐอเมริกา ยังเป็นปมปัญหาใหญ่ที่เริ่มลุกลามต่อชีวิตคนหัวดำที่นั่นอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Nampeung Schaeffer ได้มีการอัปเดตอีกเหตุการณ์ที่คนไทยในสหรัฐฯ ถูกกระทำ จนชาวเน็ตต่างออกทรงแค้นแทนว่า…

อัพเดท : ขอขอบคุณรุ้งเจ้าของเรื่องและเจ้าทุกข์ที่อนุญาตให้นำเรื่องมาลงนะคะ สำหรับท่านใดที่อยากจะเห็นภาพเหตุการณ์ สามารถตามฮัชแท็กด้านล่างสุดของโพสต์ไปได้เลยนะคะ

กำลังตามข่าวเคสของคุณผู้หญิงคนหนึ่งในห้องกฎหมาย คือ น่าเศร้ามาก และน่าโกรธมาก เรื่องคือ คุณผู้หญิงคนไทยคนนี้ เขาพาน้องหมาชิบะ กับน้องแมวสองตัว และนกแก้วไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแถวบ้าน แถบ Brooklyn, NY อยู่ ๆ ก็มีเด็กอายุสิบกว่าขวบชาวผิวสีน้ำตาลที่มาจากแถบอเมริกาใต้มาวิ่งมาลากและกระชากสายจูงแมวเขาไป และโยนแมวขึ้นฟ้า แมวตกลงมาที่พื้น แล้วโดนเด็กเปรตลากไปอีกประมาณ 3-4 ก้าว

พอแมวตั้งตัวได้ตกใจวิ่งหนี และมาชักดิ้นชักงอและตาย ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของแมวเลยถามเด็กว่าทำอะไรลงไป (คิดว่าเขาคงจะตะคอกไม่ก็ใช้เสียงดังใส่เด็กด้วยละ นาทีนั้นนี่เนอะ เป็นเราก็คงสติหลุด) และจากนั้นเขาก็ไปบอกแม่ว่า "ลูกคุณมารังแกแมวฉัน" แต่คำตอบที่ได้จากแม่เด็ก คือ "ก็นี่ละเพราะแกพาแมวมาเดินเล่น อิบิช!”

จากนั้นคนในครอบครัว ก็พากันมารุมเถียงผู้หญิง (ไทย) คนนั้น และผู้ชายในกลุ่มอีกคนก็เดินมาตบนกที่ไหล่ของสามีเขา จนบินตกไปอยู่กลางถนน แล้วพวกนั้นก็หัวเราะใส่ทั้งครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายในครอบครัวนั้นก็ไปรังแกหมาเขา ดึงหางหมาเขาจนยกลอย คุณผู้หญิงเขาเลยสวนกลับ เถียงกันไปเถียงกันมา เลยกลายเป็นครอบครัวนั้นพากันรุมกระทืบผู้หญิงคนไทยคนนั้น ทั้งตบ ทั้งนั่งทับเขา แถมจะเอามือจกตาเขา เด็กเล็กก็มีโวยวายชูนิ้วกลางใส่ โวกเวกทั้งครอบครัว

ส่วนสามีของผู้หญิงคนไทยเจ้าของแมว ก็ได้เข้าไปห้ามคนพวกนั้นก็ถูกต่อยเข้าหน้าจนจมูกหัก เลือดสาด จนมีชายผิวสีที่เห็นเหตุการณ์สองคนเข้ามาช่วยห้าม พร้อมทั้งถามฝั่งนั้นว่าต้องรุมทำเขากันขนาดนี้เชียวหรือ แต่ครอบครัวพวกนั้นกลับบอกว่าโดนผู้หญิงเขาทำร้ายลูกพวกมันก่อน และขึ้นรถหนีออกไปจากเหตุการณ์ ชาวประชาแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้ว่ามันไม่จริง และยังมีคนที่จะไปเป็นพยานให้คุณเขาด้วย

แต่ที่พีค คือ พอไปแจ้งตำรวจ ว่าโดนทำร้ายร่างกาย แถมแมวก็โดนฆ่าตาย ตำรวจก็อิดออดบอกหลักฐานไม่พอ แถมขู่ต่าง ๆ นานา ว่าผู้หญิงคนไทยคนนั้นเป็นฝ่ายรังแกเด็กก่อนให้ยอมรับ และหาว่าเพราะเขาเอาแมวออกไปเดินเล่นเอง เป็นความผิดเขาเองอีกที่เอาสัตว์เลี้ยงตัวเองไปเดินเล่น! เผลอ ๆ ตัวเขาเองจะติดคุกถ้ายังตามเอาเรื่อง สองอาทิตย์กว่าแล้วคดีไม่ขยับ เปลี่ยนนักสืบไปสามคนก็ไม่ได้เรื่อง แต่พอมีสำนักข่าวติดต่อผู้หญิงเจ้าของแมวไป เพื่อขอข้อมูลจะเอามาทำข่าว ตำรวจกลับรีบบอกผู้เสียหายว่า อย่า! อย่าเพิ่งให้ข้อมูล ขอให้นักสืบเขาทำงานก่อน เรานี่ถึงกับอุทานในใจเบา ๆ ว่าเห้! สองอาทิตย์ที่ผ่านมามรุงทำอะไรกันอยู่ พอนักข่าวจะลงนี่เกิดให้ความสำคัญมาทันที

โอ้ย!! อ่านจบเมื่อคืนนี้จิตตกเลย นึกภาพใครมาทำหมาเราแบบนี้ ถึงแม้ว่าตามกฏหมายที่นี่จะกำหนดว่า สัตว์เลี้ยงมีค่าแค่เท่ากับทรัพย์สินก็เถอะ ใครก็ไม่รู้อยู่ ๆ พุ่งเข้ามาใส่ แค่มาดึงหางหมาเรา เรานี่คงตบมันให้หัวคลอนไปละ เอาเรื่องแน่ละยิ่งมารุมทำร้ายร่างกายด้วย

ไม่รู้เรื่องนี้จะจบยังไง แต่อยากให้เรื่องนี้ได้ออกข่าวที่นี่มาก ครอบครัวที่ทำกับผู้หญิงคนนี้นี่เข้าข่ายอันตรายต่อสังคมคนรอบข้างทีเดียว ครั้งนี้ทำได้ครั้งหน้ามันจะทำอีกไหม โดยเฉพาะเด็กเปรตนั่นวันนี้ฆ่าแมวได้หน้าตาเฉย วันหน้าโตขึ้นมาจะเป็นแบบไหน

