Monday, 13 May 2024
วีวี่ เซเลบภูเขา

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เมืองเล็กๆ ที่ “Arosa” (อาโรซา) ความธรรมดาที่แสนพิเศษในสวิส เส้นทางที่เต็มไปด้วย ‘กระรอก’ และหิมะแห่งความงาม

ถ้าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็คงจะต้องนึกถึงธรรมชาติ ภูเขาสูงตระหง่าน ทะเลสาปแสนสวย ทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมดอกหญ้าสีเหลือง นี่คือสิ่งที่แม้วี่จะอยู่มา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยเบื่อและยังตกหลุมรักสวิสอยู่ วันนี้เลยอยากมาแบ่งปันสถานที่หนึ่งซึ่งรักมากและไปทุกปีให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก

Arosa (อโรซ่า) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในรัฐ Graubünden (กราวบึนเด่น) เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์และวิวที่สวยงามเพราะมีภูเขาล้อมรอบ ภูเขาที่เป็นจุดเด่นของเมืองก็คงจะเป็นภูเขา Weisshorn (ไวซ์ฮอร์น) ที่มีความสูง 2,653 เมตร จากระดับน้ำทะเล เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวและคนสวิสเองรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นสวรรค์ของคนเล่นสกี รวมถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมาที่นี่เพื่อทรงสกีและไอซ์เสก็ต อยู่บ่อยครั้ง หากต้องการตามรอยเสด็จฯ ให้ไปที่โรงแรม Arosa Kulm Hotel & Alpin Spa ภายในโรงแรมจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลมากมาย โดยเฉพาะห้อง 427 เป็นห้องที่ราชสกุลมหิดลเลือกประทับเป็นประจำและข้างในยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยทีเดียว (ที่มา: สารคดี สถานที่ตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9)

ช่วงเวลาที่วี่ชอบไปคือช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ช่วงนี้เป็นเหมือนช่วงเบรคซีซั่น เพราะโรงแรมใหญ่ ๆ และกระเช้าขึ้นเขาที่สำคัญ ๆ จะปิดบริการหมด ซึ่งเหมาะกับวี่ที่ชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ คนไม่ค่อยเยอะ การเดินทางก็สามารถขับรถไปได้ง่าย ๆเพียงแต่ทางค่อนข้างชันแถมต้องขับรถข้ามเขาที่มีโค้งร้อยกว่าโค้ง ใครเมารถแนะนำให้เอามะม่วงดอง บ๊วยเค็มและยาดมติดกระเป๋าไปด้วย แต่ถ้าไม่อยากขับรถก็สามารถนั่งรถไฟจากเมือง Chur (คัวร์) ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว แถมตลอดเส้นทางที่ไต่เขามายังสวยสะกดอีกต่างหากทำให้หนึ่งชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อเลย

เกริ่นมาตั้งนานยังไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีเนอะ เมื่อลงจากรถไฟก็จะเจอวิวของทะเลสาบ Obersee (โอเบอร์เซ) แต่ถ้าขับรถมาเห็นทะเลสาปกับสถานีรถไฟเมื่อไหร่ ก็จะเห็นที่จอดรถลานกว้าง ๆ เลย เนื่องจากวี่ไปช่วงเมษา ดังนั้นส่วนมากทะเลสาปที่วี่เห็นก็คือจะปกคลุมไปด้วยหิมะ บางปีหนาวมาก ๆ ทั้งทะเลสาปก็กลายร่างเป็นน้ำแข็งไปหมด ดูสวยไปอีกแบบ

เดินออกจากตรงนี้ไปไม่ไกลก็จะเป็นทาง Hiking ที่สามารถเดินเล่นได้ง่าย ๆ ชิล ๆ ประมาณเด็กเดินได้ผู้ใหญ่เดินดี เส้นทางที่วี่เดินคือเข้าทางหนึ่งออกอีกทางหนึ่งระยะทางจะประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อเริ่มเดินผ่านทางเข้ามาแล้ววี่จะหยิบถุงถั่วออกมา ส่วนใหญ่วี่จะใช้เป็นถั่ว Hazelnut (ฮาเซลนัท) เดินไปเขย่าถุงไป เจ้ากระรอกทั้งหลายจะชินกับเสียงคนและเสียงถุงพลาสติกอยู่แล้ว

เมื่อกระรอกเริ่มออกมา แนะนำให้เบาเสียงลง ไม่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ ช่วงแรกเอามือที่ถือถั่ววางลงบนพื้นก่อน เมื่อกระรอกเริ่มกล้าที่จะมาเอาถั่วที่มือเราทีนี้เราก็ขยับยกมือให้สูงขึ้น บางตัวถึงกับปีนขึ้นมาเอาบนขาเลยทีเดียว สิ่งนึงที่อยากบอกคืออย่าจับตัวน้อง เพราะน้องเป็นกระรอกป่าไม่ได้เชื่องถึงขนาดจะให้อุ้มได้ อาจโดนกัดและอาจมีเชื้อโรค สังเกตได้ว่าบางตัวจะขี้ตกใจมากเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเคยโดนจับนี่แหละ แล้วเขาจะไม่มาเอาถั่วอีกเพราะจะไม่เชื่อใจและขี้กลัวไปเลย เดินไปตามทางก็จะมีกระรอกไปตลอดทั้งทางเช่นกัน

ที่มากพอ ๆ กับกระรอกก็เห็นจะเป็นนก ซึ่งก็มีหลากหลายสายพันธุ์และสวยงามมาก เราสามารถทุบถั่วให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และวางบนขอนไม้เดี๋ยวเจ้านกตัวน้อยก็จะบินมาคาบไปกินเตรียมกล้องพร้อมชักภาพได้เลย หรือจะทำแบบวี่คือวางถั่วที่ฝ่ามือยื่นออกจากตัวยืนให้นิ่งที่สุดและร้องเพลงรอ กว่าเจ้านกจะมาเกาะมือและกินถั่วที่มืออาจมีเหน็บกินกันบ้าง และถึงแม้ว่าเส้นทางจะเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้น แต่วี่ให้เวลาตัวเองดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ เสียงนกเจื้อยแจ้ว และเจ้ากระรอกที่วิ่งไปมาขวักไขว่อย่างเต็มที่

แม้สวิสจะมีสิ่งปลูกสร้างมากขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้วที่วี่มาอยู่ใหม่ ๆ แต่ยังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างดี มีทาง Hiking ทั่วไปและมีหลายระดับความยากตามความฟิตของแต่ละคนให้เลือก และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่สวยงาม เอาแค่วิวหน้าต่างห้องนอนที่บ้านวี่เอง ตื่นมาวิวไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักวัน วี่ชอบธรรมชาติ ชอบที่เปิดหน้าต่างมาตอนเช้าแล้วได้ยินเสียงกระดิ่งของวัวข้างบ้าน เสียงนกคุยกันเจื้อยแจ้ว หรือภาพแกะของเพื่อนบ้านเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งการมีความสุขได้กับความธรรมดาในโลกปัจจุบันถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว...


