Saturday, 30 September 2023
THE STATES TIMES TEAM

รมว.พิพัฒน์ มอบนโยบาย สสปท ทำงานเชิงรุก เน้นสร้างวัฒนธรรมเชิงป้องกันให้สังคมไทย

วันที่ 28 กันยายน 2566 เวลา 14.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) สสปท.  ณ ห้องประชุมกองความปลอดภัยแรงงาน ชั้น 4 อาคารกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ส่วนแยกตลิ่งชัน  

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า  สสปท.เป็นองค์การมหาชน ที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมความรู้ด้านความปลอดภัยในการทำงานให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมความรู้ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้กับแรงงานทุกระดับ  โดยใช้งานวิชาการ จากการทำงานวิจัย การจัดทำมาตรฐาน และการพัฒนานวัตกรรม ในการทำงานเชิงรุก และนำไปสู่การสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย”ในการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมา สสปท.ได้เผยแพร่ความรู้จากงานวิจัยและการจัดทำมาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยอบรมให้กับ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านความปลอดภัย จำนวนกว่า 25,000 คนทั่วประเทศ จากสถานประกอบการ 6,000  แห่ง  จัดทำคู่มือและแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัย จำนวน 28 เรื่อง และงานวิจัยด้านความปลอดภัยเพื่อต่อยอดเป็นแนวปฏิบัติจำนวน  5 เรื่อง ซึ่งมีผู้สนใจดาวน์โหลดจากเวปไวต์ สสปท.มากถึง 5 แสนกว่าครั้ง             

“ภารกิจของ สสปท.เรียกได้ว่า มีบทบาทที่สำคัญกับสังคมไทยมาก ในการที่จะสร้างความตระหนักรู้ ปลุกจิตสำนึกด้านความปลอดภัย ในการทำงานให้เกิดขึ้นในภาคแรงงานและสังคมโดยรวม  เพราะหากที่ไหนมีความปลอดภัย ที่นั่นย่อมลดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ และชีวิต” นายพิพัฒน์กล่าว

จากนั้น นายพิพัฒน์ ได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ สสปท. โดยขอให้ สสปท.ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการ คุ้มครองสิทธิแรงงาน ให้มีความปลอดภัยในการทำงาน นำไปสู่การลดสถิติการประสบอันตรายและโรคจากการทำงานได้ในระยะยาว  และขอให้ สสปท. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ทั้งภายในกระทรวงแรงงาน และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อร่วมบูรณาการในการทำงานด้านความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ประชาชน ชุมชน โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ร่วมกัน ในการก่อให้เกิดความปลอดภัยเชิงป้องกันกับทุกภาคส่วนในสังคม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีอำลาตำแหน่งแก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร.

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดจัดพิธีอำลาตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ เนื่องในโอกาสที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2566 

ในวันศุกร์ ที่ 29 ก.ย.66 เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีตรวจแถวกองเกียรติยศ และพิธีสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 ณ บริเวณด้านหน้าอาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพิธีถวายราชสักการะพระบรมรูปหล่อ รัชกาลที่ 9 ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ เมื่อเสร็จสิ้นพิธีฯ ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดให้จัดพิธีอำลาตำแหน่งแก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ๋ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ชินภัทร  สารสิน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.วิษณุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจเข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน

สำหรับในช่วงท้ายของพิธีฯ ข้าราชการตำรวจจากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งแถวร่วมแสดงมุฑิตาจิต ในการส่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี พ.ศ. 2566 ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทรภ.1 ส่งหมู่เรือ ไปปฏิบัติราชการชายแดนไทย-กัมพูชา ในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1

เมื่อวานนี้ (29 กันยายน 2566) นาวาเอก ศรยุทธ พุ่มสุวรรณ์ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะผู้บังคับหมวดเรือตระเวนชายแดน เป็นประธานในพิธีส่งหมู่เรือไปปฏิบัติราชการในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดนส่วนที่ 1 เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล บริเวณพื้นที่ชายแดนทางทะเล ไทย - กัมพูชา 

ประกอบด้วย เรือหลวงศรีราชา เรือ ต.83 เรือ ต.232 และ เรือ ต.269 พร้อมให้โอวาทและมอบกระเช้า เพื่อให้กำลังพลมีขวัญและกำลังใจที่ดี ในการเดินทางไปปฏิบัติราชการชายแดนในครั้งนี้ ณ ท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

