Monday, 20 May 2024
POLITICS TEAM

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สุดปลื้ม หลัง Bloomberg ยกให้ไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีสุดปี 64 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Bloomberg ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีภาพรวมทางเศรษฐกิจดีที่สุดในปี 2564

แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในเรื่องการค้าและการลงทุนในปี 2564

จากรายงานใน หัวข้อ China Lags as Thailand, Russia Rank Top Emerging Market Picks เปิดเผยรายงานการศึกษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564 ของ 17 ประเทศ อาทิ ไทย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 ในฐานะประเทศที่มีเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพสูงจากการไหลเข้าของเงินลงทุน (Portfolio Inflows)

แม้ในรายงานดังกล่าว จะมีความห่วงกังวลเรื่องการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ของประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลได้เตรียมการรับมือกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างดี

โดยทางด้านสาธารณสุข รัฐบาลส่งเสริมการดำเนินการควบคุมโรค ป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับส่งเสริมความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขกับหุ้นส่วนและมิตรประเทศ เพื่อวิจัยและพัฒนา รวมถึงเตรียมผลิตวัคซีนและยกระดับการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขไทย รวมทั้งส่งเสริมให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ และประชาชนสามารถได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เตรียมพร้อมและได้ดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 1 เฟส 2 เราเที่ยวด้วยกัน และ ช้อปดีมีคืน เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐบาลดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านการจัดการน้ำ ด้านการสื่อสาร รวมถึงการเร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น

รมว.กระทรวงแรงงาน "สุชาติ ชมกลิ้น" ยันงาน Job Expo ประสบความสำเร็จ หลัง 3เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนตำแหน่ง พร้อมแจงตัวเลขจ้างเด็กจบใหม่น้อย เพราะเพียงเสี้ยวเดียวของการจ้างงานทั้งระบบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจ้างงานภายหลังการจัดมหกรรม Job Expo Thailand 2020 ว่า สำหรับการจัดงานดังกล่าวจำนวน 1 ล้านตำแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล

ซึ่งตัวเลขบรรจุงานล่าสุด คือ 399,072 อัตรา หรือประมาณร้อยละ 40 โดยเป็นการจ้างงานของภาครัฐ 2 แสนอัตรา เอกชน 1 แสนตำแหน่ง และส่งแรงงานไปต่างประเทศ 3 หมื่นอัตรา เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โป ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

แต่จากข้อมูลของบางสื่อได้วิเคราะห์ อาจโฟกัสไปที่นักศึกษาจบใหม่ ซึ่งถือเป็นเสี้ยวหนึ่งของการจัดงานดังกล่าว มีการจ้างงาน 4 กลุ่ม และนักศึกษาจบใหม่เป็น 1 กลุ่มเท่านั้น

"เราตั้งเป้าจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนอัตราก็จริง แต่การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ต.ค. มีจำนวน 182,000 คน และ ภายหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โปเมื่อปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นตัวเลขระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-31 ต.ค. มีการจ้างงานคนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีลงมา 2 หมื่นกว่าอัตรา แต่เข้าระบบ Co-payment หรือจ้างงานเด็กจบใหม่ ที่มีบางสื่อ ระบุว่า จ้างงาน 2,000 อัตราเท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่า มีหลายบริษัทที่ไม่เข้าร่วมโครงการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะอยู่ในภาคธุรกิจที่ยังแข็งแรงอยู่แล้ว และต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้พนักงาน เช่น ธุรกิจยานยนต์ อุตสากรรมรถยนต์ สิ่งทอ ซึ่งขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว

ดังนั้นหากจ้างนักศึกษาจบใหม่ เข้าโครงการนี้ อาจจะไม่ได้รับความมั่นคงในชีวิต เนื่องจากเป็นการจ้างงานระยะเวลาเพียงปีเดียว ซึ่งบริษัทต่าง ๆ มีความแข็งแรง จึงสามารถจ้างแรงงานปกติได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีงบประมาณเพื่อรับนักศึกษาที่จบใหม่ในเดือน เม.ย. ปี 2564 แน่นอน"

สำหรับโครงการ Co-payment รัฐบาลทำขึ้นเนื่องจากมีความเป็นห่วงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่มีกำลังเม็ดเงินจำนวนน้อย และถือเป็น 1 ใน 4 ของงานจ็อบเอ็กซ์โปเท่านั้นเอง

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 18 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 16 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,297 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 16 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,005 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 16 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติสวิส 2 ราย อินเดีย 1 ราย เบลารุส 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 341 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.44 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.27 แสน เสียชีวิต 19,390 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 89,133 ราย รักษาหายแล้ว 74,030 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.13 แสน ราย รักษาหายแล้ว 91,537 ราย เสียชีวิต 2,377 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.54 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.2 แสน ราย เสียชีวิต 8,850 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,377 ราย รักษาหายแล้ว 58,252 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,407 ราย รักษาหายแล้ว1,263 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมเตรียมติดกำไลอีเอ็มคุมประพฤติ หลังศาลพิพาษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน โดยคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563

หลังจาก ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.’ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ในคดีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อปี 2550

