Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

‘SPR’ คือ คำตอบรับมือวิกฤตพลังงาน หากอิหร่าน ตัดสินใจปิดช่องแคบ ‘ฮอร์มุซ’

(23 มิ.ย. 68) จากผลพวงสหรัฐ อเมริกา ปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน ทำให้สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน เตรียมตัดสินใจตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ หลังจากมีรายงานว่ารัฐสภาของประเทศได้ยกมือสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าวเพรส ทีวี ของอิหร่าน เมื่อวันอาทิตย์(22มิ.ย.68)

แน่นอนว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซขึ้นมาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราว หรือ ยืดเยื้อระยะยาว นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะระดับโลก เพราะช่องแคบฮอร์มุซ นับเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่มีปริมาณถึง 20% ของการบริโภคทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าพลังงานโลก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของยุโรปและเอเชีย นั่นและนั่นจะเป็นสาเหตุให้ราคาพลังงานพุ่งทะยานและต้นทุนการดำรงชีวิตของประชาชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในการรับมือกับวิกฤตพลังงานน้ำมันในส่วนของประเทศไทยนั้น ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวคิดที่จะดำเนินนโยบายการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) เพื่อให้ประเทศมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอต่อการใช้งานได้ถึง 90 วัน เช่นเดียวกับประเทศใหญ่หลายประเทศที่มีน้ำมันสำรองเพียงพอ 90 วัน ทำให้มีเวลาแก้ไขปัญหาและสามารถเตรียมการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้นานขึ้น

เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีปริมาณน้ำมันสำรองที่เอกชนจัดเก็บเพียงพอต่อการบริโภค 25-36 วัน นั่นหมายความว่า หากปัญหาวิกฤตน้ำมันในประเทศไม่สามารถแก้ไขได้แล้วเสร็จภายในเวลา 1 เดือน ย่อมจะเกิดผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อประเทศในภาพรวม ไม่ว่าในด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การเงิน และการคลัง ฯลฯ อย่างแน่นอน ดังนั้น SPR ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่กำลังผลักดันและร่างกฎหมายอยู่ในขณะนี้ คือ คำตอบที่จะทำให้ประเทศสามารถรับมือวิกฤตพลังงานโลกที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเร็วๆ นี้

‘ทหารไทย’ รับศึกรอบด้านปกป้องอธิปไตยชาติ หมดยุคพูดถึงการยึดอำนาจรัฐประหาร

(23 มิ.ย. 68) ในขณะที่ข่าวการเมืองของพรรคเพื่อเขมรกำลังร้อนแรงฝั่งพรรคประชาชนพม่าก็ไม่น้อยหน้า  เดินหน้าสร้างคอนเนคชั่นร่วมกับพวกอินฟลูสายรักประชาชนพม่าแถวแม่สอดจนชาวกะเหรี่ยงและพม่าที่ดีๆโทรมาบ่นกับเอย่าว่ามาทำไมก็ไม่รู้มาแล้วสร้างความขัดแย้งระหว่างคนไทยกับกลุ่มพม่า กะเหรี่ยงที่เขาทำมาหากินอย่างสงบให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก

แต่เรื่องที่น่าสนใจที่สุดของเอย่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องของ 2 พรรคนั้นแต่เป็นการได้ไปสัมภาษณ์กลุ่มนายทหารใหญ่ของไทยถึงสภาวะการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ว่าจนถึงวันนี้ทหารมีแนวคิดจะยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลไหม 

ทราบหรือไม่นายทหารทุกท่านส่ายหัวบอกเป็นประโยคและเหตุผลเดียวกันว่า จากนี้ทหารจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

