Thursday, 25 April 2024
THE STATES TIMES TEAM

นราธิวาส-ดีเดย์...ไอแบงก์เปิดบริการ “ibank Appication” สะดวกกว่า ง่ายกว่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สังคมไร้เ​งิน​สด​บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง  

เมื่อวันที่ 1 ธค.  ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ไอแบงก์เปิดตัว "ibank Application" บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง อย่างเป็นทางการ โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง ให้เกียรติส่งสารแสดงความยินดีผ่านบันทึกวีดิทัศน์ว่า "ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ถือเป็นสถาบันการเงินหลักของรัฐที่ให้การดูแลพี่น้องมุสลิมด้านธุรกรรมทางการเงินที่ปลอดดอกเบี้ยและถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม ขอแสดงความยินดีกับ ไอแบงก์ ที่สามารถยกระดับการให้บริการลูกค้าผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 40 ล้านคน เป็นบริการที่เข้ากับการใช้ชีวิตของคนยุคสมัยนี้ อำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างสะดวกกว่า ง่ายกว่า และปลอดภัย ที่สำคัญคือ ถูกต้องและสอดคล้องกับวิถีมุสลิม" โดยมีลูกค้า แขกผู้เกียรติ สื่อมวลชน ร่วมงานและร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น ดร..ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เผยว่า ขณะนี้ไอแบงก์พร้อมให้บริการ “bank Application” 

ซึ่งเป็นโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารที่อยู่บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง (Paotang) โดยไอแบงก์ได้ร่วมออกแบบและพัฒนาระบบกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบาย เข้ากับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของลูกค้าธนาคาร “เป็นอีกปรากฏการณ์ของไอแบงก์ที่ทุกคนรอคอย ซึ่งถือเป็นแอปพลิเคชั่นแรกของสถาบันการเงินในประเทศไทยที่ถูกต้องตามหลักชะรีอะฮ วันนี้ไอแบงก์ได้รับเกียรติให้เปิดตัวบริการ ibank Application ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เพราะนอกจากจะเป็นศาสนสถานทางศาสนาอิสลามที่งดงามที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามของมุสลิมไทยทุกคนแล้ว มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานียังเป็นจุดศูนย์กลางของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของไอแบงก์อีกด้วย 

ในระยะแรกนี้ ผู้ใช้บริการ ibank Appication สามารถโอนเงินจากแอปพลิเคชันไปยังบัญชีบุคคลอื่นในธนาคาร บัญชีธนาคารอื่น และโอนเงินไปยังหมายเลขพร้อมเพย์ เรียกดูข้อมูลบัญชี และรายการย้อนหลัง อีกทั้งยังสามารถคำนวณซะกาตซึ่งถือเป็นหน้าที่ทางศาสนาของมุสลิมทั้งหมดที่มีทรัพย์สินตรงตามเงื่อนไข การค้นหาสาขาและเอทีเอ็มของธนาคาร รวมถึงช่องทางในการติดต่อธนาคารอีกด้วย ธนาคารมุ่งหวังให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด จึงจะพัฒนาบริการ ibank Application อย่างต่อเนื่อง และทยอยเปิดให้บริการเพิ่มเติมในระยะต่อไป เช่น การจ่ายบิล การเติมเงิน การบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ การสแกนเพื่อซำระเงิน การจัดการรายการโปรด บริการแจ้งเตือน การจัดการบัญชีสินเชื่อ การตั้งรายการโอนเงินล่วงหน้า การสร้างคิวอารโค้ดเพื่อรับเงิน การสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ การถอนเงินไม่ใช้บัตร การเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็ม และการเปิดบัญชีออนไลน์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าให้มากกว่าเก่า และให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ลูกค้าไอแบงก์ที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว สามารถลงทะเบียนใช้บริการ 'bank Application' บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป่าตังก่อนใช้บริการ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ibank Contact Center โทร. 1302 หรือแชททาง Messenger @ibank.h และ LINE @ibank ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ลำปาง-บริจาคโลหิต ถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม 2566

