Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

เปิดหลักการพื้นฐานของ ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ ว่าด้วยการป้องปราม ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ฉบับใหม่

ถือว่าโลกได้ขยับเข้าใกล้สงครามโลกครั้งที่ 3 อีกครั้งเมื่อประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียได้ลงนามในกฤษฎีกาเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 ที่ผ่านมา เพื่อรับรองหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับปรับปรุงของประเทศ ซึ่งมีชื่อว่า ‘หลักการพื้นฐานของนโยบายรัฐของสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์’ (the Basic Principles of State Policy of the Russian Federation on Nuclear Deterrence) สาเหตุที่ทางรัสเซียจำเป็นต้องอัปเดตเอกสารหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์นี้ ทางเครมลินอธิบายว่าเนื่องจาก ‘สถานการณ์ปัจจุบัน’ เกี่ยวกับปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนและการเผชิญหน้าที่รุนแรงระหว่างรัสเซียและตะวันตก โดยคำนึงถึงการตัดสินใจของ เจ้าหน้าที่รัฐบาลในสหรัฐอเมริกาตัดสินใจให้ยูเครนใช้อาวุธซึ่งเป็นอาวุธที่ผลิตในอเมริกาเพื่อต่อต้านสหพันธรัฐรัสเซีย นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสถานการณ์ใหม่ทั่วประเทศของเรา และทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงแนวคิดนี้” 

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 สื่ออเมริกันรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ “อนุญาต” ให้ยูเครนยิงขีปนาวุธ ATACMS ของอเมริกาลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย ซึ่งต่อมานายไบรอัน นิโคลส์ (Brian Nichols) ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการซีกโลกตะวันตก ได้ออกมายืนยันข้อมูลนี้ เมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงานว่ากองทัพยูเครนทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ATACMS จำนวน 6 ลูกต่อสถานที่ทางทหารแห่งหนึ่งในภูมิภาคเบรียนสค์ ซึ่งห้าลูกถูกยิงตก หนึ่งลูกได้รับความเสียหายจากทีมต่อสู้ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 และระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศแพนซีร์ จากเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้นายดมิทรี เปซคอฟ (Dmitry Peskov) โฆษกเครมลินเรียกร้องให้ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียลงนามในหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ที่ได้รับการปรับปรุงซึ่งเป็น "เอกสารที่สำคัญอย่างยิ่ง" ในเวลาที่เหมาะสม เขากล่าวว่าการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์มีจุดมุ่งหมาย “เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่อาจเป็นปฏิปักษ์จะเข้าใจถึงการตอบโต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีที่มีการรุกรานสหพันธรัฐรัสเซียและ/หรือพันธมิตรของรัสเซีย”

ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียที่ได้รับการปรับปรุงนี้ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับพื้นฐานของรัฐของสหพันธรัฐรัสเซียในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับกฤษฎีกาปี ค.ศ.2020 โดยรัสเซีย “ถือว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นวิธีการป้องปราม การใช้อาวุธดังกล่าวเป็นมาตรการที่รุนแรงและบังคับ และกำลังใช้ความพยายามที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อลดภัยคุกคามทางนิวเคลียร์และป้องกันความรุนแรงของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่อาจกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง ความขัดแย้งทางการทหาร รวมถึงความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ด้วย” ในปีค.ศ. 2020 ทางการรัสเซียพิจารณาอาวุธนิวเคลียร์ “เป็นเพียงวิธีการป้องปรามเท่านั้น” เช่นเดียวกับในปีค.ศ. 2020 “การรับประกันการป้องปรามศัตรูที่อาจเกิดขึ้นจากการรุกรานรัสเซียและ (หรือ) พันธมิตร” ถือเป็น “หนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุดของรัฐบาล” จะต้องได้รับการรับรองโดย “กำลังทหารทั้งหมดของสหพันธรัฐรัสเซียรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์” ในเวลาเดียวกัน ทั้งเอกสารเก่าและเอกสารใหม่กล่าวว่า "นโยบายของรัฐในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์มีลักษณะเป็นการป้องกัน" 

ก่อนหน้าที่ผมจะกล่าวถึงหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่ผมขอเล่าถึงความเป็นมาของหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียตรัสเซียมีหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์มาแล้ว 5 ฉบับด้วยกัน โดยในสมัยสหภาพโซเวียตไม่มีหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์สาธารณะ ยกเว้นเอกสาร "เกี่ยวกับหลักคำสอนทางทหารของรัฐในสนธิสัญญาวอร์ซอ" ที่นำมาใช้ในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งรับรองว่าพวกเขา "จะไม่ใช่คนแรกที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์" ผมขอเรียกเอกสารฉบับนี้ว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับที่ 1  

