Friday, 19 April 2024
THE STATES TIMES TEAM

'สตม.' จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ให้บริการ Mobile Service ตรวจคนเข้าเมืองเคลื่อนที่แก่นักท่องเที่ยว บริเวณถนนข้าวสาร

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม. จัดกิจกรรมตามโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. 

เมื่อวานนี้ศุกร์ ที่ 22 ธันวาคม 2566 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล  อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พล.ต.ต.ภานุมาศ บุญญลักษณ์ รอง ผบช. สตม. , พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช. สตม. , พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช. สทส.ปรก.รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช. สตม. , พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รองผบช. สตม. , พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช. สอท. ปรก.รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.ประสาธน์  เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 , นำข้าราชการตำรวจจิตอาสาในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 70 คน มาร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา พระราชทาน 904 วปร. “เราทำความดี   ด้วยหัวใจ” โดย กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้เปิดให้บริการ Mobile service เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว บริเวณถนนข้าวสาร และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีการให้บริการ ดังนี้

1.บริการขออยู่ต่อเพื่อการท่องเที่ยวประเภท ผ.30 , ผผ.30 และ TR.

2.บริการ Re-entry permit งานอนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก

3.บริการการรับแจ้งอยู่เกิน 90 วัน

4.บริการรับแจ้งที่พักอาศัย ตาม ม.38

ผบช.สตม. ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับประชาชนในทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ บริเวณถนนข้าวสารเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยว นอกจากมาให้บริการประชาชนแล้ว ยังเป็นการสอดส่องดูแลความปลอดภัย ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อป้องกันอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งอาจจะแฝงตัวเข้ามาในประเทศไทยของเราอีกทางหนึ่งด้วย 

กิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้ยังถือเป็นโอกาสที่ดีในการประชาสัมพันธ์โครงการต่างๆของ สตม. อาทิเช่น การขออนุญาตเพื่ออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ “e-Extension” คนต่างด้าวสามารถดำเนินการกรอกข้อมูลได้ด้วยตนเองตลอดเวลา ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ และเข้ามาพบเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันตัวบุคคล และรับสติ๊กเกอร์วีซ่าโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 นาทีเท่านั้น

หลังจากกิจกรรมเสร็จสิ้นก็มีการทำความสะอาด บริเวณการให้บริการ และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ แก่ส่วนรวม

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ไชยาให้คำมั่นพาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูอีสานฝ่าวิกฤติหมูเถื่อน

ไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่รับฟังปัญหาการเลี้ยงหมูหรือสุกร ปัญหาการลักลอบนำหมูเถื่อนเข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ และแนะแนวทางแก้ไขต้นทุนการเลี้ยงสุกรในปัจจุบันและในอนาคต

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 ที่ห้องประชุมโรงแรมเพชรรัตน์การ์เดนท์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่รับฟังปัญหาการเลี้ยงสุกร ของเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน โดยมีนายไพโรจน์ จิตจักร ปลัดจ.ร้อยเอ็ด นายเดือนเพ็ญ ยิ้มแย้ม ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคอีสาน และเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูร่วมงาน และร่วมเสนอปัญหา ที่กลุ่มผู้เลี้ยงสุกร กำลังประสบ โดยเฉพาะเนื้อหมูเถื่อนตีตลาด แย่งลูกค้า และต้นทุนการผลิตด้านอาหารสุกร ที่สูงขึ้น

นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ นับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการกวาดล้าง จับกุมเนื้อหมูเถื่อนทั่วประเทศ หลายแห่ง หลายราย ควบคู่กับการหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยตลอดมา

นายไชยากล่าวอีกว่า ปัญหาเนื้อหมูเถื่อน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศพัง เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ต้องแบกรับปัญหานานัปการ ทั้งนี้  รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีเป้าหมายที่จะให้ความช่วยเหลือเยียวยาทั้งระยะสั้น และระยะยาวต่อไป โดยหาเงินชดเชย และด้านการผลิตอาหารสุกรต้นทุนต่ำ มีคุณภาพ ยืนยันว่าจะนำพาเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยภาคอีสานและทั่วประเทศ เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเร็ว ๆ นี้