เอย่าจึงถามต่อว่าทำไม

1 ในนายทหารใหญ่กล่าวว่าจากที่ผ่านมาคนไทยคิดมาตลอดว่าทหารมากอบโกย โกงกิน  และโยนความผิดอะไรก็ตามให้ทหาร  ขนาดเรื่องตึก สตง. ถล่มยังบอกทหารโกงทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับทหารเลย ทำไมประชาชนไม่โทษวิศวกรโครงสร้างตอนตรวจรับว่าให้สร้างต่อได้  สมมุติตอนนี้ปฏิวัติไปเศรษฐกิจตกต่ำก็โทษทหารอีก ไม่โทษว่ามันเป็นมาก่อนแล้วละ  ทหารเข้ามาช่วยแก้อะไรแบบนี้

ท่านบอกว่า ความคิดแบบนี้แสดงถึงความอคติที่ไม่ได้แยกแยะแล้ว จากนี้ทหารจะไม่ทำอะไรอีก ก็ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือประชาชน เลือกมาเอง..จะสุข...จะทุกข์ จะขัดแย้งก็ดีกันเองละกัน  ทหารจะไม่ยุ่งอีก  แค่งานรักษาอธิปไตยที่ฝ่ายการเมืองพยายามเข้ามาแทรกแซงการทำงานของทหาร  ฝ่ายกลาโหมก็ลำบากอยู่แล้ว  แต่ที่ไม่เคยมีข่าวออกเพราะพวกเราเป็นทหารไง  เราคือผู้กระทำไม่ใช่ผู้พูด ดังนั้นทหารจึงเลือกจะทำมากกว่าจะพูด

ทหารอีกท่านกล่าวต่อแค่ปัญหารอบประเทศตอนนี้ก็เยอะมากแล้วไหนจะยา จะผู้อพยพผิดกฎหมาย ไหนจะก่อการร้ายขอแบ่งแยกดินแดน ไหนจะเรื่องสิ่งแวดล้อมสารพิษที่มาจากเหมืองในจีนและพม่า กองทัพเข้าไปช่วยคุยระหว่างประเทศ ช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่เคยมีใครรู้ นี่อีกไม่กี่เดือนน้ำเหนือก็จะบ่าแล้วทหารเราก็เตรียมการเหมือนทุกครั้งถามว่ามีใครเคยเห็นไหม  เห็นว่ามันคือหน้าที่

ทหารไม่ได้ถูกฝึกมาให้พูดแต่ถูกฝึกมาให้รับคำสั่งเพื่อปฏิบัติเพื่อชาติ  นายทหารอีกท่านกล่าวเสริม

เอย่าก็หวังว่าคนไทยคงตาสว่างขึ้นนะคะหลังจากคิดแต่ว่ากลัวทหารมาเล่นการเมือง  สิ่งที่พวกพรรคการเมืองกลัวทหารมาเล่นการเมือง ไม่ใช่กลัวทหารโกงกินหรอกเอย่าว่า เพราะต่อให้ไม่ใช่ทหารพวกเขาก็ทำกันอยู่แล้วเผลอๆหนักกว่ายุคทหารด้วย  แต่ที่กลัวทหารมาเล่นการเมืองเพราะคนพวกนั้นสั่งทหารไม่ได้ตะหากเพราะทหารถูกฝึกมาให้รับคำสั่งและทำเพื่อบ้านเมืองให้ดีที่สุดนั่นเอง

โฆษกฮุนเซน หยามไทยไม่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ชี้ไทยจองหอง-ดื้อดึง จะยิ่งเจ็บทั้งเศรษฐกิจและการเมือง

(23 มิ.ย. 68) เพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ตอบโต้ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มกดดันก่อน ทั้งปิดชายแดนฝ่ายเดียวและขู่ตัดการเชื่อมต่อด้านพลังงานและเศรษฐกิจ จนทำให้กัมพูชาต้องตอบโต้กลับอย่างจริงจัง

โฆษกกัมพูชา เปิดเผยว่า กองทัพไทยและนักการเมืองบางกลุ่ม รวมถึงฝ่ายหัวรุนแรง มีทัศนคติล้าหลัง มองกัมพูชาอย่างดูแคลน คิดว่าประเทศเพื่อนบ้านยังพึ่งพาไทยเหมือนในอดีต ทั้งที่ปัจจุบันกัมพูชาแข็งแกร่งขึ้นและไม่ยอมถูกกดดันอีกต่อไป