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1993 ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินได้ลงนามในกฤษฎีกา "ในบทบัญญัติหลักของหลักคำสอนทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซีย" แต่ไม่มีการเผยแพร่เนื้อหาของบทบัญญัติดังกล่าว ถือว่าเอกสารฉบับนี้เป็นฉบับที่ 2  

ถัดมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.2000 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้อนุมัติหลักคำสอนทางทหารสาธารณะฉบับแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยระบุว่ารัสเซียขอสงวนสิทธิ์ในการใช้การโจมตีด้วยนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธทำลายล้างสูงต่อรัสเซียและ/หรือพันธมิตร เช่นเดียวกับ “เพื่อตอบสนองต่อการโจมตีขนาดใหญ่โดยใช้อาวุธธรรมดาในสถานการณ์ที่วิกฤตต่อความมั่นคงของชาติ ” ในปีเดียวกันนั้นมีการนำ "นโยบายพื้นฐานของรัฐในด้านการป้องปรามนิวเคลียร์" ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงปี ค.ศ.2010 ฉบับนี้ผมให้เป็นฉบับที่ 3 

ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ อนุมัติหลักคำสอนทางทหารใหม่ของสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งรวมถึงประโยคเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองต่อ "การรุกรานต่อสหพันธรัฐรัสเซียโดยใช้อาวุธธรรมดา เมื่อรัฐดำรงอยู่จริงตกอยู่ในความเสี่ยง” ฉบับนี้เป็นฉบับที่ 4 ต่อมาประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูตินได้ปรับปรุงหลักคำสอนทางทหารในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักการเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์
.
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2020 ประธานาธิบดีดวลาดิมีร์ ปูตินได้ลงนามในกฤษฎีกา “เกี่ยวกับพื้นฐานของนโยบายของรัฐในด้านการป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” เอกสารระบุเหตุผลอีกสองประการที่ทำให้รัสเซียใช้กองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ได้แก่ การโจมตีด้วยขีปนาวุธและผลกระทบต่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ 'สำคัญอย่างยิ่ง' ซึ่ง "จะนำไปสู่การหยุดชะงักในการดำเนินการตอบโต้ของกองกำลังนิวเคลียร์" ซึ่งผมถือว่าเป็นฉบับที่ 5 

เอกสารหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับใหม่ที่ประธานาธิบดีดวลาดิมีร์ ปูตินเพิ่งลงนามไปเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.2024 มีทั้งหมดด้วยกันทั้งสิ้น 4 หมวด 26 มาตรา สรุปถึงเงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ภัยคุกคามที่ถือว่าร้ายแรงเพียงพอสำหรับการใช้งาน ลำดับการเปิดใช้งานแผนการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ การดำเนินการเพื่อรักษากองกำลังนิวเคลียร์ให้พร้อมในการรบ และนโยบายสำหรับ 'การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์'—แผนสำหรับป้องกันการโจมตีด้วยนิวเคลียร์โดยรับรองว่า “การรุกรานทางนิวเคลียร์ใดๆ จะส่งผลให้เกิดการตอบโต้อย่างร้ายแรง” ทั้งนี้ผมขอสรุปประเด็นต่าง ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

เงื่อนไขการใช้อาวุธนิวเคลียร์

ในหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ครั้งก่อนหลักคำสอนระบุว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะถูกกระตุ้นโดยการรุกรานที่คุกคามการดำรงอยู่ของรัฐ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันอัปเดตให้ความชัดเจนมากขึ้น โดยระบุว่ารัสเซียอาจใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การรุกรานที่คุกคามอธิปไตยของรัสเซียและ/หรือบูรณภาพแห่งดินแดนโดยตรง

หลักคำสอนที่ได้รับการปรับปรุงได้กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงสถานการณ์ที่การรุกรานจากประเทศที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนิวเคลียร์ นี่จะถือเป็นการโจมตีร่วมกัน และแม้แต่อาวุธทั่วไปที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่ออธิปไตยของรัสเซียก็อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางนิวเคลียร์จากรัสเซียเช่นกัน

โดยรัสเซียได้เน้นไปที่เบลารุสพันธมิตรของตนเป็นพิเศษ ซึ่งการรุกรานใด ๆ ต่อเบลารุสก็ถือเป็นการโจมตีรัสเซีย ซึ่งก็จะถูกตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วย

เอกสารดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงภัยคุกคามทางทหารต่อรัสเซียที่อาจเกิดขึ้น เช่น ระบบต่อต้านขีปนาวุธ การสะสมกำลังทหารใกล้ชายแดนรัสเซีย และอาวุธนิวเคลียร์ที่ประจำการอยู่ในรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์

ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดคำว่า ‘ศัตรูที่มีศักยภาพ’ ซึ่งครอบคลุมรัฐหรือพันธมิตรทางทหารที่มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคามและมีอำนาจทางทหารที่สำคัญ 

การป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์

รัสเซียดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่องโดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกัน ‘รัฐที่ไม่เป็นมิตร’ และพันธมิตรทางทหารจากการโจมตีและการกระทำที่ไม่เป็นมิตรในช่วงเวลาสงบ ระดับภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้น และในช่วงสงคราม ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการใช้อาวุธนิวเคลียร์

การป้องปรามรวมถึงการจัดตั้งและรักษากองกำลังนิวเคลียร์ที่ทันสมัยซึ่งสามารถส่ง “ความเสียหายที่รับประกันว่าไม่อาจยอมรับได้” ให้กับฝ่ายตรงข้าม ควบคู่ไปกับการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้งหมดไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความพร้อมของมอสโก และตัดสินใจที่จะมีส่วนร่วมกับพวกเขาหากจำเป็น

หากผู้รุกรานโจมตีรัสเซียหรือพันธมิตร พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้ ตามหลักคำสอนดังกล่าว

การป้องปรามด้วยนิวเคลียร์มุ่งเป้าไปที่รัฐและพันธมิตรทางทหารที่มองว่ารัสเซียเป็นภัยคุกคาม รวมถึงการจัดหาทรัพยากรหรือดินแดนสำหรับการรุกราน

การรุกรานโดยรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐนิวเคลียร์จะถือเป็นการโจมตีร่วมกัน ในขณะที่การรุกรานของกลุ่มพันธมิตรทางทหารใดๆ จะถูกมองว่าเป็นการกระทำร่วมกันของกลุ่มนี้ 

ภัยคุกคาม

รายการภัยคุกคามทางทหารที่รัสเซียจะตอบโต้ด้วยการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ประกอบด้วยอันตรายหลัก 10 ประการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาเอกสารฉบับปีค.ศ.2020 ที่มี 6 ประการ โดยที่น่าสังเกตมากที่สุดคือการมีอยู่ของศัตรูที่อาจติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธทำลายล้างสูงอื่นๆ

นอกจากนี้ยังรวมถึงการติดตั้งระบบขั้นสูง เช่น การป้องกันขีปนาวุธร่อนระยะกลางและระยะสั้น (medium- and short-range cruise missile) ขีปนาวุธนำวิถี ระยะกลางและระยะสั้น (medium- and short-range ballistic missiles) อาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่มีความแม่นยำสูง (high-precision non-nuclear) และอาวุธความเร็วเหนือเสียง (hypersonic weapon) และการโจมตีด้วยโดรน

การสะสมกำลังของต่างชาติ รวมถึงวิธีการจัดส่งนิวเคลียร์หรือโครงสร้างพื้นฐานทางทหารที่เกี่ยวข้อง ใกล้กับชายแดนรัสเซียก็ถูกกำหนดให้เป็นภัยคุกคามที่สำคัญเช่นกัน

นอกจากนี้ การติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ, ระบบต่อต้านดาวเทียม, และอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ถูกมองว่าเป็นอันตราย

รวมไปถึงการขยายพันธมิตรทางทหารและแนวทางโครงสร้างพื้นฐานไปยังชายแดนรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามที่ชัดเจน ควบคู่ไปกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแยกดินแดน การทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นอันตราย การซ้อมรบขนาดใหญ่ใกล้ชายแดน และการแพร่กระจายของอาวุธทำลายล้างสูงอย่างไม่มีการตรวจสอบ

การตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์

การตัดสินใจในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียนั้นสามารถพิจารณาได้จากเงื่อนไขหลายประการ รวมถึงการยิงขีปนาวุธใส่รัสเซียหรือพันธมิตร การใช้อาวุธทำลายล้างสูงต่อรัสเซียหรือดินแดนพันธมิตร และการโจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญของรัฐหรือทางทหาร ที่จะขัดขวางการตอบสนองทางนิวเคลียร์ 

นอกจากนี้ยังรวมถึงการรุกรานตามแบบแผนที่คุกคามอธิปไตยต่อรัสเซียหรือเบลารุส เช่นเดียวกับการโจมตีด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่และขีปนาวุธข้ามพรมแดนรัสเซีย ถือเป็นเกณฑ์หนึ่งในการเปิดใช้งานการตอบสนองทางนิวเคลียร์