รมว.แรงงาน 'พิพัฒน์' จัดเต็มมอบของขวัญ 2567 ให้แรงงาน11ชิ้น ชูแคมเปญ เพิ่ม ฟรี ปรับขึ้น สะดวก ช่วยปลดหนี้ 'อุ่นใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ'

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานแถลงข่าวของขวัญปีใหม่กระทรวงแรงงาน ปี 2567 โดยมี นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ บริเวณโถงชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ฯ ได้กล่าวถึงผลงานตลอด 3 เดือน ตั้งแต่มารับตำแหน่งที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาให้กับพี่น้องแรงงานไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาทิ การช่วยเหลือพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบในอิสราเอลให้ได้รับเงินเยียวยา ทั้งจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จำนวนคนละ 15,000 บาท และเสนอคณะรัฐมนตรีเพิ่มเงินเยียวยาอีกคนละ 50,000 บาท รวมถึงพักหนี้ให้กับแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบรายละไม่เกิน 150,000 บาท และเสนอร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานอิสระ พ.ศ. เพื่อส่งเสริมคุ้มครองคุณภาพชีวิตแรงงานอิสระเข้าถึงสิทธิพื้นฐานความปลอดภัยในการทำงาน ครอบคลุมถึงการสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนมาตรา 40 และมาตรา 39 เพื่อสร้างรากฐานเศรษฐกิจการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงาน เป็นต้น

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงพิจารณาของขวัญที่จะมอบให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นกำลังใจแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ รวมทั้งพี่น้องแรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ  ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานนั้นในปี 2567 นี้มีของขวัญปีใหม่ จำนวน 11 ชิ้น ในหัวข้อ “เพิ่ม ฟรี ปรับขึ้น สะดวก ช่วยปลดหนี้” ภายใต้แคมเปญ “อุ่นใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ”เพื่อมอบความสุขแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ดังนี้

ชิ้นที่ 1 “เพิ่ม”อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน 6 สาขาอาชีพ 54 สาขา ตามร่างอัตราค่าจ้าง ตามมาตรฐานฝีมือ 54 สาขา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้ 90 วันหลังจากวันที่ประกาศแล้ว

ชิ้นที่ 2 “ปรับขึ้น”อัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยคณะกรรมการไตรภาคีได้พิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.66 และได้นำมาทบทวนอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ซึ่งที่ประชุมไตรภาคีได้มีมติเห็นชอบให้ใช้มติเดิม ผมเองก็จะนำมติในเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความเห็นชอบให้มีผลใช้บังคับในช่วงเดือนมกราคม 2567 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องแรงงาน

ชิ้นที่ 3 “ฟรี”กู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ดอกเบี้ย 0% จำนวน 24 เดือน โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1 - 24 โดยไม่ปลอดเงินต้น และงวดที่ 25 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ผู้รับงานไปทำที่บ้านรายบุคคลยื่นคำขอกู้ไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มบุคคลกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลายื่นคำขอกู้ ตั้งแต่1 ธ.ค.66 - 31 ส.ค.67 กรอบวงเงิน 5,000,000 บาท ทำให้มีผู้จดทะเบียนเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านกว่า 6,000 ราย เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 16.2 ล้านบาทต่อปี

ชิ้นที่ 4 “ฟรี”ตรวจเช็คสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ก่อนเดินทาง 7 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 22 – 28 ธ.ค. 66 ในวันและเวลาราชการ ฟรี 10 รายการ ได้แก่ ล้อ/ลมยาง ระบบเบรก กรองอากาศ ระบบไฟเลี้ยว/ไฟสัญญาณ ใบปัดน้ำฝน ระบบปรับอากาศ น้ำยาฉีดกระจก แบตเตอรี่ น้ำกลั่นพวงมาลัย/แฮนด์/แตร

ชิ้นที่ 5 “ฟรี” ฝึกอบรมออนไลน์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ ภาษาจีน การตลาดออนไลน์ และดิจิทัล ฟรีจำนวน 10,000 สิทธิ์ เพื่อแรงงานไทยได้ Up skill ตนเอง ทุกที่ ทุกเวลา ตั้งแต่วันที่ 22 – 28 ธ.ค.66 หรือจนกว่าจะครบ 