หนึ่งในมาตรการตอบโต้ที่ถูกนำมาใช้คือ การระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย ซึ่งโฆษกระบุว่าไทยเริ่มรู้แล้วว่าแรงกดดันไม่ได้ผล และกัมพูชาคือฝ่ายที่เคลื่อนไหวก่อนด้วยซ้ำ ทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับย้อนคืนสู่ไทยเอง

เพ็ญ โบนา ยังเผยอีกว่าไทยพยายามติดต่อผู้นำกัมพูชาทั้งฮุน มาเน็ต และฮุน เซน เพื่อเจรจาอย่างลับ ๆ แต่กัมพูชาไม่หลงกล เพราะมองว่าเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตที่แฝงเจตนาอย่างไม่จริงใจ ภายใต้ฉากหน้าว่าเป็นมิตร

ทั้งนี้  โฆษกรัฐบาลกัมพูชายืนยันไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่จะไม่ยอมถูกมองข้ามอีกต่อไป พร้อมเตือนว่าหากไทยยังยึดถือความหยิ่งผยอง สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความรู้สึกของประชาชนภายในประเทศเอง

‘กัมพูชา’ เผชิญ 3 วิกฤตหลังปิดด่านประชดไทย โรคระบาด – พลังงาน - เสื่อมศรัทธาทางการทูต

(23 มิ.ย. 68) กัมพูชากำลังเข้าสู่ “สามวิกฤต” ซ้อน - สุขภาพ พลังงาน และศรัทธาระหว่างประเทศ หลังปิดด่านประชดไทย

ณ เวลานี้ กัมพูชากำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จนอาจกล่าวได้ว่าประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ “สามวิกฤตรุมเร้า” ซึ่งประกอบด้วยภัยสาธารณสุข ภัยเศรษฐกิจ และภัยทางการทูตอย่างรุนแรง

1. ไข้หวัดนกระบาดหนัก – ชายแดนไทย–กัมพูชาส่อปิดยาว
สถานการณ์ไข้หวัดนกในกัมพูชากำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ติดต่อสู่คนได้ ทำให้อัตราการตายสูงเกิน 50% ในหลายกรณี (เช่น H5N1)มีความเป็นไปได้สูงครับว่า ภาครัฐของไทยมีแนวโน้มจะพิจารณาปิดด่านชายแดนเพื่อจำกัดการแพร่ระบาด ถ้าเกิดขึ้นไม่เพียงแต่กระทบแรงงานข้ามชาติ แต่ยังทำให้เศรษฐกิจชายแดนของกัมพูชาแทบหยุดชะงักไปยาวๆอีกสักพักนึงเลยครับ

2. วิกฤตน้ำมัน – ราคาพุ่งจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ
จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงแบบฉับพลัน กัมพูชาในฐานะประเทศที่พึ่งพาน้ำมันนำเข้าเกือบทั้งหมดต้องรับผลเต็ม ๆ โดยเฉพาะเมื่อชายแดนไทยที่เคยเป็นเส้นทางลำเลียงพลังงานทางบกกลับมีแนวโน้มจะปิดตามมาตรการสาธารณสุข วิกฤตพลังงานจึงกลายเป็นวิกฤตต้นทุนชีวิตของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เนี่ยมือถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดโดยกัมพูชาโดยตรงเพราะว่าคนที่ออกนโยบายสกัดกั้นน้ำเป็นน้ำมันจากไทยนั้นก็ไม่ออกเลยรัฐบาลกัมพูชาซึ่งเพิ่งประกาศใช้ไปเมื่อวานนี้เอง

3. เสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศ – พฤติกรรมทางการทูตสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพ
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามใช้การเปิดคลิปเสียงโจมตีผู้นำไทยเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ตกต่ำในสายตานานาชาติ การนำข้อมูลลับทางการทูตออกมาเปิดเผยเพื่อหวังผลทางการเมืองภายใน ถือเป็นการทำลายความเชื่อถือของระบบการทูตระหว่างประเทศโดยตรง ประเทศใดที่ไม่เคารพหลักการพื้นฐานของการทูต ย่อมถูกมองว่า “ไม่สามารถไว้วางใจได้”

