Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

ปิดทำเนียบฯ 14 วัน อีกครั้ง หลังพบผู้สื่อข่าวผลตรวจ ATK เป็นบวก

เมื่อเวลา 11.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตรการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติดบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใด ๆ กับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

ผลวิจัย ชี้ ‘วัคซีนโควิดเข็ม 3’ ไม่จำเป็น ยัน แค่ 2 เข็ม เพียงพอช่วยลดอาการทรุดหนัก

วารสารการแพทย์แลนเซตตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ก่อนจะสรุปว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เพียง 2 เข็มมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการทรุดหนัก และไม่จำเป็นที่คนทั่วไปจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3

ในบางประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชากรในประเทศ เพราะความหวั่นวิตกเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องออกมาร้องขอให้ประเทศต่าง ๆ ยุติการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไว้ก่อน เนื่องจากยังมีคนหลายล้านคนทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ยากจนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว

ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ดังกล่าวมาจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์จากองค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) ของสหรัฐฯ สรุปว่า แม้จะมีภัยคุกคามจากไวรัสกลายพันธุ์เดลตา แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องเหมาะสมภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดในขณะนี้

ผู้เขียนซึ่งทบทวนผลการศึกษาเชิงสังเกตและผลการทดลองทางคลินิกพบว่า วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไม่ให้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงในไวรัสโควิด-19 แทบจะทุกสายพันธุ์ซึ่งรวมถึงเดลตา แม้จะมีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการก็ตาม

หนึ่งในผู้เขียนหลักจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากดูในภาพรวมแล้ว วัคซีนที่มีอยู่ควรจัดลำดับความสำคัญไปที่คนทั่วโลกที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่หากมีการกระจายวัคซีนไปยังที่ที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็จะช่วยเร่งให้การแพร่ระบาดยุติลงเร็วขึ้นด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส


ที่มา : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2938333

'นิวยอร์ก' เปิดโรงเรียนครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังต้องเรียนออนไลน์หนีโควิด-19

14 กันยายน 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โรงเรียนของรัฐในนครนิวยอร์ก เปิดเทอมให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังปิดไปตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ตามมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน 

สำหรับโรงเรียนรัฐในนครนิวยอร์ก ถือเป็นระบบการศึกษาของรัฐขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยมีนักเรียนอยู่ในระบบประมาณ 1 ล้านคน

ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐสังกัดเทศบาลนครนิวยอร์กเกือบทั้งหมดจากจำนวนประมาณ 300,000 คน ได้รับคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบในสำนักงานด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือมิเช่นนั้นต้องผ่านการตรวจคัดกรองทุกสัปดาห์


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/601988

ตร. แจง ไร้สัญญาณบ่งชี้การก่อการร้าย แม้ญี่ปุ่นเตือนเหตุ ‘ก่อการร้ายในอาเซียนและไทย'

รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเอกสารให้กับพลเมืองของตนเอง เฝ้าระวังการก่อการร้ายในอาเซียน รวมถึงไทย ด้านตำรวจ - สันติบาล ชี้แจง ไม่มีอะไรน่ากังวล แจ้งเตือนตามวงรอบ ขณะที่กต.ระบุ เป็นคำสั่งจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ และในเอกสารไม่เจาะจงเฉพาะไทย 

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนะเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่สถานทูตญี่ปุ่นแจ้งเตือนเหตุก่อการร้ายนั้น ว่า จากข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) พบว่ามีการแจ้งเตือนจากสถานทูตญี่ปุ่น ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนตามวงรอบ ไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีการก่อการร้าย ขณะนี้ยังไม่มีการเฝ้าระวังสิ่งใดเป็นพิเศษ และทางเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามสถานการณ์พร้อมการประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนอย่าได้วิตกกังวลและใช้ชีวิตตามปกติ

