Monday, 20 May 2024
Hard News Team

กสม.แถลงผลการดำเนินการรอบปี 63 เผยมี 465 เรื่องร้องเรียน เฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรมนำโด่ง 170 เรื่อง ยันห่วงใยการชุมนุมทางการเมือง ตั้งคณะทำงานติดตาม พร้อมลงพื้นที่ ทั้งเตรียมลงพื้นที่ชายแดนช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนกับชาวเมียนมา

ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชน ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) พร้อมกสม.ร่วมกันแถลง ผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ 2563 โดยกสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 465 เรื่องเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม 170 เรื่อง สิทธิพลเมือง 74 เรื่องสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน 53 เรื่อง ซึ่งพื้นที่ที่มีการร้องเรียนแสนสูงสุดคือตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวน 90 เรื่อง ซึ่งกสม.ได้ตรวจสอบคำร้องและจัดทำรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวน 387 เรื่อง เช่น สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีชีวิตของนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก  สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีกล่าวอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวและตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย  

ส่วนการติดตาม ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของ กสม. 131 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิชุมชนกรณีการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ  อาทิ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนพิการ  กรณีศึกษาผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี การยุติการตั้งครรภ์เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และมีการประเมินสถานการณ์เฉพาะอีก 2 เรื่อง คือการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งได้มีการเสนอรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภาและครม.แล้วเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ร่วมมือและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนกับองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ จัดตั้งสำนักงานกสม.ในต่างจังหวัด นำร่องในพื้นที่ภาคใต้ที่จ.สงขลา และจัดตั้งศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคร่วมกับเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาอีก 6 แห่ง รวมเป็น 12 แห่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกลไกการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้สะดวกรวดเร็วขึ้น  

อย่างไรก็ตาม กสม.เห็นว่ายังมีสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของกสม.และควรมีการแก้ไข คือกรณีที่รัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ว่าด้วยกสม.กำหนดให้กสม.ต้องชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้ากรณีมีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไม่ถูกต้องเป็นธรรม  และข้อจำกัดด้านกฎหมายกรณีพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ60 ไม่ได้บัญญัติหน้าที่และอำนาจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่เดิมที่ กสม.เคยมี ซึ่งถือว่าไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและหลักการสากล รวมทั้งเมื่อมีการจัดทำรายงานหรือข้อเสนอแนะในเรื่องต่างๆไปยังครม.รัฐสภาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วส่วนใหญ่ ไม่มีการแจ้งเหตุผลที่หน่วยงานเหล่านั้นไม่สามารถปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่กสม.ได้ 

เมื่อถามถึงการจับกุมผู้ชุมนุมทางการเมือง กรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร อ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี ทางกสม.จะมีการดำเนินการอย่างไร  นายสุวัฒน์ กล่าวว่า กรณีการชุมนุมทางการเมืองทางกสม.มีข้อห่วงใยและติดตามข้อมูล ข่าวสารมาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นมีการชุมนุม เราได้ตั้งคณะทำงานเฝ้าระวังเพื่อติดตามข้อมูลทุกวันที่มีการชุมนุม และส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมที่สำคัญทุกครั้งและมีการสรุปรายงานให้ทราบทุกสัปดาห์ ส่วนที่มีประชาชนยื่นร้องเรียนเข้ามาประมาณ 10 เรื่อง เราก็ได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบโดยเฉพาะและเร่งดำเนินการนำข้อมูล เหตุการณ์ ข้อร้องเรียนต่างๆมาประมวลเพื่อหาข้อสรุปโดยเร็ว โดยมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาร่วมให้ข้อมูล อาทิ ผู้ชุมนุม นักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น 

ขณะเดียวกันในเรื่องของผู้ถูกกุมขัง ทางกสม.มีความเป็นห่วงและได้ติดตามโดยให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจเยี่ยม ซึ่งตนก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมผู้ถูกกุมขังเช่นกันเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ประเด็นการจับกุมเราได้พยายามศึกษาว่าจะดำเนินการได้อย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องของการประกันตัวนั้น ทุกคนทราบดีว่าเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อเป็นดุลพินิจของศาล ในระเบียบของกสม.ไม่ได้ให้อำนาจกสม.ดำเนินการพิจารณาได้ เราจึงได้ให้คณะทำงานเฝ้าระวังซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาศึกษาว่าเราจะมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง ยืนยันว่าเราพยายามติดตามและให้ความช่วยเหลือเรื่องนี้อยู่  

เมื่อถามว่า เหตุการณ์การชุมนุมประท้วงในเมียนมาทำให้มีคนลี้ภัยมาตามแนวชายแดน ทางกสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนหรือดำเนินการอย่างไรหรือไม่ นายสุวัฒน์  กล่าวว่า ตนได้รับการประสานว่าวันที่ 21 เม.ย.ทางประธานกสม.ระดับต่างประเทศจะหารือกันและเชิญประธานกสม.เมียนมาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเราก็จะดูในภาพรวม ซึ่งประเด็นนี้เรามีความห่วงใยและเตรียมการจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ชายแดนเพื่อดูว่ากรณีถ้ามีราษฎรจากเมียนมาเข้ามา เราจะดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เราจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ  

