Wednesday, 3 July 2024
NEWS FEED

นายกรัฐมนตรี เปิดไทม์ไลน์วัคซีนป้องกันโควิด-19 ยืนยันคนไทย 60 ล้านคน ได้ฉีดตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน !!!

นายกรัฐมนตี เปิดไทม์ไลน์วัคซีนป้องกันโควิด-19 ยืนยันคนไทย 60 ล้านคน ได้ฉีดตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน !!!

หลังจากที่เริ่มมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของประเทศต่าง ๆ จากหลายบริษัทผู้ผลิตมาใช้ ก็มีกระแสของผลข้างเคียงต่าง ๆ นานาออกมา จนเกิดเสียงวิจารณ์ในวงกว้างถึงความกังวลในผลลัพธ์ที่อาจกระทบชีวิตพอสมควร

เพราะต้องยอมรับว่าการเร่งผลิตวัคซีนในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง เนื่องจากระยะเวลาการพัฒนาและทดสอบวัคซีนส่วนใหญ่สั้นมากเพียง 10 เดือน ซึ่งถือว่าสั้นกว่าวัคซีนโรคอุบัติใหม่ก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้เวลาพัฒนาและทดสอบกัน 2 - 5 ปี ขึ้นไป เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าวัคซีนที่ได้มานั้นใช้ได้ผล ปลอดภัย และป้องกันเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปเป็นชนิดย่อย ๆ ได้ครอบคลุมที่สุด

แต่กับโควิด-19 ที่เหมือนว่าวัคซีนจะต้องเร่งพัฒนาแข่งกับเวลา จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่มีหยุด รวมทั้งเดิมพันด้วยเศรษฐกิจของโลกใบนี้ที่หยุดชะงักไปเพราะไวรัสทำพิษ มันกลายเป็นการบีบแบบไม่มีทางเลือกนอกจากเร่งทำมันออกมาให้เร็วที่สุด

แน่นอนว่าความเร็วที่ได้มาจากการเร่งผลิตนั้นย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากใครติดตามข่าวจะพบว่าการฉีดวัคซีนในตอนนี้ เริ่มมีผู้รับวัคซีนหลายรายเกิดอาการแพ้ ทั้งแบบเบาๆ และรุนแรงถึงขนาดต้องเข้าห้องไอซียู และส่วนใหญ่จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ที่ได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ

ทั้งนี้วัคซีนที่ดูจะมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงมากที่สุดก็เป็นของบริษัท Pfizer/BioNTech จากสหรัฐอเมริกา ที่เป็นบริษัทแรก ๆ ที่เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วในหลายประเทศ และเริ่มมีผู้มีอาการแพ้วัคซีนให้เห็นตามที่เป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปริมาณไม่มากเท่ากับสัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด แต่บางรายก็มีอาการรุนแรงมากจนต้องเข้าห้องฉุกเฉินอย่างที่กล่าวไป ซึ่งเป็นแพทย์ในประเทศเม็กซิโก ที่เกิดอาการช็อกวัคซีนแทบจะทันทีที่ได้รับ

ไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลของสหราชอาณาจักรถึงกับต้องนำเอกสารกำกับยาของวัคซีนจากบริษัท Pfizer/BioNTech เผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์ทางการของรัฐบาล เพื่อแจ้งไปยังประชาชนพร้อมกับคำเตือนสำหรับผู้ที่จะมารับวัคซีนที่จะต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ในข้อต้องห้ามรับวัคซีนเหล่านี้ ซึ่งผู้เขียนได้สรุปย่อมาให้จากเอกสารของ “Regulatory approval of Pfizer/BioNTech vaccine for COVID-19” อัปเดตเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ Gov.uk ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อของไทยยังไม่ค่อยพูดถึงหรือนำเสนอ

- วัคซีนโควิด-19 ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีสภาวะภูมิแพ้

- บุคคลที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือผู้ที่มีโรคเลือดออกซึ่งจะห้ามการฉีดเข้ากล้ามไม่ควรได้รับวัคซีน

- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องรวมถึงบุคคลที่ได้รับการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน อาจมีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนลดลง รวมทั้งผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้ม

