Thursday, 10 July 2025
TheStatesTimes

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”  ชาวจังหวัดเลยอย่างยั่งยืน..มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพผู้ยากไร้ พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชนฟรี

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน  นำทีมลงพื้นที่จังหวัดเลย (จังหวัดที่ 17 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จัดพิธีมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 28 ครัวเรือน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และมอบจักรยาน จำนวน 20 คัน ให้แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน 

รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมอบในจังหวัดเลย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 713,430 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยสามสิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายประยูร อรัญรุท รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานในพิธี 

พร้อมด้วย นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อาทิ นายวสวิศว์ ศตพิพัฒน์ (ต้น-วสวิศว์) และ นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น) ร่วมมอบและสร้างสีสันภายในงาน  ณ บริเวณมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.สามพราน จ.นครปฐม และเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนไปบรรยายพิเศษ รร.นรต. ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

(17 ม.ค.68) เวลา 11.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมี พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.สามพราน และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ และรายงานเหตุคดีที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ผกก.สภ.สามพราน เดินทางไปยังโรงพยาบาลสามพราน เพื่อเยี่ยม ส.ต.ต.ชายแดน เอี่ยมละออ และ ส.ต.ต.นิติพล พลเสน ผบ.หมู่ กองร้อยควบคุมฝูงชน ช่วยราชการ สภ. สามพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจติดตามรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ที่ขับขี่หลบหนีจุดตรวจป้องกันอาชญากรรม บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 7 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุได้ประสานขอสนับสนุนกำลังสายตรวจรถจักรยานยนต์เพิ่มเติม จนสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย

จากนั้น เวลา 13.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อบรรยายพิเศษ ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ นรต. 41สู่รุ่นน้อง โดยมีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 78 เข้ารับฟังการบรรยาย โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำการทำงานภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 , , เน้นการทำงานสอบสวน วางแผนการทำงานทางคดี กำหนดกรอบเวลา และบริหารคดีให้ทันต่อเวลา ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญของการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย ให้ตั้งใจประพฤติดี เข้าถึงประชาชน ให้สมกับการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โดยการปรับแนวคิด mind set เพื่อการทำงานในหน้าที่ตำรวจไปสู่การสร้างความเชื่อถือและศรัทธาของพี่น้องประชาชน

จเรตำรวจแห่งชาติประชุมแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ และสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก เพื่อวางมาตรการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่อย่างได้ผล

(17 ม.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมี นายชูขีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก , พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมด้วย นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายอำเภอ ผู้กำกับการ สภ.ต่างๆ เจ้าหน้าที่ทหาร และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมกันเพื่อวางแนวทางมาตรการในการดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และหารือแนวทางการปฏิบัติในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และการสกัดกั้นคนต่างชาติลักลอบเข้าเมือง ว่าจะควบคุมกํากับดูแลอย่างไรตั้งแต่การเข้ามาในพื้นที่บริเวณขอบ อ.แม่สอด จนกระทั่งเข้าสู่แนวชายแดนรวมทั้งบริเวณพื้นที่ภายในทั้งหมด โดยมาตรการจะเริ่มต้นตั้งแต่การด่านต่าง ๆ ที่ประชาชนจะเข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จะต้องมีการตรวจสอบซักถามนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางเข้ามา ว่าเดินทางเข้ามามีแผนการท่องเที่ยวอย่างไร มีใครเป็นคนพามา และพักที่ไหน เป็นต้น จากนั้นจะมีการบันทึกไว้ในระบบเพื่อนําไปสู่การตรวจสอบในภายหลัง หากพบว่ามีความไม่ชัดเจนเกี่ยวเรื่องแผนการท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะมีการติดต่อสถานทูตและจะมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

การควบคุมการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง คาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ และจากนี้จะมีการประเมินผลการปฏิบัติทุกเดือน ซึ่งนอกจากจะป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้ว ยังเป็นการรักษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจว่ามาเที่ยวเมืองไทยปลอดภัยตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า กรณีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีการแจ้งความว่าหายตัวไปหรือติดต่อไม่ได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการสืบสวนขยายผลทุกกรณี ในกรณีชาวจีนเช่นกัน ได้มีการพูดคุยกับทางสถานทูตจีนโดยเสนอว่าเมื่อพบนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ไทยเราจะมีการประสานกับไปทางสถานทูต เพื่อให้สถานทูตช่วยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแนวทางนี้ทางสถานทูตก็เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วตำรวจไทยมีการประสานทํางานร่วมกับสถานทูตต่าง ๆ อยู่แล้ว ในการช่วยเหลือติดตามในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคนของชาตินั้น ๆ 