รองโฆษก ตร.ย้ำว่าทางไทยมีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว โดยเฉพาะการประสานงานด้านการข่าวฝ่ายความมั่นคงทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว ทั้งด้านข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรอง ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยสถานที่ตั้งของสถานทูตรวมถึงสถานที่พำนักของเอกอัครราชทูตหรือเจ้าหน้าที่ทางการทูตในประเทศไทยมีการประสานงานกับตำรวจท้องที่ โดยเฉพาะตำรวจ 191 อยู่แล้วก็ดำเนินการควบคู่กันไป 

รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนด้านข่าวกรองตลอดเวลา และขณะนี้ไม่ได้ห่วงที่ใดเป็นพิเศษ เนื่องจากการรักษาสถานที่สำคัญและบุคคลสำคัญในประเทศก็เป็นหน้าที่ของตำรวจสันติบาลร่วมกับตำรวจนครบาลหรือหากมีสถานกงสุล หรือสถานทูตตั้งอยู่ต่างจังหวัดก็มีการประสานกับตำรวจท้องที่อยู่แล้วเช่นกันตรงนี้ไม่เป็นห่วง และพร้อมให้การสนับสนุนทันทีหากมีการร้องขอขึ้นมา

ด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ส่งหนังสือเตือนถึงพลเมืองชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในอาเซียนรวมถึงไทย ให้ระมัดระวังการก่อการร้าย โดยระบุว่า

จากการตรวจสอบและสอบถามไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ระบุว่า อีเมลนี้กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งให้ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นประเทศไทย และไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูลดังกล่าว ทำให้ยังไม่สามารถให้ข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติมได้

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาใจความสำคัญของอีเมลฉบับดังกล่าวระบุว่า ขอให้ชาวญี่ปุ่นระมัดระวังการโจมตีหรือการก่อการร้าย โดยเฉพาะการระเบิดพลีชีพตนเองในสถานที่ที่มีคนรวมตัวจำนวนมาก จึงขอให้ดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้ 

1.) ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด

2.) ปฏิบัติตามคำแนะนำและมาตรการของทางการท้องถิ่น หากเกิดเหตุขึ้น

3.) เมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก ให้สังเกตสถานการณ์รอบ ๆ ตัว หรือใช้เวลาอยู่สถานที่เหล่านั้นให้สั้นที่สุด หากพบว่ามีความน่าสงสัยให้รีบออกจากสถานที่ดังกล่าวโดยสถานที่ที่ควรระมัดระวัง เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม สามารถติดต่อหรือแจ้งข้อมูลได้ที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โทรศัพท์: (66-2) 207-8500, 696-3000 โทรสาร: (66-2) 207-8511


https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/156231

‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ ทรงกรุณาประทานยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร แด่เรือนจำกลางพิษณุโลก 100,000 เม็ด

วันที่ 13 กันยายน 2564 ณ เรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลก "หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ " ทรงกรุณาให้ "นางสาวชญาณิศา ฐาณิชณาณัณ" กรรมการผู้จัดการบริษัท "เดอะไบบูรี่ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด" อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้นำเชิญให้ "ผู้บัญชาการเรือนจำกลางพิษณุโลก" เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภัยเบื้องต้น แก่เจ้าหน้าที่ และผู้ต้องขังในเรือนจำกลาง และเรือนจำในเครือข่ายพื้นที่รับผิดชอบ โดยมี "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" ผู้ช่วยเลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เป็นผู้อ่าน "หมายหนังสือ" ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรทุกหมู่เหล่า

"นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย" เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า โดยแต่เดิม "หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์" ทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทรงหาสิ่งของต่าง ๆ ที่พอจะช่วยเหลือ บรรเทาภัย และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และผู้ประสบภัยจากโรคระบาด โควิด-19 มาโดยตลอด ซึ่งพระองค์ท่านทรงกรุณาให้คณะทำงานในส่วนพระองค์ แบ่งสายงานให้ความช่วยเหลือในกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล รวมทั้งออกต่างจังหวัดมาโดยตลอด