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

การคมนาคมในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) : ใช้ชีวิตด้วยการเดินทาง ที่มีเวลาและระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็น่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว และรถสาธารณะหรือรถประจำทางที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด ส่วนทางน้ำคือการใช้เรือและเรือข้ามฟากก็พอมีบ้าง แต่อาจเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วได้ค่อนข้างน้อย จักรยาน หรือ ebike ก็เช่นกัน รถยนต์น่าจะมีเปอร์เซนต์สูงที่สุดแล้ว

สวิสเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กจากเหนือจรดใต้ห่างกันเพียง 220 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 348 กิโลเมตร เท่านั้น และมีประชากรเพียง 8.723.277 ล้านคน ในปี 2020 วันนี้เลยอยากเล่าไปถึงเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้เขียนพึ่งมาอยู่สวิสใหม่ ๆ มีรถยนต์บนท้องถนนไม่มากเท่ากับทุกวันนี้ เทียบปี 2000 กับ 2020 มีรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 31 % เลยนะ แถมโมเดลของรถก็ค่อนข้างเปลี่ยนไป สมัยก่อนเราจะเห็นแต่รถคันเล็ก ๆ เป็นรถเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ แต่เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถคันใหญ่ ๆ แบบในอเมริกาเยอะขึ้น บริบทของสังคมเริ่มเปลี่ยนไป รถยนต์ไม่ใช่เพื่อการใช้งานเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการบอกสถานะทางสังคมไปด้วย ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทั้งหมดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น คนสวิสนิยมซื้อรถมือสองมากกว่าผ่อนไฟแนนซ์ อย่างที่บอกคือเพื่อใช้งานอ่ะเนอะ รถใหม่ก็อาจเป็นพวกคนชอบเล่นรถจริง ๆ หรือแบบคนฐานะดีมาก ๆ แต่คนประเภทนี้ก็จะเปลี่ยนบ่อย ๆ ไม่รอให้ราคาตกมากก็ไปเทิร์นคันใหม่ ประหนึ่งว่าผ่อนไม่เคยหมดคัน

ด้านรถโดยสารก็จะมีรถไฟ และรถบัส การรถไฟของสวิสมีบริการรถไฟโดยสาร 5,000 ขบวนโดยประมาณ ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 274,000 กิโลเมตรต่อวันเชียวนะ ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เดินทางโดยรถบัสและรถไฟไปทำงานในเมืองซูริคทุกวัน จากประตูบ้านถึงหน้าออฟฟิศใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี อาจแลดูเหมือนนานแต่จริง ๆ ไม่นานเลยนะ จากบ้านขึ้นรถบัสเพื่อไปสถานีรถไฟ มีเวลาเปลี่ยนรถ 5 นาที ขึ้นรถไฟไปลงสถานีหลักที่ซูริค จากนั้นต่อรถไฟอีกขบวนไปที่ทำงาน บนรถไฟภาพที่เห็นจนชินตาคือจะเห็นคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟรีที่แจกตามสถานีรถไฟนั่นแหล่ะ บางคนก็ใส่หูฟัง ฟังเพลง บางคนเอาโน๊ตบุ้คขึ้นมานั่งทำงาน บรรยากาศจะเงียบสงบมาก แต่พอถึงเวลาลงเมื่อไหร่ละก็ เดินแทบจะชนกันเลยล่ะ

ในซูริค ช่วงเร่งด่วนคือเช้ากับเย็น ผู้คนจะเดินกันขวักไขว่และเดินค่อนข้างเร็วไม่เหมือนบ้านเรา ที่รู้เพราะเวลาครอบครัวมาเยี่ยม หรือเพื่อน ๆ มาหาจากเมืองไทยจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเดินเร็วจัง จริง ๆ คือไม่เคยสังเกตตัวเองเลย

บางขบวนรถไฟก็จะมีโบกี้เด็กด้วยนะ มีสไลเดอร์ของเล่นสำหรับเด็ก ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อสำหรับผู้โดยสารตัวน้อย การเดินทางที่สวิสตรงต่อเวลามาก สามารถกะเวลาได้แบบเป๊ะ ๆ เลย ปี ๆ นึงจะมีการล่าช้าอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็จะมีรถประจำทางเสมอทำให้เราเดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก

จริง ๆ ผู้เขียนก็ขับรถเป็นมีใบขับขี่แต่แทบจะไม่ได้แตะรถเลย เพราะรถโดยสารมันสะดวกมาก ถ้าเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายก็น่าจะไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะรถส่วนตัวจะมีค่าภาษีรถ ภาษีถนน และอื่น ๆ อีก การขับรถบนไฮเวย์ก็จะเสียค่าสติ๊กเกอร์แปะรถต่อปีคือ 40 สวิสฟรังค์เท่านั้น ซึ่งถูกมากถ้าเทียบกับประเทศใกล้เคียง

ผู้คนค่อนข้างรักษากฎจราจรเคร่งครัดเพราะปรับจริงยึดใบขับขี่จริง จะเห็นก็มีแต่จักรยานที่ไม่ค่อยรักษากฎเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเมือง เช่นในซูริค จักรยานจะขี่แบบเย้ยฟ้าท้าดินมาก ผ่าไฟแดงบ้างอะไรบ้างเป็นเรื่องที่เห็นกันชินตา และถ้าจะไม่พูดถึง ebike นี่ไม่ได้เลยนะ ช่วงหลายปีมานี้คือมาแรงมาก เป็นจักรยานที่มีแบตเตอรี่ การปั่นอีไบค์ ก็เหมือนการปั่นจักรยานทั่วไปนั่นแหละ เป็นเครื่องทุ่นแรงเพราะสภาพภูมิประเทศของสวิสที่มีภูเขาน้อยใหญ่ บางครั้งขี่ขึ้นเนินมันก็ง่ายขึ้นอ่ะเนอะถ้ามีมอเตอร์ส่งแรงได้ แถมบางทีเร็วมากด้วยนะ ซึ่งคนสวิสชอบขี่จักยาน ไม่ว่าจะเป็น ebike mountainbike (จักรยานเสือภูเขา), Rennrad (จักรยานเสือหมอบ)

อีกหนึ่งการเดินทางที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือทางเรือ เนื่องจากสวิสมีทะเลสาบเยอะ และหน้าร้อนผู้คนก็ชอบที่จะนั่งเรือเล่น อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองจะชอบนั่งเรือเล่นจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่ง และนั่งรถไฟกลับ หรือกลับกัน อาจนั่งรถไฟไปและนั่งเรือกลับ ซึ่งวิวที่นี่มันว๊าวมากขอบอก !! การได้เดินทางและชมบรรยากาศมันเป็นการพักผ่อนอีกรูปแบบหนึ่งของคนสวิสเลยทีเดียว บนเรือก็คล้าย ๆ กับรถไฟ มีชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ถ้าเราซื้อตั๋วชั้นสองแต่ไปนั่งชั้นหนึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะโดนค่าปรับที่แสนจะแพงด้วยนะเออ เพราะฉะนั้นสังเกตหมายเลขไว้ให้ดี ส่วนเรือข้ามฟากก็มีได้เลือกใช้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้เยอะมาก และเรือก็เป็นเรือเล็ก ๆ ที่จุรถได้ไม่เยอะมาก ทุกอย่างเป็นเวลาและเป็นระเบียบ และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบในสวิตเซอร์แลนด์