ด้านนายบุญเกื้อ สมนึก เลขาธิการกสม. กล่าวว่า กรณีผู้ข้ามแดนลี้ภัยนั้น ทางกสม.มีมติมอบหมายให้สำนักงานฯลงพื้นที่เพื่อดูสถานการณ์ ซึ่งทางสำนักงานฯก๋ได้รับการตอบรับจากหน่วยความมั่นคงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ขณะเดียวกันทางสำนักงานฯก็ได้ประสานงานกับทางกระทรวงการต่างประเทศไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะมีมาตรการอย่างไร โดยกสม.จะดูในมิติของสิทธิมนุษยชน

‘ศิริกัญญา’ คลี่แผนงบปี 65 วิจารณ์ยับ รัฐปรับลดงบสวัสดิการ หั่น เงินบัตรทอง-กองทุนการศึกษา ชี้ จับตา ‘ก.พลังงาน’ บวกเพิ่ม 19% ‘ก้าวไกล’ เล็ง ประชุมออนไลน์กางงบให้ประชาชนร่วมวางแผน

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกลฝ่ายนโยบาย กล่าวถึงการเตรียมพร้อมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ว่า เบื้องต้นตนเห็นข้อมูลงบระดับรายกรมและแผนงานต่าง ๆ จึงทำข้อสังเกตเบื้องต้นขึ้นมาก่อน อย่างแรกคือ เป็นรอบแรกในรอบ 12 ปีที่ปรับลดงบประมาณลง คือ ปรับลดลงเหลือ 3.1 ล้านล้านบาท จาก 3.29 ล้านล้านบาทในปี 2564 ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อสังเกตได้ ดังนี้ คือ

1.) 17 จาก 20 กระทรวงถูกปรับลดงบประมาณ โดยกระทรวงที่ถูกปรับลดงบมากที่สุด คือ กระทรวงศึกษาธิการ โดยถูกปรับลดลงกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นหน่วยรับงบประมาณที่ถูกปรับลดมากที่สุด โดยถูกปรับลดลงถึงกว่า 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนั้น 13,264 ล้านบาท เป็นการลดงบในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ซึ่งก็คือส่วนของเงินเดือนค่าตอบแทน ส่วนกระทรวงที่ถูกตัดงบมากเป็นอันดับรองลงมา ได้แก่ กระทรวงแรงงาน ลดลง 19,977 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย ลดลง 17,144 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม ลดลง 14,100 ล้านบาท

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า 2.) มี 3 กระทรวงที่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงที่ได้รับงบเพิ่มมากที่สุด คือ กระทรวงการคลัง คาดว่าจะเป็นเงินเพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รองลงมาคือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยได้รับงบประมาณเพิ่ม 2,300 ล้านบาท โดยไปเพิ่มให้กับกรมเด็กและเยาวชน ดังนั้น คงต้องลุ้นกันต่ออีกปีว่าจะเป็นเงินเลี้ยงดูเด็กแบบถ้วนหน้าหรือไม่ ส่วนกระทรวงที่งบประมาณเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ คือกระทรวงพลังงาน โดยมีสัดส่วนงบประมาณเพิ่มขึ้น 19% เพิ่มให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (+80%) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (+37%)

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า 3.) กระทรวงกลาโหมถูกปรับลดงบประมาณลง 11,000 ล้านบาท คิดเป็น 5.24% แต่ที่น่าสนใจคืองบบุคลากรของกระทรวงกลาโหมกลับเพิ่มขึ้นทั้ง 3 เหล่าทัพ คือ กองทัพบก เพิ่มขึ้น 799 ล้านบาท เป็น 58,892 ล้านบาท กองทัพเรือ เพิ่มขึ้น 531 ล้านบาท เป็น 21,283 ล้านบาท และกองทัพอากาศ เพิ่มขึ้น 365 ล้านบาท เป็น 13,258 ล้านบาท

4.) งบเพื่อสวัสดิการและการศึกษาหลายอย่างถูกตัด แม้เราอยู่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ถูกตัดงบลง 5,740 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29% กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ถูกตัดงบลง 432 ล้านบาท เหลือ 5,652 ล้านบาท หรือแม้แต่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ถูกปรับลดงบประมาณลง 1,815 ล้านบาท เหลือเพียง 140,550 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ สปสช. เองก็คาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่เข้ามาใช้สิทธิบัตรทองเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 137,000 คน ในปี 2564 และอาจมีเพิ่มมากขึ้นหากสภาวะทางเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า และ 5.) รัฐเอาเงินอุดหนุน อสม. ออกจากเงินอุดหนุน อบจ. กลับไปให้กระทรวงสาธารณสุข (ประมาณปีละ 12,500 ล้านบาท) แต่ก็ไม่ได้มีการชดเชยเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้ อปท. โดยในปีงบประมาณ 2565 รัฐอุดหนุนเงินให้ อปท. ลดลง 5% (หลังหักเอาเงิน อสม. ออกแล้ว) และคาดว่า อปท. จะมีรายได้น้อยกว่าปีงบประมาณก่อนประมาณ 76,000 ล้านบาท หรือลดลง 9% ทั้งนี้ รายได้ของ อปท. อาจต่ำกว่าที่ประมาณการลงอีก เนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการให้ลดภาษีที่ดิน ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของท้องถิ่นลงถึงร้อยละ 90 สำหรับปีภาษี 2564 และหากการเก็บภาษีของรัฐไม่เป็นไปตามเป้า ก็จะทำให้รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ และรายได้ที่รัฐแบ่งให้ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลงไปอีก

"หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะประชุมเพื่อกำหนดธีมและหัวข้อในการอภิปราย ซึ่งเรายังยืนยันเรื่องการจัดสรรสวัสดิการที่ต้องครบถ้วนและครอบคลุมมากว่านี้ สำหรับปีนี้พรรคจะมีโปรเจ็กต์นำข้อมูลงบประมาณทั้งหมดของปี 2565 มาให้ประชาชนได้รับทราบและร่วมพิจารณางบว่า งบส่วนไหนที่ตัดได้ เพื่อนำไปเติมส่วนงบสวัสดิการ เพื่อให้รัฐบาลเห็นว่าประชาชนอยากจัดสรรงบประมาณมาใส่ในส่วนงบสวัสดิการเท่าไหร่ ซึ่งคาดว่าจะจัดการประชุมในรูปแบบออนไลน์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'กรณ์' วิเคราะห์ ทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปถอนตัว Super League ส่อล่ม อย่าดูถูกพลังของคนตัวเล็ก เจ้าของสโมสรต้องคำนึงถึงแฟนบอลด้วย เทียบการเมืองไทย ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรม มี ‘สัญญาประชาคม’ ใหม่ ความเป็นธรรมมากขึ้น เชื่อว่ากติกาที่ดี จะทำให้สังคมดีได้

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลง Facebook ถึงกรณีหลายทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ในยุโรปถอนตัวจาก Super League เนื่องจากแฟนบอลออกมาต่อต้านว่า...

Super League ส่อล่ม อย่าดูถูกพลังของคนตัวเล็ก

แฟน ๆ ฟุตบอลไม่มีใคร ไม่ติดตามข่าวความพยายามที่จะตั้ง Super League โดยทีมชื่อดังในยุโรป ซึ่งต้องการแยกตัวออกมาเล่นกันเอง เพราะคิดผิดว่านั่นคือสิ่งที่แฟนบอลต้องการ

ทันทีที่มีการลงนามเบื้องต้นไปแล้ว ปรากฏว่าแฟนบอลออกมาประท้วงกันอย่างหนัก ทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก (ผมเองยังเตรียมล่ารายชื่อแฟนบอลในไทยเพื่อส่งไปร่วมประท้วงด้วย)

กระแสคัดค้านแผนนี้ของทีมใหญ่ชัดเจนและรุนแรงจนทำให้ทั้ง 6 ทีมของอังกฤษที่ร่วมลงนามต้องรีบถอนชื่อกันแทบไม่ทัน

บทเรียนคืออะไร? (ผมคิดเองนะ...)

1.) ผู้ถือหุ้นแต่ละทีมเข้าใจผิด คิดว่าการ ‘การถือหุ้น’ ทำให้ผูกขาดความเป็น ‘เจ้าของ’ ลืมไปว่าแฟนบอลของแต่ละทีมเขาก็คิดว่าเขาเป็นเจ้าของเหมือนกัน

2.) เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้ของแต่ละสโมสรก็คิดผิด นึกว่าทีมฟุตบอลเหมือนบริษัททั่วไป

3.) ปัญหาสำคัญมาจากการที่ผู้ถือหุ้น (และเจ้าหนี้) หลายรายเป็นต่างชาติ (โดยเฉพาะอเมริกัน) ที่มาจากคนละวัฒนธรรมการกีฬา ตรงนี้สะท้อนความไม่เข้าใจในความต่างในความคิดและการยอมรับ

4.) ฟุตบอลยุโรปมีเสน่ห์เพราะความเสมอภาค ใครเก่งก็ขึ้น ใครอ่อนก็ลง (แค่นี้ความเสมอภาคก็หายไปเยอะแล้ว เพราะสายป่านแต่ละทีมต่างกัน)

5.) และทีมฟุตบอลยุโรปแต่ละทีมมีที่มาและความผูกพันกับเมืองอย่างลึกซึ้ง (ต่างกับอเมริกาที่ทีมฟุตบอลเรียกว่าเป็น franchise ย้ายเมืองได้) ซึ่งความผูกพันกับเมืองมีค่าเพียงเพราะเมื่อมีการแข่งขันกับเมืองอื่นอย่างจริงจัง

6.) ระยะหลังแฟนบอลยุโรปมีอยู่ทั่วโลก (รวมถึงเมืองไทย) ซึ่งผู้ถือหุ้นเองอาจจะเข้าใจผิด มองคนเอเชียเราเป็น ‘ลูกค้า’ มากกว่า ‘แฟน’ และคิดว่า ‘เฮ้ย! คนไทยดูหงส์เตะกับผีมากกว่าดูนักบุญเตะกับช่างปั้นหม้อ งั้นเราก็เอาแต่หงส์กับผีมาเตะกันบ่อย ๆ เอามั้ย’ คำตอบคือ ‘ไม่เอา’ เพราะก๋วยเตี๋ยวยังต้องมีถั่วงอกมีเส้นมีนํ้าซุป จะกินแต่ลูกชิ้นมันก็ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว

7.) สำคัญที่สุดคือผู้ถือหุ้นไม่เข้าใจ ‘brand’ ตัวเอง ไม่เข้าใจว่าพลังของ brand ทีมฟุตบอลมาจากอะไร และพลาดไปมอง ‘แฟน’ เสมือนเป็นแค่ ‘ลูกค้า’ แทนที่จะเข้าใจว่าเขาคือ ‘เจ้าของตัวจริง’

ผมนั่งคิดเปรียบเทียบกับการเมืองไทย ผมมองว่าวัฒนธรรม ‘ใครมือยาวสาวได้สาวเอา’ เป็นวัฒนธรรมที่ต้องเปลี่ยน จะเปลี่ยนได้ต้องมี ‘สัญญาประชาคม’ ใหม่ เป็นสัญญาว่าประเทศเราจะมีความเป็นธรรมมากขึ้น ต่างคนต่างทำหน้าที่ อำนาจมาจากหน้าที่ แต่เป็นอำนาจที่ตรวจสอบได้เสมอ

ผมถึงมาทำพรรคกล้า เพราะผมมองตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบใคร และไม่ชอบใครที่เอาเปรียบคนอื่น ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการให้โอกาสทุกคน ให้ความสำคัญกับกติกา และเชื่อว่ากติกาที่ดีเท่านั้นที่จะทำให้สังคมดีได้

ปล. ลืมตัวไปนิด เพราะตอนแรกว่าจะคุยแต่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น

ที่มา: https://www.facebook.com/71254499739/posts/10159568043349740/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

AccRevo ผนึกกำลัง Funding Societies 2 แพลตฟอร์ม ด้านบัญชีและสินเชื่อออนไลน์ ผนึกกำลัง ช่วยธุรกิจ SMEs ไทยเข้าถึงสินเชื่อสำหรับขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น ชูจุดเด่น ‘อนุมัติไว-ไม่ใช้หลักทรัพย์-วงเงินสูง’

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย คือ การเข้าถึงแหล่งทุน หรือสินเชื่อ เพื่อการขยายธุรกิจ

จากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว จึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 แพลตฟอร์ม อย่าง AccRevo และ Funding Societies ที่จะช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยธุรกิจที่ใช้โปรแกรมบัญชีของ "AccRevo" จะสามารถขอสินเชื่อได้ ง่ายและรวดเร็ว ผ่าน Funding Societies

สำหรับ AccRevo (Accounting Intelligence Platform) เป็น Platform บัญชีดิจิทัลสำหรับธุรกิจ SMEs ที่ถูกออกแบบมา ช่วยเหลือทำให้กระบวนการทำบัญชีที่เคยช้า น่าเบื่อ และเต็มไปด้วยเอกสารกองโตเปลี่ยนกระบวนการออกเอกสารทางธุรกิจให้เป็นดิจิทัล ให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน ที่รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม ลดต้นทุนและปรับปรุงขั้นตอนการทำงานของธุรกิจเชื่อมต่อทุกหน่วยงานในองค์กรและทำงานด้วยการประมวลผลแบบคลาวด์และการวิเคราะห์ข้อมูลระบบอัตโนมัติของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI)

ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการจะได้งบการเงินและรู้สุขภาพทางการเงินขององค์กรแบบ Realtime เพิ่มความสามารถในการคาดการณ์การวิเคราะห์การจัดการประสิทธิภาพและการตัดสินใจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในโลกใหม่ของการทำงานที่เป็นดิจิทัลที่ต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการมองการณ์ไกลเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดี ด้วยระบบบัญชี ของ AccRevo ที่ผ่านมาตรฐานกรมสรรพากร และได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ โดยมีโปรแกรมเด่น อาทิ

AccRevo Accistant | โปรแกรมจัดการธุรกิจดิจิทัล on cloud ผู้ช่วยนักธุรกิจในการดูแลการเงิน ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องบัญชี ก็สามารถบริหารจัดการ ออกเอกสารทางด้านบัญชีได้ครบถ้วน ได้มาตรฐาน ควบคุมการทำงานทั้งกระบวนการแบบดิจิทัลทั้งด้านรายรับและด้านรายจ่าย ออกรายงานบริหาร (Dashboard) เพื่อการวิเคราะห์ธุรกิจแบบออนไลน์ทุกที่ ทุกเวลา

AccRevo The Book | โปรแกรมบันทึกบัญชีอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) ผู้ช่วยนักบัญชีในการบันทึกบัญชีเบื้องต้นและการทำบัญชีทั้งกระบวนการแบบไร้เอกสารที่เป็นกระดาษ ทำให้นักบัญชีไม่ต้องปวดหัวกับเอกสารกองโตอีกต่อไป พร้อมเชื่อมต่อระบบงานอื่นๆผ่านเทคโนโลยี API ลดการบันทึกบัญชีซ้ำแบบไร้รอยต่อ

ส่วน Funding Societies เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัลชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ จะมุ่งเน้นสร้างโอกาสแก่ SMEs เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้เข้าถึงเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยสมัครง่ายผ่านระบบออนไลน์ อนุมัติไวภายใน 3 วัน และ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์