กองทัพเรือ จัดเรือหลวงช้าง ตรวจพลสวนสนามทางเรือ เพื่อเป็นเกียรติแด่ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเยี่ยมอำลาหน่วยในพื้นที่สัตหีบ ก่อนเกษียณอายุราชการ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปเยี่ยมอำลาหน่วยกอ

กองทัพเรือ จัดเรือหลวงช้าง ตรวจพลสวนสนามทางเรือ เพื่อเป็นเกียรติแด่ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาสเยี่ยมอำลาหน่วยในพื้นที่สัตหีบ ก่อนเกษียณอายุราชการ

พลเรือเอก เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เดินทางไปเยี่ยมอำลาหน่วยกองทัพเรือ ในพื้นที่สัตหีบ ในโอกาสเกษียณอายุราชการ บนเรือหลวงช้าง ซึ่งจอดลอยลำ บริเวณอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือเอก อะดุง  พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จากหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ ให้การต้อนรับ โดยเรือหลวงปิ่นเกล้าได้ยิงสลุต เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้บัญชาการทหารเรือ จำนวน 19 นัด จากนั้นเรือต่าง ๆ ในหมู่เรือสวนสนาม ได้ทำการสวนสนามทางเรือเพื่อเป็นเกียรติแด่ ผู้บัญชาการทหารเรือ  

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสวนสนามทางเรือ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ได้กล่าวสดุดีแด่ผู้บัญชาการทหารเรือ จากนั้นผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ตลอดจนได้เน้นย้ำให้กำลังพลทุกนายร่วมมือ ร่วมแรงและร่วมใจ กันปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง ซื่อสัตย์สุจริตเพื่อกองทัพเรือ

สำหรับกองเรือยุทธการ เป็นหน่วยที่มีความสำคัญในด้านการเตรียมกำลังรบทางเรือให้มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจในการปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ โดยปฏิบัติการทางเรือ ปฏิบัติการทางอากาศ ปฏิบัติการตามลำน้ำ และปฏิบัติการสงครามพิเศษทางเรือ ตลอดจนการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมทั้งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ลำดับที่ 56 ของกองทัพเรือ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอก เชิงชายฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายหลัก 9 ด้าน โดยมุ่งเน้นนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือท่านที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคง ของกองทัพเรือ และเพื่อให้กำลังพลทุกนายได้ร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของกองทัพเรือที่กำหนดไว้คือเป็นหน่วยงานความมั่นคงทางทะเลที่มีบทบาทนำในภูมิภาค และเป็นเลิศ ในการบริหารจัดการ สำหรับนโยบายหลัก 9 ด้าน มาจากยุทธศาสตร์กองทัพเรือ พ.ศ.2560 - 2580 ซึ่งเป็นแผนแม่บทการพัฒนากองทัพเรือด้านต่าง ๆ และนโยบายกองทัพเรือระยะ 5 ปี พ.ศ.2566 – 2570

พิธีสวนสนามเนื่องในโอกาสรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ และการมอบการบังคับบัญชา

ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ให้ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็น ผู้บัญชาการทหารอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 นั้น 

กองทัพอากาศ ได้จัดพิธีรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ระหว่าง พลอากาศเอก อลงกรณ์  วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ซึ่งเกษียณอายุราชการ กับ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศ ข้าราชการทหารอากาศ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ สมาคมแม่บ้านทหารอากาศ และแขกผู้มีเกียรติร่วมในพิธี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2566 ณ ลานอเนกประสงค์ อุทยานการบินกองทัพอากาศ

โดยพลอากาศเอก อลงกรณ์  วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ส่งธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ และแฟ้มเอกสารรับ - ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้แก่ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ท่านใหม่) เพื่อแสดงถึงการส่งมอบหน้าที่และการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ ในโอกาสนี้ กองทัพอากาศได้จัดพิธีสวนสนามเพื่อเป็นการเทิดเกียรติ ซึ่งประกอบด้วย