ปล. น้องแมวที่เสียชีวิตเขามีเพจเขานะ เข้าไปแสดงความเสียใจ หรือไปดูภาพเก่า ๆ ความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแมวได้

Ponzucoolcat

IG : https://instagram.com/ponzucoolcat?igshid=8ifquaddc6x6

มีคลิปสารคดีสั้นที่เคยมาถ่ายทำเกี่ยวกับน้องแมวและนกแก้วเพื่อนรักด้วย https://youtu.be/JssUogfgirE

#justiceforponzu

 

ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10165258341600602&id=833860601


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

หากย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2014 เป็นช่วงปีแรก ๆ ที่ท่านประธาน สี จิ้นผิง เพิ่งก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำจีนได้ไม่นาน และได้ไปเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการ

การเยือนมองโกเลียคราวนั้น สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์กลางสภาผู้แทนมองโกเลีย ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาเยือนครั้งนั้น และมักมีการหยิบยกขึ้นมาอ้างอิง และตีความจนถึงปัจจุบัน ถึงนโยบายของจีนต่อประเทศเล็กๆ หลังเทือกเขาอย่างมองโกเลียว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นใด ในยุคของสี จิ้นผิง

ในคำพูดของสี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีน - มองโกเลีย ที่ยาวนานนับร้อย ๆ ปี และสำหรับจีนแล้ว มิตรประเทศเพื่อนบ้านอันมีค่ายิ่งกว่า "ทองคำ" ที่พร้อมจะจับมือร่วมกันด้วยความจริงใจ เพื่อบรรลุถึงสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาคนี้

นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังย้ำในเรื่องของการไว้ใจซึ่งกันและกัน และการเคารพในความต่าง ลดความขัดแย้ง และหาจุดสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ดินแดน ซึ่งจะเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่าง จีน-มองโกเลียไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะกลายเป็นชัยชนะร่วมกันของทั้งจีน และ มองโกเลียนับจากนี้

หลังจากวันนั้นผ่านมานาน 8 ปีที่มองโกเลียได้เปลี่ยนผ่านผู้นำประเทศไปแล้ว 1 คน แต่ท่านประธาน สี จิ้นผิง ยังดำรงตำแหน่งอยู่ และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเมื่อมาการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจีนมอบสิทธิ์ให้ผู้นำจีนสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีพ

นิตยสาร Time ได้สัมภาษณ์ นายซักเคีย แอลแบค ดอร์จ อดีตประธานาธิบดีมองโกเลียในสมัยที่สี จิ้นผิง มาเยือนมองโกเลียในฐานะผู้นำจีนเป็นครั้งแรก และได้พูดคุยอย่างสนิทสนมกันถึงเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมร่วมกันระหว่าง 2 ชาติ ที่นายซักเคีย เคยมองว่าน่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับการพัฒนาประเทศมองโกเลีย

แต่มาถึงวันนี้ นายซักเคีย แอลแบคดอร์จ กลับมองไม่เห็นท่าทีที่แสดงถึงความเป็นมิตร และเคารพในสิทธิ์ และความต่างของชนชาติมองโกเลีย อย่างที่สี จิ้นผิง ได้กล่าวในวันนั้น เมื่อจีนได้รุกคืบอย่างแข็งกร้าว เพื่อผสานกลืนวัฒนธรรมในดินแดนมองโกเลีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในเขตปกครองตนเองของจีน ด้วยการบังคับให้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษากลางในการเรียนการสอนในมองโกเลียในทุกแห่ง ลดชั่วโมงการเรียนภาษามองโกเลีย และสนับสนุนให้ครอบครัวชาวจีนฮั่น ส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียน 2 ภาษาในเขตมองโกเลียมากขึ้น

และเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 เป็นต้นมา ทางการจีนจะบังคับให้วิชาหลัก วรรณคดี ประวัติศาสตร์ สังคมและการปกครอง ต้องเรียนเป็นภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งนโยบายนี้ถูกใช้ในเขตปกครองตนเองในซินเจียง และ ธิเบต เพื่อให้ภาษาจีนเป็นส่วนหนึ่งในการส่งผ่านค่านิยม และการดำเนินชีวิตแบบจีนสู่ชนกลุ่มน้อย ซึ่งทางจีนมองว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดโอกาสทางการศึกษา และตลาดแรงงานอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อไม่มีเรื่องภาษามาเป็นอุปสรรค

แต่สำหรับชาวมองโกเลียมองว่า นี่คือการกลืนกินรากเหง้าด้านภาษา และวัฒนธรรมของชาวมองโกเลีย และหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีความเสี่ยงที่ภาษามองโกเลียจะสูญพันธุ์ไม่เกินรุ่นลูก รุ่นหลานของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ของชาวมองโกเลียใน ซึ่งผู้ปกครอง และนักเรียนเชื้อสายมองโกเลียกว่า 3 แสนคนประท้วงไม่ยอมไปลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรภาคบังคับใหม่ จนทางการจีนต้องออกหมายจับแกนนำผู้ประท้วง และกลุ่มผู้ปกครองในข้อหาละเมิดกฎหมาย ที่ขัดขวางเด็กไม่ให้เข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับของรัฐ จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนถึงวันนี้

และนอกจากเขตมองโกเลียใน ที่เป็นส่วนหนึ่งของจีน ยังมีคำสั่งตรงจากรัฐบาลจีนถึงสถานฑูตจีนประจำกรุงอูลานบาตอร์ ให้ย้ำการใช้นโยบายภาษาจีนในโรงเรียนมองโกเลีย เพื่อขัดขวางแนวความคิดเรื่องการแยกดินแดนในเขตมองโกเลียใน และการรวมตัวกันระหว่างชาวมองโกเลียฝ่ายเหนือและใต้

อดีตประธานาธิบดีมองโกเลีย จึงได้ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์นโยบายกลืนวัฒนธรรมของจีนอย่างเปิดเผยในวันนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าประเทศมองโกเลียไม่สามารถปิดกั้นอิทธิพลจากจีนได้

