Thursday, 10 July 2025
TheStatesTimes

OPPO ขอโทษ ออกอัปเดตลบแอปเงินกู้บนมือถือแล้ว 4 รุ่น ยืนยันลบข้อมูลส่วนตัวลูกค้าทั้งหมด

(17 ม.ค.68) OPPO ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์การติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme โดยไม่ได้รับการยินยอม  

โดยนายชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขโดยทันทีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เริ่มการอัปเดตระบบ (OTA) เพื่อลบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงรุ่น Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ OPPO A3 ทั้งตั้งเป้าให้มีการอัปเดตเพื่อการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวภายใน 27 มกราคม 2025 

นายชานนท์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานเก็บบนคลาวด์ได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ ผู้ใช้งานสามารถลบได้ด้วยตัวเองทันที  

ด้านนายธงชัย ม่วงใหม่ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโพสเซฟี่ กรุ๊ป ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ OPPO ประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว โดยไม่เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้งานหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเสริมว่าบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล  

นอกจากนี้ OPPO ประเทศไทยได้ชี้แจงว่า การติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาจากบุคคลภายนอก และยืนยันว่าไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยบริษัทได้เริ่มปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย พร้อมประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  

"เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา เราขอโทษผู้ใช้งานอย่างสุดซึ้ง และขอให้คำมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายชานนท์กล่าว  

OPPO ประเทศไทยยังแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือเฉพาะกับพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และจะไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อที่ไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานธนาคารแห่งประเทศไทยอีก  

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ OPPO ประเทศไทยได้จัดตั้งสายด่วนที่หมายเลข 1800-019-097 เพื่อให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

กฟผ. ผนึกกำลัง ททท. ชวนสัมผัสที่พัก 8 เขื่อนทั่วไทย ตอบโจทย์เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ - กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

กฟผ. จับมือ ททท. สานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สนับสนุนเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ชวนสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่เขื่อน 8 แห่งของ กฟผ. ทั่วประเทศ พร้อมมอบส่วนลดที่พัก 30% ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนอย่างยั่งยืน

(17 ม.ค.68) นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เทรนด์ Workation หรือการทำงานพร้อมการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจาก Work from Home สู่ Work from Anywhere ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 กฟผ. จึงร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามที่เขื่อน 8 แห่งทั่วประเทศ ของ กฟผ. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 30 มีนาคม 2568

นายชวลิต กันคำ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ Workation ของ ททท. มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเริ่มจากการมอบส่วนลดค่าที่พัก และยกระดับคุณภาพบ้านพักรับรองด้วยมาตรฐาน SHA Plus ในพื้นที่เขื่อนและโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สะท้อนถึงความตั้งใจของ กฟผ. ในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ ททท. เพื่อผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีหัวใจสำคัญคือชุมชนและธรรมชาติ ทุกการเดินทางไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“เขื่อนของ กฟผ. ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของประเทศ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่งดงาม ลองมาสัมผัสทิวทัศน์อันตระการตาของเขื่อนทั้ง 8 แห่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเติมเต็มพลังชีวิต และดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่เงียบสงบ การท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนของ กฟผ. จะไม่เพียงเปลี่ยนบรรยากาศการทํางาน แต่ยังช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน กฟผ. ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน” นายชวลิต กล่าวเชิญชวน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/workationthailand โดยใส่คำค้นหา 'บ้านพักรับรองเขื่อน'

หวัง อี้ ลั่นจับมือชาติอาเซียน ปราบการพนันออนไลน์-แก๊งสแกมเมอร์

(17 ม.ค.68) นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในตอนหนึ่งของการหารือกับคณะผู้แทนจาก 10 ชาติสมาชิกอาเซียนที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่ารัฐบาลปักกิ่งจะร่วมมืออย่างแข็งขันกับบรรดาชาติอาเซียนในการกวาดล้างการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน

หวัง อี้  ซึ่งยังดำรงตำแหน่งสมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่ากรณีการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อไม่นานมานี้ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สำคัญของพลเมืองจีนและประเทศอื่น ๆ ซึ่งสถานการณ์นี้จำเป็นต้องได้รับการให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน  

นอกจากนี้ นายหวังยังเรียกร้องให้ประเทศที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมดังกล่าวให้สิ้นซาก รวมถึงปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดหลบหนีการลงโทษ  

จีนยืนยันความพร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและความร่วมมือที่เป็นระเบียบในภูมิภาค นายหวังกล่าวทิ้งท้าย

จวก 'บลินเคน' กลางวงแถลงลั่นควรขึ้นศาลโลก ปมหนุนยิวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์

(17 ม.ค.68) เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายของนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก่อนที่เขาจะหมดวาระจากตำแหน่ง หลังการประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส รวมทั้งข้อตกลงเรื่องตัวประกัน