กำลังพลสวนสนามเพื่อเป็นเกียรติ จำนวน 4 กองพัน ดังนี้
- กองพันที่ 1 จัดกำลังพลจาก กรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช
 - กองพันที่ 2 จัดกำลังพลจาก กองนักเรียน โรงเรียนจ่าอากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ
 - กองพันที่ 3 จัดกำลังพลจาก กรมทหารต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
 - กองพันที่ 4 จัดกำลังพลจาก กรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน

และจัดขบวนยานยนต์สวนสนาม จำนวน 29 คัน ดังนี้
- รถผู้บังคับกองพันยุทธยานยนต์ จำนวน 1 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ 
หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถจักรยานยนต์สารวัตรทหารอากาศ จำนวน 2 คัน จากสารวัตรทหารอากาศ
- รถยนต์สารวัตรทหารอากาศ จำนวน 2 คัน จากสารวัตรทหารอากาศ
- รถสายตรวจยานยนต์เบา จำนวน 4 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถชุดปฏิบัติการ จำนวน 4 คัน จากกรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถโจมตี (รถบันได) จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถยิงจรวดต่อสู้อากาศยาน จำนวน 4 คัน จากกรมต่อสู้อากาศยาน รักษาพระองค์ 
หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถเกราะ V-150 จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน
- รถเกราะ Condor จำนวน 4 คัน จากกรมปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน

นอกจากนี้ยังจัดให้มีการสวนสนามทางอากาศ โดยจัดอากาศยานของกองทัพอากาศ ทำการบินผ่านพิธีในห้วงเวลาที่ 1 ประกอบด้วย หมู่บิน FINALE FLYING ซึ่งเป็นการประกอบกำลังของอากาศยานจำนวน 10 เครื่อง ดังนี้
- เครื่องบินฝึกแบบที่ 2 (T-50) จำนวน 3 เครื่อง จากฝูงบิน 401 กองบิน 4 
- เครื่องบินขับไล่แบบที่ 19 ก (F-16) จำนวน 3 เครื่อง จากฝูงบิน 403 กองบิน 4 
- เครื่องบินขับไล่แบบที่ 20 ก (Gripen 39D) จำนวน 4 เครื่อง จากฝูงบิน 701 กองบิน 7
และห้วงเวลาที่ 2 ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่แบบที่ 20 ก (Gripen 39D) จำนวน 1 เครื่อง จากฝูงบิน 701 กองบิน 7

สำหรับ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี  พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ คนที่ 30 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 นักเรียนนายเรืออากาศรุ่นที่ 31 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ เป็นนักบิน ทำการบินกับเครื่องบิน CT-4A,T-37 Twinny, A-37B Dragonfly, F-5E/F Tiger shark, F-16A/B Fighting Falcon และ JAS-39C Gripen มีชื่อนามเรียกขานว่า Armstrong โดยมีประวัติรับราชการในตำแหน่งที่สำคัญ ดังนี้ ครูการบินและนักบินลองเครื่อง (F-16), ผู้บังคับฝูง 403 กองบิน 4 ตาคลี (F-16), รองผู้บังคับการกองบิน 4 ตาคลี, ผู้บังคับการกองบิน 7 (Gripen) สุราษฎร์ธานี,  ผู้ช่วยทูตไทยประจำกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร, รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ, เจ้ากรมข่าวทหารอากาศ, รองเสนาธิการทหารอากาศ, เสนาธิการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านยุทธการเป็นอย่างมาก และเคยมีส่วนร่วมในการประสานโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี ยุคที่ 5 ของกองทัพอากาศ (F-35) ก่อนมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ

ทิ้งทวนก่อนเกษียณ ผบ เด่น นำทีมรวบคอลเซนเตอร์อ้างเป็นพนักงานธนาคาร เสียหายหลักล้าน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ประสานงาน พล.ต.อ.ซอ เทศ ผบ.ตร.กัมพูชา  นำเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด PCT5 ผนึกกำลังตำรวจกัมพูชา ตามรวบพนักงานคอลเซนเตอร์คนไทย 3 ราย คาตึกพาณิชย์ที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการ เมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยจุดดังกล่าว เป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่แอบอ้างเป็นพนักงานเร่งรัดหนี้สินของธนาคารแห่งหนึ่ง โทรป่วนคนไทยด้วยกัน เสียหายจำนวนมาก