- วัคซีนไม่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแม่และทารกในครรภ์

- วัคซีนไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ภายในไม่กี่เดือนหลังจากได้รับวัคซีน

- ผู้ได้รับวัคซีนจะไม่สามารถให้นมบุตรได้

- ผลข้างเคียงของวัคซีนอาจส่งผลกระทบให้มีอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่หรือใช้เครื่องจักรชั่วคราว

- มีอาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดจากกลุ่มทดสอบอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้แก่ อาการปวดบริเวณที่ฉีด (> 80%) ความเมื่อยล้า (> 60%) ปวดศีรษะ (> 50%) ปวดกล้ามเนื้อ (> 30%) หนาวสั่น (> 30 %), ปวดข้อ (> 20%) และ เป็นไข้ (> 10%) และมักจะมีความรุนแรงน้อยหรือปานกลางและจะหายภายในไม่กี่วันหลังการฉีดวัคซีน

- พบความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง ระบบภูมิคุ้มกัน และความผิดปกติของระบบประสาท

- ในบางรายพบอาการอัมพาตที่ใบหน้าส่วนปลายเฉียบพลัน

- อาจมีอาการสูญเสียการรับรสชาติหรือรับกลิ่น เจ็บคอ ท้องเสีย หรืออาเจียน

- หากมีอาการแพ้จากสารออกฤทธิ์หรือส่วนผสมอื่น ๆ ของวัคซีนที่รวมถึงผื่นคันที่ผิวหนัง หายใจถี่ และบวมที่ใบหน้าหรือลิ้น ต้องติดต่อแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทันทีหรือไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

- วัคซีนยังไม่มีการทดสอบหรือทดลองเพื่อหาผลข้างเคียงในระยะยาว

- วัคซีนไม่มีการทดสอบหรือทดลองเพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงหากรับประทานร่วมกับยาอื่นๆ ที่กำหนด

- การฉีดวัคซีนอาจไม่สามารถปกป้องผู้ที่ได้รับจากการติดเชื้อ COVID-19 ได้ 100% และยังไม่มีข้อมูลในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือกำลังรับการรักษาเรื้อรังที่ยับยั้งหรือป้องกันการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

- การฉีดวัคซีนยังไม่ยืนยัน100% ว่าจะป้องกันไม่ให้ผู้รับวัคซีนจะไม่เป็นพาหะแพร่กระจายไวรัสไปสู่ผู้อื่น

- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน เนื่องจากยังไม่เคยมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง

- และ 'ไฮไลท์' ของเอกสารดังกล่าวอยู่ที่...หากเกิดอาการเจ็บป่วยส่วนบุคคล หรือ 'เสียชีวิต' อันเป็นผลมาจากการรับวัคซีน รัฐบาลสหราชอาณาจักรและผู้ผลิตวัคซีนจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

นี่เป็นเพียงข้อมูลที่สกัดได้จากเอกสารกำกับยาของวัคซีนจาก Pfizer/BioNTech ที่เรียบเรียงเป็นภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย แต่ใช่ว่าทุกคนที่รับวัคซีนของบริษัทนี้จะมีอาการดังกล่าวทั้งหมด แต่ถือว่าเป็นเอกสารรัฐบาลสหราชอาณาจักรเผยแพร่ให้ผู้ที่ต้องการจะฉีดวัคซีนต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพื่อให้เกิดผลกระทบกับตัวเองน้อยที่สุด


อ้างอิง: https://www.gov.uk/government/publications/regulatory-approval-of-pfizer-biontech-vaccine-for-covid-19?fbclid=IwAR0iHwRPKxp_BicBt3YRMaVu-kQ4GlD_gytzpaS-8C3MDb_k5pAv86jRvRw

รองนายกรัฐมนตรี ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ รับรู้แล้ว มีบ่อนในกรุงเทพฯ พร้อมโยนหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องทำให้ไม่มี พร้อมรับมีขบวนการนำต่างด้าวเข้าเมือง สั่งทหาร - ตำรวจ ตรวจเข้มสกัดทางถนน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีตรวจสอบพบว่ามีบ่อนการพนันในกรุงเทพฯ ว่า เรื่องบ่อนที่ตนบอกว่าไม่มี หมายถึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่ ที่จะต้องทำให้บ่อนไม่มี ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าไม่มี เรื่องบ่อนเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ามี แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องทำให้บ่อนไม่มี