ชิ้นที่ 6 “ช่วยปลดหนี้” ผ่านโครงการเงินกู้สร้างสุข ปลดทุกข์หนี้นอกระบบ ในวงเงินไม่เกินคนละ 100,000 บาท เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์หรือสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ นำไปปลดหนี้สิน หรือลงทุนประกอบอาชีพเสริม ในวงเงินโครงการ จำนวน 50,000,000 บาท เพื่อพัฒนารายได้แก่ตนเองและครอบครัวให้แรงงานได้รับสวัสดิการที่ดีสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างรากฐานความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม 

ชิ้นที่ 7 “ฟรี”อบรม Safety 10,000 คน เพื่อให้นายจ้างปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ลดอุบัติเหตุ อุบัติภัยจากการทำงาน ทำให้ลูกจ้างได้รับการดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัย 
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทำงาน จำนวน 1,000,000 คน 

ชิ้นที่ 8 “ฟรี”ตรวจสุขภาพ 14 รายการ ผู้ประกันตนสุขภาพดีถ้วนหน้า อาทิ มะเร็งปากมดลูก ตรวจคัดกรอกมะเร็งลำไส้ ตรวจเต้านม ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เชื้อไวรัสตับอักเสบ ตรวจไขมันในเลือด เริ่ม 1 มกราคม 2567

ชิ้นที่ 9 “สะดวก”ผู้ประกันตนฟันดีด้วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ ณ สถานประกอบการ (SSO Mobile e-Dent) วงเงิน 900 บาท/คน/ปี  โดยผู้ประกันตนเข้ารับบริการทันตกรรมด้วยรถ Mobile Service สะดวก ไม่ต้องสำรองจ่าย มอบสิทธิประโยชน์ทำฟันสะดวก อุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน และผ่าตัดฟันคุด ที่สถานประกอบการ ด้วยรถทันตกรรมเคลื่อนที่ประกันสังคม ผู้ประกันตนสะดวก ทำฟันสะดวก ที่สถานประกอบการ ไม่ต้องหยุดงาน ไม่ต้องเดินทาง เริ่ม 1 ม.ค. – 31 มี.ค.67

ชิ้นที่ 10 “ฟรี”บริการประกันสังคมครบจบใน APP เดียว “SSO plus+”ภายใต้โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล กลางเชื่อมต่อบริการประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนอย่างเฉพาะเจาะจง และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรวมศูนย์การบริการตามภารกิจหลักของกองทุนเงินทดแทน เพื่อความสะดวกให้ผู้ประกันตน เริ่ม 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป 

ชิ้นที่ 11 “ฟรี”ติดตั้งระบบรายงานจุดเสี่ยงอันตรายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และประเมิน ความเสี่ยงขั้นต้น เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 – 31 ม.ค.67 สถานประกอบกิจการมีระบบรายงานจุดเสี่ยงอันตราย และประเมินความเสี่ยงขั้นต้นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน 

ต่อจากนั้น รมว.แรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้เยี่ยมชมบูธกิจกรรมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานและหน่วยงานภาคเอกชนที่เข้าร่วมที่ให้บริการตรวจสุขภาพในเบื้องต้น โดยแพทย์เฉพาะทางได้แก่ บริการประกันสังคมครบจบในแอพเดียว SSO Plus+ ตรวจสุขภาพฟรี 14 รายการ ผู้ประกันตนสุขภาพดีถ้วนหน้า และผู้ประกันตนทำฟันฟรีด้วยรถ ทันตกรรมเคลื่อนที่ ณ สถานประกอบการ จากสำนักงานประกันสังคม อบรม Safety 10,000 คน และเงินกู้สร้างสุข ปลดทุกข์หนี้นอกระบบ จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กองทุนผู้รับงานไปทำที่บ้านดอกเบี้ย 0 % จากกรมการจัดหางาน T-OSH Application : ระบบรายงานจุดเสี่ยงอันตราย จาก สถาบันส่งเสริม ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) และ อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน 6 สาขาอาชีพ จากสำนักงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นต้น

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ กลุ่มไทยสมายล์ มอบเครื่องอุปโภคบริโภคแบ่งปันนักเรียน ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.9