ในระหว่างการแถลงข่าว นายแซม ฮัสเซนี นักข่าวอเมริกันเชื้อสายจอร์แดน-ปาเลสไตน์ ผู้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของสถาบันเพื่อความถูกต้องของสาธารณะ และคอลัมนิสต์ในสื่อหลายแห่ง เช่น CounterPunch, The Nation, The Washington Post, USA Today และ Salon ได้ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงต่างประเทศลากออกจากห้องแถลงข่าว หลังจากที่เขาพยายามถามเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ซึ่งบลิงเคนอ้างว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ฮัสเซนีถามบลิงเคนด้วยความไม่พอใจว่า ทำไมเขาถึงยอมให้ฝ่ายอิสราเอลจบสงครามในกาซา ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 15 เดือนและคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์หลายหมื่นคนอย่างง่ายดาย และกล่าวว่า กระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปาเลสไตน์ยังไม่สิ้นสุด

ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามนำตัวฮัสเซนี ออกจากห้องประชุม โดยฮัสเซนีตะโกนว่า "อย่าแตะต้องผม!" พร้อมทั้งร้องเสียงดังว่า "กรุณาตอบคำถามของผมก่อน"

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่พยายามพาตัวเขาออกจากห้อง เขายังตะโกนว่า "อาชญากร! ทำไมคุณไม่อยู่ที่กรุงเฮก!" โดยกล่าวถึงกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลอาญาระหว่างประเทศ

ฮัสเซนีกล่าวว่าเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพียงแค่พยายามถามคำถามเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยินยอมตอบคำถาม โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับระเบียบฮันนิบาล ไดเร็กทีฟ (Hannibal Directive) ซึ่งอนุญาตให้ทหารอิสราเอลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพลเรือนและทหารของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวประกันตกไปอยู่ในมือศัตรู

บลิงเคนตอบกลับว่า ผู้สื่อข่าวต้องเคารพขั้นตอนการแถลงข่าว และเขาจะเปิดให้สอบถามหลังจากแถลงเสร็จสิ้นแล้ว ฮัสเซนีตะโกนสวนกลับไปว่า "ทุกคนจากองค์การนิรโทษกรรมสากลจนถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศบอกว่าอิสราเอลกำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แล้วคุณมาบอกให้ผมเคารพขั้นตอนงั้นหรือ"

หลังจากถูกนำตัวออกจากห้องแถลงข่าว ฮัสเซนีเขียนในโพสต์ของเขาว่า การกระทำนี้เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะเขาพยายามถามคำถามที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องการตอบ

นอกจากนี้ แม็กซ์ บลูเมนทาล บรรณาธิการของสำนักข่าว Grayzone News ได้กล่าวหาบลิงเคนว่าเขากำลังทำลายศาสนายูดาห์โดยการร่วมมือกับฟาสซิสต์ พร้อมกับชี้ว่า ครอบครัวของบลิงเคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล็อบบี้ยิสต์ให้กับอิสราเอล

บลูเมนทาลยังได้ถามบลิงเคนว่า "ทำไมคุณยังคงส่งอาวุธไปในขณะที่เรามีข้อตกลงในเดือนพฤษภาคม?" พร้อมกับถามว่า "ทำไมคุณให้บ้านของเพื่อนผมในกาซาถูกทำลาย?" ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศพยายามพาตัวเขาออกจากห้องแถลงข่าวเช่นเดียวกับนายฮัสเซนี 

ทั้งฮัสเซนีและบลูเมนทาลต่างไม่พอใจที่สงครามของอิสราเอลในกาซายังไม่ยุติลง แม้ว่าการโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 จะผ่านมาเป็นเวลา 15 เดือนและทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน

22 มกราคม 2486 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศให้คำว่า ‘สวัสดี’ เป็นคำทักทาย

เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2486 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ประกาศให้ใช้คำว่า 'สวัสดี' เป็นคำทักทายเมื่อพบกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

คำว่า 'สวัสดี' ได้รับการบัญญัติขึ้นโดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) และเริ่มใช้งานครั้งแรกในปี 2476 ขณะที่ท่านเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนำคำนี้ทดลองใช้ในกลุ่มนิสิตก่อนที่จะได้รับการนำมาใช้ในวงกว้างและได้รับการยอมรับจากสังคมในภายหลัง หลังจากนั้น 62 ปี จอมพล ป. พิบูลสงครามจึงได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการในยุคของการส่งเสริมชาตินิยม

คำว่า 'สวัสดี' มาจากรากศัพท์ 'โสตฺถิ' ในภาษาบาลี และ 'สวัสดิ' ในภาษาสันสกฤต ซึ่งใช้ในวรรณคดีไทยและบทสวดมนต์มาช้านาน