ประธานาธิบดีรัสเซียเป็นผู้ทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการใช้นิวเคลียร์ นอกจากนี้เขายังอาจแจ้งให้ประเทศอื่นๆ หรือหน่วยงานระหว่างประเทศทราบเกี่ยวกับความพร้อมหรือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นจริง

เซอร์เกย์ มาร์คอฟ (Sergey Markov) อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินกล่าวว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่นี้ “ทำให้เงื่อนไขการใช้นิวเคลียร์ของรัสเซียเท่าเทียมกันกับสหรัฐฯ” เนื่องจากเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์ในประเทศตะวันตกต่ำกว่าในรัสเซีย โดยหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ อนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องพันธมิตรของตน ซึ่งจนถึงขณะนี้รัสเซียยังไม่ได้พิจารณาการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องพันธมิตรของตน โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ครั้งแรกในการปราศรัยของเขาเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2024 ในการประชุมป้องปรามด้วยนิวเคลียร์โดยอ้างถึง “ภูมิทัศน์ทางการทหารและการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” 

ซึ่งนายเซอร์เกร์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศรัสเซียออกมาแสดงความเห็นว่าชาติตะวันตกจะศึกษาหลักคำสอนทางนิวเคลียร์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ของรัสเซียอย่างรอบคอบ ในขณะที่นายดมิมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซียได้ออกมาเตือนว่าชาติตะวันตกจะรับฟังสัญญาณจากมอสโกอย่างจริงจังและได้โพสต์ลงในช่อง Telegram ของเขาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการตัดสินใจโจมตีขีปนาวุธของชาติตะวันตกที่ลึกเข้าไปในรัสเซียกับหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ฉบับใหม่ “การใช้ขีปนาวุธพันธมิตร (NATO) ในลักษณะนี้สามารถเข้าข่ายเป็นการโจมตีโดยกลุ่มประเทศในรัสเซียได้แล้ว ในกรณีนี้ มีสิทธิ์ที่จะโจมตีกลับด้วยอาวุธทำลายล้างสูงต่อเคียฟและฐานปฏิบัติการหลักของ NATO ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม และนี่คือสงครามโลกครั้งที่สามแล้ว

ซึ่งเราต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่าหลักคำสอนด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียฉบับใหม่นี้จะทำให้ฉากทัศน์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนจบลงหรือขยายความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับพันธมิตรนาโตต่อไปในอนาคต

‘ซุปเปอร์บอน’ ขึ้นแท่น!! แบรนด์แอมบาสเดอร์ ‘G-SHOCK’ สะท้อนไลฟ์สไตล์!! ฮีโร่นักสู้ ในงานเปิดตัวรุ่น GM-2110D

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ‘ซุปเปอร์บอน ซุปเปอร์บอนเทรนนิ่งแคมป์’ เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต (145-155 ป.) เฉพาะกาล ได้รับเกียรติให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของแบรนด์นาฬิกาชื่อดัง  G-SHOCK รุ่นไอคอนิก G-STEEL GM-2110D Metal Series  (จี-สตีล จีเอ็ม-2110ดี เมทัล ซีรีส์) สี Sky Blue (สกาย บลู) ผ่านแคมเปญใหม่ ‘TOUGH LIKE YOU’ (ทัฟ ไลก์ ยู) โดยมีการจัดงานเปิดตัว ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ภายในงานได้รับเกียรติจาก มร.คิคุโอะ อิเบะ (Kikuo Ibe) วิศวกรผู้ออกแบบนาฬิกา G-SHOCK และ มร.ไซโตะ ชินจิ (Shinji Saito) ผู้จัดการทั่วไปและหัวหน้าฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ แผนกธุรกิจนาฬิกา มาร่วมให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบนาฬิกาคอลเลกชันใหม่ พร้อมด้วย นายจิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน วัน แชมเปียนชิพ ประเทศไทย มาร่วมแสดงความยินดี 

‘ซุปเปอร์บอน’ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ล่าสุดของนาฬิกา G-SHOCK รุ่น G-STEEL GM-2110D Metal Series ได้เผยถึงความรู้สึกที่ได้เข้ามาร่วมงานกับทาง G-SHOCK ในครั้งนี้ว่า

G-SHOCK เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง เป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัยทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว G-SHOCK และดีใจมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสร่วมถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของ G-SHOCK ผ่านตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผม ซึ่งกว่าที่ผมจะมีวันนี้ก็ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก เผชิญกับความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง มีความคิดที่จะแขวนนวม แต่ด้วยใจสู้ เรียกว่า อึด ถึก ทนไม่ยอมแพ้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีเลือดนักสู้ สามารถเป็นฮีโร่ในแบบฉบับของตัวเองได้ครับ