ทั้งนี้ Funding Societies ก่อตั้งขึ้นปี 2015 ในประเทศสิงคโปร์ และ ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการระดมทุนอย่างถูกต้องทั้งในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เเละ ล่าสุดในไทย โดยก่อนหน้านี้ได้ให้สินเชื่อแก่ SMEs ไปกว่า 65,000 ราย นอกจากนี้ Funding Societies ยังได้รับการระดมทุน Series C 1,300 ล้านบาทจากบริษัทผู้ลงทุนที่มีความน่าเชื่อถือ อาทิเช่น Sequoia India, Softbank Ventures Asia Corp, Qualgro, LINE Ventures

Funding Societies จึงมองเห็นศักยภาพของ SMEs และสตาร์ทอัพที่มีอยู่หลายล้านรายในประเทศไทย พวกเขาควรได้รับโอกาสทางการเงินที่เท่าเทียมแล้ว

สำหรับ ความร่วมมือ AccRevo X Funding Societies สินเชื่อธุรกิจสำหรับผู้ใช้งาน AccRevo ที่จะได้รับ

- วงเงินสูงสุดถึง 30 ล้านบาท

- อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดแค่ 1% ต่อเดือน

- อนุมัติไว

- ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

ในภาวะที่ SMEs ต้องการเงินสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ และยังต้องแข่งกับเวลา ความร่วมมือระหว่าง AccRevo และ Funding Society จะช่วยให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เข้าถึงสินเชื่อในยุคดิจิทัล ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีวงเงินต่อรายสูงสุดถึง 30 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 1% ต่อเดือน อนุมัติไวใน 3 วัน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน และสะดวกรวดเร็วไม่ยุ่งยากในการจัดเตรียมข้อมูล มาเติบโตและรับการสนับสนุนด้านการเงินไปกับพวกเราเพื่อความแข็งแรง และธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

ราชกิจจานุเบกษา ตีพิมพ์แบบหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ใช้สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว แต่ต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในไทย หรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเท่านั้น

ราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์เอกสาร 2 ฉบับ เกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หรือ วัคซีนพาสปอร์ต (Vaccine Passport) ได้แก่ ประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง แบบหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 และคำสั่งกรมควบคุมโรค ที่ 587/2564 เรื่อง มอบหมายผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) เอกสารทั้งสองฉบับลงนามโดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค

สาระสำคัญ คือ ให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดทำวัคซีนพาสปอร์ต โดยมีหน้าปกระบุข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “DEPARTMENT OF DISEASE CONTROL, MINISTRY OF PUBLIC HEALTH THAILAND” (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข” เครื่องหมายตราครุฑ ระบุข้อความ “COVID-19 CERTIFICATE OF VACCINATION” (หนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) พร้อมเลขที่หนังสือ ขึ้นต้นด้วย ค.ศ. ด้านล่างระบุว่า Issue to ... (ออกให้กับ) Passport No. ... (เลขที่หนังสือเดินทาง) or National identification ... (หรือ เลขประจำตัวประชาชน)

เนื้อหาในหนังสือรับรอง จะมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขคือ เอกสารรับรองนี้เป็นการรับรองเฉพาะการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดยต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาของราชอาณาจักรไทย หรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก จะต้องมีลายมือชื่อของอธิบดีกรมควบคุมโรค หรือผู้ที่อธิบดีกรมควบคุมโรค มอบหมายให้ออกเอกสารรับรอง พร้อมประทับตราหน่วยงานของผู้ที่ออกเอกสารรับรองนั้น เจ้าหน้าที่อาจไม่รับพิจารณาเอกสารรับรองที่มีรอยแก้ไข ขูดลบ ขีดฆ่า หรือมีข้อความไม่สมบูรณ์

โดยให้กรอกข้อมูลในเอกสารรับรองเป็นภาษาอังกฤษอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ จะมีข้อความภาษาอื่น ๆ ควบคู่กับภาษาอังกฤษด้วยก็ได้ เอกสารรับรองนี้รับรองเป็นรายบุคคลเท่านั้น ไม่ให้ใช้ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และต้องออกเอกสารรับรองแยกสำหรับเด็กด้วย ให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองลงลายมือชื่อในเอกสารรับรองแทน หากเด็ก (อายุต่ำกว่า 7 ปี) ยังเขียนหนังสือไม่ได้ สำหรับผู้ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ให้ผู้นั้นพิมพ์ลายนิ้วมือแทน (ปกติให้ใช้นิ้วหัวแม่มือขวา)

ส่วนคำสั่งกรมควบคุมโรค มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สังกัดกรมควบคุมโรค ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร หรือ ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) เป็นผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรอง และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สังกัดกรมควบคุมโรค 6 ราย เป็นผู้ที่มีอำนาจออกหนังสือรับรอง ได้แก่

1.) นายโรม บัวทอง นายแพทย์เชี่ยวชาญ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

2.) น.ส.สิริรักษ์ ธนะสกุลประเสริฐ นายแพทย์ชำนาญการ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

3.) นายรวินันท์ โสมา นายแพทย์ชำนาญการ กองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค

4.) นางรณิดา เตชะสุวรรณา นายแพทย์ชำนาญการ กองโรคติดต่อทั่วไป

5.) น.ส.กมลทิพย์ อัศววรานันต์ นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และ

