Monday, 20 May 2024
Hard News Team

หนุ่มส่งของเดลิเวอรี่เซ็ง ถูกพิตบูลลูกค้ากัดระหว่างไปส่งอาหาร ด้านเจ้าของชดใช้แค่ 100 บาท พร้อมบอกจะติดต่อมาใหม่ แต่สุดท้ายหายเงียบ

เป็นอีกปัญหาซ้ำซากในสังคมไทย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่เป็นพนักงานส่งของได้โพสต์ข้อความเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เมื่อทำการส่งอาหารที่บ้านหลังหนึ่ง แต่กลับถูกสุนัขพิตบูลของลูกค้ากัดเข้าที่บริเวณข้อเท้าซ้ายเป็นแผล 2 จุด ซึ่งเจ้าของสุนัข ชดใช้ให้เบื้องต้นเพียง 100 บาท และบอกว่าจะติดต่อกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายยังไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าว เข้าข่ายความผิดฐานผู้ใดควบคุมสัตว์ดุร้าย ปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นอยู่ลำพัง ในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์

โดยจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ป.อาญา ม.377 และอาจต้องชดใช้ในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของสุนัข ไม่ว่าจะเป็นค่าสินไหมทดแทน ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการทำงาน หรือ ขาดรายได้ ตาม ป.แพ่งและพาณิชย์ ม.443


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000036751

https://www.facebook.com/groups/862974280826865/permalink/1222445311546425/

เพจ Street Hero Project ไขข้อข้องใจ ทำไมอิสราเอลฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม 70% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มีการฉีดให้ประชากรสูงที่สุดในโลก โดยระบุว่า...

ทำไมอิสราเอลถึงฉีดวัคซีนได้ถึง 70% เป็นประเทศแรกของโลก เอาข้อมูลมาให้วิเคราะห์กัน

1.) อิสราเอลยอมจ่ายค่าวัคซีนล่วงหน้าให้บริษัทผู้ผลิตในราคาที่แพงกว่าที่สหรัฐฯ และยุโรปซื้อมากกว่า 35%

เฉลี่ย 1 คน ใช้เงิน 47 us แต่ยุโรปใช้เงิน 35 us (วัคซีนของ Pfizer และ Moderna)

2.) พื้นที่ประเทศขนาด 2 หมื่น ตร.กม. (เล็กกว่าโคราชเล็กน้อย) ประชากร 8.66 ล้านคน ทำให้ใช้งบประมาณและจำนวนวัคซีนไม่เยอะ ใช้เวลาฉีดวัคซีนรวมกว่า 100 วัน

3.) ปัจจุบันอิสราเอลมีผู้ติดเชื้อสะสม 8 แสนกว่าคน เสียชีวิต 6 พันกว่าคน และผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ 2 ร้อยกว่าคน

#ข้อมูลเสริม

อันดับ 2-3 ของโลก คือ อังกฤษที่ 48% และสหรัฐฯ ที่ 40% ทั้งสองคือประเทศที่วิจัยและผลิตวัคซีนได้เอง

ในเอเชีย สิงคโปร์เป็นชาติแรกที่ได้วัคซีนโดยจ่ายเงินล่วงหน้าในราคาที่แพงกว่าประเทศในเอเชียด้วยกัน

ปัจจุบันสิงคโปร์ฉีดวัคซีนได้ที่ 20% เกาหลีใต้ 3% ญี่ปุ่น 0.9% ไทย 0.7% เวียดนาม 0.1%

พอจะได้คำตอบไหมครับ

https://www.timesofisrael.com/liveblog_entry/israel-said-to-be-a-leader-in-number-of-covid-related-fines/


ที่มา : https://www.facebook.com/838203756283643/posts/3525020537601938/

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

เฟซบุ๊ก Brian B. - News Atlas โดยไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้โพสต์ข้อความชวนคิด โดยอิงจากบทความของสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ในหัวข้อ “พันธมิตรชานม: ทวิตเตอร์สร้างอิโมจิสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย” ว่า...