เนื่องจากภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมด้วยชาติมหาอำนาจใหญ่ถึง 2 ชาติ จีน และ รัสเซีย ที่ล้วนแต่มีอิทธิพลทั้งในด้านความมั่นคง และ การเมืองของมองโกเลีย ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้น จีนก็เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของมองโกเลีย ดูจากตัวเลขการส่งออกสินค้าจากมองโกเลียกว่า 90% ไปสู่ตลาดของจีนเพียงที่เดียวเท่านั้น

แม้ผู้นำปัจจุบันของมองโกเลียอย่าง นายคัลต์มา บัตทุลกา จะพยายามสานสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับจีนไปได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่รัฐบาลมองโกเลียก็ได้รับความช่วยเหลือ และวัคซีนบริจาคของจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่นับแผนการลงทุนร่วมกันในระยะยาวอีกหลายโครงการ

ดังนั้น มองโกเลียจึงอยู่ในสถานะที่ถูกบีบอยู่ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ที่แผ่อิทธิพลเข้าสู่ดินแดนนี้อย่างเข้มข้น แม้ว่าชาวมองโกเลียส่วนใหญ่จะยอมรับในคุณค่าของสังคมอุดมเสรีภาพ และประชาธิปไตยตามแบบแผนตะวันตก แต่ประเทศมองโกเลียในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะ "เลือกข้าง" และเปราะบางเกินกว่าที่จะเป็นสนามรบของสงครามตัวแทนระหว่างฟากเสรีนิยม และ สังคมนิยม ซึ่งสุดท้ายฝ่ายที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุด ก็คือชาวมองโกเลียด้วยกันเอง

การต่อสู้เพื่อรักษาสมดุลระหว่างขั้วอำนาจจากต่างประเทศ และปกป้องอัตลักษณ์ วัฒนธรรมของชาวมองโกเลียให้ได้ จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญผู้นำมองโกเลีย ที่ต้องหาจุดร่วม และจุดต่างที่ลงตัว ร่วมกับผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ผู้ซึ่งเมื่อตัดสินใจเดินหน้าสิ่งใด จะต้องทำให้สุดทาง

และเชื่อว่าท่านประธานสี จิ้นผิง ไม่ได้ลืมคำพูดของตนที่เคยพูดไว้กลางสภาในมองโกเลียเมื่อ 8 ปีก่อน เพียงแต่คำพูดนั้น อาจไม่ได้หมายถึงจีน แต่หมายถึงมองโกเลียต่างหากนั่นเอง

 

อ้างอิง:

https://time.com/5953518/mongolia-china-russia-problems/

https://thediplomat.com/2020/09/chinas-crackdown-on-mongolian-culture/

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-53981100


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า...

รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. (หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 แจ้งวัฒนะ) ขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ติดตั้งทั้งระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง [WIFI] และระบบสัญญาณมือถือ [ทั้ง 4G และ 5G] เพื่อระบบปฏิบัติการทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าเทเลเมดิซีน [Telemedicine] ให้แก่ รพ.สนาม ปตอ.1 อย่างทุ่มเทจนดึกดื่น ทำให้ รพ.สนาม ปตอ.1 สามารถรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ รพ.สนาม ปตอ.1 ได้ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่ได้รับทราบภารกิจจาก ศบค.และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อคืนนี้เป็นคืนแรก รถพยาบาล รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับตัวผู้ติดเชื้อที่ไม่สามารถเข้า รพ.สนาม จนถึงตี 4 กำลังพลทุกนายของ รพ.มงกุฎวัฒนะยังคงฮึกเหิมในสงครามต่อสู้โควิด-19 อย่างเต็มใจ พร้อมใจ เป็นปึกแผ่น...พูดง่าย ๆ แบบทหารว่า กำลังพลทุกนายมีจิตใจรุกรบครับ

คืนแรกของ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ. หรือ รพ.สนาม ปตอ.1 ขลุกขลักและเช้านี้ก็ยังขลุกขลักต่อตามที่ผมเรียนให้ทราบทั่วกันไปแล้ว แต่ทีมงาน รพ.มงกุฎวัฒนะ กำลังแก้ไขเพื่อให้ระบบงานราบรื่นที่สุดโดยเร็ว อย่างไรก็ตามเราต้องใช้เวลาในการแก้ไข ไม่สามารถดีดนิ้วแล้วเห็นผลทันตานะครับ

วันนี้ที่ 20 เม.ย. 64 รพ.สนาม ปตอ.1 จะรับผู้ติดเชื้อที่คงค้างมาหลายวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ไม่สามารถรับตัวเข้า รพ.สนามได้ ทั้งนี้หัวหน้าพยาบาลศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อ รพ.มงกุฎวัฒนะจะติดต่อไปยังผู้ติดเชื้อแต่ละรายให้เตรียมตัวและรอรถพยาบาลจาก รพ.มงกุฎวัฒนะไปรับ และจะเริ่มขยายผลปฏิบัติการรับการส่งต่อในฐานะหน่วยสมทบขึ้นตรงต่อกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขโดยเร็วที่สุด

จีงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอประทานอภัยในความไม่สะดวกทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นและขอกราบขอบพระคุณ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด ไว้ ณ ที่นี้

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และ รพ.สนามราชโยธิน ปตอ.

20 เม.ย.64 เวลา 10.01 น.

หมายเหตุ 1] ตามที่ผมประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.64 นี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะจัดตั้ง ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ขนาด 12 เตียง โดยไม่ใช้ร่วมกับ ไอ ซี ยู สำหรับผู้ป่วยทั่วไป (แยกอาคารสถานที่อย่างเด็ดขาด) แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่จึงดำเนินการได้เพียง 6 เตียงเท่านั้น ซึ่งเพียงพอกับการพึ่งตนเองของ รพ.มงกุฎวัฒนะและเครือข่าย รพ.สนามระดับ 1-2 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบ

หมายเหตุ 2] "ราชโยธิน ปตอ" แปลตรง ๆ ว่า "ทหารพระราชา ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน" โดยคำว่า ราช แปลว่า พระราชา , โยธิน แปลว่า ทหาร , ปตอ ย่อมาจาก ปืนใหญต่อสู้อากาศยาน...ผมตั้งชื่อ รพ.สนามราชโยธิน เพราะเป็นชื่อที่สง่างามสมเกียรติของกองทัพและทหารทุกนายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้กรุณาจัดตั้ง รพ.สนามขึ้นในค่ายทหารเพื่อพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/100000491468200/posts/6097362783623377/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผู้นำจีน ‘สีจิ้น ผิง’ ประกาศเป้าหมายต่อไปจะสร้าง “มหัศจรรย์เศรษฐกิจเซินเจิ้น” ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหลายประเทศ และในห้าปีข้างหน้านี้จะมุ่งทุ่มเทให้กับโครงการใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