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

ฤดูกาลแห่ง “เชอรี่” ในฟาร์มอดิเรก ความสุขที่ปลูกเองได้

ช่วงเดือนกรกฎาแบบนี้จะไม่พูดถึงหน้าผลไม้คงไม่ได้ ขอยกให้ “เชอรี่” เป็นนางเอกของเรา !! ในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมนี้เลย 

หากย้อนไปเมื่อปีที่แล้วก็พอได้เก็บเกี่ยวเชอรี่ไว้บ้างแล้ว แต่ปีนี้เข้าสู่ความหนาวอย่างยาวนาน ทำให้ช่วงเมษายนอากาศหนาวจัดอยู่ประมาณ 7 ครั้ง มี 2 ครั้งที่หนาวถึงติดลบ 7 องศา ทำให้มีดอกที่ติดแล้วร่วงลงไปเยอะ แถมช่วงมิถุนายนมีลูกเห็บตก แถว ๆ ตรงที่วี่อยู่ ขนาดเท่า ๆ ลูกมะนาวที่ใหญ่มาก ทำให้ปีนี้เชอรี่เลยออกล่าช้าไปนิดนึง เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิล้วน ๆ เลย ดังนั้นในปีนี้เอง ทำให้ที่ฟาร์มของวี่แทบจะไม่มีเชอรี่เลย 

ใกล้บ้าน ก็มีฟาร์มแบบต้นเตี้ย ๆ ยืนเก็บถึงบ้าง ถูกเก็บรักษาโดยการปิดด้วยตาข่าย ช่วงที่หนาวมาก ๆ จะมีการจุดไฟเพื่อไม่ให้ต้นเชอรี่ได้รับความหนาวเกินจนดอกที่ติดแล้วร่วงลงไป

ฟาร์มของวี่เอง อย่างที่เคยเล่าไปในตอนแอปเปิลว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นสูงเป็นสิบเมตร การจะเอาตาข่ายคลุมจุดไฟนั้นค่อนข้างยาก ประกอบกับที่เราทำฟาร์มเพราะรัก หรือเป็นแค่งานอดิเรกเพื่อการอนุรักษ์ฟาร์มแบบสมัยก่อนและพันธุ์ไม้เก่าแก่เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อดำรงชีพ เราจึงปล่อยให้การได้ผลผลิตเป็นไปตามธรรมชาติจัดสรร แต่คงความเป็นออแกนิกให้มากที่สุด

ฟาร์มของวี่มีต้นเชอรี่อยู่ 10 ต้น ต้นที่แก่ที่สุดอายุ 55 ปี ส่วนต้นที่สูงที่สุดคือ 12 เมตร และมีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ ต้นเชอรี่สายพันธุ์เตี้ยสามารถมีอายุได้นานเฉลี่ยถึง 40-60 ปี ส่วนไม้ยืนต้นสูงแบบที่ฟาร์มอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 ปี ที่ฟาร์มมีอยู่ต้นนึงที่วี่ชอบรสชาติมาก มีอายุ 38 ปี เป็นสายพันธุ์ Kordia (คอร์เดีย) เจ้าต้นนี้ต้นเดียวก็ได้เป็นร้อยกิโลกรัมซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเชอรี่ที่ฟาร์มลูกจะค่อนข้างเล็ก เนื่องจากเป็นพันธุ์ค่อนไปทางเก่า ไม่เหมือนตามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ลูกใหญ่ ๆ แต่วี่การันตีเลยว่าถ้าได้ลิ้มลองละก็!! จะต้องบอกว่าเล็กพริกขี้หนูจริง ๆ ลูกใหญ่ ๆ น้ำจะเยอะแต่รสชาติจะไม่เข้มข้นเท่า ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าถ้าทุกคนที่ได้ชิมเชอรี่ที่ฟาร์มของวี่ จะต้องบอกว่าอร่อยและหายากมาก เพราะบางฟาร์มที่เขาปลูกเพื่อขายดำรงชีวิต เขาจะปลูกพันธุ์ที่ผสมมาเพื่อให้ลูกใหญ่จะได้น้ำหนักเยอะและขายได้ราคาดี ๆ โดยส่วนตัววี่ไม่เคยซื้อที่อื่นกินเพราะมีราคาสูง และไม่อร่อยเท่าที่ฟาร์มของเราเอง  

เชอรี่ที่ฟาร์มเรามีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสีแดงสด สีแดงเข้ม สีออกม่วงดำ สีเหลืองล้วน ซึ่งพันธุ์สีเหลืองล้วนเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ชื่อพันธุ์ Dennis Gelbe Bernstein-Kirche (เดนนิส เกลเบ แบรนชไตน์ เคีรยชเช่) เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างเก่า ในระแวกนี้ไม่มีใครมีนอกจากที่ฟาร์มเรา ต้นนี้อายุแค่ 12 ปีเท่านั้น สูง 6 เมตร ถ้าพูดเรื่องนี้ชาวนาอินดี้ (สามีวี่เอง) จะยืดอกภูมิใจยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลยทีเดียว รสชาติจะหวานและกรอบมาก แต่ปี ๆ นึงจะออกมาให้ชื่นใจไม่เยอะมากหรอก ประมาณ 6-10 กิโลกรัมเท่านั้น

วิธีการเก็บเราก็จะเอาตะกร้าเล็ก ๆ ร้อยเข้ากับเข็มขัด แล้วก็ปีนขึ้นไปเก็บได้เลย เชอรี่ที่ฟาร์มทั้งหมดเก็บเกี่ยวได้ต่อปีประมาณ 350 กิโลกรัม ราคาขายต่อกิโลกรัมคือ 14 ฟรังค์ แต่ที่ฟาร์มเราคือแจกซะเป็นส่วนใหญ่ คือวี่จะเอาไปแจกเพื่อนคนไทยบ้าง เพื่อนที่ทำงานบ้าง หรือบางทีเพื่อน ๆ ก็จะมาปีนเก็บกันเองสด ๆ จากต้น ถ้าจะขายคือขายครึ่งนึงของราคาตลาดเพื่อให้เพื่อนฝูงและคนรอบข้างได้กินของอร่อยคุณภาพดี นี่แหละวี่ถึงเรียกสามีว่าชาวนาอินดี้ 

บางครั้งความสุขก็มาในรูปแบบของการแบ่งปัน และการอยู่กับธรรมชาติทำให้จิตใจเราเป็นสุขได้มากกว่าที่เราคิด ที่สำคัญวี่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถจ่ายได้ด้วยเงิน…