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) ลงพื้นที่เพื่อบริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 บ้านบ่อหวี ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้ร่วมมือกับ กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง และอุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา  ขนมขบเคี้ยวมามอบให้กับโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 อยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้เป็นเครือข่ายคุณธรรมของโรงเรียนในโครงการในกองทุนการศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียน 245 คน เนื่องจากโรงเรียนแห่งนี้ได้ทำอาหารเลี้ยงนักเรียนเป็นประจำทุกวันวันละ 2 มื้อ การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับโรงเรียนในครั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 5 ธันวาคม 2566 ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เป็นประโยชน์ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาอีกด้วย 

สำหรับกลุ่มไทยสมายล์ นอกจากจะร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมกับมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์มาอย่างต่อเนื่องแล้ว ไทยสมายล์ ยังมีนโยบายองค์กรในการขับเคลื่อนแนวคิด BCG Model โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ รวมทั้งกิจกรรมการลงพื้นที่เพื่อนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคมามอบให้กับโรงเรียนที่จังหวัดราชบุรีในวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ที่เราใส่ใจและทำงานใกล้ชิดกับชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ทางไทยสมายล์บัสได้นำข้าวสารถุงละ 5 กิโลกรัม จำนวน 500 ถุง และอุปกรณ์เครื่องเขียน จำนวน 100 ชุด มาร่วมบริจาคให้กับโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 บ้านบ่อหวี เพื่อเป็นการแบ่งปันและจุนเจือค่าใช้จ่ายให้กับโรงเรียน และที่สำคัญให้เด็กนักเรียนได้รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ มีสุขอนามัยที่ดี เพราะเด็กเหล่านี้จะเติบโตเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ตม.สนามบิน สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว ปล่อยแถวต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567

ตามที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการเชิงรุกสนองตอบตามนโยบายดังกล่าว

เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.66) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย รอง ผบช.สตม.ได้มาเป็นประธานประชุมแถวกำลังพล ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เข้าร่วมพิธี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทำมาตรการในการรองรับการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองภายใต้หลักความมั่นคง ซึ่งป็นการปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วงเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567 
โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 24 ธ.ค.66 – 1 ม.ค.67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนกว่าวันละ 70,000 คน

โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทาง
เข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ทาอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการจัดกำลังพลเต็มอัตราทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อเร่งระบายผู้โดยสารที่สะสม
ในโถงพักคอยให้ได้ภายในเวลา 30 นาที
2. รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่อาสา เพื่อจัดเตรียมเอกสารและให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยว เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจหนังสือเดินทางไม่เกิน 45 วินาที/คน
3. เพิ่มศักยภาพในการระบายผู้โดยสารโดยมีการเปิดใช้เครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Automatic channel นำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ได้มอบของที่ระลึกเป็นสเปรย์แอลกอฮอลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงวันหยุดยาว เป็นที่ระลึกเพื่อสร้างความประทับและสร้างสีสันให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา

(สุรินทร์) กอ.รมน.สุรินทร์ ประชุมอำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567

วันที่ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 10:00 น. ณ ห้องประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ (ชั้น 4) ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ นายพิจิตร  บุญทัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานในการประชุมอำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ พันเอกหญิงโชติมา มุลาลินน์ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าว พันเอก สุดใจ แพงพรมมา หัวหน้าฝ่ายนโยบายแผนฯ พันตำรวจเอก วรายุส์ จันทร์เยี่ยม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ตามคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นความมั่นคงและนโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน แผนปฏิบัติการด้าน ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 3 ที่รองรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นความมั่นคง ในแผนแม่บทย่อย ด้านการรักษาความมั่นคงภายในประเทศและแผนแม่บทย่อย ด้านการป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง 

ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้จัดทำแนวทางการบูรณาการกลไกการบริหารจัดการความมั่นคงได้แก่ พันธกิจการขับเคลื่อน 4 ประการ ซึ่งประกอบไปด้วย การแจ้งเตือนและประเมินแนวโน้มภัยคุกคามด้านความมั่นคง การวางแผนและการอำนวยการ การสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การติดตามและประเมินผล การประชุมวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.กำกับดูแลและติดตามรวมทั้งให้คำแนะนำการสร้างระบบการแจ้งเตือนและประเมินแนวโน้มสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคง 2.เพื่อแนะนำในการบูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนงานโครงการด้านความมั่นคงของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3.เพื่อให้คำแนะนำในการซักซ้อมแผนและการดำเนินการตามแผนของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัด ทั้งในระดับจังหวัดอำเภอและตำบล 4.เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้องข้อเสนอแนะและให้คำแนะนำการดำเนินการตามแผนโครงการด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัด 5.เพื่อเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและการป้องกันแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้ทำพันธกิจและภารกิจดังกล่าว บูรณาการ การทำงานร่วมกันกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยการ ติดตามประเมินผล ภายใต้งานบริหารจัดการขับเคลื่อนแผนตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 และหารือพิจารณากำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อน แผนงานโครงการ ในแต่ละประเด็นเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

มุกดาหาร-ตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกับจังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุม ยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด

วันนี้ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น. จังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รายสำคัญ โดย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ซึ่งในครั้งนี้มีการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร โดย สภ.นิคมคำสร้อย ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร กอ.รมน. กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ร่วมกันในแผนสกัดกั้นการลำเลียง การนำเข้าเพื่อนำเข้าสู้พื้นที่ตอนใน ในครั้งนี้ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นยาเสพติดและสามารถสกัดกั้นจับกุมการขนลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ 1.2 ล้านเม็ด ผู้ต้องหา 6 คน ยึดทรัพย์ได้ 1 ล้านบาทเศษ และจะมีการขยายผลสืบทรัพย์และติดตามขยายผลขบวนการค้ายาเสพติดต่อไป

สำหรับการดำเนินการ จับกุมผู้ต้องค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในครั้งนี้ เมื่อ 20 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด บริเวณจุดตรวจโชคชัย บ.โชคชัย ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ขณะตั้งจุดตรวจได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1 ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร ขับขี่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จึงได้เรียกทำการตรวจค้น และได้ทำการตรวจปัสสาวะ บุคคลที่อยู่ภายในรถ โดยมีนายยุทธนา (นามสมมุติ) (คนขับ) และมี นายสารัตน์ (นามสมมุติ) นายธนบดี (นามสมมุติ) เป็นผู้นั่งโดยสารมากับรถคนดังกล่าว ลักษณะท่าทางมีพิรุธ จึงได้ทำการเรียกตรวจค้น ขณะที่ทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สังเกต เห็นนายสารัตน์ (นามสมมุติ) คุยโทรศัพท์จึงได้ตรวจสอบโทรศัพท์ พบว่ามีการพูดคุยกันกับนายวริทธิ์ธร (นามสมมุติ) ทางแมสเซนเจอร์ บอกว่าตอนนี้จอดรออยู่หน้าเซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา

ซึ่งเป็นรถที่ใช้ขนยาเสพติด (ยาบ้า) เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปที่เซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา และพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม และพบนายวริทธิ์ธร  เดินออกมาจากเซเว่น  เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นภายในรถยนต์เก๋ง พบห่อพลาสติกสีดำ พันด้วยเทปกาว จำนวน 3 ห่อ สอบถาม นายวริทธิ์ธร  ให้การว่าเป็นกระสอบบรรจุยาบ้า เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดและได้ให้ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บลายนิ้วมือและหลักฐานอื่นๆ และทำการตรวจนับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวน 3 กระสอบ ตรวจนับได้ประมาณ 1,200,000 เม็ด และสามารถจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 2 คน คือ นายธนาธิป (นามสมมุติ) น.ส.สุกัญญา (นามสมมุติ) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกระทำการเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหา พร้อมยาบ้าและรถยนต์ของกลาง ซึ่งเป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร  รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม โทรศัพท์มือถือ จำนวน  6 เครื่อง ทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และขยายผลจับเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ต่อไป

สมาคมแม่บ้านตำรวจลงนาม MOU กับกระทรวงมหาดไทย ร่วมสนับสนุนส่งเสริมผ้าไทย เสริมสร้าง Soft power ของไทย

วันนี้ (21 ธ.ค.66) เวลา 12.30 น. คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กับสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมมือในหัวข้อ “รวมพลัง สร้างบ้าน อุ่นรัก ร่วมสวมผ้าไทย ใช้สินค้าไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม น้อมนำความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมคืนคนดีสู่สังคม” ณ ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทยโดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมลและ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