ส่วนกรณีการจับกุมชาวโรฮิงยาลักลอบเข้าเมืองมาอยู่ที่เขตดอนเมือง กรุงเทพฯและตรวจพบติดเชื้อโควิด -19 ว่า เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนอยู่

ขณะที่ หลายฝ่ายยอมรับว่ามีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าประเทศ แต่ทำไมยังจับขบวนการดังกล่าวไม่ได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราพยายามอยู่ และรู้ว่ามีเข้ามา แต่เป็นเรื่องของเจ้าที่ตำรวจและทหาร ที่ต้องตรวจตราบนถนนเพราะต้องโดยสารมากับรถก็ต้องวิ่งบนถนน ฉะนั้นตำรวจและทหารต้องดูแลล็อกการเดินทางบนถนนให้ได้

ส่วนขบวนการดังกล่าวมีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราตอบไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง สื่อมวลชนรู้หรือไม่ ถ้ารู้ให้บอกที

รองนายกรัฐมนตรี ‘วิษณุ เครืองาม’ ขอให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลให้ทันภายในสมัยประชุมสภาฯ นี้ หรือวันที่ 28 ก.พ. ส่วนการเปิดอภิปรายในช่วงสภาสมัยวิสามัญได้หรือไม่นั้น ยังเป็นข้อกฎหมายอยู่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหากฝ่ายค้านยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่สามารถอภิปรายได้ทันในสมัยประชุมสภานี้ จะสามารถขอเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญได้หรือไม่ ว่า ยังเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

แต่ขอให้ยื่นให้ทันภายในสมัยประชุมสภาฯ นี้หรือวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาฯ วิสามัญได้ แต่ถ้ายื่นในสมัยประชุมสามัญ แล้วอภิปรายไม่ทันภายในสมัยประชุมสภาฯ การจะไปเปิดอภิปรายในช่วงสภาสมัยวิสามัญได้หรือไม่นั้น ยังเป็นข้อกฎหมายอยู่

เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 254 บัญญัติว่า ปีหนึ่งให้ยื่นญัตติอภิปรายได้ 1 ครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นข้อกฎหมายว่าเขาได้มีการยื่นไว้แล้ว แต่ปัญหาคือการยื่นกับการอภิปรายมันคนละส่วนกัน แต่ไม่เป็นไร ขอให้ยื่นให้เสร็จภายในวันที่ 28 ก.พ.

ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุม เหมือนกับครั้งที่แล้วที่มีการอภิปรายจนปิดสมัยประชุมสภาฯ ดังนั้น อย่าเพิ่งไปเดา หรือสงสัยอะไรเลย เพราะตามข้อบังคับสภาฯ กำหนดไว้ว่า ประธานสภาจะต้องตรวจสอบรายชื่อและวินิจฉัยเป็นการด่วน และรีบบรรจุ ดังนั้น โอกาสบรรจุในสมัยประชุมนั้นทัน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเลื่อนประชุมสภาฯ ไปอีก 2 สัปดาห์ จะส่งผลกระทบต่อการออกกฎหมายของรัฐบาลหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ที่เป็นห่วงตอนนี้คือเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทำประชามติ ร่างพ.ร.บ.กสทช. ร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติด ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้มีความจำเป็นเร่งด่วน

เพราะตามกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ต้องให้เสร็จและประกาศใช้ได้ภายในวันที่ 12 ก.พ. ส่วนร่างรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประชามติจะไปด้วยกันอาจจะช้านิดหน่อยได้ เพราะมันไม่ได้จะถูกบังคับว่าจะต้องทำภายในเท่านั้นเท่านี้ แต่ขอให้เสร็จเร็วเท่านั้น ขณะที่พ.ร.บ. กสทช. อยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภา จวนจะเสร็จแล้ว แต่ยังประชุมกันไม่ได้

กรณีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) หากจะนำมาเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ วาระ 3 ยังไม่ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า หากผ่านวาระ 2 และต้องพักไว้ 15 วัน และปรากฏว่าไม่ทันภายในวันที่ 28 ก.พ.อย่างไรรัฐบาลก็จะเปิดการประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญให้สำหรับการแก้ไขรัฐธรรม และร่างพ.ร.บ.ประชามติ

รมช.มหาดไทย “นิพนธ์ บุญญามณี” ถาม “สิระ” มีหน้าที่อะไร เหตุพาผู้ต้องหาขอดูสำนวนคดีฮั้วประมูลจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางที่ยังไม่เสร็จสิ้น ทำเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องหรือไม่ พร้อมขู่ว่าการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญ

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ ได้นำนายอิทธิพล ดวงเดือน กรรมการบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ผู้ต้องหาในคดีอาญา 1975/2562 ของ สภ.เมืองสงขลา เดินทางมาพบกับ พ.ต.อ.ภูวรา แก้วภารัตน์ ผกก.สภ.เมือง สงขลา

เพื่อไปขอดูสำนวนคดีที่ อบจ.สงขลา แจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัทเอกชน 2 ราย ได้แก่ บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ซึ่งมีนายอิทธิพล เป็นกรรมการ และบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค จำกัด ซึ่งมี น.ส. ศศิธร ตั้งตรงคิด เป็นกรรมการ ในข้อหาร่วมกันปลอมเอกสาร และแสดงเอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อเข้าประมูลการจัดซื้อรถซ่อมบำรุงทางและร่วมกันสมยอมราคาอันเป็นเหตุให้ อบจ.สงขลา ได้รับความเสียหาย ว่า คดีดังกล่าวยังเป็นคดีที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน

ซึ่งตนมีข้อสังเกตว่า นายสิระ เป็นส.ส.สังกัดพรรคพลังประชารัฐนั้น มีอำนาจมาขอดูสำนวนการสอบสวนที่พนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ เพราะนายสิระไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดี อีกทั้งยังมีข้อน่าสังเกตว่า น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาบริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด เช่นกัน ดังนั้นการที่นายสิระ ซึ่งเป็น ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาขอดูสำนวนคดีดังกล่าวกับพนักงานสอบสวน จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และบริษัทพลวิศว์ฯ หรือไม่

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า "ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายก อบจ. สงขลา ข้อเท็จจริงต่างๆ เรื่องนี้อยู่ในสำนวนสอบสวนอยู่แล้ว เหตุเพราะอบจ.สงขลา ได้รับหลักฐานที่ บริษัท พลวิศว์ ฯ และบริษัท เอส พี เค ออโต้เทค ใช้ประกอบยื่นซองประกวดราคาว่าทั้ง 2 บริษัท ยื่นเอกสารปลอมต่อ อบจ.สงขลา และน่าเชื่อว่ามีการฮั้วประมูลกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์ความจริงกันไปตามกระบวนการ ดังนั้นทุกฝ่ายไม่ควรเข้าไปแทรกแซงการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรจะมีใครใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะขั้นตอนในชั้นพนักงานสอบสวนถือเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น รวมทั้งในเรื่องนี้ เมื่อ อบจ. และผู้มีส่วนได้เสียได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วก็ขอให้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ขอให้นายสิระระวังเพราะถ้าเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงจะมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ"

"การจะมากล่าวอ้างใดๆ อีกนั้น ผมคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสม เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นวุฒิภาวะที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ และโดยปกติการกระทำการใดๆ โดยใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบก็หมิ่นเหม่ต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ต้องบอกให้ชัดว่านายสิระทำในนามส่วนตัว หรือทำในนามคณะกรรมาธิการ ของสภาฯ" นายนิพนธ์กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เผย แพทย์และพยาบาลเป็นด่านหน้าในการจัดการโรคระบาดโควิด-19 มีความเสี่ยงสูง จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก แต่ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแนวทางการจัดหาวัคซีน covid-19 โดยระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทย จะได้วัคซีนอย่างเร็วที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะรับเข้ามาก่อน 2 แสนโดส และจะครบตามจำนวน 2 ล้านโดส ในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน ในอนาคต อาจจะได้วัคซีนเร็วกว่านี้ เพราะกำลังเจรจากับผู้ผลิตอีกหลายราย