'ทวิตเตอร์' ได้เปิดตัวอีโมจิใหม่ สำหรับกลุ่มพันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance) ที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของชาวเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน โดยกลุ่มพันธมิตรนี้ ได้รวบรวมเอากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านปักกิ่ง (anti-Beijing) ในเกาะฮ่องกง และประเทศไต้หวัน พร้อมกับกลุ่มรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และประเทศเมียนมาไว้ด้วยกัน

ในเนื้อหายังบอกอีกว่า สิ่งที่สำนักข่าวบีบีซี (BBC) ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีอยู่ 2 อย่างที่เหมือนกัน คือ

1.) กลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้เกลียดประเทศจีน

2.) พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านทาง กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED)

ทุกคนสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนนี้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทุกคนเข้าไปที่เว็บไซต์ของกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ ของสหรัฐฯ (National Endowment for Democracy – NED) แล้วเข้าไปดูที่ข้อมูลภายใต้รายชื่อของแต่ละประเทศเหล่านี้ เช่น ประเทศไทย , ประเทศเมียนมา ที่พวกเขายังคงเขียนชื่อเดิม ประเทศพม่า และ เกาะฮ่องกง ครับ

ทวิตเตอร์ กล่าวว่า “ในเวลาที่เกิดการก่อความไม่สงบหรือการปราบปรามอย่างรุนแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างอิสระ (Open Internet) สำหรับการอัพเดต ณ เวลาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว, เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการให้บริการที่จำเป็นต่างๆ”

จากส่วนหนึ่งของบทความนี้ ที่ทางทวิตเตอร์ได้กล่าวไว้คือ “เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้” หมายความว่า ทางทวิตเตอร์กำลังบอกทุกคนว่า ทางทวิตเตอร์กำลังเซ็นเซอร์ข้อมูลบางส่วนออกจากระบบเครือข่ายของพวกเขา ทวิตเตอร์กำลังไล่ระงับผู้ใช้งานที่ต่อต้านเรื่องเล่าของประเทศสหรัฐฯ ที่ผมได้เคยยกตัวอย่างมามากมายกับข้อมูลเหล่านี้ผ่านคลิปที่ผมได้เคยเผยแพร่ทางช่องยูทูป: แลนด์ เดสทรอยเยอร์ (YouTube: Land Destroyer) ของผม

จากเว็บบล็อกของทางทวิตเตอร์ กับบทความเมื่อเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 2020 ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ทางทวิตเตอร์ได้พบบัญชีมากกว่า 900 บัญชี ที่ได้ถูกระงับลบออกจากระบบเครือข่ายของทางทวิตเตอร์ เนื่องจากสามารถ “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง (reliably link)" กับกองทัพบกได้

เวลาที่ใครใช้คำอย่าง “เชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยง" นั้น หมายความว่าคนๆ นั้นไม่มีหลักฐาน และไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดงให้ดูได้ เพราะถ้ามีหลักฐานจริง ทางทวิตเตอร์คงนำมาแสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบัญชีเหล่านั้นมันเชื่อมโยงกับกองทัพบกจริง พวกเขาจึงใช้คำนี้เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานครับ กองทัพบก คือ กลุ่มคนที่ยืนหยัดเพื่อประเทศของเขาและต่อต้านคนที่มาก่อการจลาจลและปลุกปั่นที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ และรวมถึงพวกม็อบหัวรุนแรง แต่ทางทวิตเตอร์กลับระงับและลบบัญชีของพวกเขาทิ้ง

บทความในเว็บไซต์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) เป็นอีกหนึ่งตัว อย่างที่ผมอยากจะกล่าวถึงนะครับ “ทวิตเตอร์ระงับบัญชีของไทยรอยัลลิสต์ ที่เชื่อมโยงถึงการมีอิทธิพลเพื่อจูงใจในการรณรงค์” และเช่นเคย ทวิตเตอร์ใช้วิธีเดิมๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทวิตเตอร์ก็แค่ระงับบัญชีของผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้นบนทวิตเตอร์ และนี่คือเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Networks) ของประเทศสหรัฐฯ ครับ