ทั้งนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่าโครงการความร่วมมือนี้ เกิดจากการดำเนินภารกิจตามนโยบายต่าง ๆ ของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ที่เห็นผลในเชิงประจักษ์ สมาคมแม่บ้านตำรวจพิจารณาว่า พันธกิจระหว่าง 2 หน่วยงาน ต่างมุ่งประโยชน์เพื่อจะบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชน และเป็น “หลังบ้าน” ที่ดี เพื่อสนับสนุนภาระหน้าที่ของ “หน้าบ้าน” ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ 

นอกจากนี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจยังได้รับนโยบายจาก พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้วางเป้าหมายที่จะสร้าง Home Police ไม่เพียงแต่จะให้ความสำคัญแก่ครอบครัวตำรวจ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของครอบครัว ของชุมชนทุกครัวเรือน ที่อยากเห็นทุกครอบครัวมีความอบอุ่น และมีความปลอดภัยในทุกด้าน หากตำรวจทำงานร่วมกับประชาชนด้วยความสามัคคี โดยคำนึงถึงประชาชนในชุมชน และช่วยเป็นหูเป็นตา ย่อมแสดงออกถึงความเข้มแข็งและความมั่นคงในการป้องกันอาชญากรรมได้เป็นอย่างดี

สมาคมแม่บ้านตำรวจจึงนำกรอบพันธกิจทั้ง 2 หน่วยงาน ที่เป็นแกนกำลังของสังคมและชุมชน มาผนึกกำลังเป็นโครงการที่จะร่วมบูรณาการ รวมทั้งสร้างความสุขอย่างยั่งยืนให้กับประเทศ ในการบันทึกข้อตกลงความร่วมมื (MOU) ในหัวข้อ “รวมพลัง สร้างบ้าน อุ่นรัก ร่วมสวมผ้าไทย ใช้สินค้าไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม น้อมนำความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมคืนคนดีสู่สังคม” ในครั้งนี้ และยังเป็นการสนับสนุน Soft Power ของไทย

Soft Power เป็นการปรับรูปแบบของวัฒนธรรมให้สามารถสอดแทรกเข้ากับผลประโยชน์หรือค่านิยมของประเทศเป้าหมายได้ เพิ่มโอกาสที่วัฒนธรรมดังกล่าวจะกลายเป็น Soft Power ของประเทศนั้น เพราะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นศัตรู หากแต่เป็นโอกาสในการต่อยอดสิ่งดีงามใหม่ ทำให้ประเทศเป้าหมายรู้สึกต้องการโอกาสนี้และเปิดใจยอมรับได้อย่างเต็มใจ ด้วยการแทรกซึมวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่นี้เอง จึงดึงดูด ส่งอิทธิพล และเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วโลกไปโดยปริยาย

ตำรวจภาค 4 สกัดจับขบวนการค้ายาเสพติดมุกดาหาร ซุกยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ขณะลำเลียงไปส่งลูกค้าในภาคอีสานและภาคกลาง

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. ที่ ภ.จว.มุกดาหาร พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 แถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รองผบช.ภ.4,พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร, พ.ต.อ.ธานินทร์ อินทพรต รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร, พ.ต.อ.กิตเตชิษฐ์ บำรุง รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ โพธิ์จันทร์ ผกก.สภ.นิคมคำสร้อย

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย ทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติด ใช้รถยนต์ ขนยาบ้าล็อตใหญ่ ผ่าน จ.มุกดาหาร จึงนำกำลังไปตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณตู้ยามโชคชัย ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จว.มุกดาหาร ต่อมาเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 20 ธ.ค.66 พบรถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน 1xx 53xx กรุงเทพมหานคร ตรงตามข้อมูลที่ได้รับ ขับเข้าด่านตรวจ 