ต่อมาครั้งนี้ ทรงมีดำริถึงเรือนจำว่าน่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องยาสมุนไพรไทย ฟ้าทะลายโจร ที่สามารถช่วยเหลือ รักษาอาการป่วยได้พอสมควร ทรงตรัสว่า “ควรหายาไปให้พวกเขานะ คนข้างนอกป่วยยังพอไปคลีนิค โรงพยาบาล ร้านขายยา รักษาอาการป่วยได้ แต่พวกเขาข้างในนั้น ไม่สามารถหายามารับประทานได้ หรือหากยาหมดก็ต้องรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมา ซึ่งอาจใช้เวลานานไม่มากก็น้อย และใช้แบ่งให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ เผื่อจะได้ใช้รักษาตนเองด้วย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน” นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า แม้จะทรงมีพระชนม์มาก ก็ยังทรงดำริห่วงใยประชาชนชาวไทยตลอด….ทรงพระเจริญ

สท.เจี๊ยบ “วสิตา บุญริ้ว” ตัวเล็ก แต่ใจไม่เล็ก!! สู่การเมืองท้องถิ่น กำลังสำคัญของเทศบาลเมืองแพรกษา สมุทรปราการ

สำหรับ เจี๊ยบ “วสิตา บุญริ้ว” หรือ สท.เจี๊ยบ ผู้หญิงตัวเล็ก แต่ใจไม่เล็ก ในวัย 46 ปี ที่ล่าสุดเจ้าตัวมุ่งหน้าสู่สายการเมืองท้องถิ่นเต็มตัว โดยการผลักดันและการสนับสนุนของนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ผู้ที่นำความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาสู่ท้องถิ่นแพรกษาใหม่ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากนาย อิม แพหมอ นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษา เพื่อลงสมัครเลือกตั้ง สท. พร้อมกับโอกาสที่ได้รับจากประชาชนตำบลแพรกษากับตำแหน่ง สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา กระทั่งก้าวเข้าสู่สายการเมืองท้องถิ่นเต็มตัวในปัจจุบัน

วสิตา บุญริ้ว สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา หรือ สท.เจี๊ยบ เขต 3 หญิงแกร่งแห่งบ้านบุญริ้ว เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของทางเทศบาลเมืองแพรกษา ได้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนชาวตำบลแพรกษา กับคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนชาวแพรกษา  โดยการทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขให้กับพี่น้องประชาชนแบบไม่เคยทอดทิ้ง ถือเป็นประสบการณ์และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนรวมถึงการลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ติดเชื้อโควิดตามชุมชนต่าง ๆ การสนับสนุนให้ประชาชนในเขตพื้นที่ได้รับโอกาสในการฉีดวัคซีนโควิด-19 

ถือเป็นการปฎิบัติหน้าที่ของ สท.ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยรอเวลา ความทุกข์ของประชาชนต้องมาก่อนเสมอ ต่างจากบุคคลผู้มีอำนาจ แต่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบของตนเอง ย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น แต่สำหรับ วสิตา บุญริ้ว สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแพรกษา หญิงสาวตัวเล็ก แต่ใจไม่เล็ก ได้ไปนั่งอยู่ในใจของประชาชนหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตาม  ในนามผู้สื่อข่าวจังหวัดสมุทรปราการ ขอชื่นชมในการทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบที่มีให้กับประชาชนในยามทุกข์ยาก ขอให้รักษาฐานที่มั่นนี้ พื้นที่นี้และโอกาสที่ประชาชนไว้ใจมอบให้ แม้จะมีคู่แข่งก็มั่นใจว่า การเดินให้มากขึ้นชาวบ้านก็จะเห็นภาพและพร้อมที่จะสนับสนุนต่อไป


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

โหราศาสตร์จีนโบราณ เผยดวงชะตา 'ลิซ่า BlackPink' ทรงเสน่ห์เป็นที่รักใคร่แก่ทุกคนที่พบเห็น

สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร แห่ง FengshuiBizDesigner ได้เผยเกณฑ์โด่งดังของ 'ลิซ่า BlackPink' ผ่านโหราศาสตร์จีนโบราณไว้ ว่า... 