สำหรับ ‘ซุปเปอร์บอน’ ถือเป็นตัวอย่างของนักกีฬาระดับโลกที่เปี่ยมด้วยวินัย ความมุ่งมั่น และจิตวิญญาณแห่งนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ จนส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในเวทีระดับสากลมาอย่างยาวนานซึ่งสอดคล้องกับแคมเปญล่าสุดจากทาง G-SHOCK อย่าง ‘TOUGH LIKE YOU’ ที่ต้องการสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งความแข็งแกร่ง การมุ่งมั่นและทะเยอทะยานในการคว้าชัยชนะด้วยความไม่ย่อท้อของผู้สวมใส่ ผ่านดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่นของซีรีส์นาฬิกาโลหะ และร่องรอยที่เกิดจากการใช้งานซึ่งแฝงไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ทาง G-SHOCK ประเทศไทย ยังร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรสนับสนุนการแข่งขันของ วัน แชมเปียนชิพ เพื่อสะท้อนคาแรกเตอร์ของ G-SHOCK ที่มีความเป็นสปอร์ต และทนทานอีกด้วย

ทั้งนี้ ‘ซุปเปอร์บอน’ กำลังจะมีคิวขึ้นชกไฟต์สำคัญ เพื่อลุ้นขึ้นแท่นเป็นเจ้าบัลลังก์ 2 กติกา ในศึกรีแมตช์ชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวต กับคู่ปรับเก่า ‘ตะวันฉาย พีเค.แสนชัย’ เจ้าของเข็มขัดคนปัจจุบัน ในศึก ONE 170 ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี ในวันศุกร์ที่ 24 ม.ค.68 เริ่มคู่แรก 19.30 น.

แฟนกีฬาชาวไทยสามารถจองบัตรเข้าชมในสนามผ่านทาง THAI TICKET MAJOR คู่แรกเริ่มเวลา 19.30 น. รับชมการถ่ายทอดสดทาง ช่อง 7HD กด 35 (ภาษาไทย) เริ่ม 20.30 น. 

รวมทั้งติดตามข่าวสารและความคืบหน้าของศึกนี้ได้ที่เฟซบุ๊ก ONE Championship Thailand เว็บไซต์ ONEFC.com อินสตาแกรม ONEChampTh และ TikTok ONEChampTH

เลือกตั้ง ‘ประธานาธิบดี’ ทำสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป เมื่ออเมริกาเปลี่ยนมือ กระทบ!! นโยบาย ‘เมียนมา’ ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อาจเดินหน้า สานสัมพันธ์

เมื่อไม่นานมานี้ ยูเครนได้ทำการโจมตีที่มั่นทางการทหารในรัสเซียตามที่อเมริกาส่งสัญญาณใช้อาวุธที่ทางนาโต้มอบให้จู่โจมรัสเซีย ในขณะที่ประธานาธิบดีปูตินได้เคยประกาศกร้าวแล้วว่าใครทำแบบนี้จะถือว่าเป็นศัตรูกับรัสเซียและรัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างไม่ปรานี

นี่เป็นคำสั่งท้าย ๆ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดนก่อนที่เขาจะหมดวาระในวันที่ 20 มกราคม 2568 นี้  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าการที่โจเลือกที่จะสั่งให้ยูเครนทำแบบนี้ก็เพราะต้องการสร้างความยากลำบากให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์

แต่ยูเครนไม่ใช่สงครามเดียวที่อเมริกาชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะยังมีสมรภูมิอื่นที่ยังเดือดอยู่เช่นกัน แต่ 1 ในสมรภูมิเหล่านั้นคือสมรภูมิในเมียนมา

เป็นที่แน่ชัดเสียยิ่งกว่าชัดจากการที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงโดยให้การสนับสนุนทั้งเงินทุน อาวุธรวมถึงการฝึกทางยุทธวิธีให้แก่กองกำลังชาติพันธุ์ที่อยู่บริเวณชายแดนไทยและใช้ไทยเป็นที่มั่นในการนำเงินเข้ามาผ่านตัวแทนนายหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในไทย รวมถึงผ่านองค์กร NGO ต่างๆ รวมทั้งองค์กรที่มีการโฆษณาเปิดเผยว่าฝึกกองกำลังชาติพันธุ์ไว้ต่อต้านกองทัพรัฐบาลกลางของเมียนมาอย่าง Free Burma Ranger เป็นต้น นี่ยังไม่นับรวมพวกท่านทูตหัวทองที่ผลัดกันมาเยี่ยมเยียนเมืองชายแดนไทยติดเมียนมากันอย่างมิได้ขาดสายจนคนย่านนั้นเขารู้กันไปทั่ว