สำหรับกรณีนายแบบจีนนั้นจากการตรวจสอบล่าสุดกับทางสถานทูตจีน ได้รับการยืนยันว่าขณะนี้นายแบบดังกล่าวกลับประเทศจีนโดยปลอดภัยแล้ว

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย

เมื่อวันที่ (15 ม.ค.68) เวลา 11.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรอง ตัน ศรี ดาโต๊ะ โจฮารี บิน อับดุล (H.E. Tan Sri Dato’ (Dr.) Johari bin Abdul) ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐสภาไทย โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ สมาชิกวุฒิสภา และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่ใกล้ชิดและผูกพันกันมาอย่างยาวนาน และปีนี้ครบรอบ 68 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในด้านนิติบัญญัติรัฐสภาไทยและรัฐสภามาเลเซียได้แลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ โดยล่าสุดประธานรัฐสภาไทยได้นำคณะเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ รัฐสภาทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ผ่านกลไกกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภา อีกทั้งขอแสดงความยินดีที่มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA)

ในปีนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย กล่าวขอบคุณที่ประธานวุฒิสภาให้การต้อนรับในครั้งนี้ โดยปีนี้ประเทศมาเลเซียเป็นประธานอาเซียน มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกมิติ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ สันติภาพ รวมไปถึงความสัมพันธ์ด้าน
นิติบัญญัติให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น ประธานวุฒิสภาได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียและคณะ ณ ห้องรับรองพิเศษ 203 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) โดยมีสมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ได้แก่ พันตำรวจโท สุริยา บาราสัน นายสามารถ รังสรรค์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล พันตำรวจเอก กอบ อัจนากิตติ นายยะโก๊ป หีมละ นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย

อโกด้า เผย!! ‘กรุงเทพฯ’ คว้าจุดหมายปลายทาง ยอดนิยมอันดับ 1 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ

(18 ม.ค. 68) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ‘กรุงเทพฯ’ ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้งในฐานะจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยากสัมผัสบรรยากาศแห่งความสุขในวันตรุษจีนที่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มอโกด้าในช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้วยังระบุว่า ‘โตเกียว’ คือจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในหมู่นักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะใช้เวลาช่วงวันตรุษจีนในต่างประเทศ

สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่วางแผนจะใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนในประเทศ กรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาล โดยมีพัทยาและเชียงใหม่ขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในอันดับถัดมา ด้วยการค้นหาที่เพิ่มขึ้นมากถึง 38% และ 55%

อย่างไรก็ตามในปีนี้ ‘ขอนแก่น’ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2,964% เทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ อีกด้วย

ขณะที่นักเดินทางจากต่างประเทศที่ต้องการจะเฉลิมฉลองปีงูเล็กในประเทศไทย มีจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสามอันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยมีอัตราการค้นหาที่พักพุ่งสูงขึ้นถึง 70%, 80% และ 30% ตามลำดับ โดยนักเดินทางชาวมาเลเซียค้นหาที่พักในประเทศไทยเยอะที่สุดติดกันสองปีซ้อน ส่วนนักเดินทางชาวเกาหลีใต้ค้นหาที่พักในประเทศไทยสำหรับช่วงเทศกาลวันตรุษจีนลดลง และตกลงมาเป็นอันดับที่สาม

ด้านนักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในต่างประเทศ ‘โตเกียว’ ยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้วยการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 66% ในขณะเดียวกัน โซลได้พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง ด้วยอัตราการค้นหาที่พักที่เพิ่มมากขึ้นถึง 519% หลังจากที่ไม่ได้ติดอันดับในปีที่ผ่านมา ส่วนโอซาก้าตกจากอันดับสองลงมาเป็นอันดับสาม แต่ก็ยังมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 42% ที่น่าแปลกใจคือ ฮ่องกง ซึ่งเคยอยู่ในอันดับที่สามเมื่อปีที่แล้ว กลับไม่ติดอันดับใด ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ปิแอร์ ฮอนน์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยจากอโกด้า กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนถือเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญมากที่สุดของชาวเอเชีย และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงเทพฯ มีเสน่ห์ที่หลากหลาย รอให้นักเดินทางได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้ที่ประเทศไทย หรือเดินทางไปต่างประเทศ อโกด้าพร้อมที่จะนำเสนอสิทธิประโยชน์สำหรับเที่ยวบิน ที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อช่วยให้นักเดินทางได้เริ่มต้นปีงูด้วยความสุขและความทรงจำที่น่าประทับใจ

วันหยุดตรุษจีนเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลานี้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางไปรวมตัวพบปะกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ‘ปีงู’ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันเป็นมงคลในการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘งู’ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโชคลาภ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักเดินทางปลดเปลื้องสิ่งเก่าและต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบความสวยงามในสถานที่คุ้นเคยอีกครั้ง หรือการออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ในช่วงเทศกาลอันแสนพิเศษนี้ การเฉลิมฉลองในปีงูจึงเป็นโอกาสที่จะสร้างความทรงจำใหม่ ๆ เป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากมองถึงจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวเอเชียในช่วงวันหยุดตรุษจีน เมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ โตเกียว ที่คว้าแชมป์เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยกรุงเทพฯ (ประเทศไทย), โอซาก้า (ญี่ปุ่น), ฟุกุโอกะ (ญี่ปุ่น) และโซล (เกาหลีใต้) สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์และความหลากหลายที่น่าหลงใหลของแต่ละเมืองในการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมเสนอชื่อ ‘ฌอน เคอร์แรน’ ตำรวจลับที่ปกป้องตน เป็น!! ‘ผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิส’ ชี้!! มีความเหมาะสม เป็นผู้รักชาติ

(18 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ เตรียมคัดเลือกหนึ่งในทีมตำรวจลับที่ปกป้องตนในวันที่ถูกคนร้ายลอบยิงระหว่างปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นหัวหน้าหน่วยซีเคร็ตเซอร์วิส (Secret Service)

โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ระบุว่า บิดาของเขาจะเสนอชื่อ ฌอน เคอร์แรน (Sean Curran) ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอารักขา ทรัมป์ ในวันนั้นขึ้นเป็นผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิสคนใหม่

“ฌอน เป็นผู้รักชาติที่ยอดเยี่ยม และจะเข้ามาหยุดความบ้าคลั่งทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากไปกว่าเขา!!”

ทรัมป์ จูเนียร์ โพสต์ X เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.)ซีเคร็ตเซอร์วิส ถูกเพ่งเล็งและกดดันอย่างหนักเรื่องการทำงานที่หละหลวม หลัง ทรัมป์ ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนถากเข้าที่ใบหูจากความพยายามลอบสังหารเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ปีที่แล้ว ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย นอกจากนี้ ยังมาถูกคนร้ายพยายามปลิดชีพครั้งที่ 2 ที่สนามกอล์ฟในรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งครั้งหลังนี้โชคดีที่ ทรัมป์ ไม่ได้รับอันตราย

สิ่งที่คนพูดกันมากก็คือ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นไม่มีการประสานงานที่ดีพอ ทำให้คนร้ายมีโอกาสปีนขึ้นไปบนหลังคาอาคารและยิงใส่ ทรัมป์ ระหว่างหาเสียง ก่อนจะถูกมือปืนสไนเปอร์ยิงปลิดชีพ

หลังถูกยิงที่บัตเลอร์ ทรัมป์ เอามือจับไปที่หูข้างขวาซึ่งมีเลือดอาบก่อนจะหมอบลงโดยมี เคอร์แรน และเจ้าหน้าที่ซีเคร็ตเซอร์วิสคนอื่นๆ เข้ามาช่วยป้องกัน จากนั้น ทรัมป์ ได้ยืนขึ้นอีกครั้งโดยมีตำรวจลับคุ้มกันรอบตัว พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าประกาศ “สู้! สู้! สู้!” ก่อนถูกนำตัวลงจากเวที

‘โฆษกรัฐบาล’ ยัน!! สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้เน้น ‘กาสิโน’ ยก!! ‘สิงคโปร์’ สร้าง ‘มารีน่าเบย์’ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้คึกคัก

(18 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ ‘เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า’ ว่า ในเรื่องของสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเวลาออกกฎหมายจะต้องผ่านคณะรัฐมนตรี ก็ได้มีการพิจารณา 3 ประเด็นหลักคือ 1. รับทราบรายงานที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่าในแต่ละปีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอื่นๆ มีสถิติการจับกุมการพนันผิดกฎหมายทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก 2. แม้มีการจับกุมการพนันออนไลน์ใต้ดินจำนวนมาก แต่พบว่ามีเงินไหลไปนอกประเทศจำนวนมาก และ 3.มีการจัดทำสถานบันเทิงครบวงจรจำนวนมาก รอบๆ ประเทศไทย และประเทศอื่นๆ