การเร่งนำวัคซีนเข้ามาก่อนนั้น ส่วนสำคัญมาจากพบการระบาดรอบใหม่ จึงจำเป็นต้องปกป้องดูแลประชาชนก่อน จำเป็นต้องมีการปรับแผน เพื่อให้ได้วัคซีนเร็วขึ้น ทั้งนี้ การพิจารณานำเข้ามานั้น วัคซีนต้องผ่านการรับรองโดยประเทศต้นทางว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัย เมื่อมาถึงประเทศไทยจะมีกระบวนการตรวจสอบอีกหลายชั้น เพื่อให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด

การตกลงซื้อมาคราวละ 2 ล้านโดส เป็นแผนการจัดซื้อ ซึ่งต้องเร่งหามาให้แพทย์ พยาบาล นักรบด่านหน้าก่อน เพราะกลุ่มนี้ มีบทบาทสำคัญในการจัดการโรคระบาด ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งเราจะสูญเสียบุคลากรการแพทย์ไม่ได้ จึงจัดหาวัคซีนมาปกป้อง

จากนั้น เราจะมีวัคซีนของแอสตราเซนนิกา สำหรับฉีดให้ประชาชนที่เหลือต่อไป ระหว่างนั้น จะมีวัคซีนโควิด-19 เข้ามาให้พิจารณาเพิ่มเติม ภาครัฐ จะจัดหาเข้ามาใช้แน่นอน และยืนยันว่าการฉีดเข้าร่างกายคนไทย จะเกิดขึ้นเมื่อวัคซีนนั้น ได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค

ส่วนเรื่องการล็อกดาวน์ ไม่มีใครอยากให้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งในการระบาดรอบแรก ประเทศไทยควบคุมการระบาดได้ เพราะคนไทยช่วยกัน รอบนี้ หากคนไทยยังคงความสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ ทุกคนจะก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญคือกรุณาปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด เกิดจากการลักลอบเข้าเมืองใช่หรือไม่ เกิดจากการไปเที่ยวบ่อนใช่หรือไม่ ล้วนเป็นกิจกรรมผิดกฎหมาย ประชาชน ต้องช่วยกัน ส่วนภาครัฐต้องใช้มาตรการที่เด็ดขาด

ระหว่างที่รอวัคซีนอยู่นี้ จำเป็นต้องบริหารจัดการอุปกรณ์ป้องกัน และเวชภัณฑ์ ให้เพียงพอ ทั้งในเรื่องของการใช้ และการหามาเพิ่มในสต็อก รวมไปถึงความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ อาทิ การตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งสามารถตั้งได้อย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานในการควบคุม และรักษาโรค มีแผนการตลอดว่า ถ้าเจอผู้ติดเชื้อ ใน 24 ชั่วโมงต้องทำอย่างไร ใน 48 ชั่วโมง ต้องทำอย่างไร ซึ่งปัจจุบันนี้ ปฏิบัติได้ตามแผน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งคุมเข้มทุกโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มเหมืองแร่ใน 28 จังหวัด พื้นที่เสี่ยงสูงสุด เฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคเอกชนที่อยู่ในความรับผิดชอบกระทรวงอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ประกอบการเหมืองแร่ทั้ง 28 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีสถานประกอบการรวมกว่า 49,391 โรงงาน จำนวนคนงานกว่า 3.02 ล้านราย

รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร และผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้วย

ทั้งนี้ให้ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคดังกล่าวในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าว ไม่ให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ในหรือนอกโรงงาน

โดยขอความร่วมมือผู้ประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดพิจารณาดำเนินการ เช่น ปรับเวลาการปฏิบัติงานของคนงาน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 , คัดกรองพนักงานทุกคน ตรวจวัดอุณหภูมิ ตรวจสอบประวัติการเดินทาง , สุ่มตรวจหาเชื้อโควิดในพนักงาน , เตรียมสถานที่กักตัวผู้ที่ติดเชื้อ , ใช้แอปพลิเคชัน หมอชนะในการมอนิเตอร์ ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือติดการแถลงข่าวของรัฐบาลเพื่อปฏิบัติตามอย่างใกล้ชิด