ประเด็นคือโจ ไบเดนจะปั่นให้ฝั่งเมียนมาลุกเป็นไฟอีกไหม เพราะดูจากนโยบายที่ทรัมป์ออกมาน่าจะส่งผลดีต่อเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาเม็ดเงินที่อเมริกาในยุคของโจ ไบเดน หยอดเข้ามาให้ทำสงครามก็ไม่สามารถพิชิตกองทัพเมียนมาได้อย่างเด็ดขาด จนบางทีไบเดนอาจจะไม่รู้ว่า กองกำลังชาติพันธุ์ในพม่าทำสงครามเป็นธุรกิจเช่นเดียวกัน

หากสถานการณ์ในเมียนมาสงบไปจนถึงวันที่ทรัมป์รับตำแหน่งมีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์จะพยายามกลับมารักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเมียนมาเพื่อเป็นการสกัดกั้นการขยายอำนาจของจีนมาสู่อ่าวเบงกอลมากกว่าเลือกที่จะสนับสนุนสงครามตัวแทนที่เห็นผลอยู่แล้วว่าไม่มีผลดีต่อสหรัฐเลยไม่ว่าด้านใด

เช่นเดียวกันหากปราศจากการอัดฉีดจากอเมริกาอำนาจของพรรคการเมืองในไทยบางพรรคที่ใช้ทุนจากตะวันตก หรือเหล่านายหน้าต่างด้าวที่เคยเป็นนายหน้าตัวกลางไซฟ่อนเงินก็อาจจะตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน

ยิ่งคนไทยตื่นรู้จักภัยคุกคามจากคนต่างด้าวกลุ่มนี้แล้วด้วย เราก็จะได้เห็นการแฉออกมาเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับฝ่ายการเมืองและกองทัพที่จะรักษาเสถียรภาพคนไทยอย่างไร

แฉ!! คุณหมอคนดัง หลอกลวงลงทุน หลายคนไว้ใจ!! เพราะดูน่าเชื่อถือ

(23 พ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Stapnavatr Vajira’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘หมอบุญ’ หรือ นายแพทย์บุญ วนาสิน หมอนักธุรกิจชื่อดัง โดยมีใจความว่า ...

การหลอกลวงครั้งนี้น่าจะเป็นการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี 2567 จำนวนเม็ดเงินที่เสียหายอาจไม่มากกว่าดิไอคอน น่าจะใกล้เคียงกัน แต่แบ๊คกราวนด์ของผู้หลอก ที่เคยเป็นทั้งแพทย์, อาจารย์แพทย์ จบถึงจอห์นฮ๊อปสกินส์ สหรัฐ เป็นถึงผู้ก่อตั้ง รพ.เอกชนแห่งแรก ๆ ของไทย เคยผ่านยุครุ่งเรืองสุดขีด 

ได้ยินว่าผู้เสียหาย หมอเป็นร้อยคน ส่วนใหญ่เอกชน มีแม้กระทั่งคนทำงานธนาคารจนวันเกษียณ เชื่อใจในชื่อเสียง เอาเงินทั้งครอบครัวหลายสิบล้านมาเท

ผมเองเบื้องหลังก็เคยถูกชักชวนไปลงทุนกับแก ตั้งแต่ช่วงต้นโควิด แต่ผมไม่สนใจแบ๊คกราวนด์ ไปค้นดูผลงานการลงทุนของคุณหมอบุญ ที่ก็ไม่ยากที่จะสืบ พบว่า ทั้งคอนโดผู้สูงอายุและรพ.เอกชนที่ลงทุนไปในช่วงเกือบสิบปีหลัง ถือว่าล้มเหลว ทุนจมไปเกือบหมื่นล้าน ผลตอบแทนกลับมาน้อยมาก ในมุมมองผม แกจะเคยเก่งอะไรมามากเพียงใด ไม่สนใจ ผมอยู่กับปัจจุบันครับ ช่วง 2566-2567 ยังเคยถูกคุณหมอคนหนึ่งแซะผมเล็กๆ ว่ากังวลเกินไป คุณหมอบุญ แกเป็นคนระดับไหนแล้ว

สรุปที่ผมเคยสรุปไว้ก่อนลงทุน ตีให้แตกเรื่องภูมิหลัง มองข้ามความสัมพันธ์เสมอ เพราะคนมาหลอก มาดีก่อนเสมอ อย่างกรณีหมอบุญ เห็นว่า มีคนหนึ่ง รู้จักกันมา 20 ปี อาชีพนายหน้า เจอหน้ากันเรื่อยๆ ดีกันมาตลอด โดนไปหมดตัวเป็นร้อยล้าน ปัจจัยที่สามคือ คนจะหลอก จะเอาผลประโยชน์อะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจ มาล่อ 

‘พีระพันธุ์’ นำคณะทำงาน!! ตรวจราชการ จ.ระยอง ลงพื้นที่!! โรงกลั่น เพื่อกำกับดูแลราคา ให้ความเหมาะสม

(23 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความขณะที่ได้เดินทางไปตรวจราชการ โดยมีใจความว่า ...