“ที่สำคัญเราไม่ได้เห็นว่า ทำไมต่างประเทศเขาทำแล้วเราต้องทำ แต่ถ้าเราไม่ทำเราก็จะควบคุมอะไรไม่ได้ ธุรกิจใต้ดิน ธุรกิจค้ามนุษย์ การจ้างงานไม่อยู่ในระบบ เงินทองไหลออกนอกประเทศ เกิดความวุ่นวายขายปลาช่อนกันเยอะแยะมากมายตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมาเพราะฉะนั้นการทำสถานบันเทิงครบวงจรนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของกาสิโนอย่างเดียว แต่หมายความถึงสถานที่ท่องเที่ยว ยกตัวอย่าง อ่าวมารีน่าเบย์ ประเทศสิงคโปร์ สมัยก่อนคนไปสิงคโปร์ ก็ไปเที่ยวสวนนก ไปเดินแถวถนนออชาร์ด เหมือนสุขุมวิทบ้านเรา เดินชอปปิงร้อนก็ร้อน ไม่มีอะไรจะเที่ยว ก็ทำมารีน่าเบย์ ขึ้นมา มีทั้งสปอร์ต คอมเพล็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีจุดถ่ายรูป มีโรงแรมที่พัก และมีกาสิโนเพียง 10%”

นายจิรายุ ยังกล่าวต่ออีกว่า วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยเดินทางมา 10-20 ปี แล้วสิ่งเหล่านี้กลายเป็นสภาพปัญหามากมาย หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจากนี้ จะต้องส่งเรื่องไปยังรัฐสภา เพื่อบรรจุวาระรับหลักการ ซึ่งจะมีการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ว่าตกลงแล้วจะเอากฎหมายฉบับนี้หรือไม่ ซึ่งถ้ารับหลักการก็ต้องตั้งกรรมการวิสามัญ ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ที่จะมาร่วมกันพิจารณารายละเอียดรายมาตราว่า จะเขียนกติกาอย่างไร จะให้คนไทยเข้าได้หรือไม่ หากเข้าได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร หรือหากเข้าไม่ได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร ดูเรื่องผลกระทบต่างๆ เงินทองจะเป็นแบบไหน อย่างไร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน และถ้าอยู่ในกรอบนั้น แล้วลงมติวาระ 3 ก่อนจะส่งต่อไปที่สมาชิกวุฒิสภา จากนั้นก็ส่งกลับมาที่รัฐสภาแล้วประกาศใช้ นี่คือสิ่งที่ที่จะต้องลงรายละเอียด ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยอีก 6 เดือน

‘โฆษกทัพบก’ ขอหลักฐานเพิ่ม ปม ‘แสตมป์ อภิวัชร์’ ถูกนายทหารข่มขู่ ลั่น!! หากผิดจริง มีบทลงโทษแน่

(18 ม.ค. 68) จากกรณี นักร้องหนุ่มชื่อดัง ‘แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข’ และภรรยาถูกคุกคามจากซาแซง จนหายหน้าไม่รับงานอยู่เป็นปี เพื่อไปสู้คดีจนชนะ แต่เรื่องกลับไม่จบ เพราะก็ยังถูกคุกคามและข่มขู่จากพ่อของคู่กรณีที่บอกว่าเป็นนายพล

ล่าสุด วันนี้ มีรายงานว่า ‘พ.อ.ฐิต์รัชช์ สมบัติศิริ’ โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า

กองทัพบก จะดำเนินการตรวจสอบ แต่ก็อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมหากเป็นเรื่องที่มีความร้ายแรงและเป็นจริง กองทัพบกก็จะดำเนินการต่อให้

ทั้งนี้ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หากฟังจากที่ ‘แสตมป์’ ออกมาเปิดเผย แต่หากเป็นทหารที่ยังอยู่ในประจำการหากมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมก็จะต้องมีการสอบสวนทางวินัยและมีบทลงโทษ

และหากทาง ‘แสตมป์’ ต้องการให้กองทัพบกตรวจสอบก็ขอให้ส่งข้อมูลมา เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในสาธารณะยังไม่มีความชัดเจน พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกพร้อมให้ความเป็นธรรม

‘วินทร์ เลียววาริณ’ ชี้!! นักการเมืองไทย ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ มาแค่เปลือก เพราะไม่คิดจะศึกษา ตั้งธงแล้วว่า จะเปิดบ่อน ที่เหลือ ค่อยไปว่ากันทีหลัง

(18 ม.ค. 68) ‘วินทร์ เลียววาริณ’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และนักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘กาสิโน’ โดยมีใจความว่า ...