ผมได้เคยชี้ถึงประเด็นที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง ว่าเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ นั้น ได้ร่วมงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งทุกคนจะสามารถเห็นผลงานนั้นได้จากบทความในเว็บ ไซต์ของ สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ที่ทางประเทศสหรัฐฯ ร่วมมือกับทางทวิตเตอร์ กับบทความหัวข้อที่ว่า ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเจรจากับทวิตเตอร์เรื่องอิหร่าน” ”กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวไว้เมื่อวันอังคารว่า พวกเขาได้ติดต่อไปยังทวิตเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อขอให้พวกเขาชะลอการอัพเกรดที่จะลดเวลาการให้บริการในช่วงเวลากลางวันกับชาวอิหร่านที่กำลังถกกันเรื่องการเลือกตั้ง”

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประเทศสหรัฐฯ กำลังดำเนินการการปฏิวัติสี (Colour Revolution) อย่างรุนแรง อยู่ในประเทศอิหร่าน พวกเขาได้ใช้ทวิตเตอร์ในการประสานและวางแผนงาน และไม่ต้องการให้เกิดการสะดุดหรือหยุดชะงักการใช้งานระหว่างที่พวกเขากำลังปฏิบัติการกันอยู่

ผมอยากจะขอยกบทความจากเว็บไซต์ของนิวยอร์ค ไทมส์ (New York Times) เมื่อปีค.ศ. 2011 นี้ขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันมีการยอมรับอยู่หลายประเด็นด้วยกัน ภายใต้หัวข้อ ”กลุ่มองค์กรต่างๆของสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการการลุกฮือของชาวอาหรับ” พวกเขาออกมายอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านเหล่านั้นทั้งหมด การลุกฮือในครั้งนั้นไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นแบบอย่างฉับพลัน กระทันหัน หรือที่ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวกันเองของกลุ่มชาวอาหรับ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการถูกฝึกอบรมมาก่อนหน้านั้นนานหลายปีแล้วครับ และจากบทความเดิม ยังมีการยอมรับเกี่ยวกับการฝึกอบรมดังกล่าว ที่ระบุว่า ”ผู้นำเยาวชนของชาวอียิปต์บางคนได้เข้าร่วมการประชุมเทคโนโลยีในปี ค.ศ. 2008...”

“...และบรรดาผู้ให้การสนับสนุนการประชุมนี้ ได้แก่ เฟสบุ๊ค (Facebook) , กูเกิล (Google) , เอ็มทีวี (MTV - Music Television) , โรงเรียนกฏหมายโคลัมเบีย (Columbia Law School) และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ” บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเหล่านี้ได้ร่วมงานกันมาเป็นเวลาสิบปีแล้วและยังคงร่วมงานกันอยู่ การที่ทวิตเตอร์ได้ทำอีโมจิเพื่อกลุ่มพันธมิตรชานมนั้น เพราะกลุ่มพันธมิตรชานมเป็นโครงการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐครับ

ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เต็มไปด้วยรัฐบาลของแต่ละประเทศที่สร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีนมาเนิ่นนานและจะไม่มีวันที่จะตัดความสัมพันธ์ที่ว่านั้น เพราะเพียงแค่ประเทศสหรัฐฯ สั่งให้ทำ ดังนั้น ประเทศสหรัฐฯ จึงต้องสร้างกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ เพื่อใช้ในการโค่นรัฐบาลเหล่านั้น แล้วเปลี่ยน แปลงระบอบการปกครองโดยตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาแทนที่เพื่อให้ตัดความ สัมพันธ์กับประเทศจีนลงครับ

และจากข้อความของทวิตเตอร์ที่ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับการทำอีโมจิ เพื่อกลุ่มพันธมิตรชานม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนายเนติวิทย์ ที่ทุกคนคงจำเขาได้ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งที่ได้ไปพูดบรรยายในงานเวทีเสรีภาพออสโล (Oslo Freedom Forum) ซึ่งสำนักข่าวบีบีซี (BBC) ได้ไปร่วมทำข่าวและยอมรับเองผ่านการรายงานว่า

“นี่อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการปลุกจิตวิญญาณในตัวของนักเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากการเรียนการสอนจากที่นี่ไปจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลให้ได้อย่างถาวรนั้น คนที่มาที่นี่จะต้องมีระเบียบ ต้องทุ่มเทกับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน นักเคลื่อนไหวที่นี่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกับการจัดการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในฮ่องกง ณ ปัจจุบัน แผนการของพวกเขาคือการนำผู้คนนับพันออกมาลงถนน ที่จริงแล้วมันได้เกิดขึ้นจากที่นี่เมื่อเกือบสองปีก่อน”