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00  น. มณฑลทหารบกที่ 32/ศูนย์อำนวยการ จิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32  พร้อมหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดลำปาง นักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 32  จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2566 เพื่อร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้  กิจกรรมสำคัญนี้หน่วยเชิญชวนกำลังพลจิตอาสาร่วมใจกันบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลลำปาง เหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง  ที่ขาดแคลนโลหิตสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วย โดยมีกำลังพลจิตอาสาของหน่วยเข้าร่วมบริจาคโลหิต จำนวน 74 นาย  สามารถบริจาคโลหิตได้ 36 นาย ได้ปริมาณโลหิต 14,400 ซีซี และมีกำลังพลบริจาคดวงตา, บริจาคอวัยวะ จำนวน 24 นาย ณ สโมสรนายทหารค่ายสุรศักดิ์มนตรี อำเภอเมืองลำปาง  จังหวัดลำปาง 

ในการนี้ พลตรี พรชัย นพรัตน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 /ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32 เดินทางเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกำลังพล และนักศึกษาวิชาทหาร ศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 32 ที่ร่วมกิจกรรม พร้อมได้พบปะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลลำปาง สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดลำปาง  อีกทั้งให้ความเชื่อมั่นที่จะร่วมมือกันดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ ทหาร จะเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส

โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมวันเอดส์โลก 2023 ให้ความรู้ ตรวจร่างกาย และตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจและประชาชน

วันนี้ (1 ธ.ค.66) พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ , พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์ (สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ และ พล.ต.ต.หญิง ดร.สุรัมภา รอดมณี ผู้บังคับการวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ นำนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ ร่วมตัดริบบิ้นเปิดกิจกรรมโครงการ “Word AIDS Day 2023 - Let Communities  lead" ณ หน้าอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ 

เนื่องด้วยในวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก  ปีนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทุกปี โดยปล่อยแถวรณรงค์ภัยร้ายจากโรคเอดส์ ซึ่งเจ้าหน้าที่และบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจถือป้ายเดินขบวนรณรงค์จากหน้าอาคาร มภร. ชั้น 1 โรงพยาบาลตำรวจ ไปยังห้องโถง อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายแพทย์ใหญ่  (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เปิดกิจกรรม มีการบรรยายให้ความรู้เรื่อง “โรคแทรกซ้อนสำคัญของระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการติดเชื้อ  HIV", ความรู้เรื่อง “โรคตับอักเสบและการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม" จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ ยังให้บริการตรวจพยาธิสภาพตับด้วยเครื่อง Fibro Scan และให้คำปรึกษาก่อนเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ  HIV, ซิฟิลิส, เชื้อไวรัสตับอักเสบบี, เชื้อไวรัสตับอักเสบซี และภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี 

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV จะลดน้อยลง เพราะที่ผ่านมาหลายหน่วยงานรณรงค์ให้ความรู้ถึงภัยร้ายและการป้องกัน ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ซึ่งโรงพยาบาลตำรวจเล็งเห็นความสำคัญของโรคเอดส์ จัดกิจกรรมรณรงค์อย่างต่อเนื่อง อาทิ ให้บริการตรวจหาเชื้อ HIV กับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ให้คำปรึกษากับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และแนะนำวิธีการป้องกันอย่างถูกวิธี อีกทั้งให้การสนับสนุนเครือข่าย ที่ร่วมรณรงค์แก้ไขปัญหา เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยงให้มีจำนวนน้อยที่สุด

ด้าน พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์(สบ 7)โรงพยาบาลตำรวจ และประธานคณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ กล่าวว่า สถิติการระบาดของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทั่วประเทศปี 2565 พบประเทศไทยมีผู้ติดที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 560,000 คน เสียชีวิต 11,000 รายและมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9200 รายเพิ่มจากปี 2564 ร้อยละ 42 สาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน คณะทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์มีหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 ถึง 2573 โดยให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อ ส่งเสริมสนับสนุน การป้องกันมากขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการยอมรับและห่วงใยผู้ป่วยเอดส์ อีกทั้งเผยแพร่ความรู้ให้กว้างขวางขึ้น