นอกเหนือจากปรากฏการณ์ปฏิกิริยา 5 ธาตุในขณะที่ธาตุประจำวัยจรและธาตุประจำปีจร ก่อกำเนิดธาตุประจำเจ้าชะตาให้มีกำลังจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ยังมีดวงดาวที่เรียกว่า “神煞” (สิ่งสั่วะ) เป็นเครื่องมือช่วยในการอ่านรูปดวงและยังช่วยเพิ่มความแม่นยำได้อย่างลึกซึ้ง

เจ้าชะตาเกิดปีฉลู ธาตุดิน เดือนเถาะ ธาตุไม้ วันมะโรง ธาตุดิน เป็นคนธาตุดินที่ต้องการธาตุไฟและธาตุดินช่วยปรับความสมดุล 

ในปี 2564 นี้ เจ้าชะตาเสวยอายุ 25 ปี ถนนชีวิตเดินที่ตำแหน่งวัยจรกิ่งฟ้าราศีบนและก้านดิน ราศีล่าง ธาตุไฟ โดยมีดาวเสน่ห์และดาวดาบสุริยันช่วยส่งเสริมพละกำลังธาตุไฟให้ทวีความ ร้อนแรงยิ่งขึ้น ส่วนปีจรกิ่งฟ้าราศีบนสัมพันธ์กับวัยจร ขณะที่ปีจรก้านดินราศีล่างกับเสาปีเกิด ก้านดินราศีล่างที่มีนัยถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่เป็นมรดกตกทอดของบรรพบุรุษเป็นนักษัตรฉลูเช่นกัน ทั้งยังมีดาวมงคลดาวอุปถัมภ์ร่วมด้วยช่วยส่งเสริมความดีต่อธาตุประจำเจ้าชะตา 

ส่งผลให้เจ้าชะตามีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่และเป็นที่นิยมสนใจจากผู้คนที่ได้พบเห็น หลังจากการเผยแพร่ MV เพียงแค่ไม่มีชั่วโมงก็มีผู้อุปถัมภ์ติดตามรับชมหลักร้อยล้านวิว โดยเฉพาะ การนำมรดกวัฒนธรรมความเป็นไทยให้ได้รับแรงหนุนอย่างถล่มทลายจนกลายเป็นกระแส LISA Fever ที่ใคร ๆ ต่างชื่นชม 

จีนมอบวัคซีน 'ซิโนฟาร์ม' แสนโดส ช่วยบรูไน หลังวัคซีนสั่งซื้อ ยังมาไม่ถึง

คนไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศบรูไน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Nina Nutthinee ระบุถึงน้ำใจจากจีนว่า...

จีนเห็นบรูไนขาดแคลนวัคซีนในช่วงนี้ เพราะรอวัคซีนโมเดอร์นา กับ แอสตราเซเนกา ล็อตใหม่อยู่

จีนเลยมอบ วัคซีนซิโนฟาร์ม ให้ฟรีแสนโดส!! 

ปล. ประเทศนี้ เขารวยอยู่แล้ว เขาชอบใช้วัคซีนซื้อค่ะ

แต่พี่จีนก็ยังใจดี อุตส่าห์ส่งมาให้อีก!! 

#พี่จีนไม่นิ่งดูดาย

ขับเคลื่อนความสุข! รฟม. ฉลองครบรอบ 29 ปี ภายใต้แนวคิด “The Unlimited Move" จัดกิจกรรมเพื่อสังคม