นี่คือทุกแง่มุมที่นักข่าวบีบีซีได้พยายามบอกกับทุกคน เกี่ยวกับนักเคลื่อน ไหวเหล่านี้ รวมไปถึงที่ทางทวิตเตอร์ให้การสนับสนุนพวกเขา พวกเขาพยายามทำให้เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด นักเคลื่อนไหวทุกคนได้มารวมตัวกันเอง แต่มันไม่ใช่เลยครับ พวกเขาทั้งหมดได้รับเงินทุนและได้รับการสนับสนุนและกำกับโดยกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันในวอชิงตันดีซี

นี่คือความอันตรายของการปล่อยให้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศสหรัฐฯ ครอบครองพื้นที่ทางข้อมูลในประเทศของทุกคน ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค่อนข้างที่จะติดหรือพึ่งกับการใช้งานบนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์มากเกินไป พวกเขาจำเป็นจะต้องสร้างและพัฒนาแพลต ฟอร์มของตัวเองและผลักดันให้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ ของประเทศสหรัฐฯ ออกไปจากพื้นที่ข้อมูลของทุกคนครับ

ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉเฟซบุ๊ก


ที่มา: https://www.facebook.com/105777441608823/posts/119955130191054/

 

“เทพไท” แนะ รัฐบาล สั่ง คลัง - สศช. หรือ กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้1.9ล้านล้านบาท แถลงความคืบหน้ากับประชาชน

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทยได้ออกมาวิจารณ์โครงการกู้ครบรอบ 1 ปี เพื่อเยียวยา - ฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล สูญหาย ล้มเหลว ยิงไม่ตรงเป้า สวยแต่รูปจูบไม่หอม ว่า เป็นเรื่องที่สังคมต้องการคำตอบว่า จำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้มาเพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ที่เกิดจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็น 1 ปีแล้ว สังคมก็อยากจะได้คำตอบว่าจำนวนเงิน 1.9 ล้านล้านบาทนั้น รัฐบาลได้นำไปใช้ในโครงการอะไรบ้าง และมีความคืบหน้าอย่างไร ซึ่งรัฐบาลก็ควรจะให้คำตอบกับประชาชน ในฐานะเป็นเจ้าของประเทศ ที่ต้องรับผิดชอบภาระเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาลด้วย 

นายเทพไท กล่าวว่า "ตนเห็นว่ารัฐบาลสามารถสั่งการให้กระทรวงการคลัง หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  แถลงความคืบหน้าการใช้เงินกู้ดังกล่าว ต่อประชาชนได้ หรืออาจจะประสานงานให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานฯ

ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก.เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับ ให้แถลงข่าวในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยตรง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นทางการเมือง และเกิดความสงสัยในสังคม รัฐบาลจึงควรจะรายงานความคืบหน้าการใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ จากจำนวนเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา"

กนอ. ปลื้ม! ผลงานลงทุนกลุ่มยานยนต์-การขนส่ง พุ่ง 1 แสนล้านบาท

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) มีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ 106,146.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 78,758.09 ล้านบาท ที่ทำได้ 27,388.47 ล้านบาท หรือคิดเป็น 287.56% เป็นผลจากการแจ้งเริ่มประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมในช่วง 1 ถึง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ยังคงมีการลงทุนต่อเนื่องและขยายการลงทุนเพิ่ม ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความต้องการขยายการลงทุนอีกมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และการขนส่ง , เหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ , กลุ่มยาง พลาสติกและหนังเทียม , กลุ่มเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ รวมถึงกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์  ที่ยังคงมีการลงทุนมากที่สุดในช่วง 2 ไตรมาสของปี 64 เช่นกัน ขณะที่มีการจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรมประมาณ 4,655 คน ซึ่งลดลงกว่าปีก่อนหน้า 42% เนื่องจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนโดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง 13.94% ยังคงครองแชมป์การลงทุน รองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 11.69% อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 7.95% อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 7.2% อุตสาหกรรมปุ๋ย สีและเคมีภัณฑ์ 5.99 % โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจมาลงทุนมากเป็นอันดับ 1 ถึง 37.36% รองลงมาคือนักลงทุนจากประเทศจีน 8.16 % อเมริกา 6.79 % สิงคโปร์ 6.78 % และไต้หวัน 4.11 %