เรื่องนี้อย่าทำให้เห็นภาพชัดว่าฮุนเซนกำลังเผชิญกับการสูญเสียภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะการทำลายมิตรภาพที่ยาวนานกว่าหลาย 10 ปีเพียงเพื่อการเอาชนะในสรภูมิการเมืองเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

บทสรุป
ในขณะที่ประชาคมโลกเผชิญกับความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ กัมพูชากลับเผชิญ “ไฟสามด้าน” พร้อมกัน ทั้งโรคระบาด วิกฤตพลังงาน และความเสื่อมศรัทธาทางการทูต

คำถามสำคัญคือ—ผู้นำกัมพูชาจะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร โดยไม่ยิ่งซ้ำเติมประชาชน และไม่พาประเทศให้ถลำลึกสู่ความโดดเดี่ยวทางการเมืองมากไปกว่านี้?

กลัวแล้ว! สหรัฐฯ วอนจีนช่วยคุยอิหร่าน หวั่นปิด ‘ช่องแคบฮอร์มุซ’ เขย่าน้ำมันโลกพุ่ง

(23 มิ.ย. 68) วอชิงตันส่งสัญญาณตรงถึงปักกิ่ง เมื่อมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลจีนใช้อิทธิพลเกลี้ยกล่อมอิหร่านไม่ให้ปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” หลังสื่อ Press TV รายงานว่ารัฐสภาเตหะรานลงมติหนุนแผนดังกล่าว แม้คำตัดสินสุดท้ายยังอยู่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่าน

รูบิโอเตือนว่าการปิดช่องแคบซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของน้ำมันราว 20 % ของโลกจะเขย่าตลาดพลังงานทั่วโลก โดยเฉพาะจีนซึ่งนำเข้าน้ำมันอิหร่านมากที่สุดในโลก “ถ้าเตหะรานทำจริงก็เท่ากับฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ” เขากล่าว พร้อมกระตุ้นชาติอื่นให้จับตาเพราะจะเจอผลกระทบจะรุนแรงยิ่งกว่าสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ผลพวงมาจากสหรัฐฯ และอิสราเอลโจมตีเป้าหมายนิวเคลียร์หลักของอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ ทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ พุ่งแตะ 78.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 2,865 บาท สูงสุดในรอบห้าเดือน ธนาคารเพื่อการลงทุน ‘โกลด์แมน แซคส์’ เตือนว่าหากการขนส่งในฮอร์มุซหยุดชะงัก ราคาน้ำมันอาจพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านพลังงานมองว่าอิหร่าน “มีอะไรต้องเสียมากกว่าจะได้” เพราะการปิดช่องแคบอาจทำให้ชาติผู้ผลิตน้ำมันอ่าวเปอร์เซียกลายเป็นศัตรู และยังเสี่ยงทำให้จีน และลูกค้าหลักต้องออกมาคัดค้าน

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ตำหนิสหรัฐฯ ว่าเสียความน่าเชื่อถือจากการใช้กำลัง และเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ยับยั้งการใช้กำลังที่รุนแรง และอย่าซ้ำเติมไฟสงคราม” บทบรรณาธิการ Global Times ยังระบุว่าการโจมตีของวอชิงตันทำให้สถานการณ์ตะวันออกกลาง “ส่อเค้าเลวร้ายจนควบคุมไม่ได้” 

อดีตทูตอิหร่านแฉ! สหรัฐฯ ลงมือเพราะอิสราเอลใกล้แพ้ เชื่อ ‘เนทันยาฮู’ บงการเบื้องหลัง ทำเนียบขาวแค่หุ่นเชิด