ล่าสุดวันนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

โดยจะมีการติดกำไลอีเอ็มระหว่างการพักโทษและถูกคุมประพฤติอีกระยะ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน สำหรับการปล่อยตัว ในครั้งนี้

ด้าน วิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า “เงื่อนไขการปล่อยตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่คดี โดย ณัฐวุฒิ เป็นผู้ต้องหาคดีการชุมนุมทางการเมือง หากได้รับการพักโทษเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ การไปร่วมชุมนุมอีกครั้งอาจไม่เหมาะสม”

ซึ่งโครงการสำหรับพักการลงโทษนักโทษชั้นกลางขึ้นไป ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และเหลือโทษที่ต้องได้รับต่อไม่เกิน 5 ปี โดยกรณี นายณัฐวุฒิ ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นับเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีมาก

ฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังหนัก! นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นำทีมทุกหน่วยงานในสังกัด ปฏิบัติการ Big Cleaning day ล้างถนนสายหลักพร้อมกัน 50 เขตทั่วกทม.

เมื่อคืนวันที่ 17 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. นำเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่เทศกิจและสำนักรักษาความสะอาด กทม. ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจร่วมทำกิจกรรมทำความสะอาด (Big Cleaning day) ล้างฝุ่นและมลพิษทางอากาศที่บริเวณถนนสายหลักกลางเมือง เพื่อบรรเทามลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ พีเอ็ม 2.5 (PM2.5) โดยเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

"เนื่องด้วยทางรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็ได้มีการหารือถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่ามีรุนแรงและต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน จึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย(มท.)และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) บูรณาการร่วมกันจัดการแก้ปัญหา โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้น จึงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา

สำหรับกรุงเทพมหานครช่วงเวลานี้ เมื่ออากาศไม่เอื้ออำนวย ไม่มีลมพัดผ่าน ทำให้ฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงได้จัดการแก้ไขสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองเพิ่มเติม เช่น การลดความหนาแน่นของการคมนาคมสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล กว่า 45% ก่อให้มลพิษทางอากาศ การควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นในพื้นที่ก่อสร้าง โดยจะให้มีการชะลอการก่อสร้างในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือไปยังจังหวัดข้างเคียง ปริมณฑลในการเผาขยะและจุดไฟเพื่อการเกษตร อีกด้วย โดยในวันนี้เป็นการเริ่มต้นในกรุงเทพ รวมกันพร้อมกันทั้ง 50 เขต และจะดำเนินการต่อเนื่องพร้อมติดตามประเมินทุกระยะ" นายนิพนธ์กล่าว

วิจารณ์หนักหลังกองทัพอากาศหั่นงบร่วม 54.43 ล้านบาท ปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบิน ‘วีวีไอพี’ A340-500 รหัส HS-TYV จำนวน 1 ห้อง โดยอ้างราคาสมเหตุสมผล เนื่องจากห้องน้ำนี้มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

สำหรับเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทการบินไทย จำกัด และได้มีการปรับปรุงครั้งแรกไปแล้ว 1 ครั้งด้วยการเปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่ง เพราะของเดิมผ่านการใช้งานมานาน และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในการปรับปรุงห้องน้ำ

ทว่าทันทีที่เอกสารโครงการปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบินดังกล่าว ได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ประชาชนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนรัฐบาลเองก็ยังต้องกู้เงินมาใช้จ่าย

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ทำให้ทางกองทัพอากาศ ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุในการปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินลำนี้ว่าไม่ใช่ห้องน้ำทั่วไป หากแต่เป็นห้องน้ำบนเครื่องบิน ที่มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

นอกจากนี้มีการเปิดเผยข้อมูลในเว็บไซต์กรมช่างอากาศที่ประกาศตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งราคา 54.43 ล้านบาทนั้น ไม่ได้แพงเกินความจำเป็นจากราคาท้องตลาด สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ดัดแปลงอากาศยานที่มีการเปรียบเทียบราคาไว้อย่างสมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น การปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินไม่ได้ปรับปรุงง่ายเหมือนกับห้องน้ำบ้าน เพราะจะต้องมีการวางระบบท่อและออกแบบใหม่ ถือเป็นวิศวกรรมราคาสูง ใช้เทคนิคของประเทศเยอรมัน

หลังจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้มีการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ลงทะเบียนเต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การลงทะเบียนในเฟส 2 นี้ว่า ระบบจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกตัดสิทธิ์ให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ในเฟสต่อไป หรือ ‘เฟส 3’ ว่า จะมีต่อหรือไม่ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า อาจจะเป็นไปได้ แต่ต้องพิจารณาอีกครั้งทั้งในด้านงบประมาณ, สถานการณ์โควิด-19 และสถานะการเงินการคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการคนละครึ่ง ได้มีประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่าเป็นแนวคิดของใคร โดยนายกรัฐมนตรี ให้คำตอบว่า “โครงการคนละครึ่งเป็นแนวคิดของตน เป็นคนคิดนโยบายและหลักการ จากนั้นก็ให้คณะทำงานนำไปสานต่อ”