“สำหรับการขาย/ให้เช่าที่ดินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 ในภาพรวมประมาณ  473.75 ไร่ ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผู้ประกอบการซื้อ/เช่าประมาณ 1,398.84 ไร่ คิดเป็น 66.13% แบ่งเป็นการขาย/เช่าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 394.42 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี 79.33 ไร่ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ในภาพรวมจะชะลอการลงทุนอยู่บ้าง เนื่องมาจากการระงับเดินทางข้ามประเทศชั่วคราว แต่ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถจูงใจการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมได้”  นางสาวสมจิณณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 64 กนอ.มีแนวทางยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับนักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมให้สามารถขับเคลื่อนภาคการผลิต โดยเพิ่มศักยภาพการให้บริการระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการในนิคมอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าให้ทุกนิคมก้าวสู่นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยงข้อมูล การขับเคลื่อนการบริหารจัดการระบบสาธารณูปโภค รวมถึงบริการต่าง ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

เป็นเรื่องราวที่แพร่หลายในสังคมของชาวเมียนมา มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว สำหรับเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีนโยบายมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนรัฐประหารว่า หากเหล่าผู้นำทางการเมืองและกองทัพ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับวัคซีนหมดแล้ว ก็จะถึงคราวที่ประชาชนชาวเมียนมาได้รับวัคซีนบ้าง

ความจริงการฉีดวัคซีนให้แก่ชาวเมียนมา เป็นนโยบายต่อเนื่องเพื่อควบคุมโรคโควิดที่สานต่อเป็นวาระแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดการยึดอำนาจขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ถึงจะมีเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่ถูกอ้างมา เช่น กลัวความไม่ปลอดภัยของวัคซีน หรือไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศไม่จำเป็นต้องฉีดก็ดี หรือหลายคนบอกว่าก็เคยเป็นแล้วมีภูมิแล้วไม่อยากฉีด

แต่ก็มีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เชื่อและเอย่าคิดว่านี่คือสาเหตุหลักของคนไม่ฉีดวัคซีนคือการที่ยอมรับการฉีดวัคซีนเท่ากับการเห็นดีเห็นงามกับกองทัพ

การฉีดวัคซีน COVISHIELD เริ่มฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมาก่อนตั้งแต่มกราคม 2021 ที่ผ่านมา

การฉีดวัคซีนในเมียนมาผู้เข้ารับการฉีดจะต้องทำการแสดงตนด้วยบัตรประชาชนพร้อมประวัติบิดา มารดา รวมถึงต้องเข้ารับการตรวจร่างกายก่อนที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนว่าไม่มีความเสี่ยงในการฉีดวัคซีน ซึ่งเมื่อฉีดครบ 2 เข็มแล้วทางหน่วยงานที่ฉีดวัคซีนจะมีเอกสารออกให้เป็นภาษาเมียนมาว่าได้รับวัคซีนแล้ว

เอกสารที่ได้จากกระทรวงสาธารณสุขเมียนมาที่แจ้งว่าได้รับวัคซีนแล้ว

สำหรับคนเมียนมาที่มีโอกาสในครั้งนี้ แต่เลือกที่จะละทิ้ง เพราะคิดว่ากองทัพจะนำชื่อเหล่านี้ของพวกเขาไปอยู่ในลิสต์ของผู้สนับสนุนทหารตามที่กลุ่มประชาธิปไตยได้เรียกร้องนั้น พวกเขาหารู้ไม่ว่า กำลังเสียโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ หากเขาจะเดินทางไปประเทศอื่น

เพราะแค่นำเอกสารฉบับนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศเมียนมารับรอง ก็สามารถเดินทางไปประเทศอื่น ๆ ได้ และการที่เอกสารนี้ติดตัวไปสามารถการันตีได้ระดับหนึ่งดังที่ไทยได้มีประกาศออกมาแล้วว่าหากใครมีการฉีดวัคซีนจากต่างประเทศมาแล้วจะลดการกักตัวลงเหลือเพียง 7 วันเท่านั้น