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ ผอ.PCT ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน.PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. / รอง หน. PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ทองแพ , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี, ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพ , ร.ต.ท.พุฒิพงศ์ กองแก้ว ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 และ ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.)  ร่วมกับ พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วยผบ.ตร.กัมพูชา ,พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผชท.ตร.ไทย ประจำประเทศกัมพูชา สืบสวนติดตามจับกุมตัว

1.นายภานุ มาลัย อายุ 22 ปี ที่อยู่ 36/4 หมู่ 01 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 
ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 615/2566
2.นายกฤษณะ ศรียงค์  อายุ 20 ปี  ที่อยู่ 537 หมู่  04  ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 621/2566
3.นายพงศกร ศรียงค์  อายุ 20 ปี  ที่อยู่ 36/4 หมู่  01  ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 

ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 622/256 ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซอ่งโจร, ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าข้อูมลสุ่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”

สืบเนื่องจากชุดปฏิบัติการที่ 5 ศปอส.ตร. (PCT 5) ได้รับการประสานขอความช่วยเหลือจากชาวไทย ที่เดินทางไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่อาคารแห่งหนึ่ง เมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา โดยได้ให้ข้อมูลกับชุดสืบสวนว่า ที่อาคารดังกล่าว มีพนักงานคอลเซนเตอร์เป็นชาวไทยทั้งหมด ไม่ต่ำกว่า 100 ราย ทำหน้าที่โทรหลอกผู้เสียหายโดยแบ่งหน้าที่กันทำดังนี้

สาย 1 อ้างตัวเป็นฝ่ายเร่งรัดหนี้สินธนาคารกสิกรไทย ออกอุบายสอบถามผู้เสียหายว่า เลขท้ายบัตรเครดิตสี่หลักนี้ เป็นของผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งเมื่อผู้เสียหายตอบว่าไม่ใช่ ก็จะแจ้งกับผู้เสียหายว่า ข้อมูลของท่านอาจรั่วไหล แนะนำให้แจ้งกับที่ สภ.เมืองตาก โดยให้กดปุ่มสี่เหลี่ยม (#) 2 ครั้ง ระบบจะโอนสายอัตโนมัติไปยัง สาย 2

สาย 2 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก (ยศ ส.ต.ต. ถึง ด.ต.) สอบถามผู้เสียหายว่าจะแจ้งความเรื่องอะไร และหลอกว่าข้อมูลของผู้เสียหายนั้น มีคนร้ายได้นำไปใช้ ทำให้ผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและยาเสพติด และผู้เสียหายจะต้องโอนเงินมาตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หากผู้เสียหายยังไม่หลงเชื่อ จะทำทีเดินไปเคาะประตูและให้คุยกับตำรวจระดับ ร.ต.อ. ขึ้นไป เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ
 
สาย 3 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก ระดับ ร.ต.อ. ขึ้นไป หลอกว่าจะดำเนินคดี กับผู้เสียหาย มีการส่งข้อมูลหลอกผู้เสียหายผ่านทางไลน์ เช่น หมายจับ (ปลอม) หรือบางครั้งใช้วิธีวิดีโอคอล และใช้เทคนิคตัดต่อ สร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นตำรวจจริง ๆ ในท้ายที่สุด ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้โอนเงินไปตรวจสอบความบริสุทธิ์ ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ สร้างความเสียหายหลักล้านบาท ชุด PCT 5 จึงได้ประสานงานกับตำรวจกัมพูชา ล่าสุดวันที่ 28 กันยายน 2566 ได้รับรายงานว่าตำรวจกัมพูชา ได้เข้าตรวจค้นและจับกุมตัวพนักงานคอลเซนเตอร์ชาวไทย รายสำคัญได้ 3 ราย ซึ่งทุกคนมีหมายจับไทย ดังนี้
1.นายภานุ มาลัย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 615/2566
2.นายกฤษณะ ศรียงค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 621/2566
3.นายพงศกร ศรียงค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 622/2566
ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซอ่งโจร, ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าข้อูมลสุ่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างนำตัวกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า “เราได้ดำเนินการสืบสวนปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงคิดหาวิธีที่ใช้นำมาใช้หลอกลวงเอาเงินของคนไทยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นในกรณีนี้ที่ถึงขั้นหลอกผู้เสียหายว่า ข้อมูลอาจรั่วไหล หรือ มีคนร้ายนำข้อมูลของท่านไปใช้ จึงอยากขอฝากเตือนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน เมื่อมีเบอร์แปลกโทรหา อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือพนักงานบริษัทต่างๆ ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพ ขอให้ยึดหลัก ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไมโอน ไว้ครับ”