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 17 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 20 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,281 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 12 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,989 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 20 ราย เป็นคนไทย 14 ราย สัญชาติอังกฤษ 2 ราย อินเดีย 1 ราย เยอรมัน 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย


ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 324 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.22 แสน เสียชีวิต 19,248 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 87,913 ราย รักษาหายแล้ว 72,733 ราย เสียชีวิต 429 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.12 แสน ราย รักษาหายแล้ว 90,453 ราย เสียชีวิต 2,346 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.53 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.19 แสน ราย เสียชีวิต 8,833 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,353 ราย รักษาหายแล้ว 58,238 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,405 ราย รักษาหายแล้ว1,252 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายหนึ่งในรัฐอะแลสกา สหรัฐฯ ก่ออาการแพ้รุนแรง หลังเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค แต่ตอนนี้อาการทรงตัวแล้ว

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า บุคคลรายดังกล่าวเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อวันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 และทาง ไฟเซอร์ ยืนยันว่า กำลังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในการสืบสวนกรณีดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหราชอาณาจักร 2 คน ก็เกิดอาการแพ้คล้ายๆ กัน เป็นเหตุให้ทางรัฐบาลต้องแจ้งเตือนกับประชาชน ให้หลีกเลี่ยงเข้ารับวัคซีน หากมีประวัติเกี่ยวกับอาการแพ้รุนแรง

คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯ อนุมัติใช้วัคซีนตัวดังกล่าวภายใต้คำเตือนว่า ประชาชนคนใดที่รู้ตัวว่ามีอาการแพ้ต่อส่วนผสมที่อยู่ในวัคซีน ไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน

"เรายังไม่มีข้อมูลครบทุกรายละเอียดเกี่ยวกับรายงานข่าวจากอะแลสกา ในเรื่องที่ว่าอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรงในคนไข้ แต่เรากำลังทำงานอย่างขมีขมันร่วมกับบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น เพื่อประเมินกรณีดังกล่าว" โฆษกของไฟเซอร์ระบุ

โฆษกของไฟเซอร์บอกต่อว่า "เราจะจับตาอย่างใกล้ชิดต่อรายงานข่าวทั้งหมดที่บ่งชี้ว่ามีคนเกิดอาการแพ้รุนแรงหลังเข้ารับการฉีดวัคซีน และจะอัพเดทคำเตือนเป็นสลากยาถ้ามีความจำเป็น"

ในส่วนของอาสมัคร 44,000 คน ที่เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกของไฟเซอร์ ใครก็ตามที่มีประวัติแพ้วัคซีนหรือส่วนผสมของวัคซีนโควิด-19 จะถูกกันออกไป

อย่างไรก็ตาม ทางโฆษกยืนยันว่า โดยรวมแล้วการทดลองไม่พบประเด็นด้านความปลอดภัยร้ายแรงใด ๆ แต่ทางคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบและทางบริษัทจะเดินหน้าเฝ้าสังเกตการณ์ในกรณีที่อาจเกิดผลร้ายใดๆ หลังได้รับวัคซีน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังฉีดวัคซีนให้กับประชาชนราวๆ 3 ล้านคนในสัปดาห์นี้ และหวังว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนแตะระดับ 20 ล้านคน ภายในเดือนนี้ หากว่าวัคซีนอีกตัวที่พัฒนาโดยโมเดอร์นา ผ่านการอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ


ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ / เอเอฟพี

อนุทิน ชาญวีรกูล ไฟเขียว "อีเว้นท์ปีใหม่" แต่ต้องขออนุญาตและปฏิบัติตามกฏ ขณะเดียวกันได้เผยในส่วนของสถานการณ์โควิด-19 ชายแดน โดยตอนนี้รัฐควบคุมสถานการณ์ได้ดี

จากกรณีคอนเสิร์ตที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ปีใหม่นี้จะยังสามารถจัดกิจกรรมปีใหม่ได้อยู่ไหม งานนี้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า

"ยังสามารถจัดได้ ซึ่งภาครัฐ มีมาตรการอยู่แล้ว ส่วนผู้จัดต้องมาขออนุญาต นำเสนอแผน เมื่อได้รับการอนุญาต เวลาจัดงาน ต้องทำตามแผน แต่ถ้าผิดจากนั้น ก็ต้องรับผิดชอบ หากภาครัฐสั่งยุติกิจกรรม ก็ต้องหยุด เพราะถ้ายังจัดต่อ แล้วเจ้าหน้าที่เพิกเฉย เจ้าหน้าที่จะมีความผิด"

"สำหรับประชาชน มั่นใจว่าทุกคนเรียนรู้มามาก รู้ว่าจะจัดการตัวเองอย่างไร เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างตามสมควร ก็ต้องปฏิบัติต่อไป"

"ส่วนสถานการณ์ตามชายแดน ตอนนี้ ดีขึ้นมาก กลุ่มที่มาจากท่าขี้เหล็ก ภาครัฐควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ผู้ติดเชื้อ ผู้มีความเสี่ยง ได้รับการรักษา ได้รับการกักตัว เข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคแล้ว ขณะที่ฝ่ายความมั่นคง ก็เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top