สุดท้ายขึ้นกับคนเมียนมาเหล่านั้นจะคำนึงถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้แล้วละเลยโอกาสที่จะได้แก่ตนหรือจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนก่อนแล้วหาโอกาสกลับมาทำในสิ่งที่ตนต้องการทีหลัง


ที่มา: AYA IRRAWADEE

อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้! ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสม จัดเก็บภาษีใหม่ หวั่นซ้ำเติมประชาชน

วันที่19 เมษายน พ.ศ.2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ยืนยันว่าจะยังไม่มีการจัดเก็บภาษีใหม่ ๆ ในช่วงนี้ เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการออกภาษีใหม่ ๆ จึงยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังและรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้มาตรการภาษีในการเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่กระทรวงการคลังได้รับนโยบายจากรัฐบาลมานั้น แต่ละกรมจัดเก็บรายได้ คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการ ในส่วนของกรมสรรพสามิตนั้นได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เท่านั้น แต่ได้พิจารณาในทุกเรื่อง ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องปฏิรูปโครงสร้างภาษีออกมาให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และตอบโจทย์ภารกิจของกรมสรรพสามิต

“กรมฯ กำลังดำเนินการอยู่ ต้องดูในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การออกพิกัดอัตราภาษีใหม่เท่านั้น แต่ต้องดูให้ครอบคลุมรวมไปถึงภาษีที่จัดเก็บอยู่แล้วก็ต้องทำให้ดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องดูในภาพที่ใหญ่ขึ้นว่าจะต้องดำเนินการในส่วนไหนบ้าง เช่น ภาษีบาปที่ยังมีช่อง ก็ไปศึกษาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนภาษีใหม่ ๆ ที่มีการเสนอ เช่น ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า และภาษีจากความเค็ม ทีมกำลังทำการบ้านอยู่ มีความคืบหน้า ข้อมูลทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาทำงานให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ายังมีเวลาเพราะช่วงโควิด และช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวแบบนี้คงไม่เหมาะหากจะออกภาษีใหม่ ๆ มาใช้ ทุกอย่างยังมีเวลา อยากศึกษาให้ดีและรอบคอบก่อน” นายลวรณ กล่าว

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมพิจารณาขยายเวลาเลื่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามขั้นบันไดไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนจะขยับไปนานเท่าไหร่นั้น คงเป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายจะพิจารณาอีกที

นายลวรณ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63 - มี.ค.64) ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพอใจ จากอานิสงส์ของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเบียร์ที่ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2564 จะทำได้สูงกว่าเป้าหมายของกระทรวงการคลัง และสูงกว่าการจัดเก็บในปีงบประมาณก่อนหน้าแน่นอน

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2564 ด้วย หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการเดิน การบริโภคและใช้จ่ายมากขึ้น ก็จะส่งผลดีกับรายได้จากภาษีน้ำมันที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมาก ๆ และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2564 ซึ่งการจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 แสนบาทต่อปี

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการพิจารณาโครงสร้างภาษีกัญชานั้น กรมสรรพสามิตมองว่ายังมีเวลาในการศึกษาแนวทางดำเนินการให้รอบคอบ โดยยังต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายนโยบายด้วยว่าจะกำหนดให้กัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับใด โดยปัจจุบันยังเป็นเพียงการนำมาใช้ในการทำอาหารปรุงสด หรือการเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งไม่เสียภาษีสรรพสามิต แต่การที่กรมฯ จะเข้าไปจัดเก็บภาษีได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการนำกัญชามาบรรจุลงขวดหรือกระป๋อง จึงยังมีเวลาในการพิจารณาเรื่องนี้อยู่พอสมควร

นาทีนี้ถ้าไม่พูดถึง 'เดวิด สเตร็คฟัสส์' ชาวต่างชาตินักจัดกิจกรรมที่ถูกคาดว่าได้รับเงินผ่านจากสหรัฐอเมริกา มาดำเนินกิจกรรมสั่นคลอนประเทศไทย ก็ถือว่าไม่ทันกระแสความดัง

หลังจากฝรั่งนายนี้ได้ถูกเด้งออกจากอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคอีสาน เริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยกันว่าเขาคือใคร และเกิดอะไรขึ้นกับเขาคนนี้...