เซินเจิ้น ซึ่งมีฉายาเป็น “ซิลิคอนวัลเลย์แห่งจีน” เป็นเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในกว่างตง หรือกวางตุ้งซึ่งเป็นมณฑลยักษ์แห่งภาคใต้จีน จีดีพีเมืองเซินเจิ้นได้แซงหน้าฮ่องกง และสิงคโปร์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว

ผู้นำจีนยังตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2025 เศรษฐกิจเซินเจิ้นจะมีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน (611 พันล้านเหรียญสหรัฐ) สูงกว่าประเทศโปรตุเกส อิสราเอล และไอร์แลนด์ เป็นต้น สำหรับจีดีพีเซินเจิ้นปี 2020 ขยายตัวในอัตรา 3.1 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่า 2.77 ล้านล้านหยวน

เป็นที่ทราบกันดีในวงการที่ติดตามเรื่องจีนว่า ก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศปลายทศวรรษที่ 1970 สมัยผู้นำเติ้งเสี่ยวผิงนั้นเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆที่ล้าหลัง สีจิ้นผิงได้ประกาศในพิธีฉลองวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสี่แห่งของประเทศ (จูไห่ ซั่นโถว (ซัวเถา) เซี่ยเหมิน และเซินเจิ้น) ในเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ว่าเซินเจิ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนำของโลก และจะได้รับอำนาจการปกครองบริหารตัวเองสูงขึ้นเพื่อสร้าง “มหัศจรรย์อีกครั้ง”

ภายใต้แผนพัฒนาฯห้าปีของจีน (2021-2025) นี้ เซินเจิ้นตั้งเป้าหมายอีกว่าจะขึ้นมาเป็น “พลังขับเคลื่อนหลัก” ในการปฏิรูปของประเทศ พร้อมกับเป็นขุมพลังผลักดันการเจริญเติบโตและศูนย์กลางนวัตกรรมในภูมิภาคเกรทเตอร์เบย์แอเรีย (Greater Bay Area) ที่ประกอบด้วย 9 เมืองในมณฑลกว่างตง มาเก๊า และฮ่องกง โดยเงื่อนไขปัจจัยที่จะทำให้เซินเจิ้นบรรลุเป้าหมายนี้อยู่ที่กลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก อย่าง เทนเซ็นต์ (Tencent Holdings) และหัวเหวย เทคโนโลยีส (Huawei Technologies)

หลิว กัวหง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่และการเงินของสถาบันการพัฒนาแห่งจีนในเมืองเซินเจิ้น ชี้ว่าความสำเร็จของเซินเจิ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะอานิสงส์จากเหล่าผู้เล่นในหลายภาคธุรกิจ โดยบริษัทชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมของประเทศหลายๆรายที่อยู่ในเมืองเซินเจิ้นไล่เรียงจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็มี China Vanke และ Poly Group, บริษัทเทนเซ็นต์แห่งภาคไอที, ผิงอัน อินชัวรันส์ แห่งภาคอุตสาหกรรมการประกันภัย, ภาคการผลิตก็มี หัวเว่ย, และยักษ์ใหญ่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD

จากการจัดอันดับของหูรุ่น รีพอร์ต (Hurun Report) ในปี 2020 กลุ่มบริษัทเอกชนในเซินเจิ้นที่ได้ขึ้นทำเนียบบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงสุด 500 รายของประเทศจีนนั้นมีจำนวนมากเป็นอันดับที่สาม ในจำนวนนี้สามรายติดอันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดสิบอันดับ “ท็อปเทน” ขณะที่ 59 ราย ติดอันดับสูงสุด100 อันดับ ทั้งนี้จากข้อมูลอัปเดทเมื่อเดือน ต.ค.2020

ขณะที่ 60 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในเซินเจิ้นอยู่ในภาคไอที อสังหาฯ และการเงิน แผนพัฒนาห้าปีจีนยังมุ่งทุ่มเทให้กับโครงการยักษ์ใหญ่เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน

มาดูกลุ่มบริษัทชั้นนำที่เป็นเสมือน “ขุนพลใหญ่” ที่จะทำให้เซินเจิ้นบรรลุการเติบโตตามเป้าหมาย และมีบทบาทสำคัญในเกรทเตอร์เบย์ แอเรีย

 

Tencent Holdings

เทนเซ็นต์ ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ต มี Market Cap (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด) ที่ราว 6 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (จากข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย. 2021) แซงหน้าอาลีบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง และกลายเป็นบริษัทเอกชนจีนที่มูลค่าสูงที่สุดในปี 2020 จากการจัดอับดับโดยหูรุ่น

เทนเซ็นต์ เจ้าของแอปข้อความสั้น WeChat และมีหุ้นในบริษัทเกมหลายราย เป็นต้นนั้นติดอันดับที่ 197 ของทำเนียบ Fortune Global 500 List นอกจากนี้ บริษัทในเครือ คือ Tencent Music ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กตั้งแต่ปีเดือนธ.ค. 2018

โพนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งเทนเซนต์ วัย 49 ปี มีสินทรัพย์สุทธิ 60.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูล Forbes, อัปเดท 14 เม.ย.2021) แซงหน้าแจ๊ค หม่าแห่งอาลีบาบาผู้ร่ำรวยที่สุดในจีนเมื่อปี 2020 ปัจจัยที่ทำให้โพนี่ หม่า ขึ้นมารวยกว่าแจ๊ค หม่า มาจากความต้องการเกมมือถือที่พุ่งกระฉูดในช่วงล็อกดาวน์ควบคุมโควิด-19

 

Ping An Insurance

ผิงอัน ชื่อที่แปลว่า “ปลอดภัยและอยู่ดี” ให้บริการด้านประกันภัย การเงินและธนาคาร เป็นบริษัทประกันภัยใหญ่สุดของจีน มี Market Cap อยู่ที่ 1.65 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง ติดอันดับที่ 21 ในทำเนียบ Fortune Global 500 List

 

Huawei Technologies

ก่อตั้งเมื่อปี 1987 โดยเหริน เจิ้งเฟย หัวเหวยทะยานขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในภาคอุปกรณ์โทรคมนาคม และสมาร์ทโฟน