นักคิดนักเขียน อัลแบร์ กามูส์ เคยเขียนว่า "คนที่ขาดความกล้าหาญจะสามารถหาปรัชญามารองรับมันเสมอ"

เมื่อขี้เกียจก็หาเหตุผลมาขี้เกียจ

เมื่อจะโกง ก็หาเหตุผลมาโกง

เมื่อจะหาแดกจากพนัน ก็หาเหตุผลมาหาแดกจนได้

นักการเมืองไทยพยายามมาหลายสิบปีแล้วที่จะสร้างบ่อนถูกกฎหมายให้ได้ ข้ออ้างเดิมๆ คือหาเงินมาพัฒนาชาติ ข้ออ้างล่าสุดก็คือสิงคโปร์ทำแล้ว ถ้าไม่ดีสิงคโปร์คงไม่ทำ(มั้ง)

ผมอยู่ที่สิงคโปร์ตอนเขาประกาศทำบ่อน ประชาชนทั้งประเทศไม่เห็นด้วย รวมทั้งบิดาแห่งชาติ ลีกวนยู 

ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน ขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นพนัน โชคดีที่ต่อมาพ่อของเขาเปลี่ยนนิสัย และเลิกพนันไปตลอดชีวิต

ลีกวนยูไม่เคยเล่นพนัน และต่อต้านเรื่องนี้ เมื่อมหาเศรษฐีฮ่องกง Stanley Ho ผู้เปิดบ่อนที่มาเก๊าขอเปิดบ่อนที่สิงคโปร์ ลีกวนยูปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
แต่ลีกวนยูเปลี่ยนใจ ยอมสร้างบ่อน

ลีกวนยูบอกว่าเขาเปลี่ยนใจในจุดยืนเรื่องสร้างบ่อน เพราะมองเห็นว่าลำพังการเป็น first world city ไม่พอแล้วในศตวรรษใหม่ สิงคโปร์ขาดแรงดึงดูดพอสำหรับนักท่องเที่ยว สิงคโปร์ยังต้องพึ่งนักท่องเที่ยว และสิงคโปร์ก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจ นอกจากเมืองสะอาด

ตอนนั้นสิงคโปร์อยู่ในขาลง ลีกวนยูบอกว่าในเรื่องท่องเที่ยว สิงคโปร์สู้เมืองไทย มาเลเซีย ฮ่องกงไม่ได้ จำเป็นต้องหาจุดขายใหม่ เพื่อที่จะอยู่รอด เมื่อลีกวนยูประกาศสร้างบ่อน เขาเสียเครดิตไปเยอะ เพราะคนทั้งประเทศต่อต้าน

แต่ลีกวนยูสัญญาว่าจะคุมเข้ม ไม่ทำให้พลเมืองติดพนันอย่างเด็ดขาด (gambling inducement) และจะสร้างระบบมาคุม เวลาลีกวนยูบอกว่าจะสร้างระบบมาคุม ทุกคนก็เชื่อได้ว่าเขาทำได้จริง ด้วยกฎเหล็กเข้มข้นกว่าไทยเราล้านล้านเท่า 

การสร้างบ่อนของสิงคโปร์มีกฎระเบียบมากมาย และที่สำคัญคือระบบการตรวจสอบของเขาแน่นหนารัดกุม ไม่มีรูรั่ว ไม่มีคอร์รัปชัน ไม่มีทุจริตเชิงนโยบาย

จุดหมายของรัฐสิงคโปร์คือหาเงินจากนักท่องเที่ยว และไม่ยั่วยุให้พลเมืองติดพนัน คนสิงคโปร์จะเข้าบ่อนต้องจ่ายครั้งละ S$150 หรือสามพันเหรียญต่อปี และเมื่อเล่น ไม่ขยายวงเงินพนันให้เด็ดขาด

นักการเมืองไทยยกตัวอย่างสิงคโปร์มาแค่เปลือก ไม่ได้ศึกษาลึก เพราะไม่คิดจะศึกษา ตั้งธงแล้วว่าจะเปิดบ่อน ที่เหลือค่อยไปว่ากันทีหลัง

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า การยกบ่อนใต้ดินขึ้นมาบนดิน ไม่ได้ทำให้บ่อนใต้ดินหายไป ทุกอย่างเซมเซม แต่มีช่องหาแดกเพิ่มขึ้น (อย่างถูกกฎหมาย)

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า เมื่อทุกประเทศหรือทุกเมืองใหญ่ในโลกมีบ่อน บ่อนก็จะไม่ใช่จุดขายอีกต่อไป

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า อนาคตของเด็กไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อเราปลูกฝังทัศนคติว่า ไม่ต้องทำงานก็รวยได้

เรากำลังสร้างคนในชาติให้เห็นว่าเงินคือคำตอบเดียวในจักรวาล เงินคือพระเจ้า

แต่เงินแค่ไหนจึงจะพอ?