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ความงดงามล้ำค่าของ Tessin

Tessin (เทสซิน) ในภาษาเยอรมันหรือ Ticino (ทิชีโน่) ในภาษาอิตาลี เป็นรัฐเดียวในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ใช้ภาษาอิตาลี และอยู่ติดกับทางชายแดนอิตาลี มีประชากร 351.491 คนจากสถิติเมื่อปี 2019 เมืองหลักคือเมือง Bellinzona (เบลลินโซน่า) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือเมือง Lugano (ลูกาโน่) 

Tessin เป็นรัฐที่คนสวิสเองนิยมไปพักร้อนกันมากในวันหยุดพักผ่อน เพราะบรรยากาศและอากาศเป็นหลัก สำเนียงอิตาเลียน, อาหาร, สถาปัตยกรรม, ทัศนคติและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายกว่าทุกที่ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมอากาศจะค่อนไปทางอบอุ่นมีแดดมากกว่ารัฐทางเหนือเช่น Zürich (ซูริค) เข้าเขต Tessin เมื่อไหร่ก็จะเห็นพวกต้นปาล์มและต้นไม้เขตร้อนอื่น ๆ เหมือนว่าเราไปต่างประเทศเลยทีเดียว 

ที่พูดถึงรัฐนี้เพราะพอดีว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนวี่มี Vacation บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยเกือบสองอาทิตย์ เลยลงไปเที่ยวทางใต้ ก็คือรัฐ Tessin เนี่ยแหละ และได้มีโอกาสไป Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ซึ่งปี 2019 ได้ไปมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกประทับใจและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหาโอกาสไปอีกให้ได้ จนประจวบเหมาะว่าในกลุ่มลงมติกันว่าจะไปแต่ประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าจดจำ และสวยงามกว่าคราวก่อนก็ตรงที่ได้ Hiking ด้วย

ไฮไลต์ของ Verzasca Valley ก็น่าจะเป็นสะพานหิน Ponte del Salti ที่ปกติคนจะแน่นมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเซีย รวมถึงคนไทยด้วย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดเลยมีคนสวิสซะเยอะ (แต่ก็ยังน้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีนักท่องเที่ยว) ในหน้าร้อนคนชอบมาที่สะพานเพื่อกระโดดลงไปที่ลำธาร ถึงแม้น้ำจะเย็นมากแต่ก็จะมีคนเล่นน้ำ ดำน้ำตลอด ตามโขดหินก็มีคนนอนอาบแดด นั่งเล่นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา 

แต่วี่ไม่ได้ไปแค่ตรงนี้หรอก เมื่อปี 2019 เคยไปมาแล้วตอนหน้าร้อนเลยไม่ค่อยได้เก็บเกี่ยวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เรานั่ง Postauto (โพสต์เอาโต้) หรือรถบัสสีเหลืองสาย 321 จากป้าย Lavertezzo, Monda ไปสองป้าย ไปลงที่ป้าย Brione (Verzasca) ความบังเอิญทำให้พบกับความสวยงามแท้ ๆ เพราะวี่ลงผิดป้าย ตอนแรกกะจะไปไกลกว่านี้ตรงจุดเริ่มต้นคือ Sonogno ซึ่งเป็นเส้นทาง Hiking ที่มีระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร แต่พอมาดูข้อมูลคือเขาว่ากันว่าช่วง Brione ถึง Lavertezzo คือช่วงที่วิวสวยที่สุด วี่รู้สึกโชคดีมากที่ลงผิด

จะบอกว่าเดินแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เพราะมีเด็กน้อยไปด้วย 2 คน และเส้นทางค่อนข้างเป็นเส้นทางธรรมชาติ วี่หมายถึงทางเดินบางช่วงเป็นหินที่มีน้ำเซาะผ่านอาจลื่นนิด ๆ บางช่วงบนพื้นคือมีรากไม้เยอะมากหากเดินไม่ระวังอาจมีสะดุดล้มได้ง่าย ๆ แต่คือมันดีแบบที่สุดและคิดว่าต้องไปอีกแน่ ๆ วิวทุกช่วงทุกตอนมันว๊าว !! มีสิบให้เต็มสิบ มีร้อยก็ให้เต็มร้อยนะ พื้นที่มีโขดหิน หรือพื้นที่ตรงลำธารทำให้เราได้นั่งพักและปิ๊กนิกเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเราก็จะเห็นน้ำสีเขียวมรกต โขดหินหลากสี สลับกับป่าสีเขียวขจีและน้ำตกน้อย เวลาเรายืนอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก แล้วน้ำกระเซ็นมาที่หน้ามันรู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

เวลาวี่ไป Hiking มักจะชอบเข้าไปยืนใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด และผ่อนลมออกให้เต็มที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายพลังงานอย่างนึง และกลิ่นป่าธรรมชาติตรงนี้ก็หอมมากจริง ๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Hiking แบบฟิน ๆ เดินฝัน ๆ บนสันเขาสวิส

ถ้าพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เวลาว่างของคนสวิสแล้ว จะต้องมี Hikking หรือ Trekking การเดินท่องเที่ยวตามเทือกเขาลำเนาไพรรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ และสวิสก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้การเดินป่าเดินเขาไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าเส้นทาง Hiking จะใช้เวลา 2-8 ชั่วโมงในการเดินทางไปและกลับ โดยมีปลายทางสิ้นสุดคือกลับมาที่จุดเริ่มต้น การเดินอาจจะเดินไปและกลับบนเส้นทางเดิม หรือเดินเป็นวงรอบกลับมาที่จุดเดิม หรือบางเส้นทาง Hiking อาจจะมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเป็นคนละที่ แต่เส้นทาง Hiking มีการจัดตามระดับความฟิตของแต่ละคนอีกด้วย


มาดูระดับความฟิต และป้ายบอกเส้นทางแบบคร่าว ๆ กัน 

1. T1 Hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีเหลือง
2. T2 Mountain hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีขาวแดงขาว
3. T3 Challenging mountain hiking สีขาวแดงขาวเหมือน T2 
4. T4 Alpine hiking จะเป็นสีขาวฟ้าขาว 
5. T5 Challenging Alpine hiking สีขาวฟ้าขาวเหมือน T4
6. T6 Difficult Alpine hiking ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกเป็นกิจลักษณะ
7. Winter hiking ป้ายจะเป็นสีชมพู

เอาหล่ะ !! มาถึงเส้นทางที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ดีกว่า วี่เลือกเป็นเส้นทางสันเขาระดับ T3 เหมือนว่าจะง่าย ๆ แต่ทางขึ้น ๆ ลง ๆ เอาเรื่องเพราะเป็นการข้ามจากอีกเขามาอีกเขา แต่รับรองว่าทำให้หัวใจเต้นรัว ๆ ได้เลยทีเดียว 