6.) น.ส.ปริณดา วัฒนศรี นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันเวชศาสตร์ป้องกันศึกษา กรมควบคุมโรค

โดยให้ปฏิบัติตาม ประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่อง การออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 (ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 31 มี.ค. 2564)


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย พฤติกรรมการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ปัจจุบันนายหน้าเถื่อนใช้สื่อออนไลน์โฆษณาจัดหางานอย่างเปิดเผย พร้อมแอบอ้างรู้จักเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พบขบวนการหลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ อาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่าคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน และสามารถพาไปทำงานต่างประเทศได้แม้เป็นช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 โดยเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการรายละ 10,000 –50,000 บาท แบ่งเป็นค่าดำเนินการ ค่าออกวีซ่า ค่าประกันภัย ฯลฯ ภายหลังรับเงินจะตัดขาดการติดต่อ จนผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง และเข้าแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งประเทศที่พบคนหางานถูกหลอกลวงไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ แคนาดา สวีเดน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย จำนวน 13,523,004 บาท

“รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญและเน้นย้ำให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศให้เดินทางไปทำงานอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เนื่องจากแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศถือเป็นกลุ่มแรงงานที่นำรายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้มีการสอดส่องดูแล และตรวจสอบผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางานไปทำงานต่างประเทศ และบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีผู้คิดฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวหลอกลวงคนหางาน

ซึ่งหากตรวจสอบพบว่าผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขอให้คนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินหรือโอนเงินให้กับผู้ใด และสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd โดยปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 129 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงมหานคร 90 บริษัท และกระจายอยู่ในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท ที่ผ่านมาตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2563 - เมษายน 2564 ด่านตรวจคนหางานได้ตรวจสอบเอกสารคนหางานที่เดินทางผ่านด่านตรวจคนหางานทั้งสิ้น 17,922 ราย ตรวจสอบผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 785 ราย และระงับการเดินทาง จำนวน 254 ราย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ลือหึ่ง!! ห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าไทยทางด่านเมียวดี เหตุบริษัทใต้เงากองทัพ หวังฮุบโอกาสทางการค้าเอง

เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีประกาศว่าห้ามนำเข้า 5 กลุ่มสินค้าจากไทยผ่านทางด่านเมียวดี อันได้แก่ น้ำอัดลม, กาแฟปรุงสำเร็จ, ชาปรุงสำเร็จ, กาแฟปรุงสำเร็จ, นมข้นหวานและนมข้นจืด

หลังจากออกข่าวมาได้วันสองวัน ก็มีกระแสบอกออกมาว่า การที่รัฐบาลทหารประกาศแบบนี้เพราะว่าต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของบ้างล่ะ หรือมีข่าวถึงขั้นประกาศห้ามส่งออกสินค้าจากไทย 5 กลุ่มนี้ไปยังเมียนมาบ้างล่ะ เอย่าก็อยากจะแถลงไขเป็นข้อๆ ดังนี้นะคะ

1.) ประกาศนี้ประกาศไปยังด่านศุลกากรเมียวดี เพราะสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีการนำเข้ามายังเมียนมาแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เช่น มูลค่าของกลุ่มสินค้าน้ำอัดลมในปี 2563 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 552 ล้านบาท ดังนั้นหากมีการขนส่งที่ไม่ทำให้สินค้าไม่เน่าเสียหาย แล้วยังผ่อนถ่ายความแออัดของการขนสินค้าที่เมียวดีออกไปได้ดี ก็คือทางเรือนั่นเอง

2.) ในเมียนมาเอง นอกจากสินค้าของบริษัทที่มีกองทัพเป็นหุ้นส่วนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่มีสินค้าที่ผลิตในประเทศโดยเฉพาะชา, กาแฟปรุงสำเร็จ, น้ำข้นหวานและนมข้นจืด ซึ่งมีผู้ประกอบการชาวเมียนมาหลายรายที่เป็นเจ้าตลาดในเมียนมาอยู่ อาทิเช่น One Tea หรือ PEP รวมถึงน้ำอัดลมบางยี่ห้อ ก็ตั้งฐานการผลิตในเมียนมาแล้ว เช่น เป็ปซี่ และ โค้ก ก็มีฐานการผลิตในเมียนมาแล้วตอนนี้

3.) ในประกาศได้มีประกาศชัดเจนว่าให้ปรับเปลี่ยนการขนส่งจากทางรถเป็นทางเรือแทน ซึ่งผลกระทบน่าจะเกิดกับผู้ลงทุนที่จำเป็นต้องสั่งสินค้าให้เต็มตู้หากอยากได้สินค้าเข้าตามเวลา แต่หากไม่สั่งเต็มตู้ ก็ต้องรอขนพร้อมกับสินค้าอื่น ๆ ซึ่งอาจจะส่งผลถึงยอดขายได้ แต่เอย่าเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่าจะกระทบ โดยเขาเหล่านั้นน่าจะเลือกนำเข้าสินค้ามาเต็มคอนเทนเนอร์มากกว่าการจะรอรวมคอนเทนเนอร์กับสินค้าอื่น ๆ