หลังจากสร้างบ่อนถูกกฎหมายแล้วเราจะทำอะไรต่อ? ตั้งกระทรวงยาเสพติดแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงโสเภณีแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงมือปืนแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงศาสนาพาณิชย์เพื่อหาเงินช่วยชาติ?

เราสามารถเปลี่ยนภาพอบายมุขจากดำเป็นขาวในนามของชาติได้เสมอ

รักชาติจนน้ำตาสอ! รักชาติแล้วอิ่มจริงๆ!!

จริงอย่างที่ อัลแบร์ กามูส์ ว่า คนเราสามารถหาปรัชญามารองรับความเลวร้ายที่จะทำเสมอ

วินทร์ เลียววาริณ

'อลงกรณ์' ชี้ 'คาสิโน-พนันออนไลน์' คือเศรษฐกิจบาปและวัฒนธรรมสีเทา 'กัดเซาะบ่อนทำลายหลักนิติรัฐและคุณธรรมของประเทศ'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ้คเรื่อง”เศรษฐกิจบาป(Sin Economy) และวัฒนธรรมสีเทา “วันนี้เกี่ยวโยงประเด็นที่รัฐบาลจะเปิดบ่อนคาสิโนในเอนเตอเทนเม้นต์ คอมเพล็ก(Entertainment Complex)และการพนันออนไลน์แบบถูกกฎหมายโดยมีข้อความดังนี้

"….เศรษฐกิจบาป" (Sin Economy) หมายถึงเศรษฐกิจและตลาดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ถือเป็นความผิด เช่น การพนัน หวยเถื่อน สุรา ยาสูบ งานบริการทางเพศ การค้ามนุษย์และสินค้าและหรือบริการที่มีปัญหาด้านจริยธรรมและผลกระทบทางสังคม

"sin economy" typically refers to the economic activities and markets related to vice industries, such as gambling, alcohol, tobacco, sex work, and other morally questionable goods and services. หนึ่งในตัวอย่างเศรษฐกิจบาปได้แก่การพนัน เช่นกาสิโน และการพนันออนไลน์

ความพยายามล่าสุดในการจัดตั้งเอนเตอเทนเมนต์คอมเพล็กซ์โดยมีบ่อนคาสิโนเป็นศูนย์กลางของการดึงดูดการลงทุนหรือการเปิดให้มีการพนันออนไลน์อย่างถูกต้องด้วยข้ออ้างว่าต้องการเอาธุรกิจสีเทามาอยู่บนดินโดยจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาให้ถึงแก่น

ในมุมมองของผมเรื่องของเศรษฐกิจบาปไม่ใช่แค่ประเด็นธุรกิจหรือเศรษฐกิจแต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่กระทบรากฐานทางวัฒนธรรมและสังคมของประเทศ
คำถามคือเราพร้อมจะนำวัฒนธรรมบาปหรือวัฒนธรรมสีเทามาเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างนั้นหรือ

หลักของประเทศคือหลักนิติรัฐและหลักคุณธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยึดหลักนี้มาโดยตลอด

ดังนั้น เมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าประเทศนี้ปีนี้ 50 ปี 100 ปีและต่อไป ประเทศของเราจะยังยืนอยู่ในหลักนิติรัฐและหลักคุณธรรมหรือไม่ หรือจะกัดเซาะบ่อนทำลายรากฐานประเทศด้วยเศรษฐกิจบาปและวัฒนธรรมสีเทาเพียงเพราะ เราอับจนและไม่มีทางเลือกอื่นในการพัฒนาประเทศแล้วหรือ หรือหมดหนทางสร้างรายได้แล้วหรือ หรือไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายจนต้อง ศิโรราปกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม และเราพร้อมจะเปลี่ยนประเทศเป็นเศรษฐกิจบาป สังคมสีเทาวัฒนธรรมสีเทากระนั้นหรือ ช่วยกันตอบนะครับ เพราะประเทศนี้เป็นของทุกคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top