นอกจากคำว่า สวัสดี แล้ว ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงครามยังมีคำทักทายอื่น ๆ ที่ใช้กันตามเวลา ได้แก่ อรุณสวัสดิ์ ในตอนเช้า (แปลจากคำว่า Good Morning) ทิวาสวัสดิ์ ในตอนบ่าย (แปลจากคำว่า Good Afternoon) 'สายัณห์สวัสดิ์' ในตอนเย็น (แปลจากคำว่า Good Evening) และ ราตรีสวัสดิ์ เมื่อก่อนนอน (แปลจากคำว่า Good Night)

10 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่กำไรสูงสุดของปี 2024

​ปี 2024 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่ธุรกิจทั่วโลกต้องฟาดฟันเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี แต่ก็ยังมี 10 บริษัทที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นของโลกด้วยกำไรสุดมหาศาลได้ ซึ่งแต่ละบริษัทมีสูตรความสำเร็จของตัวเองที่น่าสนใจและน่าศึกษา โดยทั้ง 10 บริษัทระดับโลกประกอบไปด้วยบริษัทอะไรบ้าง และพวกเขาทำธุรกิจอะไรถึงได้เงินขนาดนี้

​ซึ่งในประเทศไทยในปี 2024 ที่ผ่านมาบริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุดได้แก่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) บริษัทพลังงานชั้นนำที่มีธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุมห่วงโซ่พลังงานตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดย ปตท.ทำรายได้ไปได้สูงถึง 78,383 ล้านบาทค่ะ

23 มกราคม 2425 วันประสูติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่

พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่ ทรงมีพระนามเดิมว่า 'พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร' และทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาวาด พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2424

ในปี 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวมกรมรถไฟสายเหนือกับสายใต้เป็นกรมเดียวกัน ภายใต้ชื่อ 'กรมรถไฟหลวง' และโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง นอกเหนือจากหน้าที่ทางทหาร ซึ่งการบริหารงานด้านกิจการรถไฟในช่วงนั้น ทรงนำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนา และทรงได้รับการขนานพระนามว่า 'พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่'

พระองค์ทรงขยายเส้นทางรถไฟจากเหนือสู่ใต้ รวมทั้งสร้างเส้นทางรถไฟจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี และจากฉะเชิงเทราถึงอรัญประเทศ นอกจากนี้ยังทรงสั่งซื้อรถจักรดีเซลคันแรกในทวีปเอเชียจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จำนวน 2 คัน ในปี พ.ศ. 2471 ซึ่งมีกำลัง 180 แรงม้า เพื่อแทนที่รถจักรไอน้ำที่ไม่สะดวกและไม่ประหยัด

นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงรับผิดชอบงานสร้างถนนและสะพานต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น สะพานกษัตริย์ศึก สะพานรัษฎาภิเศก และสะพานพระพุทธยอดฟ้า รวมทั้งได้ริเริ่มการสำรวจหาน้ำมันดิบในพื้นที่บ่อหลวง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการใช้เครื่องเจาะสำรวจธรณีวิทยา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2464

‘รสนา’ ชื่นชม!! ‘กกพ.’ ชงลดค่าไฟฟ้า แนะ!! เจรจาลด ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ด้วย

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า …

มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์ (Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6 ข้อ

หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใช้ทั้งประเทศประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่า Ft)

แม้ตามสัญญาค่าความพร้อมจ่ายอาจจะตัดไม่ได้ แต่รัฐบาลสามารถใช้ประเด็น ‘เหตุสุดวิสัย’ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเพื่อลดค่าไฟ เปิดให้มีการเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายในโรงไฟฟ้าที่คืนทุนแล้ว หรือไม่มีการผลิตแต่ยังได้ค่าความพร้อมจ่าย โดยแลกกับการขยายสัญญารับซื้อไฟต่อให้อีกสัก1-2ปีหลังหมดสัญญา และโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ควรมีค่าความพร้อมจ่ายอีกแล้ว

กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

‘น้าหงา’ ลุยต้าน!! คัดค้าน ‘กาสิโน’ ชี้!! ตอนหาเสียง ไม่มีนโยบายนี้

(18 ม.ค. 68) สุรชัย จันทิมาธร หรือ ‘หงา คาราวาน’ ศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า …

มีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะไปหมด ยังไม่คิดจะทำ

ประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้เรียกร้องให้เปิดบ่อนสักกะหน่อย

ตอนหาเสียงก็ไม่เคยมีนโยบายนี้นะ เห็นแต่ว่ามีเกลียดมีกลิ่นมีสักมีสีมีกะเทียม

ก่อนหน้านี้ ‘สุรชัย จันทิมาธร’ ออกมาคัดค้านการเปิดกาสิโน ตามนโยบาย รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ต้องการออกกฎหมายให้มี 'เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์' หรือสถานบันเทิงครบวงจรถูกกฎหมาย

โดย สุรชัย จันทิมาธร ระบุในเฟซบุ๊กว่า …

กาสิโน คือบ่อนการพนัน รัฐบาลเปิดบ่อนกาสิโน ก็เท่ากับว่า รัฐบาลเป็นนักเลงคุมบ่อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top