จากเฟซบุ๊กเพจ 'Neo Fighter' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ เดวิด สเตร็คฟัสส์ ผ่านมุมมองของ 'ไบรอัน เบอร์เลติก' ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปว่า...

ก่อนหน้านี้ลุงสนธิ ได้ออกมาพูดถึงสเตร็คฟัสส์ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิมาแล้ว ด้วยการเล่าเรื่องและข้อมูลของลุงสนธิทำให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ตื่นตัวขึ้นมาว่าบุคคลคนนี้คือใคร ทำไมถึงมาทำงานตรงนี้ได้ ประวัติเป็นมาอย่างไร และในที่สุดก็ถึงบางอ้อกับฝรั่งที่ชื่อ เดวิด สเตร็คฟัสส์!

ด้านเจ้าตัวได้ออกมาแถลงว่า เขาไม่รู้จักประวัติองค์กรที่เข้ามาให้เงินการสนับสนุนทางกลุ่มอีสานเรคคอร์ดของเขา แค่รู้จักชื่อเสียงและเป็นเพียงผู้สนับสนุนเฉยๆ... (ลิเกโรงใหญ่มาก) ซึ่งหลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์แบบนั้น ทำให้ไบรอัน เบอเลติก ได้งัดเอาข้อมูลชิ้นดีอันเป็นหลักฐานที่มัดตัวสเตร็คฟัสส์พ่อพระเอกลิเกหลังโรงไว้แน่นเลยทีเดียว

ซึ่งข้อมูลที่ไบรอันเอาออกมาแสดงนั้นล้วนมีความเกี่ยวพันทางอาชกรรมทางลับ ๆ ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ซึ่งฝั่งตรงข้ามที่พยายามทำลายประเทศไทยนั้นไม่เคยเอ่ยหรือพูดถึงข้อเท็จจริงของ NED หรือเหล่าองค์กรปรสิต NGOs ที่ทำกับนานานับประเทศในโลกใบนี้เลยแม้แต่นิด

เพราะฉะนั้นคนไทยต้องออกมาปกป้องชาติของตนเองให้มากที่สุด ตื่นรู้ตื่นสู้ให้มากที่สุด ไบรอันเป็นเพียงผู้เปิดฉากเปิดหน้าเอาความจริงมาเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้เพียงเท่านั้น เราจงช่วยไบรอันเปิดโปงเหล่าองค์กรปรสิตฝุ่นใต้ตีนสหรัฐออกมาให้มากที่สุด...


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3975460309201489&id=140063372741221

https://youtu.be/lMdcR7r3-Nk

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” อวดเก่งทำประเทศวิกฤติซ้ำ ชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำคิดติดโควิดพุ่ง - ตายรายวัน

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกวัน แสดงว่ามาตรการที่รัฐบาลออกมาล้มเหลว ไม่ได้ผล เพราะจากวันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศมาตรการต่าง ๆ ผลที่ตามมาคือ ปิดโอกาส ประชาชนในการทางทำมาหากิน

พลเอกประยุทธ์มีทุกอย่างทั้งงบประมาณและเครื่องมือในการทำงาน แต่ทำงานไม่เป็นสุดท้ายงบประมาณจำนวน 1.9 ล้านล้านบาทที่ไปกู้มาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน ผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงเงินกู้ก็ประสบความลำบาก หลายคนสู้ไม่ไหวฆ่าตัวตายหนีปัญหาเป็นจำนวนมาก กรณีการเยียวยาที่ผ่านมาผลที่ออกมาคือประชาชนเข้าไม่ถึง หรือมีปัญหาในการจ่ายเงินไม่มีทุนทำต่อ จนหลายคนฆ่าตัวตาย รัฐบาลไม่ปรับวิธีการเยียวยา ก็จะมีคนฆ่าตัวตายตามมาเป็นจำนวมมาก