ส่วนใหญ่เวลาวี่มาที่นี่จะขับรถมาที่ Schwyz (ชวีส)-Schlatti (ชรัตตี้) เป็นรัฐตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว จากตรงนี้เราจะเจอกับ Funicular Railway ทางรถรางที่มีเส้นทางที่ชันที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างจนแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 14 ปี ก็ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2017 แทนที่เก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 วิ่งที่ความสูง 744 เมตรจากระดับน้ำทะเลระหว่างเมือง Schywz Schlatti ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา Stoos โดยมีความลาดเอียง 110% เลยทีเดียว และสามารถจุคนได้ถึงครั้งละ 136 คน โดยทำลายสถิติโลกก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นของเป็นของ Gelmerbahn (เกลเมอร์บาน) ที่เมือง Bern ของสวิส โดยมีความชันอยู่ที่ 106% ส่วนอันดับที่สามอยู่ที่อังกฤษใน East Hill Cliff Railway โดยมีความชันอยู่ที่ 78%

ส่วนใหญ่การมาที่หมู่บ้าน Stoos ก็มักจะมีจุดหมายปลายทางที่ Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) ยอดเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ถึง 10 ทะเลสาบด้วยกัน (ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดนะ) เช่น Vierwaldstättersee (เฟียร์วัลชแต๊ตเตอร์เซ), Zugersee (ซูเกอร์เซ), Ägerisee (แอเกอร์รี่เซ) และอื่น ๆ แถมยังมีร้านอาหารที่นั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอกสำหรับดื่มกาแฟชิล ๆ ยามมีแดด 

อ้อ !! แล้วมีชาวบ้านแถวนี้เอาชีสภูเขามาขายด้วย จะแอบบอกว่าอร่อยมาก ๆ โดยจากหมู่บ้าน Stoos เราจะต้องนั่ง chairlift (กระเช้าห้อยขา 6 ที่นั่ง)  ขึ้นไปสู่ยอดเขาอีกสองต่อถึงจะไปถึงยอดเขา Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) แต่วี่ไม่ได้ไปแบบนั้นหลังจากนั่ง funicular railway มาที่หมู่บ้าน Stoos แล้ววี่เดินไปขึ้น Chairlift เพื่อขึ้นไปที่ยอดเขา Klingenstock (คลิ้งเง่นชต๊อก) เพื่อเดินข้ามเขาไปที่ Fronalpstock นั่นแหล่ะ 


การเดินบนสันเขาจาก Klingenstock ไป Fronalpstock ระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร และจะมีการไต่ระดับความสูงประมาณ 402 เมตร เส้นทางค่อนข้างเล็ก บางช่วงบางตอนที่เป็นทางอันตรายก็มีราวให้เกาะเดินด้วย คนสวิสจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วี่ใช้เวลารวมพักกินข้าวและหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ รวมแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ 


วิวบนสันเขานี้สามารถใช้คำว่า ‘Breathtaking’ ได้จริง ๆ สวยสะกดและน่าประทับใจที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่าควรมาสักครั้งในชีวิต ส่วนตัววี่เองนั้นมาทุกปีเพื่อ Hiking เป็น The must คือเป็นทริปบังคับของตัวเอง เพราะรักบรรยากาศและวิวที่นี่มาก ตอนที่พาแม่มา แม่บอกว่าที่นี่สวยกว่า Jungfrau Joch (ยุงเฟรายอค) อีกนะ (แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น) อยากรู้ว่าจริงไหมก็แนะนำให้มาลองด้วยตัวเองสักครั้งเถอะ


ส่วนราคาค่าขึ้นก็ไม่แพงเลยจริง ๆ ราคาอยู่ที่ 46 สวิสฟรังค์ หรือประมาณ 1,600 บาทไทย ถ้ามีบัตรครึ่งราคา ก็อยู่ที่ 36 ฟรังค์ หรือประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิวและบรรยากาศต้องบอกว่าเกินคุ้มจริง ๆ และเป็นการขึ้น funicular railway หนึ่งต่อบวก chairlift อีกสองต่อ คือคุ้มสุด ๆ 


และแนะนำว่าถ้าจะขึ้นไปเดินบนสันเขาเส้นทาง Klingenstock-Fronalpstock ควรจะใส่รองเท้าสำหรับ Hiking และเตรียมน้ำดื่มสำหรับระหว่างทาง เสื้อกันลม และเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะอยู่ที่ความสูงถึง 1920 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว อากาศอาจบาง ๆ นิดหน่อย ถ้าไปวันที่อากาศดี ฟ้าเปิดจะมองเห็นความสวยงามไปได้ไกลสุดลูกตาเลยทีเดียว 

บางครั้งการพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติมันเยียวยาชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายได้ดีเหลือเกิน นี่แหล่ะธรรมชาติบำบัด เวลาเราออกเดินทางและเมื่อตอนเย็นที่เรากลับบ้านหัวเราอาจจะยุ่ง ๆ รองเท้าเราอาจจะเลอะเทอะ แต่แบตเตอรี่หัวใจของเรามันจะเต็มเปี่ยมเลยนะ ลองดูสิ

เมืองเล็กๆที่ “Arosa” (อาโรซา) ความธรรมดาที่แสนพิเศษในสวิส เส้นทางที่เต็มไปด้วย ‘กระรอก’ และหิมะแห่งความงาม

ถ้าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ก็คงจะต้องนึกถึงธรรมชาติ ภูเขาสูงตระหง่าน ทะเลสาปแสนสวย ทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมดอกหญ้าสีเหลือง นี่คือสิ่งที่แม้วี่จะอยู่มา 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยเบื่อและยังตกหลุมรักสวิสอยู่ วันนี้เลยอยากมาแบ่งปันสถานที่หนึ่งซึ่งรักมากและไปทุกปีให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก

Arosa (อโรซ่า) เป็นเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในรัฐ Graubünden (กราวบึนเด่น) เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่บริสุทธิ์และวิวที่สวยงามเพราะมีภูเขาล้อมรอบ ภูเขาที่เป็นจุดเด่นของเมืองก็คงจะเป็นภูเขา Weisshorn (ไวซ์ฮอร์น) ที่มีความสูง 2,653 เมตร จากระดับน้ำทะเล เมืองนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวและคนสวิสเองรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นสวรรค์ของคนเล่นสกี รวมถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมาที่นี่เพื่อทรงสกีและไอซ์เสก็ต อยู่บ่อยครั้ง หากต้องการตามรอยเสด็จฯ ให้ไปที่โรงแรม Arosa Kulm Hotel & Alpin Spa ภายในโรงแรมจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของราชสกุลมหิดลมากมาย โดยเฉพาะห้อง 427 เป็นห้องที่ราชสกุลมหิดลเลือกประทับเป็นประจำและข้างในยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยทีเดียว (ที่มา: สารคดี สถานที่ตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9)

ช่วงเวลาที่วี่ชอบไปคือช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ช่วงนี้เป็นเหมือนช่วงเบรคซีซั่น เพราะโรงแรมใหญ่ ๆ และกระเช้าขึ้นเขาที่สำคัญ ๆ จะปิดบริการหมด ซึ่งเหมาะกับวี่ที่ชอบเที่ยวแบบสบาย ๆ คนไม่ค่อยเยอะ การเดินทางก็สามารถขับรถไปได้ง่าย ๆเพียงแต่ทางค่อนข้างชันแถมต้องขับรถข้ามเขาที่มีโค้งร้อยกว่าโค้ง ใครเมารถแนะนำให้เอามะม่วงดอง บ๊วยเค็มและยาดมติดกระเป๋าไปด้วย แต่ถ้าไม่อยากขับรถก็สามารถนั่งรถไฟจากเมือง Chur (คัวร์) ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว แถมตลอดเส้นทางที่ไต่เขามายังสวยสะกดอีกต่างหากทำให้หนึ่งชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลินไม่น่าเบื่อเลย