อย่างไรก็ตาม เครือข่าย 5G ได้กลายเป็นชนวนศึกการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ผู้นำแดนพญาอินทรีปัดแข้งปัดขาหัวเหวยโดยจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐฯและยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆบอยคอตเครือข่าย 5G จีน

รายได้หัวเว่ยในปีที่แล้ว (2020) ขยายเพิ่มที่ 3.8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 891.4 พันล้านหยวน ถือเป็นการขยายตัวที่เชื่องช้าที่สุดในรอบสิบปี นอกจากนี้อัตราขยายตัวในตลาดต่างแดนยังติดลบ โดยยอดขายร่วงไป 12.2 เปอร์เซ็นต์ทั่วยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง ส่วนยอดขายในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกก็ตก 8.7 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กิจการหัวเหวยพึ่งพิงตลาดภายในประเทศเป็นหลักโดยมีสัดส่วนเป็น 65.6 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด

 

Shenzhen Mindray

บริษัทนี้มีฐานประกอบการในเซินเจิ้น เป็นผู้ให้บริการด้านอุปกรณ์การแพทย์และน้ำยาใสรายใหญ่สุดของจีน การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ความต้องการจากระบบติดตามคนผู้ป่วยและเครื่องช่วยหายใจพุ่งสูง Market Cap ของ Shenzhen Mindrayจึงดีดตัวสูงถึง 493 พันล้านหยวน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย.2020) เป็นที่คาดว่าความต้องการจากระบบฯจะยังสูงต่อไปหลังจากที่โรคระบาดซาลงแล้วก็ตาม

 

BYD

ผู้ผลิตรถยนต์จีนรายนี้ได้รับการสนับสนุนจากอภิมหาเศรษฐีแห่งสหรัฐฯวอร์เร็น บัฟเฟตต์ตั้งแต่ปี 2008 BYD เริ่มกิจการด้วยการผลิตแบตเตอรี่ในปี 1995 จนกลายเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่สุดในจีน ข้อมูลเมื่อปลายปี 2020 ระบุว่า BYD ครองสัดส่วนตลาด 12.9 เปอร์เซ็นต์ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน และข้อมูลอัปเดทในวันที่ 16 เม.ย. ระบุ Market Cap เท่ากับ 548 พันล้านเหรียญฮ่องกง

ในปีโรคระบาด รายงานกำไรสุทธิดีดตัวขึ้น 162 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 4.23 พันล้านหยวน BYD ได้หันมาผลิตหน้ากากอนามัยโดยข้อมูลในเดือนพ.ค.ปีที่แล้วระบุว่าผลิตได้ถึงวันละ 50 ล้านชิ้น

ด้วยผลกระทบจากโควิด-19 ยอดขายรถ BYD ตกลงไป 11 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 130,970 ยูนิตในปีที่แล้ว ในเดือนนี้ BYD ออกรถสองโมเดลโดยตั้งราคาระหว่าง 129,800 หยวน และ 166,800 หยวน เพื่อดึงดูดลูกค้ารายได้ปานกลางและรายได้ต่ำกว่า

ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000037158


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘สรยุทธ’ คืนจอ ช่อง 3 เริ่มพฤษภาคมนี้ ผนึกกำลัง 5 พิธีกรข่าว จัดทัพครอบครัวข่าว 3 ลุยสู้ศึกทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง New Media และ Old Media

หลังจากช่อง 3 ได้แต่งตั้ง ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายข่าว เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายสรยุทธได้เข้าร่วมวางแผนปรับเพิ่มศักยภาพรายการข่าวของสถานี โดยนำเสนอจุดเด่นของแต่ละรายการข่าวที่ช่อง 3 มีพิธีกรข่าว ซึ่งมีเอกลักษณ์การนำเสนอโดดเด่นแตกต่างกัน นำเสนอให้ผู้ชมเห็นว่า นอกจากข่าวสารและความคืบหน้าที่แตกต่างกันแล้ว แต่ละช่วงเวลา ผู้ชมยังสามารถติดตามข่าวสารและความคืบหน้าในรสชาติที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับผู้ชมในแต่ละช่วงเวลาจนเป็นที่มาของการเปิดตัวโฆษณา “ครอบครัวข่าว 3... 5 พิธีกรข่าว 5 คาแรคเตอร์ 5 การนำเสนอ” ที่คุณสรยุทธได้เข้ามาควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน และได้เริ่มปรากฏให้เห็นทางหน้าจอแล้ว

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเปิดตัวโฆษณา "5 พิธีกรข่าว" ในครั้งนี้ว่า “ช่อง 3 มีบุคลากรด้านข่าวที่ได้รับการยอมรับกันอย่างสูง แต่ละท่านมีความแข็งแกร่งในวิธีการนำเสนอข่าวที่แตกต่างกัน เท่าที่เห็นมีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอให้เห็นภาพรวมว่าเรามีพิธีกรข่าวที่โดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการในทุกรูปแบบการนำเสนอแต่ละด้านผมยินดีที่นอกจากคุณสรยุทธจะกลับมาทำรายการเรื่องเล่าเช้านี้และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์แล้ว คุณสรยุทธยังมาเติมเต็มให้คำว่า “ครอบครัวข่าว 3” เด่นชัดมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปทุกรายการข่าวจะนำเสนอตามความถนัดเฉพาะและศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ และผู้ชมจะได้ประโยชน์และความสนุกสนานจากความหลากหลายของการเสนอข่าวของเราอย่างแน่นอน”

นายสุรินทร์ กล่าวด้วยว่า “ในระยะต่อไป ช่อง 3 จะออกอากาศรายการข่าวในทุกแพลตฟอร์ม นอกเหนือจากหน้าจอช่อง 3 เราไม่คิดว่าจะมุ่งให้ความสำคัญเฉพาะไปในสื่อทางหนึ่งทางใด ไม่ว่าจะเป็น New Media หรือ Old Media แต่ช่อง 3 จะอยู่ในทุกสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ แม้กระทั่งสื่อวิทยุ ที่ยังมีผู้ชมจำนวนหนึ่งชอบฟังวิทยุ ตัวอย่างรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ก็มีผู้ฟังประจำจำนวนมากจนสร้างรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจได้ ไม่ว่าผู้ชมของเราจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหน สื่อใหม่หรือสื่อเก่า ช่อง 3 จะอยู่กับผู้ชมเสมอ และแต่ละสื่อจะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน” นี่เป็นที่มาของ “ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ช่อง 3 อยู่กับคุณ”