(23 มิ.ย. 68) เซย์เยด ฮุสเซน มูซาเวียน (Seyed Hossein Mousavian) อดีตเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำเยอรมนี ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA Novosti ว่าสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็เพราะอิสราเอลใกล้พ่ายแพ้ในการรบกับอิหร่าน โดยระบุว่า “หากอิสราเอลไม่เข้าสู่ภาวะวิกฤต สหรัฐฯ ก็คงไม่แทรกแซง”

เซย์เยด มูซาเวียน ยอมรับว่าอิหร่านได้รับความเสียหายรุนแรงจากปฏิบัติการของสหรัฐฯ แต่เตือนว่า ผลสะท้อนจากการโจมตีกลับจะย้อนเล่นงานสหรัฐฯ เอง ทั้งด้านความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้กำลังเสี่ยงลุกลาม

อดีตทูตอิหร่านตั้งข้อสังเกตว่า ทีมที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีทรัมป์อาจคาดการณ์ผลลัพธ์ของการโจมตีอิหร่านผิด หรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านคำสั่งของทรัมป์เลย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ มากกว่าที่หลายฝ่ายคิด

โดยเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตี 3 จุดสำคัญของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ได้แก่ นาทานซ์ ฟอร์โดว์ และอิสฟาฮาน โดยทรัมป์ยืนยันว่า เป้าหมายเพื่อ “ทำลายนิวเคลียร์ของอิหร่าน” พร้อมขู่จะใช้มาตรการที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ หากเตหะรานไม่ยอมถอย

อย่างไรก็ดี อิหร่านปฏิเสธว่าตนไม่มีโครงการอาวุธนิวเคลียร์ โดยผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA ระบุเมื่อ 18 มิ.ย. ว่ายังไม่พบหลักฐานชัดเจนใด ๆ ขณะที่ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และรายงาน CNN ก็สอดคล้องกันว่าอิหร่านไม่มีแผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ด้านอดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำอุซเบกิสถานกล่าวเสริมว่า อิหร่านได้แสดงความอดทนและสันติอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ถูกยั่วยุโดยอิสราเอลก็ตาม

‘ฮุน มาเนต’ ขู่ฟ่อ ‘กัมพูชา’ เหมือนงูนอนนิ่งแต่พร้อมกัด ส่งคำเตือนถึงไทย ลั่นมีมาตรการอีกเพียบที่ยังไม่ใช้

(23 มิ.ย. 68) ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวในการประชุมใหญ่สหพันธ์เยาวชนแห่งชาติกัมพูชาเมื่อ 23 มิ.ย. ว่า ท่าทีของกัมพูชาต่อความตึงเครียดชายแดนกับไทยนั้น “เหมือนงู” ซึ่งปกตินิ่งเงียบ แต่หากถูกรุกรานก็พร้อมตอบโต้รุนแรงทันที เพื่อปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ

บุตรชายคนโตจากจำนวนบุตร 5 คนของ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ย้ำว่ากัมพูชาไม่ใช่ฝ่ายเริ่มความขัดแย้ง แต่พร้อมใช้มาตรการตอบโต้ทุกเมื่อ โดยยกตัวอย่างกรณีไทยปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนฝ่ายเดียว กัมพูชาก็ปรับตามทันทีเพื่อแสดงจุดยืน ไม่ยอมอยู่ในสถานะฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อให้ฝ่ายไทยรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับ

ในประเด็นการขู่ตัดไฟและอินเทอร์เน็ตจากไทย ฮุน มาเนต ระบุว่าได้สั่งให้หน่วยงานกัมพูชาตัดการพึ่งพาทันที เปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานภายในประเทศเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน พร้อมกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นการตอบโต้ ไม่ใช่การยั่วยุ

ส่วนข้อพิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม และสามเหลี่ยมมรกต รัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก โดยไม่ผ่านกลไกทวิภาคี JBC และไม่แจ้งฝ่ายไทยล่วงหน้า ถือเป็นการเดินเกมรุกที่สะท้อนความเด็ดขาดของผู้นำ