4.) หากต้องการจะแบนสินค้ากลุ่มนี้จริง ๆ ทำไมต้องทำแค่ที่ไทยและที่ด่านแม่สอดเท่านั้น ทำให้ไม่ห้ามนำเข้าทุกด่าน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลทหารจะทำให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพถือหุ้นอยู่ อย่างว่าเงินอยู่ในมือผู้ซื้อมันเป็นสิทธิ์ของผู้ซื้อที่จะซื้อสินค้าหรือต่อให้มีแบรนด์เดียว ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกจะไม่ซื้อหาหรือบริโภคก็ได้

ฉะนั้นข่าวเรื่องรัฐบาลทหารต้องการให้คนเมียนมาหันมาซื้อสินค้าของบริษัทที่กองทัพเป็นเจ้าของ จึงเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและยิ่งถ้าเรื่องแบนสินค้าไทยนี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เพราะในประกาศระบุชัดเจนว่าให้ส่งทางเรือ!!

เอย่าวิเคราะห์ว่าจากเหตุการณ์ประท้วงและการประทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่ม KNU ทำให้ข้าราชการชายแดนส่วนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยง ทำการอารยะขัดขืนไม่มาทำงาน รวมถึงความไม่ปลอดภัยหากส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมาประจำที่นี่

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้น่าจะเป็นมาตรการชั่วคราวที่ทางรัฐบาลทหารพยายามหาทางออกให้ผู้ประกอบการไทยในเมียนมาหรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการเมียนมาเองที่รับสินค้าไทยเข้ามาจำหน่ายให้สามารถนำสินค้าเข้ามาขายเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อไปได้ ในยุคที่ Fake News ยังกลายเป็นข่าวได้อะไรก็เกิดขึ้นได้

ในตอนนี้การหาข้อมูลรอบด้าน จึงมีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักธุรกิจหรือทำธุรกิจในเมียนมา

การฟังความข้างเดียวแล้วจับมาแปลผล อาจจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของคุณได้ โดยเฉพาะเมียนมาในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่โอกาสพร้อมจะเป็นของคนที่ไม่ท้อแท้ และรู้จริงในสถานการณ์ปัจจุบันอย่างที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด เพราะเศรษฐกิจเป็นเรื่องปากท้อง...ไม่ใช่การเมือง!!

 

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

‘แรมโบ้’ กางปีกป้อง ซัด ‘โอ๊ค’ ไล่ ‘บิ๊กตู่’ หวังให้พ่อกับอากลับมาเป็นนายกฯ หรือ โวลั่นสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ควรลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทาง เฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาโควิด-19 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่าพาประเทศฝ่าโควิด เหมือนตาบอดคลำทาง ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ชี้ต้องให้ลาออก ให้คนมีความสามารถมาบริหาร ว่าแม้นายพานทองแท้ จะมองว่าการแก้ไขปัญหาโควิดของนายกฯ และรัฐบาล เหมือนตาบอดคลำทาง แต่ที่ผ่านมา 2 ครั้ง นายกฯ และรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้มาแล้ว และครั้งนี้ตนเองมั่นใจว่านายกฯ จะสามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ อย่าได้มาใช้นิสัยเดิม ๆ มาซ้ำเติมทำร้ายจิตใจคนที่ทุ่มเททำงานแก้ปัญหา

เรื่องการแถลงข่าวของนายกฯ หากนายพานทองแท้ตั้งใจฟังก็จะเห็นว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว และจะทำอะไรต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนที่กำลังทยอยเข้ามาฉีดให้กับประชาชน อีกทั้งนายกฯ ได้มีการติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศก็มีแนวโน้มว่ามีแนวทางในการจัดหาวัคซีนมากขึ้นอย่างแน่นอน และในเดือนมิถุนายนนี้เราก็จะมีวัคซีนจำนวนมาก เพราะสามารถผลิตได้ในประเทศ สามารถที่จะคำนวณฉีดให้กับประชาชนได้โดยภายในปีนี้จะสามารถฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุดอย่างน้อยร้อยละ 60

นายเสกสกล กล่าวว่า คนทำงานอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรต้องลาออก เพราะต้องแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและพัฒนาประเทศ ซึ่งเชื่อว่าหากเป็นคนอื่นน่าจะทำไม่ได้เท่ากับพล.อ.ประยุทธ์ เพราะคงจะไม่เห็นความสำคัญของประชาชน ประเทศชาติ จะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวของตัวเองเท่านั้น เหมือนผู้นำบางตระกูลก่อนหน้านี้ นายพานทองแท้ คงจำได้แน่นอน ขอให้นายพานทองแท้ เปิดใจรับฟังคนอื่นบ้าง ไม่ใช่จะว่ากล่าวตำหนิเพียงอย่างเดียว การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแต่ทั้งนายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทำอย่างดีที่สุด ทั้งนี้นายพานทองแท้ จะไม่ให้กำลังใจนายกฯ แต่ก็ขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงาน ให้กำลังใจคนไทยในการช่วยกันฝ่าฟันสถานการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้