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ปรึกษาฝ่ายข่าวช่อง 3 กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่อง 3 มีทรัพยากรด้านข่าวที่แข็งแรงอยู่แล้ว เราเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีพิธีกรข่าวที่มีบุคลิกไม่เหมือนกันเลย ไม่นับประสบการณ์ของแต่ละคน ลักษณะแบบนี้มีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น”

“คุณกิตติ ข่าวสามมิติ มีบุคลิก จริงจัง ลุ่มลึก หาตัวจับยาก คุณไก่ ภาษิต เรื่องเด่นเย็นนี้ เป็นผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่ พูดจากระฉับกระเฉงฉับไว นำเสนอแบบจัดจ้าน คุณหนุ่ม กรรชัย เที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกาะติดเคสดราม่า และเอามาขยี้ ไม่มีใครสู้เขาได้ คุณเอ ดนยกฤต ขันข่าวเช้าตรู่ ข่าวก่อนสว่างไม่มีอะไรดีไปกว่าลีลาคุยข่าวชาวบ้านแบบลูกทุ่ง ส่วนผม เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าวเข้มข้นยามเช้า ทุกข่าวที่เกี่ยวกับคนดูแต่เข้าใจง่ายๆ เข้าถึงทุกคน นี่คือความแตกต่างที่ผมว่าลงตัว”

นายสรยุทธ กล่าวด้วยว่า การเริ่มโปรโมทแค่ 5 คน เป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าเรารวม ผู้ประกาศหลายสิบคนที่เรามีอยู่ ภาพมันจะไม่ชัด เราจะดึงจุดเด่นให้เห็นเป็นชุด เราไม่ได้มีแค่ 5 คนนี้ เรายังมีของดีอีกมาก และเราจะมีบอร์ดข่าวส่งต่อการนำเสนอกันในแต่ละรายการและแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทยอยนำเสนอต่อไป เป้าหมายของช่อง 3 เราอยากเป็นอันดับ 1 ในทุกแพลตฟอร์มข่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอัดงบหนุน 'ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ลีก' กว่า 1.5 แสนล้านบาท จบปัญหาด้านเงิน ๆ ทอง ๆ ของลีกพลิกโลก

ข่าวใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลช่วงนี้น่าจะหนีไม่พ้นการที่ 12 สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ร่วมกันจัดตั้ง European Super League ท่ามกลางการคัดค้านเต็มที่จากทั้งสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) และสมาคมฟุตบอลของแต่ละประเทศ รวมถึงพรีเมียร์ลีกอังกฤษด้วย

สำหรับ 12 สโมสร ที่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมกับโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่นี้ ประกอบไปด้วย...

6 ทีมจากอังกฤษ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล

3 ทีมจากอิตาลี ได้แก่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน

3 ทีมจากสเปน ได้แก่ เรอัล มาดริด, แอตเลติโก้ มาดริด และ บาร์เซโลน่า

อย่างไรก็ตาม มีคำถามอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้สนับสนุนเม็ดเงินเพื่อจัดตั้งลีกดังกล่าว?

คำตอบเผยแล้ว โดยตัวละครลับที่จะมาหนุนลีกนี้ คือ JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ได้ออกมาประกาศให้เงินสนับสนุนหรือเป็นสปอนเซอร์หลักด้านการเงินให้การแข่งขันนี้เกิดขึ้นได้ ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 4 พันล้านยูโร หรือ 1.5 แสนล้านบาท

แน่นอนว่าปัญหาของการจัดลีกนี้ จะไม่ใช่เรื่องของเงินอีกต่อไป!!

แต่ตอนนี้ความเห็นของแฟนบอลกำลังแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่าจะ ‘สนับสนุน’ ให้ทีมเหล่านี้แยกตัวออกมาจัดลีกกันเอง หรือฝ่ายที่ ‘ต่อต้าน’ และอยากให้ทุกอย่างกำลังเป็นเหมือนระบบปัจจุบัน

เลือกฝ่ายไหนดี?

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751542252065787/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เจ้าแม่นาคี ‘แต้ว ณฐพร’ โชคช่วย? แชร์ 5 สูตรเด็ดสู้โควิด เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ ฝากทุกคนดูแลสุขภาพ

ไม่รู้ว่าบุญบาปแต่อย่างใด? แต่ที่แน่ “แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์” ถือว่าเป็นบุคคลที่รอดโควิด-19 ในทุก ๆ รอบที่เกิดการระบาด เพราะไม่ว่าจะใกล้ชิดกับกลุ่มความเสี่ยงสูงแค่ไหน แต่ “เจ้าแม่นาคี” อย่าง “สาวแต้ว” ก็สามารถรอด ปลอดภัย สุขภาพดีสมบูรณ์เรื่อยมา ล่าสุดเจ้าตัวได้โชว์ผลการตรวจรอบที่ 3 หลังจากการกักตัวครบ 14 วัน ก็ยังไม่พบเชื้อ

หลังคนบอกเพราะบุญกรรมที่ทำมา นั่นก็ส่วนนึง แต่การที่ "เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ" นั้นนอกจากบุญที่ทำมาแล้ว นางเอกสาวยังเผย 5 ข้อสำคัญในการปฏิบัติตัวให้รอดพ้นจากโรคระบาดโรคนี้แบบไม่มีกั๊กอีกด้วย

“3rd time in a row of 14 days quarantine”

“ถึงจะกักตัวครบแล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาดเพราะเชื้อโรคอยู่รอบตัว...รอบตัวจริงๆ ค่ะ ยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นทุกวัน ยิ่งต้องมีสติและระมัดระวังในการใช้ชีวิตเป็นพิเศษค่ะ

หลายคนถาม...ว่าแต้วดูแลตัวเองยังไงให้ปลอดภัย เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ แต้วเลยขออนุญาตแชร์ ประสบการณ์การดูแลตัวเองของแต้วเผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ”

1.) พยายามไม่เอามือมาสัมผัสหน้าตัวเองค่ะ เพราะเราคงเลี่ยงที่จะใช้มือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งเชื้อ COVID-19 เป็นเชื้อโรคที่สะสมและติดได้ง่ายบนผิวสัมผัส มากกว่าการไอจามกันตรง ๆ ในอากาศ (แต่ก็ไม่ใช่จะติดจากการฟุ้งในอากาศไม่ได้เลย) และพยายามล้างมือให้เป็นนิสัยทุกครั้งที่นึกได้เลยค่ะ