เกริ่นมาตั้งนานยังไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีเนอะ เมื่อลงจากรถไฟก็จะเจอวิวของทะเลสาบ Obersee (โอเบอร์เซ) แต่ถ้าขับรถมาเห็นทะเลสาปกับสถานีรถไฟเมื่อไหร่ ก็จะเห็นที่จอดรถลานกว้าง ๆ เลย เนื่องจากวี่ไปช่วงเมษา ดังนั้นส่วนมากทะเลสาปที่วี่เห็นก็คือจะปกคลุมไปด้วยหิมะ บางปีหนาวมาก ๆ ทั้งทะเลสาปก็กลายร่างเป็นน้ำแข็งไปหมด ดูสวยไปอีกแบบ

เดินออกจากตรงนี้ไปไม่ไกลก็จะเป็นทาง Hiking ที่สามารถเดินเล่นได้ง่าย ๆ ชิล ๆ ประมาณเด็กเดินได้ผู้ใหญ่เดินดี เส้นทางที่วี่เดินคือเข้าทางหนึ่งออกอีกทางหนึ่งระยะทางจะประมาณ 5 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อเริ่มเดินผ่านทางเข้ามาแล้ววี่จะหยิบถุงถั่วออกมา ส่วนใหญ่วี่จะใช้เป็นถั่ว Hazelnut (ฮาเซลนัท) เดินไปเขย่าถุงไป เจ้ากระรอกทั้งหลายจะชินกับเสียงคนและเสียงถุงพลาสติกอยู่แล้ว

เมื่อกระรอกเริ่มออกมา แนะนำให้เบาเสียงลง ไม่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ ช่วงแรกเอามือที่ถือถั่ววางลงบนพื้นก่อน เมื่อกระรอกเริ่มกล้าที่จะมาเอาถั่วที่มือเราทีนี้เราก็ขยับยกมือให้สูงขึ้น บางตัวถึงกับปีนขึ้นมาเอาบนขาเลยทีเดียว สิ่งนึงที่อยากบอกคืออย่าจับตัวน้อง เพราะน้องเป็นกระรอกป่าไม่ได้เชื่องถึงขนาดจะให้อุ้มได้ อาจโดนกัดและอาจมีเชื้อโรค สังเกตได้ว่าบางตัวจะขี้ตกใจมากเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเคยโดนจับนี่แหละ แล้วเขาจะไม่มาเอาถั่วอีกเพราะจะไม่เชื่อใจและขี้กลัวไปเลย เดินไปตามทางก็จะมีกระรอกไปตลอดทั้งทางเช่นกัน

ที่มากพอ ๆ กับกระรอกก็เห็นจะเป็นนก ซึ่งก็มีหลากหลายสายพันธุ์และสวยงามมาก เราสามารถทุบถั่วให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ และวางบนขอนไม้เดี๋ยวเจ้านกตัวน้อยก็จะบิ่นมาคาบไปกินเตรียมกล้องพร้อมชักภาพได้เลย หรือจะทำแบบวี่คือวางถั่วที่ฝ่ามือยื่นออกจากตัวยืนให้นิ่งที่สุดและร้องเพลงรอ กว่าเจ้านกจะมาเกาะมือและกินถั่วที่มืออาจมีเหน็บกินกันบ้าง และถึงแม้ว่าเส้นทางจะเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้นแต่วี่ให้เวลาตัวเองดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติ เสียงนกเจื้อยแจ้ว และเจ้ากระรอกที่วิ่งไปมาขวักไขว่อย่างเต็มที่

แม้สวิสจะมีสิ่งปลูกสร้างมากขึ้นกว่ายี่สิบปีที่แล้วที่วี่มาอยู่ใหม่ ๆ แต่ยังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้อย่างดี มีทาง Hiking ทั่วไปและมีหลายระดับความยากตามความฟิตของแต่ละคนให้เลือก และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่สวยงาม เอาแค่วิวหน้าต่างห้องนอนที่บ้านวี่เอง ตื่นมาวิวไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักวัน วี่ชอบธรรมชาติ ชอบที่เปิดหน้าต่างมาตอนเช้าแล้วได้ยินเสียงกระดิ่งของวัวข้างบ้าน เสียงนกคุยกันเจื้อยแจ้ว หรือภาพแกะของเพื่อนบ้านเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งการมีความสุขได้กับความธรรมดาในโลกปัจจุบันถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว...

ส่องฟาร์ม​ 'แอปเปิ้ล'​ ในแดนสวิสฯ 'ฟาร์มอดิเรก'​ สุดเก๋ !! ของคนอยากเติมพลังใจ ไม่ใช่แค่นำไปขายเอารวย

ตอนนี้ที่สวิส คือฤดูใบไม้ผลิ ถ้าพูดถึงความสวยงามของดอกไม้ที่กำลังผลิบานก็ต้องบอกว่าดอกของต้นแอปเปิ้ล มีความสวยงาม น่ารัก เปรียบดังสาวแรกรุ่นไม่แพ้ดอกไม้อื่น ๆ เลยทีเดียว ที่บอกแบบนั้นเพราะดอกของแอปเปิ้ลจะเป็นสีขาวแต่มีสีชมพูแซม เห็นไหมล่ะว่ามีความเป็นสาวน้อยแรกรุ่นยังไง 

ที่ฟาร์มนอกจากต้นไม้ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว เราก้อจะซื้อมาปลูกเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ เราจะมีที่ ที่เราไปซื้อประจำไม่ไกลจากบ้านมากเท่าไหร่ วิธีการที่เค้าปลูกน่ะเหรอ เป็นการเอาเมล็ดของต้นแอปเปิ้ลป่ามาเพาะ ที่ทำแบบนี้เพราะต้นแอปเปิ้ลป่าหรือที่มันขึ้นมาตามธรรมชาตินั้น ต้นมันจะมีความแข็งแรง แข็งแกร่ง และทนทาน พอต้นที่เพาะโตได้สักประมาณ 1 ปี เราก็จะเอามาตอนกิ่งกับพันธุ์ที่เราต้องการอยากจะได้ แต่วิธีนี้เป็นวิธีการดั้งเดิมสำหรับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ คือต้นไม้สูง ซึ่งต้นนึงเนี่ยสูงหลายเมตรเลยทีเดียว ถ้าเป็นวิธีแบบนี้ทางฟาร์มเราเอาแต่พันธุ์เก่าแก่มาปลูกซึ่งโดยปกติแล้วอายุ 5-10 ปีกว่าจะให้ผล ซึ่งถ้าเป็นแบบที่ว่าคือจะมีอายุได้ยาวนานถึง 200 ปีเลยทีเดียว