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ใครท้วงติงอะไร ก็มองว่าเป็นการเมืองหาทางโจมตีรัฐบาล แม้คำแนะนำจากฝ่ายค้านจะมีประโยชน์ที่จะพาประเทศฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้ รัฐบาลกลับไม่ฟังไปฟังแต่คำคนใกล้ชิดที่คอยเชลียร์เพื่อหวังผลทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของคนใกล้ชิดผู้นำประเทศ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจากความไม่รู้และไม่ฟังคำแนะนำจากคนอื่น หากพลเอกประยุทธ์เร่งในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ปัจจุบันคนไทย 77 ล้านคนได้รับวัคซีนเพียง 5 แสนคนซึ่งน้อยมาก และประชาชนยังคงต้องรอไปจนถึงเดือนมิถุนายนถึงจะได้รับวัคซีน รัฐบาลไม่เคยยอมรับผิดว่าบริหารวัคซีนล้มเหลวทำคนไทยเสี่ยงตายรายวัน ตัวเลขคนติดโควิดพุ่งเกือบ 2,000 คนต่อวัน และมีประชาชนตายเพราะโควิดทุกวัน พลเอกประยุทธ์ต้องไม่ควรโทษคนอื่น ไม่ปัดสวะให้พ้นตัวต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามรถและรับฟังคนอื่นบ้างอย่าอวดเก่งอยู่คนเดียว” นายสงครามกล่าว

เป็นความเชื่อในคนเมียนมามาเนิ่นนานตาปีแล้วสำหรับวันแรกของปี หรือในภาษาพม่าออกเสียงว่า Hnit San Ta Yat Nay สะกดว่า 'หนิด แซน ตะ ยัด เนะ'​ (နှစ်ဆန်းတစ်ရက်နေ့) หมายถึงวันแรกของปี ซึ่งตรงกับทุกวันที่ 17 เมษายนของทุกปี

ในวันนี้ร้านค้าต่าง ๆ​ ในเมียนมาจะหยุดหมด​ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในตลาดหรือแผงลอย โดยในวันนี้คนเมียนมาจะทำแต่สิ่งดี อาทิเช่น ที่บ้านจะมีการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ส่วนผู้สูงอายุในบ้าน​ ก็จะมีบรรดาคนในบ้านมาคอยสระผมให้ผู้เฒ่าผู้แก่​ โดยใช้ 'ตะยอว์กินปุน'​ (Tha Yaw Kin Punn) ซึ่งเป็นแชมพูพื้นบ้านที่ทำมาจากเปลือกต้น Ta Yaw หรือ​ 'ต้นมาลัย'​ และ ผล Kin Punn หรือ 'ผลส้มป่อย'​ นั่นเอง ซึ่งเปลือกต้นมาลัยจะมีคุณสมบัติเป็นสารป้องกันการระคายเคือง​ ส่วนผลส้มป่อยจะมีสารกลุ่มซาโปนินหลายชนิด

นอกจากนี้​ คนในบ้านก็จะใช้ ตะยอว์กินปุน สระให้ตัวเองด้วย​ เพราะเชื่อว่าจะช่วยชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีและโชคร้าย​ รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ​ ที่ติดมาจากปีเก่าให้หมดไป

ในวันนี้สำหรับพุทธศาสนิกชนจะนำพระพุทธรูปมาทำความสะอาด และทำกับข้าวไปแจกเพื่อนบ้านรวมถึงไปยังวัดต่าง ๆ​ เพื่อถวายเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ ส่วนในตอนค่ำจะมีการนิมนต์พระมาเทศนาธรรมและสวดมนต์ขับไล่สิ่งไม่ดีในปีเก่าให้หมดไป

ยิ่งไปกว่านั้น​ ในวันนี้ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อแปลก ๆ​ คือ คนเมียนมาจะไม่ใช้เงินในวันนี้หรือใช้เงินให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะเชื่อกันว่าหากวันนี้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย​ จะ​ส่งผลให้ทั้งปีถึงจะมีเงินเข้ามาหาเงินได้ง่าย แต่เงินก็จะไม่อยู่กับเรา​ มีเท่าไร​ ก็จะมีเหตุให้ต้องเสียเงินออกไปง่ายๆตลอดทั้งปีนี้

สำหรับตัวเอย่าเอง​ ในวันนี้​ก็อยากจะขอให้เป็นวันเริ่มต้นที่ดี​ของเมียนมา​ ขอให้ความสงบเรียบร้อยเป็นปกติสุขกลับมา เพื่อให้ปีนี้ทั้งปีจะได้ไม่มีความวุ่นวายอีกต่อไป ขอให้ความสงบสุขกลับสู่เมียนมาโดยเร็ววัน


ที่มา: AYA IRRAWADEE


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top