2.) อีกหนึ่งสิ่งสำคัญมาก ๆ คือ ไม่ใช่แค่ใส่มาสก์นะคะ แต่เราต้องรักษาสุขอนามัยให้มาสก์สะอาดอยู่ตลอดด้วย เพราะมาสก์ควรเป็นสิ่งที่ป้องกันเราจากเชื้อโรคภายนอก แต่ถ้าเราไม่รักษาความสะอาดให้ดี มาสก์จะกลายเป็นตัวพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายที่สุดเลยค่ะ

เลือกใช้มาสก์แบบมีสายคล้องเพื่อความสะดวก หมดกังวลที่จะต้องถอดเข้าออกและหาที่เก็บ

ถ้าเป็นมาส์ปกติ อย่าวางมาสก์ไว้บนโต๊ะ หาที่เก็บเป็นถุงหรือกระดาษทิชชู่ที่สามารถป้องกันมาสก์สัมผัสกับพื้นผิวภายนอก

ถ้าต้องไปในที่ชุมชน ที่ทำงาน โดยเฉพาะโรงพยาบาล ให้เลือกใช้มาสก์แบบใช้แล้วทิ้ง อย่าใช้มือสัมผัสแมสทั้งด้านนอก-ใน เวลาถอดเข้าออกให้จับที่สายรัดเกี่ยวหูทุกครั้ง ถ้าต้องขยับมาสก์ก็ขยับจากด้านข้าง

3.) การพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ก็ควรใช้ในปริมาณที่จะทำความสะอาดมือได้ทั่วไม่ต่างจากตอนล้างมือ อย่าแค่พ่น 1-2 ครั้ง แต่ต้องถูให้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อให้ทั่วด้วยนะคะ

4.) พยายามรักษาระยะห่างของตัวเองกับผู้อื่น โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก แต้วหมายถึงกับทุกคนจริง ๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว คนสนิทที่เรามักจะประมาทได้ง่าย ให้จินตนาการเสมอว่า ทุกคนอาจเป็นพาหะของเชื้อโรค ไม่ใช่ให้วิตกนะคะ แต่เพื่อเป็นการเตือนให้ตัวเองมีสติมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

5.) รักษาภูมิคุ้มกันของตัวเองจากภายในให้ดีอยู่เสมอ จากการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่จะส่งเสริมให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี และการพักผ่อนให้เพียงพอ ข้อนี้สำคัญมากๆๆๆ เพราะถือเป็นด่านสุดท้ายที่เราจะป้องกันตัวจากเชื้อโรคได้ ข้อนี้ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าในเวลานี้มันคุ้มค่าจริง ๆ

ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพ และปลอดภัยจากโรคภัยทุก ๆ อย่างนะคะ”

ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000037243


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

อย. เตือน! อย่าซื้อชุดตรวจโควิด มาตรวจเอง เสี่ยงแปลผลผิด กลายเป็นผู้แพร่เชื้อไม่รู้ตัว

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง (Self- test) เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจเชื้อได้ด้วยตนเอง เหมือนในประเทศอังกฤษ พร้อมเสนอให้ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักรักษาตัวที่บ้านได้นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ชุดตรวจโควิด-19 โดยการหาเชื้อจากโปรตีนดังกล่าว เรียกว่า Rapid Ag test มีลักษณะเป็นแถบตรวจ ให้หยดน้ำยาที่มีเนื้อเยื่อจากการแยงจมูก (swab) ชุดทดสอบนี้หากตรวจในช่วงแรกหลังรับเชื้อ หรือเลยช่วง 7-10 วันหลังมีอาการ อาจให้ผลลบปลอม จนนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้

ดังนั้น การแปลผลต้องอาศัยความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งต่างจากการตรวจหาเชื้อจากสารพันธุกรรมด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่สามารถตรวจพบเชื้อได้แม้มีปริมาณเชื้อไม่มาก นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธีอื่น ได้แก่ RT-LAMP ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แล้ว เช่น COXY-AMP ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางห้องปฏิบัติการในการตรวจ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า การใช้ชุดตรวจมาตรวจเอง มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ขั้นตอนและเทคนิคในการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก หากเก็บไม่ถูกวิธีจะเสี่ยงต่อการแปลผลที่คลาดเคลื่อนและให้ผลลบปลอมได้ หากผู้ใช้แปลผลไม่ถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงการกระจายการติดเชื้อในวงกว้าง ประสิทธิภาพของชุดตรวจด้วยตัวเอง มีความแม่นยำน้อยกว่าวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่ตรวจโดยห้องปฏิบัติการโดยตรง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดผลลบปลอมที่สูงกว่า และถึงแม้ว่าผลทดสอบจะปรากฏผลลบ ยังจำเป็นต้องประเมินอาการและปัจจัยอื่นร่วมด้วย ซึ่งต้องอาศัยการให้คำแนะนำโดยบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญหากพบผลบวกต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่สามารถกักตัวที่บ้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที และป้องกันกรณีไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม อาจแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว จนนำไปสู่การแพร่ระบาดรอบใหม่

ปัจจุบัน อย. ได้อนุญาตน้ำยาที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก มีความแม่นยำมากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ โดยจำนวนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ได้รับอนุญาตแล้ว มีมากกว่า 80 ผลิตภัณฑ์ จากหลากหลายบริษัท เพียงพอสำหรับการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีมากกว่า 270 แห่งทั่วประเทศ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

คดีพลิก!! Elon Musk เฉลยผู้เสียชีวิต 2 รายจากอุบัติเหตุบนรถ Tesla เหตุไม่ได้ซื้อบริการ ‘ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ’

เพจ ทันโลกกับ Trader KP ได้เผยข่าวใหญ่ในวงการรถยนต์เมื่อวานนี้ หลังจากมีผู้โดยสารรถเทสล่า เปิดใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) แต่รถเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าชนต้นไม้ในเมือง Houston จนเกิดไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่เนื่องจากการดับไฟที่ลุกจากแบตเตอรี่ของรถ Tesla นั้น ต้องใช้วิธีการดับไฟที่แตกต่างจากไฟปกติ ทำไม่ให้สามารถคุมไฟไว้ได้ จนเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 2 ราย"