จึงเรียกตรวจค้น พบผู้ขับขี่ชื่อ นายยุทธนา โดยมีนายสารัตน์ และนายธนบดี โดยสารมากับรถคนดังกล่าว ระหว่างตรวจค้น ตำรวจสังเกตเห็นนายสารัตน์ ใช้โทรศัพท์ส่งข้อความแจ้งเตือนผู้อื่นว่ามีด่านอยู่ด้านหน้า จึงตรวจสอบโทรศัพท์ จากการสอบถามนายสารัตน์ รับว่าตนพร้อมพวกได้ขับรถนำทางให้นายวริทธิ์ธร ซึ่งเป็นคนขับรถลำเลียงยาเสพติด ระหว่างนั้น รถที่นายวิริท์ธร ขับขี่ ได้แล่นผ่านหน้าตู้ยามพอดี จึงนำกำลังไล่ติดตาม จนสามารถควบคุมรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สีขาว หมายเลขทะเบียน xx 21x นครพนม ได้บริเวณถนนชยางกูร จ.มุกดาหาร โดยรถคันดังกล่าวมีนายวริทธิ์ธร เป็นผู้ขับขึ่ และนายธนาธิป กับ น.ส.สุกัญญา นั่งโดยสารมาด้วย ตรวจค้นในรถพบกระสอบพลาสติกสีดำขนาดใหญ่พันด้วยเทปกาวสีเหลือง 3 กระสอบ ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง สอบถาม นายวริทธิ์ธร รับสารภาพว่าเป็นกระสอบบรรจุยาบ้าจำนวน 1,200,000 เม็ด จึงแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จากนั้นจึงจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่ง พงส.สภ.นิคมคำสร้อย ดำเนินคดี 

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าผู้ต้องหารับยาบ้ามาจากพื้นที่ใกล้แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน กำลังจะขนยาบ้าไปส่งให้ลูกค้าในภาคอีสานตอนล่างและภาคกลาง โดยขนยาบ้าส่งลูกค้ามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตำรวจภาค 4 จะได้สืบสวนสอบสวนขยายผล เพื่อกวาดล้างจับกุมผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งยึดอายัดทรัพย์สินทั้งหมดต่อไป

สรุป จับกุมผู้ต้องหา 6 คน ยาเสพติดของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ประมาณ 1.2 ล้านเม็ด ยึดอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท ได้แก่
1. รถยนต์เก๋งโตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน 1ขภ 5367 กรุงเทพฯ จำนวน 1 คัน 
2. รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีขาว หมายเลขทะเบียน กจ 214 นครพนม จำนวน 1 คัน 
3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง 

“จริงจัง แก้ไขปัญหา เพื่อประชาชน”กองทัพภาคที่ 3 จัดประชุมบูรณาการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 /ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการดับไฟป่า ภาค 3 เป็นประธานการประชุมบูรณาการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ประจำปี 2567 เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ประจำปี 2567 ณ ห้องประชุมคชรัตน์ 1 กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลก มีหน่วยงานเข้าร่วมประชุม ได้แก่ หน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 3ิ, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ , กองทัพอากาศ , กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมมลพิษ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ,กรมฝนหลวงและการบินเกษตร, สำนักเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน), ตำรวจภูธรภาค 5 และ ภาค 6, ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัสและอากาศยาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้, สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์,  สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด/สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ   

สำหรับการประชุมได้แนวทางการเตรียมแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดและ  กองทัพภาคที่ 3 /กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3  เสนอแผนการจัด ชป.ลว.ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนร่วม จำนวน 69 ชุดปฏิบัติการ สนับสนุนให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตามนโยบายของรัฐบาลในสร้างการรับรู้ การลาดตระเวน ตรึงกำลัง ในพื้นที่ 9 ป่าแปลงใหญ่เผาไหม้ซ้ำซาก  

ด้าน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ และหน่วยเกี่ยวข้อง วางแผนการดำเนินงานตั้งแต่ห้วงก่อนเกิดสถานกาณ์วิกฤต โดยเริ่มติดตามสถานการณ์ ประสานการปฏิบัติกับภาคีเครือข่าย และตรวจสอบความพร้อมของหน่วยปฏิบัติตั้งแต่เดือน ตุลาคม  ตั้งแต่วันที่  1 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ศูนยุทธการทางอวกาศ / ได้ทำการวิเคราะห์จุดความร้อนที่มีโอกาส เกิดไฟไหม้ ส่งให้ ศูนย์ปฏิบัติการดับไฟป่า กองทัพภาคที่ 3   และ กรมยุทธการทหารอากาศ / วางแผนการฝึกบินควบคุมไฟป่า กองทัพอากาศ ประจำปี 2567  ในเดือน ธันวาคม โดยใช้พื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นพื้นที่การฝึก