วันที่ 13 กันยายน 2564 ในโอกาสพิเศษ รฟม.และ ภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันบริจาคเงินให้แก่ "มูลนิธิออทิสติกไทย" จำนวนทั้งสิ้น 115,000 บาท ซึ่ง "คุณกนกกาญจน์ เกศะรักษ์" ผู้อำนวยการกองกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มอบเงินแก่ "มูลนิธิออทิสติกไทย" พร้อมชิมกาแฟ For All Coffee และสนับสนุนให้น้อง ๆ กลุ่มออทิสติกได้มีโอกาสแสดงออกถึงพรสวรรค์ และจินตนาการ ผ่านงานออกแบบชุดของที่ระลึก “MRTA x ARTSTORY by Autistic Thai” ซึ่ง รฟม. จะนำส่งมอบให้แก่หน่วยงานที่มาร่วมแสดงความยินดีผ่านทางระบบออนไลน์ต่อไป

"องค์กรภาคี" ได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ / กรมการขนส่งทางบก / ธนาคารอาคารสงเคราะห์ / ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) / การไฟฟ้านครหลวง / สถาบันการบินพลเรือน / กรมการขนส่งทางราง / สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร / บริษัทผู้ร่วมลงทุน / ผู้รับสัมปทาน / บริษัทที่ปรึกษาโครงการ / บริษัทผู้รับเหมา หน่วยงานภาครัฐ และผู้มีจิตศรัทธา

ในการนี้ "อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์" ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย กล่าวขอบคุณ "การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย" และภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานที่สนับสนุนภาคกิจเพื่อสังคมมูลนิธิออทิสติกไทย ในครั้งนี้และในโอกาสต่อไป

อีอีซี กางแผนลงทุน 2.5 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีหน้า

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เป็นประธาน ได้เห็นชอบแผนการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ในระยะ 5 ปีต่อไป (2565 - 2569) กำหนดวงเงินลงทุน 2.5 ล้านล้านบาท ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งขั้นตอนจากนี้จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ กพอ. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในต้นเดือนต.ค.นี้ เห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้ในการลงทุน 5 ปีต่อไป มีโครงการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 1 แสนล้านบาท โครงการพัมนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 1 แสนล้านบาท และการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกปีละ 4 แสนล้านบาท ทั้งการลงทุนพื้นที่ของทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ดำเนินการ ปีละ 2.5 แสนล้านบาท อีกส่วนคือ การเร่งรัดการลงทุนของ กพอ. เองอีกปีละ 1.5 แสนล้านบาท ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ปีละ 4 หมื่นล้านบาท, 5G ปีละ 5หมื่นล้านบาท, การแพทย์สมัยใหม่ ปีละ 3 หมื่นล้านบาท และอุตสาหกรรมขนส่ง ปีละ 3 หมื่นล้านบาท 

นายคณิศ กล่าวว่า ที่ประชุมยังรับทราบความคืบหน้าการลงทุนในช่วง 3 ปี 8 เดือน ของโครงการลงทุนในอีอีซี นับตั้งแต่เกิด พ.ร.บ. อีอีซี ปี 2561 – มิ.ย. 2564 เกิดการลงทุนรวมที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 94% จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561-65) ของอีอีซี 1.7 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าในปีนี้จะบรรลุเป้าหมายแน่นอน ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายก่อนเวลา 1 ปี  โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอกชนร่วมลงทุน (PPP) 4 โครงการหลัก ทั้ง รถไฟฯ/สนามบินฯ/ 2 ท่าเรืออุตสาหกรรม มูลค่ารวม 633,401 ล้านบาท 2. การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากการออกบัตรส่งเสริมบีโอไอ มูลค่า 878,881 ล้านบาท โดยโครงการที่ขอยื่นส่งเสริมลงทุน ช่วงปี 2560 - มิ.ย. 2564 ลงทุนจริงแล้วกว่า 85% 

3. การลงทุนผ่านงบบูรณาการอีอีซี มูลค่า 82,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่าน (ม.ค.-มิ.ย. 64) มีการขอรับส่งเสริมลงทุน 232 โครงการ เงินลงทุน 126,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 2 – 2.5 แสนล้านบาท โดยจำนวนขอโครงการสูงสุดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์ สำหรับการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็น 64%ของคำขอลงทุนในอีอีซี ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุดคือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลำดับ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top