ที่ฟาร์มของวี่มีอาณาเขต 44 ไร่เศษ มีต้นไม้ทั้งหมดประมาณ 80 กว่าต้น เฉพาะแอปเปิ้ลอย่างเดียว 28 ต้น มี 27 สายพันธุ์ เพราะบางต้นมีถึง 6 สายพันธุ์เลยนะ มีอยู่ต้นนึงที่วี่รักมาก แต่เมื่อสิงหาคมปี 2013 ที่ผ่านมามีพายุหนัก ต้นนี้เป็นหนึ่งในหลายต้นที่โค่นลงมา ณ ตอนนั้นมีอายุ 140 ปี สาเหตุที่รักต้นนี้เป็นพิเศษคือ ต้นและกิ่งเขาสวยมาก แถมต้นนี้ต้นเดียวให้ผลแอปเปิ้ลมากถึง 1,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ใช่ฮะ ไม่ต้องตกใจ ช่วงที่ผลเริ่มออกเราต้องหาไม้มาค้ำยันกิ่งไว้ไม่ให้กิ่งหักเพราะรับน้ำหนักที่มากเกินไป พูดถึงทีไรก็สุขใจปนเศร้าใจไปซะทุกที...

ต้นแอปเปิ้ลที่เก่าแก่ที่สุดในฟาร์มวี่ มีอายุถึง 150 ปี มากกว่าพวกเราอีกเนาะ ส่วนต้นที่สูงที่สุดอยู่ที่ 15 เมตร แอปเปิ้ลที่ฟาร์ม ไม่เหมาะสำหรับการนำมาขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านทั่วไปเพื่อบริโภค แต่เพื่อทำอาหาร ทำน้ำผลไม้และเพื่อทำเหล้าโดยเฉพาะ วี่ชอบเอามาอบเค้กแอปเปิ้ล เรามีหลากหลายสายพันธุ์มาก ๆ แต่อย่างที่ย้ำ ๆ คือเรามีแต่พันธุ์เก่าแก่

ทั้งนั้น  เราจะเริ่มทำการเก็บแอปเปิ้ลช่วงกลางกันยายนถึงประมาณกลางตุลาคม ณ ตอนนี้ปี ๆ หนึ่งจะได้ประมาณ 2,000 กิโลกรัม นี่เฉพาะแอปเปิ้ลอย่างเดียวนะ สมัยก่อนเมื่อเก็บได้เราจะเอาไปส่งผู้ผลิตรายใหญ่ ในราคาต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ พูดไปจะต้องตะลึงแน่นอน คือต่อ 100 กิโลกรัม เพียงแค่ 11 สวิสฟรังค์เท่านั้น มีอยู่ปีหนึ่งที่เขาจะให้ราคาเรา 8 ฟรังค์ พอกันทีอ่ะเนอะ ตั้งแต่นั้นมาเราส่งเฉพาะคนที่ต้องการแอปเปิ้ลพันธุ์เก่าแก่นี่ละ ในราคาประมาณ 20-23 ฟรังค์ บางทีเขามารับ บางทีเราไปส่ง 

เขาบอกว่าแอปเปิ้ลเราดี และทำน้ำอร่อย ส่วนวิธีการเก็บเกี่ยวก็คือชาวนาอินดี้ (สามีวี่เอง) จะปีนขึ้นไปตามกิ่งต่าง ๆ และขย่ม ๆ ๆ ๆ จนลูกแอ๊ปเปิ้ลร่วงพลุ่บ ๆ ๆ ๆ เต็มพื้นไปหมด เสร็จแล้วก็ทำการเก็บ และเก็บอย่างเดียวเท่านั้น 

ลูกที่ไม่สวยมาก ๆ เกินจะรับไหวเราก็ไม่ได้ทิ้งนะ เอามาใส่เครื่องปั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้แพะของเรากิน ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมาก

เรื่องการดูแล เราดูแลแบบจะเรียกว่าออร์แกนิคก็ได้ เพราะไม่ใช้สารเคมีใด ๆ เลยกับต้นไม้ทุกต้นในฟาร์ม เราจะตัดแต่งกิ่งทุกปีช่วงต้นธันวาคมเป็นต้นไปจนถึงปลายมีนาคม เพราะพอหลังจากนี้จะเริ่มออกดอก เพื่อให้กิ่งมีความแข็งแรงและให้ใบที่จะผลิได้รับแสงแดดที่ทั่วถึง อ้อ...สิ่งที่สำคัญและจะขาดไปไม่ได้เลยคือการจับหนู ใช่ ที่สวิสก็มีหนูนาด้วยนะเออ เราจะมีกับดักหนูแล้วเอาเหล็กด้ามแหลม ๆ ทิ่มลงไปในดินถ้ามีหนูมันจะเป็นโพรง วี่ชอบบอกว่าหนูมันสร้างถนนเหมือนกับคนนั่นแหละเพื่อไปโน่นนี่ เสร็จแล้วเราก็ขุดหลุมแล้วเอากับดักใส่ลงไป เอาไม้ปักไว้เพื่อให้เราสามารถเห็นได้ง่ายเพราะบางทีหญ้าสูงแล้วหากับดักไม่เจอ เมื่อรูนี้เคยดักหนูได้แล้วเราจะเอาไม้หนีบ หนีบไม้ไว้เพื่อให้รู้ บางครั้งรูนึงดักหนูได้ตั้งหลายตัว (แต่ครั้งละตัวเดียวเท่านั้นนะ) กับดักหนูเรามีประมาณ 30 อันเลยทีเดียว มันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำนะ แต่ต้องทำ ถ้าไม่ทำหนูจะกินรากไม้ ไม่นานเดี๋ยวต้นไม้จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนตายไป 

ฟาร์มของเราเป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น เพราะทุกคนในครอบครัวมีงานประจำทำ แต่เพราะโตมากับฟาร์มชาวนาอินดี้จึงอยากอนุรักษ์ รักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดโดยใช้วิธีที่ยังค่อนข้างเป็นธรรมชาติเหมือนเมื่อสมัยห้าสิบปีที่แล้ว ใช้อุปกรณ์และเครื่องต่างๆที่ทันสมัยน้อย ใช้แรงกำลังซะเป็นส่วนใหญ่ วี่มีความสุขเพียงแค่ไปนั่งมองต้นไม้ฟังเสียงนกร้องดูแพะเล็มหญ้า มันเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิต ธรรมชาติบำบัดมันเป็นแบบนี้นี่เองเนอะ

การคมนาคมในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) : ใช้ชีวิตด้วยการเดินทาง ที่มีเวลาและระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้...ชื่นชอบสวิตเซอร์แลนด์

ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็น่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว และรถสาธารณะหรือรถประจำทางที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด ส่วนทางน้ำคือการใช้เรือและเรือข้ามฟากก็พอมีบ้าง แต่อาจเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วได้ค่อนข้างน้อย จักรยาน หรือ ebike ก็เช่นกัน รถยนต์น่าจะมีเปอร์เซนต์สูงที่สุดแล้ว

สวิสเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กจากเหนือจรดใต้ห่างกันเพียง 220 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 348 กิโลเมตร เท่านั้น และมีประชากรเพียง 8.723.277 ล้านคน ในปี 2020 วันนี้เลยอยากเล่าไปถึงเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้เขียนพึ่งมาอยู่สวิสใหม่ ๆ มีรถยนต์บนท้องถนนไม่มากเท่ากับทุกวันนี้ เทียบปี 2000 กับ 2020 มีรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 31 % เลยนะ แถมโมเดลของรถก็ค่อนข้างเปลี่ยนไป สมัยก่อนเราจะเห็นแต่รถคันเล็ก ๆ เป็นรถเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ แต่เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถคันใหญ่ ๆ แบบในอเมริกาเยอะขึ้น บริบทของสังคมเริ่มเปลี่ยนไป รถยนต์ไม่ใช่เพื่อการใช้งานเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการบอกสถานะทางสังคมไปด้วย ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทั้งหมดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น คนสวิสนิยมซื้อรถมือสองมากกว่าผ่อนไฟแนนซ์ อย่างที่บอกคือเพื่อใช้งานอ่ะเนอะ รถใหม่ก็อาจเป็นพวกคนชอบเล่นรถจริง ๆ หรือแบบคนฐานะดีมาก ๆ แต่คนประเภทนี้ก็จะเปลี่ยนบ่อย ๆ ไม่รอให้ราคาตกมากก็ไปเทิร์นคันใหม่ ประหนึ่งว่าผ่อนไม่เคยหมดคัน

ด้านรถโดยสารก็จะมีรถไฟ และรถบัส การรถไฟของสวิสมีบริการรถไฟโดยสาร 5,000 ขบวนโดยประมาณ ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 274,000 กิโลเมตรต่อวันเชียวนะ ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เดินทางโดยรถบัสและรถไฟไปทำงานในเมืองซูริคทุกวัน จากประตูบ้านถึงหน้าออฟฟิศใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี อาจแลดูเหมือนนานแต่จริง ๆ ไม่นานเลยนะ จากบ้านขึ้นรถบัสเพื่อไปสถานีรถไฟ มีเวลาเปลี่ยนรถ 5 นาที ขึ้นรถไฟไปลงสถานีหลักที่ซูริค จากนั้นต่อรถไฟอีกขบวนไปที่ทำงาน บนรถไฟภาพที่เห็นจนชินตาคือจะเห็นคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟรีที่แจกตามสถานีรถไฟนั่นแหล่ะ บางคนก็ใส่หูฟัง ฟังเพลง บางคนเอาโน๊ตบุ้คขึ้นมานั่งทำงาน บรรยากาศจะเงียบสงบมาก แต่พอถึงเวลาลงเมื่อไหร่ละก็ เดินแทบจะชนกันเลยล่ะ

ในซูริค ช่วงเร่งด่วนคือเช้ากับเย็น ผู้คนจะเดินกันขวักไขว่และเดินค่อนข้างเร็วไม่เหมือนบ้านเรา ที่รู้เพราะเวลาครอบครัวมาเยี่ยม หรือเพื่อน ๆ มาหาจากเมืองไทยจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเดินเร็วจัง จริง ๆคือไม่เคยสังเกตตัวเองเลย

บางขบวนรถไฟก็จะมีโบกี้เด็กด้วยนะ มีซไลเดอร์ของเล่นสำหรับเด็ก ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อสำหรับผู้โดยสารตัวน้อย การเดินทางที่สวิสตรงต่อเวลามาก สามารถกะเวลาได้แบบเป๊ะ ๆ เลย ปี ๆ นึงจะมีการล่าช้าอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็จะมีรถประจำทางเสมอทำให้เราเดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก

จริง ๆ ผู้เขียนก็ขับรถเป็นมีใบขับขี่แต่แทบจะไม่ได้แตะรถเลย เพราะรถโดยสารมันสะดวกมาก ถ้าเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายก็น่าจะไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะรถส่วนตัวจะมีค่าภาษีรถ ภาษีถนน และอื่น ๆ อีก การขับรถบนไฮเวย์ก็จะเสียค่าสติ๊กเกอร์แปะรถต่อปีคือ 40 สวิสฟรังค์เท่านั้น ซึ่งถูกมากถ้าเทียบกับประเทศใกล้เคียง

ผู้คนค่อนข้างรักษากฎจราจรเคร่งครัดเพราะปรับจริงยึดใบขับขี่จริง จะเห็นก็มีแต่จักรยานที่ไม่ค่อยรักษากฎเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเมือง เช่นในซูริค จักรยานจะขี่แบบเย้ยฟ้าท้าดินมาก ผ่าไฟแดงบ้างอะไรบ้างเป็นเรื่องที่เห็นกันชินตา และถ้าจะไม่พูดถึง ebike นี่ไม่ได้เลยนะ ช่วงหลายปีมานี้คือมาแรงมาก เป็นจักรยานที่มีแบตเตอรี่ การปั่นอีไบค์ ก็เหมือนการปั่นจักรยานทั่วไปนั่นแหละ เป็นเครื่องทุ่นแรงเพราะสภาพภูมิประเทศของสวิสที่มีภูเขาน้อยใหญ่ บางครั้งขี่ขึ้นเนินมันก็ง่ายขึ้นอ่ะเนอะถ้ามีมอเตอร์ส่งแรงได้ แถมบางทีเร็วมากด้วยนะ ซึ่งคนสวิสชอบขี่จักยาน ไม่ว่าจะเป็น ebike mountainbike (จักรยานเสือภูเขา), Rennrad (จักรยานเสือหมอบ)

อีกหนึ่งการเดินทางที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือทางเรือ เนื่องจากสวิสมีทะเลสาบเยอะ และหน้าร้อนผู้คนก็ชอบที่จะนั่งเรือเล่น อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองจะชอบนั่งเรือเล่นจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่ง และนั่งรถไฟกลับ หรือกลับกัน อาจนั่งรถไฟไปและนั่งเรือกลับ ซึ่งวิวที่นี่มันว๊าวมากขอบอก !! การได้เดินทางและชมบรรยากาศมันเป็นการพักผ่อนอีกรูปแบบหนึ่งของคนสวิสเลยทีเดียว บนเรือก็คล้าย ๆ กับรถไฟ มีชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ถ้าเราซื้อตั๋วชั้นสองแต่ไปนั่งชั้นหนึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะโดนค่าปรับที่แสนจะแพงด้วยนะเออ เพราะฉะนั้นสังเกตหมายเลขไว้ให้ดี ส่วนเรือข้ามฟากก็มีได้เลือกใช้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้เยอะมาก และเรือก็เป็นเรือเล็ก ๆ ที่จุรถได้ไม่เยอะมาก ทุกอย่างเป็นเวลาและเป็นระเบียบ และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบในสวิตเซอร์แลนด์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top