ในส่วนของบุคลากรข้าราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงาน ดังนี้

1.) ปรับเวลาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยการเหลื่อมเวลาเข้าปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

2.) Work From Home ร้อยละ 50 ของบุคลากร โดยพิจารณาให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนงานขยับเวลาการทำงาน เพื่อลดจำนวนผู้ปฏิบัติงานและปริมาณการเดินทาง ลดความแออัดในการใช้สถานที่ด้วยการปฏิบัติงานที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการทำงาน อาทิ การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ วิดีโอคอล แอปพลิเคชันไลน์ หรืออีเมล์มาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้มีข้อติดขัด หรือเกิดปัญหากับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน ทั้งนี้ แม้ว่าจะปรับมาตรการในการทำงาน แต่ภารกิจในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ก็ยังจะสามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้มีความต่อเนื่อง และมุ่งหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด – 19 อย่างได้ผล

3.) คัดกรองเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานในกระทรวงอุตสาหกรรม (ตรวจวัดอุณหภูมิ)

4.) ประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันโควิด DMHTT (Distancing / Mask Wearing / Hand Washing / Testing / Thai Cha Na)

5.) รณรงค์ให้ใช้ Application หมอชนะในการ Monitor ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ

"ตอนนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการออกประกาศ และออกหนังสือขอความร่วมมือสถานประกอบการในพื้นที่เสี่ยงสูงสุด และบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามแนวป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 พร้อมเน้นย้ำการปรับมาตรการในการทำงานจะไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้"

ธนาคารโลก ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกล่าสุด คาดเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าระดับ 4.2% ที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.2563 จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังลุกลามต่อเนื่องทั่วโลก

ธนาคารโลก หรือ World Bank ได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าระดับ 4.2% ที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.2563 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

แม้ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวขึ้น หลังจากทรุดตัวลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาด แต่การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้า ๆ และซบเซา

พร้อมกันนี้ เวิลด์แบงก์ ยังประเมินว่า ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 1.6% ในปีนี้ หลังจากหดตัว 4.3% ในปีที่แล้ว หากการแพร่ระบาดยังคงลุกลามต่อไป และการฉีดวัคซีนประสบความล่าช้า

นอกจากนี้ ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.8% ในปี 2565 ขณะที่ไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงาน

ขณะเดียวกัน ธนาคารโลก ยังคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐ อเมริกา จะขยายตัว 3.5% ลดลงจากระดับ 4.0% ที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากหดตัว 3.6% ในปีที่แล้ว

ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซน คาดว่า จะขยายตัว 3.6% ในปีนี้ หลังจากหดตัว 7.4% ในปีที่แล้ว ขณะที่ ญี่ปุ่น จะขยายตัว 2.5% ในปีนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ และจีน จะขยายตัว 7.9% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.9% ในการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

นายเเพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงรายเขต 1 พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เเละการจัดหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในอนาคต

นายแพทย์เอกภพ กล่าวว่า "ตนมีความรู้สึกหงุดหงิดมากกับการจัดการการระบาดของโควิดโดยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดได้สรุปให้เห็นหลักคิดหลักการทำงานของเขาชัดเจนว่าไม่เคยให้ค่าประชาชนและไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองและพวกพ้อง ในเรื่องของกระบวนการที่สับสนอลหม่านนี้ผมได้เขียนถึงมาหลายรอบแล้ว วันนี้ผมจะเขียนถึงความมั่วซั่วในเรื่องวัคซีนกันครับ"

"จากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐบาลมีความล่าช้าเรื่องวัคซีนกว่าประเทศเพื่อนบ้านจนกระทั่งอยู่ดี ๆ ก็มีการเสนอข่าวว่าในเดือนกุมภาพันธ์ประเทศเราจะมีวัคซีนนำเข้าจากจีนของบริษัท Sinovac ซึ่งเหมือนเป็นข่าวดีนะครับ แต่เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าของการได้วัคซีนมาฉีดให้ประชาชนไทย ในวันนั้นตลอดการชี้แจงไม่มีการพูดถึงการจะซื้อวัคซีนจากจีนเลย