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า วันนี้โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมรณรงค์วันเอดส์โลก เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความรุนแรงของโรคเอดส์ ซึ่งจัดกิจกรรมเดินรณรงค์ การให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคเอดส์ รวมถึงการป้องกันอย่างถูกวิธี โรงพยาบาลตำรวจ ขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป ร่วมกันรณรงค์ในทุกมิติ เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว โอกาสนี้โรงพยาบาลตำรวจขอขอบคุณ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม ที่นำวงดุริยางค์มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย สำหรับข้าราชการตำรวจ ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถเข้ามารับคำปรึกษาได้ที่ เพจเฟสบุ๊ก โรงพยาบาลตำรวจ หรือโทร 02-2076000

ลำพูน - สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนา 'โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย' ที่จังหวัดลำพูน

สถานทูตเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ จัดเสวนาในหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10:00 ถึง 12:30 นาฬิกา ณ ห้องจามจุรี 1 ชั้น 2 อาคารสัมมนา เดอะแกรนด์จามจุรี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล ลำพูน ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 

สาระสำคัญเริ่มที่ นางปอโลมี  ทริปาติ อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับฯ ถัดมา นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวสุนทรพจน์ ลำดับถัดไป นายมนัส เกียรติเจริญวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์/ที่ปรึกษาสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นายบรรจง วิพรหมชัย ประธานหอการค้าจังหวัดลำพูน กล่าวคำปราศรัย และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย กรุงเทพฯ นำเสนอหัวข้อ "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกสินค้าชั้นนำทั้งสองประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และหารือโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยอินเดีย

นางปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับว่า ก่อนอื่น ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณสำหรับความสนับสนุนที่ได้รับจาก นายอนุพงษ์ วาวงศ์มูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ลำพูนที่ได้จัดการสัมมนา "โอกาสทางธุรกิจในประเทศอินเดีย" ข้าพเจ้าขอขอบคุณนักธุรกิจไทยทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าของท่านเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ นับเป็นความยินดีอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสมาเยือนจังหวัดลำพูนที่สวยงามนี้ 

ทุกท่าน อินเดียและไทยเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและอารยธรรมอย่างลึกซึ้ง ดังที่เห็นได้จากอิทธิพลที่แข็งแกร่งจากรามเกียรติและพุทธศาสนาในทั้งสองประเทศ ในฐานะเพื่อนบ้านทางทะเล เรามีความเชื่อมโยงทางภูมิรัฐศาสตร์และมีวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ รวมถึงรากเหง้าของภาษาร่วมกัน ความเชื่อมโยงทางประเพณีของเรานั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นแฟ้น และในปัจจุบันก็ได้รับการเสริมสร้างด้วยความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แข็งแกร่งของเรา ทั้งในความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนที่เติบโตขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนมากขึ้น ผ่านการท่องเที่ยวและการศึกษา

อินเดียเป็นประเทศที่ประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นประชากรในวัยหนุ่มสาว ด้วยจำนวนประชากรที่มีจำนวนมาก และมีจุดเน้นที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งในด้านการศึกษา อินเดียได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมความเป็นเลิศในด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเป็นผู้ประกอบการ ในปัจจุบันมีคนอินเดียทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบริษัทข้ามชาติมากกว่า 21 แห่ง ทั้งบริษัท google, Microsoft, IBM และอื่น ๆ จุดเน้นทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมทางโอกาสที่เหมาะสมก็ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของบริษัท Startups เป็นอย่างมากในประเทศอินเดีย การค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากการเป็นคนหางานเป็นคนให้งานของกลุ่มคนหนุ่มสาวในอินเดียถือเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงมีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากกว่า 111 แห่ง เป็นมูลค่ากว่า 349 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 สำหรับอินเดียในภูมิภาคอาเซียน ทั้งไทยและอินเดียมีเป็นประเทศเกษตรกรรมมาโดยตลอด และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อกลายเป็นศูนย์การผลิตของภูมิภาค การค้าทวิภาคีระหว่างอินเดียและไทยแตะจุดสูงสุดประมาณ 17.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ส่วนการลงทุนทวิภาคีก็มีการเจริญเติบโตที่เป็นที่น่าพอใจในหลายปีที่ผ่านมา และมีบริษัทหลายแห่งในไทยได้ลงทุนในประเทศอินเดีย

ตลอดสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างน่าชื่นชมในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากประเทศที่มีรายได้น้อยไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าทึ่งกำลังถูกบันทึกไว้ในอินเดียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกแม้กระทั่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินมาตรการนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจในอินเดียและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาในหลายด้าน เช่น ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระบบนิเวศนวัตกรรม การแข่งขัน เป็นต้น คุณทราบหรือไม่ว่า อินเดียได้ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 79 ในห้าปีที่ผ่านมา และปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 63 ในการจัดอันดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกสำหรับปี 2022 (2565) อินเดียอยู่ในอันดับที่ 40 ในดัชนีนวัตกรรมโลก 2023 (Global Innovation Index 2023 )ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)

ประเทศอินเดียมีระบบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เปิดกว้างเกือบทุกภาคส่วน เช่น การก่อสร้าง การธนาคาร ประกันภัย รถไฟ ค้าปลีก สื่อ สายการบิน การป้องกันประเทศ ฯลฯ และมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 100% ในภาคส่วนส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางอัตโนมัติ อินเดียได้บันทึกการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 83.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว

ปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างระบบการผลิตชิปเซ็ตที่แตกต่างและหลากหลาย แผนการอุดหนุนล่าสุดที่ประกาศสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โดยรัฐบาลทำให้อินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดที่สุดในเอเชียสำหรับเซมิคอนดักเตอร์ ภายใต้โครงการอุดหนุนการเชื่อมโยงการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รัฐบาลอินเดียได้ประกาศการสนับสนุนทางการคลังแบบสม่ำเสมอ 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายโครงการสำหรับการจัดตั้ง Semiconductor Fabs ในอินเดีย เพื่อนร่วมงานของฉันจะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการและแผนริเริ่มต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการดำเนินธุรกิจในอินเดีย

ประเทศอินเดียมีโอกาสการลงทุนอย่างมากมายในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ถนน ท่าเรือ ภาคพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ การแปรรูปอาหาร พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีดิจิทัล โลจิสติกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า ในระหว่างการประชุมและการพูดคุยของฉันกับภาคธุรกิจในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ฉันรู้สึกยินดีที่เห็นว่าความร่วมมือของเราแข็งแกร่งขึ้นและมีสภาพแวดล้อมแห่งความไว้วางใจระหว่างธุรกิจของทั้งสองประเทศ ประชากรจำนวนมากของอินเดียไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลกเท่านั้น แต่ยังเปิดทางให้ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์และการลงทุนของไทย 

นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียยังได้เสนอให้มีการประสานงานกันในภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เพื่อส่งเสริมการค้าและสนับสนุนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองฝ่าย ฉันทราบดีว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในลำพูนอยู่ในประเภท SME (ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม) และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนจากความร่วมมือดังกล่าว

ทุกท่าน นับตั้งแต่เราได้รับเอกราช อินเดียได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่หยุดยั้ง และเรายังคงก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาลอินเดียกำลังจะนำอินเดียไปสู่จุดศูนย์กลางเวทีโลก วิสัยทัศน์และภารกิจของอินเดียในปี 2047 ซึ่งเราเรียกว่า "อมฤตกาล" และนโยบาย Thailand 4.0 เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของเจตจำนงของเราที่มีต่อความเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้า ฉันเชื่อว่าความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันและบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้

ในนามของสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับกลุ่มธุรกิจของลำพูน ที่จะเข้ามาเพื่อสำรวจตลาดอินเดียเพื่อสร้างความเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุนที่มากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่และสิ่งจูงใจที่รัฐบาลอินเดียมอบให้ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประสิทธิภาพในงานสัมมนาฯ และพร้อมรับข้อเสนอแนะของคุณ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้าร่วมสัมมนาในวันนี้(30 พ.ย. 66)..นางปอโลมีฯ กล่าวในที่สุด

(สุรินทร์) กกล.สุรนารี ร่วมติดปีกสานฝันปันน้ำใจให้น้องๆชายแดน สู้ศึก 'การแข่งขัน Robocup Asia Pacific Junior 2023'

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.30 น. พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เป็นผู้แทนคณะที่ปรึกษากองกำลังสุรนารี มอบเงินสนับสนุนการเดินทางแก่ทีมหุ่นยนต์โรงเรียนทับทิมสยาม 04 ในพระอุปถัมภ์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน Robocup Asia  Pacific Junior 2023 ณ เมือง Gangwon ประเทศเกาหลีใต้ โรงเรียนทับทิมสยาม 04 ในพระอุปถัมภ์ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 