วปอ.-พระปกเกล้า ฉลองความสำเร็จฟุตบอลรักเมืองไทย มุ่งสู่ความยั่งยืน และร่วมยินดี “อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน-ผบ.พล.ร.6”

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 28 กันยายน ที่ห้องเมจิ1 โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ได้มีงานฉลองความสำเร็จ จัดการแข่งขัน ฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ระหว่าง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ. กับ สถาบันพระปกเกล้า 

ภายในงาน ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง ผู้แทนหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่น 26 สถาบันพระปกเกล้า ได้กล่าวต้อนรับ นายถิรชัย วุฒิธรรม (วปอ.34) อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานนักศึกษา ปปร.26 พร้อมด้วยคณะกรรมการของทั้ง 2 สถาบัน เพื่อเลี้ยงขอบคุณ และร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับตำแหน่งใหม่

ดร.วิกร ภูวพัชร์ กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันฟุตบอลประเพณี “รักเมืองไทย” ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นำมาซึ่งประเพณีที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความรัก ความสามัคคีในทุกภาคส่วน ขอบพระคุณคณะกรรมการทุกท่านที่เสียสละ และช่วยกันขับเคลื่อนทำให้กิจกรรมครั้งนี้ลุล่วงผ่านไปด้วยดี และมีความหมายต่อประเทศชาติ และนี่คือก้าวแรกที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง

ด้าน ดร.ดำรง ประทีป ณ ถลาง กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานที่ผ่านมาร่วมกัน แจ้งถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำงานที่ผ่านมา มองการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบในการจัดการครั้งต่อไป และวางแผนการจัดงานฟุตบอลประเพณีครั้งต่อไปที่ต้องใช้นักศึกษาทั้งสองสถาบัน ร่วมกันต่อยอด การจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีรักเมืองไทย ให้เป็นแบบอย่างที่ยั่งยืน

(สุรินทร์) นพค.54 จัดพิธี รับ-ส่ง หน้าที่ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 อย่างสมเกียรติ

วันที่ 29 กันยายน  2566 ที่ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) พันเอกกิรชิต คุณาวงค์ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 (ท่านเดิม) กระทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 ให้กับ พันเอกเกียรติศักดิ์  พรมตวง อย่างสมเกียรติ (ท่านใหม่)โดยมี พันเอกพิชิต ทรงลักษณ์ รองผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำชุมชน และ กำลังพลในหน่วยฯ ร่วมพิธี โดยได้ทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 พิธีลงนามรับ-ส่งหน้าที่ ณ ห้องประชุม บก.นพค.54 และ พิธีรับ-ส่งหน้าที่ ที่หน้า บก.นพค.54 ประวัติความเป็นมาของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54

จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2509 ตั้งอยู่ที่ บ้านกันตรวจระมวล ตำบลกันตรวจระมวล อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาในปี 2524 เคลื่อนย้ายหน่วยเข้าที่ตั้งปัจจุบัน ณ บ้านลำพุก ตำบลตาเบา อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ใน ปี 2534 เปลี่ยนนามหน่วย เป็น หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 สำนักงานพัฒนาพิเศษ หน่วยปฏิบัติการทหารพัฒนา และต่อมา ในปี 2552 เปลี่ยนนามหน่วย เป็น หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 สำนักงานพัฒนาภาค 5 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา การจัด เป็นอัตราการจัดเฉพาะกิจ ประกอบด้วย กองบังคับการหน่วยช่างพัฒนา หน่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต และหน่วยบริการสนับสนุน พื้นที่รับผิดชอบ รับผิดชอบพื้นที่ในการพัฒนา 2 จังหวัด คือ จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ตามแนวชายแดน ตามนโยบายของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้แก่ พื้นที่เป้าหมายโครงการพระราชดำริ 2 แห่ง คือ โครงการทับทิมสยาม 04 ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และศูนย์ศิลปาชีพบัวเชด ตำบลอาโพน อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ตำบลเป้าหมาย เพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดนใน 4 อำเภอชายแดน คืออำเภอพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง อำเภอสังขะ และอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ จำนวนทั้งสิ้น 10 ตำบล และพื้นที่ตำบลอื่นๆในอำเภอชายแดน จำนวน 17 ตำบล พื้นที่ตอนใน ที่เหลือของจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 13 อำเภอ และจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 20 อำเภอ 