“สวัสดีครับ วันนี้ผมได้เดินทางไปตรวจราชการในตําแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ คือจังหวัดระยอง ซึ่งผมก็ได้ไปพบกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเพื่อสอบถามปัญหาของจังหวัดและหน่วยราชการต่าง ๆ และถือโอกาสเดียวกันนี้ไปตรวจเยี่ยมโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไออาร์พีซี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ซึ่งผมก็ไปดูตั้งแต่กระบวนการที่เรือขนน้ำมันดิบเข้ามาเทียบท่า แล้วขนถ่ายน้ำมันดิบไปเก็บที่คลัง แล้วก็เข้าสู่ขบวนการกลั่น ที่ไปดูในส่วนนี้ก็เพื่อจะนํารายละเอียดข้อมูลมาปรับปรุงกฎหมายที่กําลังจะออกมา ในเรื่องของการกํากับดูแลราคาน้ำมันให้มีความถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ผมจะพยายามทําหน้าที่ให้ดีที่สุด และพยายามดูแลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนให้เต็มที่ครับ”

ต้องรีบซื้อ!! ท๊อป จิรายุส ชี้!! แบงก์ชาติ ควรเร่งเก็บ Bitcoin เป็นทุนสำรองของประเทศ ก่อนจะสายเกินไป

ท๊อป จิรายุส แนะแบงก์ชาติ!! ควรเร่งเก็บ ‘Bitcoin’ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองของประเทศโดยเร็ว ก่อนที่จะสายเกินไป

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั่งเฮลิคอปเตอร์บินตรวจราชการที่ จ.ระยอง รับฟังปัญหาความเดือดร้อนประชาชน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ (22 พ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะ ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ลงบริเวณสนามหน้าศาลากลาง จ.ระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อตรวจราชการตามภารกิจในหน่วยงานที่กำกับดูแล ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ โดยรับทราบปัญหาการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว โดยมีนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผวจ.ระยอง พร้อม หน.ส่วนราชการ จ.ระยอง ให้การต้อนรับ

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อมารับทราบปัญหาในการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐของกระทรวงที่กำกับดูแลว่ามีปัญหาติดขัดเรื่องอะไรบ้าง และประชาชนประสบปัญหาอะไร และต้องการช่วยเหลือด้านใดบ้าง ซึ่งเป็นการเน้นลงพื้นที่ตรวจดูปัญหาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จะได้นำไปแก้ปัญหาได้ตรงจุด รวมทั้งการสร้างงานให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ เช่น การจัดงานหรือกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ต่อเนื่องด้วย

สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก

กระทรวงพาณิชย์ จัดงาน CHONBURI PROUD EXPO 2024 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา โดยมุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs จังหวัดชลบุรีสู่เวทีโลก โดยได้รับเกียรติจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจาประธานสวนนงนุชพัทยา ให้การต้อนรับและร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาการค้าแห่งประเทศไทย ประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี พาณิชย์จังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ และคณะผู้บริหารจากภาครัฐและเอกชนร่วมเป็นสักขีพยาน

งานครั้งนี้มีการจัดแสดงสินค้าและบริการสุดพิเศษจากผู้ประกอบการกว่า 100 บูธ ไม่ว่าจะเป็นสินค้านวัตกรรม สินค้าพรีเมียมจากโครงการ CHONBURI PROUD และสินค้าที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งถือเป็นสินค้าคุณภาพที่สะท้อนความภาคภูมิใจของชลบุร

โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงสินค้านวัตกรรมและสินค้า GI กิจกรรมเจรจาธุรกิจทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ การเสวนาวิชาการในหัวข้อ 'ชลบุรี โอกาสและความท้าทาย สู่ศูนย์กลางการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ จีน-อาเซียน สำหรับ SMEs'

งาน CHONBURI PROUD EXPO 2024 จะจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม SMEs ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนระดับโลก พร้อมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

วุฒิสมาชิก และ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ต้อนรับสื่อมวลชนรัฐเปรัคประเทศมาเลเซีย