และยิ่งกว่านั้นเมื่อพยายามหาข้อมูลทางวิชาการของวัคซีนตัวนี้พบว่าเจอแค่ผลการทดลองในเฟส 1 และ 2 แต่ยังไม่มีผลการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นการทดลองในประชากรกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Randomized Controlled Trial ออกมาในฐานข้อมูลของวารสารทางการแพทย์เลย มีแต่การนำเสนอวิธีการศึกษาที่ไม่มีผลการศึกษาเท่านั้น การนำวัคซีนที่ยังไม่มีผลการวิจัยเข้ามาแบบนี้ต้องไปดูขั้นตอนการอนุมัติของ องค์การอาหารเเละยา (อย.) ครับว่ามีการอนุมัติอย่างไร จนมีเสียงลือมาถึงหูผมว่าบางทีวัคซีนตัวนี้อาจมาจากบริษัททุนใหญ่บางบริษัทก็ได้"

นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ตามการเสนอข่าวของหลายสำนักข่าวจะพบว่าเราจะมีการได้รับวัคซีนมาฉีดทีละชุด ๆ ในเวลาห่างกันพอสมควรและทีร้ายไปกว่านั้นคือจำนวนประชากรที่จะได้รับวัคซีนมีรวมแล้วก็แค่ประมาณ 20% กว่าของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น โดยทั้งที่ตามหลักการแล้ว หากจะหยุดการระบาดของโคโรน่าไวรัสตัวนี้ได้ ต้องให้ประชากรมีภูมิต้านทานประมาณถึง 80% ของประชากร ดังนั้นการได้วัคซีนมาเพียง 20% อาจไม่เพียงพอต่อการหยุดการระบาดได้

โดยข้อมูลในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าหลังฉีดวัคซีนไปแล้วร่างกายจะคงมีภูมิต้านทานต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่และวัคซีนของแต่ละยี่ห้อให้ระยะเวลาคุ้มกันได้นานต่างกันมั้ย

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดของการจัดหาวัคซีนมาก็ควรจะจัดหา วัคซีนเพื่อทุกคน และกระจายไปหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายเทคโนโลยี รวมทั้งควรมีการระดมฉีดในคราวเดียวกันทั่วประเทศ และเราต้องมาดูว่าหากไม่สามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดพร้อมๆ กันได้จะฉีดให้กลุ่มไหนก่อน

แน่นอนว่ากลุ่มเสี่ยงที่สุดคือบุคลากรสาธารณสุขควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการป้องกันเพื่อให้เขายังคงทำงานต่อได้อย่างปลอดภัย แล้วต่อไปเราจะเลือกกลุ่มไหนในสัดส่วนอย่างไรระหว่างกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก หรือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อคือคนวัยทำงาน

"ดังนั้นนอกจากการที่ต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว รัฐบาลยังต้องวางแผนการฉีดวัคซีนที่ใช้หลักการทางวิชาการมาสนับสนุนด้วย"

ทั้งนี้ เอกภพ กล่าวทิ้งท้ายว่า "หากเรารอให้ประเทศอื่นฉีดวัคซีนให้ประชากรจนเขาจัดการการระบาดได้แล้ว ประเทศเหล่านั้นจะเริ่มเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เพราะประเทศเขาถือว่าสิ้นสุดการระบาดแล้ว ประเทศเราที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรจนประกาศสิ้นสุดการระบาดได้ช้าก็จะเสียโอกาสในการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่อัดอั้นมานานได้ช้าด้วย โอกาสฟื้นเศรษฐกิจจากเงินต่างประเทศของเราก็ช้าไป"

โปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ ล่ม! เซ่นพิษโควิด-19

ในที่สุดก็ล่มจนได้ กับเมก้าโปรเจคร่วมระหว่าง มาเลเซีย และสิงคโปร์ในการสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกันระหว่างกัลลาลัมเปอร์ด่วนตรงถึงใจกลางสิงคโปร์ เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่อาจบรรลุข้อตกลงในการลงทุนร่วมกันในขั้นสุดท้ายได้