สำนักงานอัยการสูงสุด จัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) เนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปี การสถาปนาองค์กรอัยการ เพื่อเป็นการสำรองโลหิต และช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดแคลนโลหิต

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ท่านอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธานเปิดโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ครั้งที่ 15 โดยสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ สมาคมภริยาอัยการ และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล (สภากาชาดไทย) จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต

โดยท่านพรชัย ชลวาณิชกุล อัยการอาวุโสประธานโครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุด ท่านศศนันท์ เจตน์เจริญรักษ์ นายกสมาคมภริยาอัยการ ซึ่งสํานักงานอัยการสูงสุด และ สมาคมภริยาอัยการ ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีข้าราชการอัยการเข้าร่วมงานจำนวนมากพร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิเช่น ดร.พรทิพย์ วงษ์นครินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคม กต.ตร.กทม. คุณสรวีย์ รัฐพิทักษ์ถิรดา คณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ผศ.พรทิวา วิจิตรโกเมน อาจารย์คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และ คุณณิชารัศม์ โชติอนันต์ธิคุณ ผู้ให้คำปรึกษาทางจิตสังคม ศาลอาญากรุงเทพใต้ รวมทั้ง ดารา-ศิลปิน นางงามเข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภายนอกเข้าร่วมบริจาคโลหิต เช่น สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย  กรมข่าวทหารบก โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ชมรมการกำลังสำรองแห่งประเทศไทย  RF Security Team เป็นต้น

ในโอกาสนี้ หอการค้าไทย ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว และร่วมประชาสัมพันธ์โครงการบริจาคโลหิต เก้าแสน ซีซี 90 ปี ของหอการค้าไทย โดยคุณอภิธร อมาตยกุล รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันภัย และ กรรมการคณะกรรมการพัฒนาสังคมและ CSR หอการค้าไทย เป็นผู้แทนจากหอการค้าไทย เข้าร่วมในกิจกรรม พร้อมมอบของที่ระลึก และร่วมให้กำลังใจผู้บริจาคโลหิต

โครงการบริจาคโลหิต สำนักงานอัยการสูงสุดมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาวิกฤตเลือดในคลังไม่เพียงพอ และช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการเลือด โดยกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 กันยายน 2566 เวลา 08.30 - 15.30 น. ณ อาคารสมาคมภริยาอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร

พิธีรับ ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อย่างสง่างามและสมเกียรติ

เมื่อ 27 ก.ย.66 ที่หน้ากองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทำพิธีรับ-ส่งหน้าที่ พร้อมมอบธงการบังคับบัญชาให้กับ พลเรือโท สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 (ท่านใหม่ ) ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป โดยมี ผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ ทหาร พนักงานราชการ เข้าร่วมในพิธี

พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ท่านใหม่ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถผ่านการปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆ ในกองทัพเรือ มาแล้วหลายหน่วยงาน เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมาแล้วหลายตำแหน่ง ซึ่งจากประสบการณ์ของท่านที่ผ่านมา มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะเป็นผู้นำความสำเร็จ ในภารกิจและความเจริญก้าวหน้ามาสู่ ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เป็นอย่างดี และมั่นใจว่าผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จะสามารถบริหารจัดการภารกิจ ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะพัฒนาแก้ปัญหาทั้งมวล ควบคู่ไปกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป ในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน

สำหรับทัพเรือภาคที่ 1 นับเป็นหน่วยรบที่มีสรรพกำลังทางเรือ ทางบก และทางอากาศ รับผิดชอบดูแลความมั่นคง รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขตทะเลอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดตราด ถือว่ามีพื้นที่รับผิดชอบอย่างกว้างขวาง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top