เมื่อเวลา 16.00 น. เมื่อวันที่ (21 พ.ย.67) ที่ห้องประชุมชั้น 3 โรงแรมบีพีแกรนด์ทาวเวอร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล วุฒิสมาชิกรัฐสภา และ นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย นายอนงค์ วงศ์ช่วย อุปนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ ฯ นายตูแว มือรีงิง กรรมการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ ได้ให้การต้อนรับ สื่อมวลชน จากรัฐเปรัฐ ประเทศมาเซีย จำนวน 43 คน ซึ่งนำโดย นายมูฮัมหมัด ฮัมซะห์ บินดาโต๊ะ ฮัจยีมะฮัมดาน สมาชิกสภาเทศบาลนครอีโปห์ และผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์และ สื่อสารมวลชน เทศบาลนครอีโปห์ และนายโรสลี มันโซร์ นายกสมาคมสื่อมวลชนและกีฬารัฐเปรัค ซึ่งเดินทางมาเยือนจังหวัดสงขลา

ทั้งสองฝ่ายได้มีการ เปิดเวที เสวนา เพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างสื่อมวลชนของทั้งสองประเทศ ที่มีชายแดนติดกัน และมีการเดินทางไปมาหาสู่ของคนทั้งสองประเทศ โดยการหารือถึงการ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ในด้าน การสื่อสาร การท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ในการที่จะลงนาม เอ็นโอยู เพื่อกระชับความสัมพันธ์ โดยนายมูฮัมหมัดฮัมซะห์ ได้เชิญผู้บริหารสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ ให้เดินทางไปเยือน เมืองอีโปห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเปรัค หลังจากนั้น สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ได้เป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อประชับความสัมพันธ์ โดยมี นายสัมฤทธิ์ บุญรัตน์ รองนายกเทศมนตรี เทศบาลนครหาดใหญ่ ได้ร่วมต้อนรับ และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือในด้านการท่องเที่ยว

สมาคมตำรวจคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 9 รางวัล เสร็จสิ้นแล้ว เตรียมเสนอเพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากลประจำปี 2568 

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย.67) เวลา 17.00 น. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 เปิดเผยว่า สมาคมตำรวจได้จัดการประชุมพิจารณาคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ฯ โดยมี พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองนายกสมาคมตำรวจ และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองประธานอนุกรรมการ นั้น ขณะนี้ได้ผลการคัดเลือกพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อส่งผลการพิจารณาคัดเลือกให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 รวมทั้งหมด 9 รางวัล เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนี้

1. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับรองสารวัตร(สอบสวน) ด้านคดีอาญาทั่วไป จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง วิภารัตน์ จำเนียรสุข รอง สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน บก.น.2 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง พิชญา กิติสุธาธรรม รอง สว.(สอบสวน) สน.บางนา บก.น.5 บช.น.
อันดับ 3 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง ฉันทรุจี เชื้อกรุงเทพ รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท.บช.ก.

2. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับรองสารวัตร(สอบสวน) ด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่เด็กหรือสตรี จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง วิรัญชนา คำแพง รอง สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งมหาเมฆ บก.น.5 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ ร.ต.ท.หญิง มนต์สินี ทำขวัญ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกำแพงเพชร ภ.6
อันดับ 3 ได้แก่ ร.ต.อ.หญิง กันทิมา หวังรวมกลาง รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปคม.บช.ก.

3. รางวัลพนักงานสอบสวนหญิงดีเด่น ระดับสารวัตร(สอบสวน) ขึ้นไป จำนวน 3 รางวัล 
อันดับ 1 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง สุนันท์ วิทยาภรณ์พงศ์ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง บก.น.2 บช.น.
อันดับ 2 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง สราวลี ศรีเมือง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.สอท.3 บช.สอท.
อันดับ 3 ได้แก่ พ.ต.ท.หญิง ณัฐฐาภาณี ดวงดี สว.(สอบสวน) สน.บวรมงคล บก.น.7 บช.น. และ พ.ต.ต.หญิง กมลชนก ตันเอี่ยม สว.(สอบสวน) กก.4 บก.ปคม.บช.ก.

พล.ต.อ.วินัย ฯ กล่าวว่า ขอให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่างในการทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะทำความดี แก่ข้าราชการตำรวจอื่นๆ ต่อไป โดยผู้ที่ได้อันดับ 1 ในแต่ละรางวัล ทั้ง 3 รางวัล จะเสนอชื่อให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรับการเชิดชูเกียรติในวันสตรีสากล ประจำปี 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top