โปรเจครถไฟความเร็วสูง หรือ Malaysia-Singapore High-Speed Rail (HSR) เป็นโครงการที่เริ่มคุยกันมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายิบ ราซัค ที่ต้องการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจหลักในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมระยะทางยาวถึง 350 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในฝั่งมาเลเซีย 335 กิโลเมตร และในสิงคโปร์ 15 กิโลเมตร ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์จากเดิม 4 ชั่วโมงเหลือเพียง 90 นาทีเท่านั้น

หากโครงการนี้ตกลงเริ่มสร้างกันตั้งแต่ที่เจรจากันในช่วงแรก ก็จะสามารถสร้างให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 2026 โดยใช้ประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 8 พันล้านริงกิต (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) ซึ่งอันที่จริงมีการเซ็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2016

แต่โครงการมาหยุดชะงักชั่วคราวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจาก นายิบ ราซัค มาเป็นดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด ที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาได้อย่างพลิกล็อคถล่มทลายในปี 2018 และก็เป็น ดร.มหาเธร์ ที่เป็นผู้สั่งระงับโครงการเนื่องจากงบประมาณก่อสร้างสูงเกินไป จึงนำรายละเอียดทั้งโครงการมาพิจารณาใหม่ ปรับงประมาณ ปรับรูปแบบสถานี ที่จะทำให้ใช้งบน้อยลง และยืดระยะเวลาการชำระเงินให้นานขึ้นให้กับมาเลเซีย

ซึ่งการเจรจาระงับโครงการอยู่ในช่วงระยะเวลา 2 ปี สิ้นสุดภายในปี 2020 นี้ ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จาก ดร. มหาเธร์ มูฮัมหมัด เป็นนายมูห์ยิดดิน ยัสซิน จึงมีการหยิบยกโปรเจคนี้ขึ้นมาพิจารณากันใหม่

และหลังจากการประชุมร่วมกันระหว่าง นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน กับ นาย ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็ปรากฏว่ายังตกลงที่จะเดินหน้าโครงการต่อไม่ได้ เนื่องจากงบประมาณ และผลพวง Covid-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศอย่างหนัก มาเลเซียจึงตัดสินใจเทโปรเจครถไฟความเร็วสูง มาเลย์-สิงคโปร์ไปด้วยประการฉะนี้

เมื่อมาเลเซียไม่สานต่อโครงการที่เคยตกลงว่าจะทำร่วมกันมานานเกือบ 10 ปี ทางสิงคโปร์อาจต้องดำเนินเรื่องปรับเงินเป็นค่าฉีกสัญญา หรือที่บ้านเรามักเรียกว่า "ค่าโง่" เป็นเงินกว่า 250 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 5.6 พันล้านบาท

แต่ทั้งนี้ ชาวมาเลเซียบางส่วนก็โล่งใจมากกว่า ที่โครงการนี้พับลงไปได้ เพราะเรื่องงบประมาณที่สูงบีบหัวใจ และคิดว่าคนมาเลเซียอาจได้รับผลประโยชน์จากเส้นทางนี้น้อย ไม่คุ้มค่าในการลงทุน เมื่อการเดินทางโดยเครื่องบินอาจเป็นทางเลือกที่สะดวกอยู่แล้ว ซึ่งค่าตั๋วโดยสารของสายการบิน Low cost ก็มีความใกล้เคียงกับตั๋วรถไฟความเร็วสูง

แต่ว่าค่าโง่ที่ต้องจ่าย อาจต้องมาคุยกันอีกยาว


แหล่งข่าว

https://news.cgtn.com/news/2021-01-01/Malaysia-Singapore-high-speed-rail-project-terminated-WH5zVeT2jm/index.html

https://www.malaymail.com/news/malaysia/2021/01/01/malaysia-to-pay-singapore-compensation-as-high-speed-rail-hsr-contract-term/1936420

https://asia.nikkei.com/Politics/International-relations/Singapore-and-Malaysia-terminate-high-speed-rail-project


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top