ฮุน มาเนต ย้ำว่าทุกมาตรการของกัมพูชาเป็นผลจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ไม่ใช่การตัดสินใจแบบใช้อารมณ์ พร้อมส่งสารถึงไทยว่า หากยังเดินเกมกดดัน กัมพูชาก็พร้อมโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบ และยังมี “ทางเลือกอีกมาก” ที่ยังไม่ถูกเปิดใช้

ยลโฉมกระบวนพยุหยาตรา และเรือพระที่นั่งประจำรัชกาล (๑) | THE STATES TIMES Story EP.173

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยมีโอกาสได้ชมภาพการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำ เพื่อเตรียมการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ที่กำหนดการจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ 

เชื่อว่าทุก ๆ ท่านคงจะได้รู้จักเรือพระที่นั่งสำคัญอย่าง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ / ‘เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙’ / ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ / ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ กันมาบ้างแล้ว 

แล้วทราบหรือไม่ว่าเรือพระที่นั่งลำใดสร้างขึ้นในรัชกาลใด และเป็นลำที่เท่าไหร่ และเรือพระที่นั่งลำใดที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว

วันนี้ THE STATES TIMES Story มีคำตอบ พร้อมแล้วก็ไปฟังกันเลย…

ยลโฉมกระบวนพยุหยาตรา และเรือพระที่นั่งประจำรัชกาล (๒) | THE STATES TIMES Story EP.174

เมื่อ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ ประชาชนคนไทยมีโอกาสได้ชมภาพการอัญเชิญเรือพระที่นั่งลงน้ำ เพื่อเตรียมการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เชื่อว่าทุก ๆ ท่านคงจะได้รู้จักเรือพระที่นั่งสำคัญอย่าง ‘เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์’ / ‘เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙’ / ‘เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช’ / ‘เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์’ กันมาบ้างแล้ว

และเมื่อตอนที่แล้วก็ได้เล่าประวัติเรือพระที่นั่งประจำรัชกาลที่ ๑-๕ ไปแล้ว วันนี้ THE STATES TIMES Story จะมาเล่าประวัติเรือพระที่นั่งรัชกาลที่ ๖ - ๑๐ ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกันเลย

24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พิธีวางศิลาฤกษ์ ‘อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ’ อนุสรณ์แห่งเกียรติยศและการต่อสู้เพื่อชาติ

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่เหล่าวีรชนไทยที่เสียชีวิตจากกรณีพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศส โดยมีรายชื่อวีรบุรุษผู้กล้าหาญจำนวน 160 นาย จารึกไว้เพื่อรำลึกถึงความเสียสละของพวกเขาในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

พิธีวางศิลาฤกษ์จัดขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 โดยมี พลตรี พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นประธานในพิธี พร้อมจารึกคำปรารภในศิลาฤกษ์ว่า “ขอให้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นถาวรวัตถุ ที่ระลึกถึงเกียรติของผู้เสียสละแล้วซึ่งชีวิต เพื่อประเทศชาติสืบไป”

เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำเนินพิธีในนามคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พร้อมสุนทรพจน์แสดงความรำลึกในเกียรติและความกล้าหาญของวีรชนไทย

ปัจจุบัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญของชาวไทย แต่ยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมสำคัญของกรุงเทพฯ ที่เชื่อมต่อระบบขนส่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟฟ้า BTS รถโดยสารประจำทาง รถตู้โดยสาร และรถตู้ต่างจังหวัด สามารถเดินทางไปยังจุดสำคัญทั่วเมือง รวมถึงสนามบินดอนเมือง รังสิต นนทบุรี ปากเกร็ด นครปฐม สายใต้ใหม่ และปลายทางอีกมากมาย

ด้วยประวัติศาสตร์อันลึกซึ้งควบคู่กับบทบาทในการเดินทางของประชาชน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงถือเป็นทั้ง “อนุสรณ์สถานแห่งชาติ” และ “จุดศูนย์กลางชีวิตเมือง” ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top