ข่าวนี้ได้ส่งผลให้หุ้น Tesla ร่วงลงทันที -7% คืนนี้ จากระดับ 740 เหรียญลงมา -50 เหรียญจนเหลือ 690 เหรียญไปเลยทันที เพราะตลาดมองว่าระบบ Autopilot ของ Tesla มีช่องโหว่

อย่างไรก็ตามคดีนี้ อาจพลิกอีกครั้ง หลังจากเช้านี้ทาง Elon Musk ได้ออกมาทวีตเฉลยว่า “จากการกู้ข้อมูลจากระบบบันทึกของรถ (Data Logs) เราพบว่ารถคันนี้ไม่ได้เปิดใช้งานเทคโนโลยี Autopilot เพราะรถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อบริการไว้ด้วยซ้ำ”

โดยรถของ Tesla นั้นไม่ต่างอะไรกับ App Store ของ Apple เลยที่หลังจากซื้อรถยนต์ไปแล้วหากผู้ใช้ต้องการใช้บริการเทคโนโลยีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถจ่ายเงินซื้อได้ แต่รถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อไว้ และ Elon กล่าวต่อว่า

“ด้วยระบบ Autopilot ปัจจุบัน ทาง Tesla กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องใช้บนถนนที่ต้องมีเส้นปะแยกระหว่างเลน ซึ่งถนนดังกล่าวไม่ได้มี”

ทาง Elon อธิบายว่าด้วยการที่ระบบ Autopilot ปัจจุบันยังไม่ถึงระดับ 5 ทำให้ตอนนี้หากจะใช้ระบบนี้รถ Tesla ต้องวิ่งบนถนนที่มีเส้นปะแยกเลน แต่ผู้ขับไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น

แต่คำถามที่หลายฝ่ายตั้งตามมาก็คือ ถ้าพวกเขาไม่ได้ซื้อระบบ Autopilot ไว้ ทำไมพวกเขาถึงไม่มีใครนั่งอยู่บนที่คนขับเลย เพราะสิ่งที่ตำรวจพบหลังจากมาถึงที่เกิดเหตุคือ #ผู้โดยสารที่เสียชีวิตทั้งคู่ไม่มีใครนั่งอยู่ที่พวงมาลัยเลย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า พบศพชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้า (ที่นั่งข้างคนขับ) และศพชายคนที่สอง นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง

ทำให้หลายฝั่งตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือชายทั้ง 2 พยายามที่จะขยับตัวหลังจากที่รถได้ชนไปแล้ว?

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก Elon ได้ทวีตข้อความดังกล่าว ก็ทำให้หุ้น Tesla ดีดขึ้นกลับไปที่ระดับเดิม โดยราคาหุ้น Tesla ช่วงหลังตลาดปิด (Post Market Trade) ได้ดีดกลับขึ้นไปที่ระดับ 730 เหรียญต่อหุ้น หลังจากทาง Elon ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง

ถึงกระนั้น ตัวแปรของมูลเหตุความจริงทั้งหมด ก็คือรถยนต์ Tesla ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างได้ผ่านระบบ Online ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการขับขี่หรือการเปิดปิดอุปกรณ์ต่างๆบนเครื่องยนต์ ซึ่งทางบริษัทย่อมต้องมีข้อมูลทุกอย่างและง่ายต่อการสืบสวนอุบัติเหตุ และตรงนี้เองจะแสดงให้เห็นว่า ดราม่า Tesla รอบนี้ อันไหนจริง อันไหนเท็จต่อไป

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751807305372615/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอยง’ ชี้!! ติดโควิดแล้ว ‘ติดได้อีก’ แต่ติดได้ยากขึ้นกว่า ‘คนไม่เคยติด’

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการติดเชื้อโควิด-19 ในรายของผู้ที่เคยติดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า…

โควิด-19 ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้ว ติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่ ต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?

จากการติดตามบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบกลุ่มที่ติดเชื้อมาแล้วกับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเป็นระยะเวลา 7 เดือน พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำใหม่น้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนร้อยละ 84 จากข้อมูลก็เปรียบเสมือนว่าคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยละ 84 (Hall VJ et al, Lancet 2021; 397: 1459–69)

น่าจะพูดง่าย ๆ ให้เข้าใจว่า ถ้าการติดเชื้อจริงหรือเอาไวรัสจริงมาเป็นวัคซีน ทำให้เกิดโรค ยังป้องกันได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพร้อยละ 84 วัคซีนถ้าสร้างภูมิต้านทานให้ได้เท่ากับการติดเชื้อจริงในธรรมชาติจะป้องกันได้ร้อยละ 84 การติดเชื้อซ้ำถึงแม้ว่าเคยติดเชื้อมาแล้วก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็น้อยกว่าคนที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ในระยะยาวถึงแม้ว่าติดเชื้อมาแล้ว ภูมิต้านทานไม่ได้ปกป้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโรคบางโรค เช่น โรคหัด โรคสุกใส ที่เป็นแล้วจะไม่เป็นอีกในชีวิตนี้

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การที่เคยเป็นโรคแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก ทำนองเดียวกันการฉีดวัคซีนก็เหมือนกับการกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานแบบการติดเชื้อ วัคซีนจึงไม่สามารถป้องกันได้ 100% วัคซีนที่ป้องกันได้เกินกว่า 84% ก็ถือว่าเหนือกว่าการติดเชื้อโดยธรรมชาติแล้ว

ในอนาคตการให้วัคซีน จำเป็นต้องมีการให้ซ้ำอีกแน่นอน ในวัคซีนทุกชนิดจะต้องมีการกระตุ้นน่าจะเป็นหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันในระยะยาวหรืออาจจะต้องกระตุ้นทุกปีหรือทุก 2-3 ปีก็คงขึ้นอยู่กับข้อมูล

ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้วก็ยังคงต้องให้วัคซีนในการป้องกันโรค ระยะเวลาในการให้วัคซีนหลังติดเชื้อควรจะอยู่ในระยะ 3-6 เดือนหลังจากติดเชื้อ จำนวนครั้งในการให้วัคซีนในผู้ติดเชื้อมาแล้ว เป็นที่น่าสนใจเพราะเชื่อว่าการกระตุ้นเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าติดเชื้อมาแล้วเป็นปี การให้วัคซีนก็อาจจะต้องให้แบบคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นโอกาสทองของบริษัทวัคซีนแน่นอน

ที่มา: https://www.facebook.com/108692177438990/posts/290843352557204/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top