ในเดือนมกราคม 2567 ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ วางแผนพิจารณาในการส่งอากาศยาน ในการบินกระจายเสียงเพื่อรณรงค์ สร้างการรับรู้และเข้าใจ ในการไม่เผาป่า  ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง และยากแก่การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ส่วนเดือน กุมภาพันธ์  – พฤษภาคม เป็นห้วงที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด ในห้วงนี้จะพิจาณาในการส่งอากาศยานประเภท sensor shooter ตามระดับสถานการณ์ และตามที่ได้รับการประสานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสนับสนุนภารกิจ และ ตั้งแต่เดือน มิถุนายน เป็นต้นไป เป็นห้วงที่สถานการณ์ในภาคเหนือคลี่คลายลง ในห้วงนี้ จะเป็นห้วงของการสรุปผลการปฏิบัติ และปรับปรุงแผนการปฏิบัติการ 

ด้านการใช้อากาศยาน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้ประยุกต์ใช้ ขีคความสามารถของกองทัพอากาศ สำหรับภารกิจ ดังนี้
1. การบินกระจายเสียง รณรงค์ สร้างการรับรู้และเข้าใจ ในการไม่เผาป่า ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ยาก แก่การเข้าถึง รับรู้ข้อมูลข่าวสาร โดย อากาศยานแบบ AU-23
2. การบินเพื่อลาดตระเวนค้นหาพื้นที่ไฟป่า โดย อากาศยานแบบ AU-23,  อากาศยานแบบ DA-42 และอากาศยานไร้คนขับแบบ Aerostar BP
3. การบินควบคุมไฟป่าโดย BT-67 ที่ติดตั้ง Fire Guardian Tank  สามารถบรรทุกน้ำได้ 3000 ลิตรต่อ 1 ครั้ง และ C-130 บรรทุกอุปกรณ์ PCADS โดยบรรทุกได้มากสุด 10 ลูกต่อ 1 ครั้ง, โดย PCADS 1 ลูกบรรจุน้ำผสมสารยับยั้งไฟป่า จำนวน 1000 ลิตร ในการบินควบคุมไฟป่านั้น จะใช้พิจารณาอากาศยานและอุปกรณ์ ตามลักษณะภูมิประเทศและพื้นที่เป้าหมาย / เพื่อสร้างแนวกันไฟ ไม่ให้ลุกลามไปยังพื้นที่ที่กำหนด
4. การบินลำเลียงทางอากาศ เพื่อขนส่งกำลังพล และยุทโธปกรณ์ให้กับหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติภารกิจ และการบินส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ ในกรณีมีผู้ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บรุนแรง และต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน โดย อากาศยานแบบ C-130 และ เฮลิคอปเตอร์แบบ EC-725

และ 5. การบินค้นหาและช่วยชีวิต ในกรณีหน่วยดับไฟป่าภาคพื้นติดกับดักของไฟ หรือ หลงป่า โดย เฮลิคอปเตอร์แบบ EC-725 

นอกจากนี้ ยังได้ประยุกต์ใช้ขีดความสามารถของหน่วยภาคพื้น เพื่อประกอบกำลังและสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยบิน เช่น 1. ชุดวางแผนร่วม ทำหน้าที่ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแบ่งพื้นที่ปฏิบัติงาน กำหนดวงรอบปฏิบัติงาน และวางแผนการปฏิบัติ ร่วมกัน
2. ชุดแปลความภาพถ่าย จะนำภาพถ่ายทางอากาศที่บินค้นหาพื้นที่ไฟป่า วิเคราะห์ขนาดความรุนแรง ทิศทาง และจัดลำดับความสำคัญ และส่งให้กับหน่วยเกี่ยวข้อง เพื่อจัดการกับพื้นที่ไฟป่า
3. ชุดควบคุมห้วงอากาศ เพื่อ monitor และแนะนำการปฏิบัติให้กับอากาศยานจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจ และ 4. ชุดวิเคราะห์จุดความร้อน จะนำภาพถ่าย Hotspot จากดาวเทียม มาวิเคราะห์และคัดกรองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกำหนดพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดไฟป่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top