เป็นโรงเรียนตามแนวชายแดน ที่เด็กนักเรียนมีความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เข้าร่วมการแข่งขันหุ่นยนต์ยุวชน Robo Soccer ประจำปี 2566 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศ พร้อมได้สิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 ธันวาคม 2566 โดยโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ด้วยการเป็นโรงเรียนห่างไกล ขาดทุนทรัพย์ คณะผู้บริหารได้หารือกับ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี 

จึงได้รวบรวมเงินสนับสนุน จากคณะที่ปรึกษาผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จนได้เงินสนับสนุนเพียงพอต่อการเดินทาง จำนวน 204,800 บาท(สองแสนสี่พันแปดร้อยบาทถ้วน)  ทำให้เด็กๆปลื้มใจ และสัญญาจะนำรางวัลชนะเลิศมามอบให้คุณลุงณัฎฐ์

(สุรินทร์) ทหาร!!! หมอทหาร เพื่อประชาชน

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10.30 น. พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25, พันเอก พรพิเชษฐ์ เกษพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกับรถกระบะ ระหว่างการเดินทางกลับจากเยี่ยมเยียนบุตรแรกเกิดของน้องทหารใหม่ ผลัดที่2/66 บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันไผ่สีทอง ถนนสาย สุรินทร์ -ปราสาท ตำบลกังแอน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น และเคลื่อนย้ายผู้ประสบอุบัติเหตุ นำตัวส่งโรงพยาบาลปราสาท เพื่อทำการรักษาต่อไป

#กองทัพบก#มณฑลทหารบกที่ 25#โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน

(สุรินทร์) ผบ.มทบ.25 เยี่ยมเยียนบุตรแรกเกิดของน้องทหารใหม่ ผลัดที่2/66

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.30 น. พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย คุณอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 พันเอก พรพิเชษฐ์ เกษพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ได้นำน้องทหารใหม่ ผลัดที่ 2/66 ที่ได้เข้ากองประจำการ มาเยี่ยมภรรยาที่คลอดบุตรชาย ที่ บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 5 บ้านโคกกลางสามัคคี ตำบลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ พร้อมมอบสิ่งของที่จำเป็นสำหรับเลี้ยงดูบุตร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และเป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง ของทหารใหม่ที่เข้ากองประจำการแต่ชีวิตไม่ห่างครอบครัว เพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน สร้างความปลาบปลื้มใจ ให้กับครอบครัวทหารใหม่เป็นอย่างมาก 

#กองทัพบก#มณฑลทหารบกที่25 #โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 ฝึกทบทวนการปฏิบัติส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน โดยอากาศยานกองทัพบก

วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ที่หน่วยบินทหารบกยุทธวิธีที่ 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท ประสาน  แสงศิริรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานเปิดการฝึกทบทวนการปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤต และฉุกเฉินโดยอากาศยาน กองทัพบก (ฮ.ท.145) และ (ฮ.ท.212) ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ที่เน้นย้ำในการนำยุทโธปกรณ์ของกองทัพบก มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่โดยได้อนุมัติแนวทางการใช้อากาศยานของกองทัพบก ในการสนับสนุนภารกิจส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ ทั้งในยามปกติและในสนาม ด้วยการปรับปรุงและดัดแปลงอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ฮ.ท.145 จำนวน 4 เครื่อง ขนาดเบา ฮ.ท.212  จำนวน 4 เครื่อง 

ที่เดิมใช้สำหรับ การปฏิบัติทางธุรการทั่วไป มาพัฒนาขีดความสามารถให้เป็นเฮลิคอปเตอร์พยาบาล โดยกองทัพบกได้ดำเนินการแบ่งมอบเฮลิคอปเตอร์พยาบาลให้แต่ละกองทัพภาค  เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนสำหรับการส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ ทั้งนี้ได้อนุมัติแนวทางปฏิบัติในการขอรับการสนับสนุนอากาศยานกองทัพบก สำหรับส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉิน และในปัจจุบันทางกองทัพบกได้ใช้อากาศยานในการสนับสนุนภารกิจการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉิน ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ซึ่งในบางพื้นที่จะมีการใช้อากาศยานของกองทัพบก แบบ ฮ.ท.212 ร่วมปฏิบัติการด้วย เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่ผู้บัญชาการทหารบกกำหนด และเพื่อเตรียมความพร้อมของกำลังพล กองทัพภาคที่ 3 ในการลำเลียงผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉินกับอากาศยานจริง โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในฐานะโรงพยาบาลแม่ข่าย กองทัพภาคที่ 3 จึงได้จัดการอบรมและฝึกทบทวนการปฏิบัติ การส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉิน โดยอากาศยานกองทัพบก ฮ.ท.145 และ ฮ.ท.121 ให้กับชุดส่งกลับทางอากาศโรงพยาบาลกองทัพบก ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 10 โรงพยาบาล กองพันเสนารักษ์ที่ 4 และโรงพยาบาลพุทธชินราช 

ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมผู้เข้ารับการฝึกฯ จำนวน 70 นาย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อฝึกซ้อมและสร้างความชำนาญกับอากาศยานเฮลิคอปเตอร์พยาบาล ฮ.ท.145 และ ฮ.ท.212 กับสิ่งอุปกรณ์สายแพทย์ประจำอากาศยาน การอบรมและฝึกทบทวนประกอบด้วย การบรรยายวิชาการ ณ ห้องประชุมชินราชา โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ฝึกทบทวนการปฏิบัติกับอากาศยานเฮลิคอปเตอร์พยาบาล ฮ.ท.145 และ ฮ.ท.212 แบบ Static ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว เมื่อภาคบ่ายของวันที่ 30 พฤศจิกายน ๒๕๖๖ โดยวันนี้ เป็นการฝึกปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉินโดยอากาศยาน กองทัพบก ฮ.ท.145 และ ฮ.ท.212 ตามสถานการณ์สมมุติ จำนวน 12 เที่ยวบิน 

กองทัพภาคที่ 3 เห็นความสำคัญในความปลอดภัยของประชาชน และมุ่งเน้นการฝึกบุคลากรให้มีความชำนาญในการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉินโดยอากาศยาน กองทัพบก จึงได้อนุมัติให้แผนกแพทย์กองทัพภาคที่ 3 ร่วมกับ โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในฐานะโรงพยาบาลแม่ข่ายของกองทัพภาคที่ 3 เป็นผู้นำจัดการอบรมและฝึกทบทวนการปฏิบัติการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตและฉุกเฉินโดยอากาศยาน กองทัพบก ฮ.ท.145 และ ฮ.ท.212 ให้กับชุดแพทย์ทหารเผชิญเหตุฉุกเฉิน ทั้งนี้การฝึกทบทวนการปฏิบัติดังกล่าว เป็นการเตรียมความพร้อมช่วยเหลือประชาชนและผู้ประสบภัย  ในสถานการณ์จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้มาถึงนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิต อบอุ่นใจในคำมั่น กองทัพบกเพื่อประชาชน

สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาเลเซียและอินโดนีเซีย เยือน ศอ.บต. รับฟังการดำเนินการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาในพื้นที่ จชต. พร้อมเปิดมุมมองด้านการท่องเที่ยวชายแดนใต้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เมื่อวันที่ (29 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ มอบหมายให้ นาวาเอก จักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศอ.บต. ให้การต้อนรับ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ซึ่งนำคณะสื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาเลเซียและอินโดนีเซียกว่า 42 คน พบปะผู้บริหารของ ศอ.บต. และรับฟังการดำเนินการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ณ ห้องประชุมน้อมเกล้า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมือง จ.ยะลา ในโอกาสเดินทางมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อร่วมกิจกรรมสานสัมพันธ์สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวคาบสมุทรมลายูครั้งที่  1 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2566 ซึ่งจัดโดยสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยและภาคีเครือข่าย เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเขตพัฒนาเศรษฐกิจ IMTGT และกระชับมิตรระหว่างสื่อมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสื่อไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแลกเปลี่ยนแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นระหว่างผู้ประกอบท่องเที่ยวทั้ง 3 ประเทศและเปิดมุมมองหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต

นาวาเอก จักรพงษ์ อภิมหาธรรม กล่าวว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย โดยประชากรมากกว่าร้อยละ 80 นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งรัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความพิเศษของวิถีชีวิต และความศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ จึงได้จัดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษ มีนโยบายการพัฒนาที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์และความเชื่อของตนเอง โดยเมื่อปี พ.ศ. 2524 รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. มุ่งเน้นบทบาทในการบูรณาการความร่วมมือและสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถอยู่ร่วมกันได้ในวิถีพหุวัฒนธรรม อย่างยั่งยืน” ปัจจุบัน ศอ.บต. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานกว่า 40 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านการพัฒนา อีกทั้งเป็นหน่วยรับผิดชอบในการกำกับดูแล ติดตาม และประเมินการดำเนินงานในภาพรวม  โดยได้มีการแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างหลักประกันด้านสังคมจิตวิทยา เพื่อสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และ การสนับสนุนการแสวงหาทางออกโดยสันติวิธี นอกจากนี้ ศอ.บต. มีภารกิจในการเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีและการรับรู้อันดีเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ให้แก่กลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ด้าน ดาโต๊ะ ซัมซีร อาลัม เอส เอ็ม คัยรุดดีน ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ สำนักงานเลขานุการ องค์กร Kebangkitan Nusantara Sejahtera หรือ SKNS จากรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า ทางกลุ่มของตนต้องการที่จะพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในเรื่องของ Eco Tourism การท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์ และประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกัน โดย SKNS เชื่อมั่นในความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างกลุ่มมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้และประชาชนในทาง 4 รัฐตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย 

ทั้งนี้ โครงการสานสัมพันธ์สื่อมวลชน เริ่มต้นวันแรกเข้าจากด่านเบตง จ.ยะลา จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี จ.สงขลา พบปะ ผู้บริหาร ศอ.บต. ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรการท่องเที่ยว ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ชมแหล่งท่องเที่ยวอันซีนและแหล่งใหม่ของแต่ละจังหวัด และสัมมนาหัวข้อ ความร่วมมือการพัฒนาการท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจ IMTGT ที่จังหวัดสงขลา ก่อนเดินทางกลับผ่านด่านสะเดา

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 ให้การช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้กับราษฎรชาวลาวในการทำคลอดฉุกเฉิน ข้ามฝั่งท่าเรือน้ำลึกอำเภอบ้านแพง นำส่งโรงพยาบาลบ้านแพง จังหวัดนครพนม

กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับแจ้งจาก ท่าเรือน้ำลึกอำเภอบ้านแพง ว่ามีราษฎรชาวลาวเจ็บป่วยฉุกเฉิน ทราบชื่อ นางแหม่ม จันทะลัก อายุ 17 ปี ราษฎรบ้านท่าสะอาด เมืองปากกะดิ่ง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว มีอาการปวดท้องใกล้คลอด จึงได้จัดกำลังพลเข้าให้การช่วยเหลือนำราษฎรหญิงชาวลาวใกล้คลอด ลงมาจากเรือแล้วนำขึ้นยังฝั่งท่าเรือฯ พร้อมกับประสาน รพ.บ้านแพง เพื่อนำหญิงใกล้คลอด นำส่งโรงพยาบาลบ้านแพง จังหวัดนครพนม 

และเมื่อรถฉุกเฉินพร้อมบุคลากร โรงพยาบาลบ้านแพง มาถึง ปรากฎว่า ราษฎรหญิงชาวลาว ทนเจ็บท้องไม่ไหว หน่วยจึงได้อำนวยความสะดวกในการกันพื้นที่ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ของ โรงพยาบาลบ้านแพง ได้ทำคลอดฉุกเฉิน ณ พื้นที่ บริเวณท่าเรือน้ำลึกอำเภอบ้านแพง ตำบลไผ่ล้อม อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม โดยการช่วยเหลือราษฎรชาวลาวในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรม ที่หน่วยได้ปฏิบัติด้วยดีตลอดมา และเพื่อรักษาและสืบสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างราษฎรทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง ให้คงอยู่สืบไป การทำคลอดฉุกเฉินเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ราษฎรหญิงชาวลาว ได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิง ปลอดภัยทั้งแม่และลูก พร้อมน้ำส่ง โรงพยาบาลบ้านแพง เพื่อดูแลรักษาหลังการคลอดต่อไป มารดาและญาติของราษฎรหญิงชาวลาว มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก พร้อมขอบคุณที่กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 ให้การช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top