"นายพานทองแท้ ไล่นายกฯ ให้ออกจากตำแหน่ง ขอถามกลับว่าคงอยากให้คุณพ่อหรือคุณอา กลับมาเป็นนายกฯ อีกใช่ไหม ช่วยถามหัวใจคนไทยส่วนใหญ่หน่อยว่า รับได้หรือเปล่า ก่อนจะไล่ใคร ช่วยย้อนกลับมามองตัวเองก่อน อย่าเอาอคติความแค้นส่วนตัวมาจ้องทำลายคนอื่น เพราะสิ่งที่เสียหายในอดีตมากมายมหาศาล นายกฯ คนนี้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหา ยังไม่ได้ทำให้ประเทศชาติประชาชนเสียหายอะไร แต่ในภาวะวิกฤติทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหากับโควิด ประเทศเราก็ย่อมส่งผลกระทบความเดือดร้อนบ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหมือนการทุจริตคอร์รัปชัน โกงบ้านโกงเมืองแต่อย่างใด" นายเสกสกล กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘รองโฆษก ปชป.’ แนะรัฐบาล เร่งหามาตรการช่วยแบ่งเบาภาระช่วงใกล้เปิดเทอมฯ ให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ฝ่าวิกฤติโควิด

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาการใช้เงินตามโครงการ เราชนะ ไปจนถึง 30 มิ.ย.นี้ และมีการพิจารณาในการดำเนินการโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ว่า ตนขอขอบคุณรัฐบาลแทนประชาชนที่เข้าใจถึงสถานการณ์ความยากลำบากในช่วงของการระบาดระลอกใหม่ เพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดนี้ สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายและอันตรายต่อผู้ติดเชื้อมากขึ้น ซึ่งจากยอดติดเชื้อที่ยังคงอยู่ในระดับหลักพัน และคาดว่าจะยังคงสถานการณ์แบบนี้อีกหลายวัน ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกชักหน้าไม่ถึงหลัง พะว้าพะวังเป็นอย่างมาก

ดังนั้น การขยายระเวลาใช้สิทธิตามโครงการดังกล่าว ถือว่ารัฐบาลได้นำเสียงของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร่วมพิจารณา ซึ่งมติ ครม.ที่เกิดขึ้นจะเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชนได้เป็นอย่างดี มีข้อพิสูจน์แล้วว่า ประชาชนต่างมีความกล้าในการจับจ่ายซื้อของมากขึ้น เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนเงินทั้งประชาชนผู้ใช้สิทธิ์และร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการ ทำให้ภาพรวมสามารถประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเอาไว้ได้

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่มีความกังวลในช่วงนี้คือความวิตกกังวลของผู้ปกครองที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายให้กับลูกหลานในวัยเรียน ถึงแม้กระทรวงศึกษาธิการจะพยายามให้มีการเปิดเรียนในวันที่ 17 พ.ค.นี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด จะเบาบางลงวันไหน ดังนั้นหากรัฐบาลมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ปกครองให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากเพื่อสร้างอนาคตของชาติแล้ว จะต้องนำแนวคิดที่เคยมีผู้เสนอ เช่น การลดค่าเทอม 40 % การสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาค้นคว้าฟรี หากจะต้องมีการเรียนผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น หรือการขยายสิทธิ์ของโครงการเยียวยาของรัฐบาล ให้ครอบคลุมหรือระบุวัตถุประสงค์ว่า จะต้องใช้จ่ายให้กับบุตรหลานในการเรียนเท่านั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และสร้างความสบายใจให้กับเด็กในช่วงเวลาใกล้เปิดเทอมที่จะถึงนี้

“ผมเข้าใจว่า ขณะนี้ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนส่วนใหญ่ นอกจากค่าชุดนักเรียน หนังสือ และอุปกรณ์การเรียนพื้นฐานแล้ว ก็มาจากการที่โรงเรียนเก็บเป็นเงินบำรุงหรือเงินอุดหนุนการศึกษา เพื่อดำเนินการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมตามแต่ละโรงเรียน ซึ่งถือว่า เป็นภาระของผู้ปกครองที่จำเป็นจะต้องใช้จ่าย เพื่ออนาคตของบุตรหลาน ดังนั้น แนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมาโดยตลอดคือการสนับสนุนเด็ก ๆ ให้มีอนาคตสดใส โดยพยายามแก้ไขปัญหาระหว่างทางให้มีน้อยที่สุด

ในสถานการณ์ท่ามกลางการระบาดของโควิดขณะนี้ ผมจึงอยากให้รัฐบาล หามาตรการในการช่วยเหลือเด็กนักเรียนและผู้ปกครองอย่างรวดเร็วที่สุด โดยรัฐบาลจะต้องประสานงานในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความร่วมมือ จนมาออกเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้เป็น ‘ผู้ปกครองและเด็กชนะ’ ได้ในที่สุด ” นายชัยชนะกล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ร่วมบำเพ็ญกุศลองค์พระหลักเมือง กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 239 ปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ

เมื่อเวลา 07.45 น.วันที่ 21 เม.ย. 2564 ก่อนจะเดินทางเข้าทำเนียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แทนประชาชน ทำหน้าที่ประธานพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธและจัดพิธีบวงสรวงสังเวยตามพิธีพราหมณ์อย่างเรียบง่าย ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์พระหลักเมือง ครบรอบ 239 ปี และ 21 เม.ย. คือวันตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 239 ปี

โดยนิมนต์พระสงฆ์ ประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อความเป็นศิริมงคลของประชาชนชาวไทยทุกคนและประเทศชาติ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top