Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

'อีลอน มัสก์' วิจารณ์นายกฯ ออสซี่ เล็งออกกม.ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย

(22 พ.ย.67) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์ม X หรือ ทวิตเตอร์เดิม วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลออสเตรเลียที่เสนอร่างกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์ หลังจากที่ร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา

มักส์ เขียนข้อความด้วยการรีทวีตข้อความของนายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โดยระบุว่า “ดูเหมือนจะเป็นการใช้ช่องทางควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของชาวออสเตรเลียทุกๆ คน” ตอบกลับข้อความของนายกออสเตรเลียที่โพสต์ว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการผลักดันร่างกฎหมายนี้

สำหรับร่างกฎหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย หากผ่านการเห็นชอบจากสภา ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งเพื่อปกป้องเยาวชนที่มีความเสี่ยงสูงจากผลร้ายของสื่อออนไลน์ นอกจากนั้นร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดโทษสำหรับสื่อสังคมออนไลน์ที่พยายามละเมิดกฎหมายโดยให้ปรับเงินสูงสุดถึง 49 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ ประมาณ 1,100 ล้านบาทด้วย ซึ่งภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีความเห็นไปในทางสนับสนุนเพื่อปกป้องเยาวชน

ในประเทศอื่น ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา เคยพยายามกำหนดข้อจำกัดในการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็ก โดยมีกฎหมายกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี แต่ข้อเสนอของออสเตรเลียมีความเข้มงวดมากกว่า โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ไม่อนุญาตให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก็ตาม

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2567 : ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : เราควรจะใช้ธรรมะเรื่องใดสอนคนหน้าไหว้หลังหลอก

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : พระพุทธเจ้าตรัสว่า พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ เราให้เขา แล้วนำพาเขาเป็นผู้ให้ต่อ พอนาน ๆ เข้า ก็จะชนะ พึงชนะคนโกรธ ด้วยการให้อภัย ด้วยเมตตา พึงชนะคนเหลาะแหละด้วยถ้อยคําจริง

ส่วนคนที่หน้าไหว้หลังหลอก คนที่ปากอย่างใจอย่าง ก็ให้ใช้ความจริงใจ ความจริงแท้ ในการอยู่ร่วมกับเขา และเราควรมีอุเบกขา สิ่งใดที่เขาทำไม่ดีก็อย่าไปซ้ำเติม และควรหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคม เพราะคนเหล่านี้เหมือนคนป่วย พอได้ยินคนนั้นได้ดี ก็เป็นทุกข์ เป็นคนไม่มีมุทิตา

ชีวิตมีแต่ความเครียด ต่อไปก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท เผลอ ๆ อาจจะถึงขั้นเป็นบ้าก็ได้ เพราะคนที่ตนเกลียดชังนั้นได้ดี และอาจจะมีการก่อเวรก่อกรรมจนนำไปสู่การเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีกในวันข้างหน้า ถ้าเป็นชาวพุทธก็ถือว่าไม่ใช่ชาวพุทธที่ดี เพราะชาวพุทธที่ดีนั้นจะต้องลดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรด้วยตัวของเราเอง

‘พีระพันธุ์’ ร่อนจดหมายถึง ‘เลขา กกพ.’ สั่งเบรกรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ทันที

(22 พ.ย.67) รมว.พลังงาน ส่งหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เลขา กกพ.) สั่งระงับการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ เป็นการเร่งด่วน ชี้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นก่อนที่รัฐมนตรีพลังงานคนปัจจุบันจะเข้าบริหารงาน อีกทั้งผลการหารือกับกฤษฎีกา เห็นควรระงับการรับซื้อชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้นก่อน  

รายงานข่าวจากสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ระบุว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามในหนังสือราชการส่งถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องให้ระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เป็นการชั่วคราว

โดยเนื้อหาระบุว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีข้อสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก “พลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT)” ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2566 วันที่ 9 มี.ค. 2566 ปริมาณ 2,180 เมกะวัตต์  แบ่งเป็นปริมาณการรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานลม และไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่งเป็นการดำเนินการมาก่อนที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเข้ารับตำแหน่ง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) นั้น

จากข้อสอบถามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ประกอบกับต่อมามีการโต้แย้งของบุคคลภายนอก สอดคล้องกับข้อสอบถามดังกล่าวในบางประเด็น อีกทั้ง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในกรณีดังกล่าวด้วย  นายพีระพันธุ์ จึงหารือกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งในเบื้องต้นเห็นควรระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมตามโครงการดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น

ด้วยเหตุข้างต้น จึงขอให้สำนักงาน กกพ. ระงับการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น และให้ดำเนินการตามหนังสือดังกล่าวโดยด่วนที่สุด  

สำหรับกรณีดังกล่าว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ได้ประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FIT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567” หรือไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรก เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา

โดยกำหนดรับซื้อไฟฟ้าเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานลม ไม่เกิน 600 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ไม่เกิน 1,580 เมกะวัตต์ รวมเป็น 2,180 เมกะวัตต์ โดยจะเน้นให้สิทธิ์ผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกในโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟสแรก แต่ผ่านเกณฑ์ด้านเทคนิคขั้นต่ำ และได้รับการประเมินความพร้อมตามเกณฑ์คะแนนคุณภาพแล้ว ซึ่งมีทั้งสิ้น 198 ราย จะได้รับสิทธิ์ในการพิจารณาให้ร่วมโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 นี้ก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนอัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมอยู่ที่ 3.1014 บาทต่อหน่วย และไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มอยู่ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย

สำหรับโครงการไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรกนี้ เกิดขึ้นหลังจาก กกพ. เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟสแรก ไปเมื่อเดือน เม.ย. 2566 โดยมีเป้าหมายรับซื้อไฟฟ้า 5,203 เมกะวัตต์ แต่มีผู้ผ่านเข้าร่วมโครงการในเฟสแรกทั้งสิ้น 175 ราย ปริมาณไฟฟ้ารับซื้อรวม 4,852.26 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากยังมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก ทาง กพช. ในสมัย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงมีมติให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 มีเป้าหมายรับซื้อ 3,668.5 เมกะวัตต์

ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนายพีระพันธุ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กระบวนการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ยังดำเนินต่อไป โดย กบง. เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 จึงได้กำหนดให้เปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 รอบแรก จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ดังกล่าวก่อน จากนั้นจึงจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวที่เหลืออีกประมาณเกือบ 1,500 เมกะวัตต์ ในรอบต่อไป แต่ล่าสุด นายพีระพันธุ์ ได้สั่งการระงับการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ดังกล่าวแล้ว

'เวทางค์' หนุนใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลกระตุ้นยอดขาย ช่วยยกระดับการแข่งขันธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทย

เวทางค์ ดันธุรกิจ E-Commerce เติบโต ดึงเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ข้อมูล กระตุ้นยอดขาย เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าและบริการให้ครอบคลุม ทั่วถึง ทันสมัย

เมื่อวันที่ (19 พ.ย.67) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) 2 โครงการ คือ โครงการการพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (www.ThailandPostMart.com) และโครงการ Digital Post ID โดยมีนายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารบริหาร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพฯ

​นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในนามของคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลกองทุนดีอี และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ขอขอบคุณคณะของผู้รับทุนทุกท่านที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี การลงพื้นที่เพื่อติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลโครงการให้ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน 

โดยมีความมุ่งหวังว่า จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการไทย พร้อมยกระดับการแข่งขันในด้านธุรกิจ E-Commerce ของประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยมากขึ้นในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าและบริการทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะธุรกรรมเกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce ให้สามารถใช้ Digital Post ID แทนที่อยู่ในการส่งไปรษณีย์ได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (ลักษณะคล้ายคลึงกับการใช้ Prompt Pay แทนเลขบัญชีในการโอนเงินหรือชำระสินค้า)

อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจ E-Commerce ที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกโดยตรงจากการนำ Digital Post ID ไปใช้งานในกระบวนการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จัดส่งสินค้าทั้งไปรษณีย์ไทยเองและบริษัทเอกชนรายอื่น จะได้รับความสะดวกสบาย ข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำ และการขนส่งมีความรวดเร็ว 

เพื่อให้การวางแผนและการนำจ่ายไปรษณีย์ไปยังมือผู้รับปลายทางได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลูกค้าเกิดความประทับใจ พร้อมทั้งกลับมาใช้บริการกับไปรษณีย์ไทยในระยะยาว​

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการการพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการพัฒนาและปรับปรุงระบบของเว็บไซต์ ThailandPostMart ให้มี Ecosystem ที่สามารถรองรับการดําเนินงานต่าง ๆ ตั้งแต่กระบวนการเข้าถึงเว็บไซต์ การเข้าชมและซื้อขายสินค้าผ่านช่องทาง Mobile application ในรูปแบบ AR Gamification พร้อมระบบการให้บริการที่ทันสมัยเทียบเท่ากับ Marketplace รายอื่น ๆ โดยมุ่งสนับสนุนการค้าปลีก/ค้าส่ง ทั้งในด้านของผู้ประกอบการ ชุมชน ลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ต้นทุนต่ำ 

เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งยังได้วางแผนการพัฒนาระบบ Business Intelligence เพื่อนำข้อมูลจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในเว็บไซต์มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและสื่อสารข้อมูลกับลูกค้าได้ในลักษณะ Personalized Marketing ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมือเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำให้มีระบบการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบที่ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายรู้จักเว็บไซต์ ThailandPostMart ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และเกษตรกรมีทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าชุมชนที่ต้องการ รวมทั้งสามารถสนับสนุนและส่งเสริมให้สินค้าชุมชนกระจายสู่ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

​“ในส่วนโครงการ Digital Post ID เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการระบุข้อมูลตำแหน่ง
ที่อยู่ให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือ Digital Post ID เพื่อผลักดันให้เป็นมาตรฐานที่ใช้งานโดยทั่วไปภายในประเทศ ซึ่งมีการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลของ Digital Post ID ของไปรษณีย์ไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการปกครอง เป็นต้น เพื่อรองรับการเข้าใช้งานของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ” นายเวทางค์ กล่าวทิ้งท้าย

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์เตือน!! ‘เจ้าของบ้าน’ ชี้!! มีหมาเห่า ทำให้เราไม่ Ship หาย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘หมา’ โดยมีใจความว่า ...

เวลามีโจรเข้ามาปล้นบ้าน หมามันจะเห่า เพื่อเตือนเจ้าของบ้าน และไล่โจร ออกไป เวลาหมาเห่าเราจึงต้องออกไปดู ว่ามันเห่าทำไม ถ้าเราไม่กังวลเรื่องหมาเห่าเลย เราจะ Ship หาย โจรปล้นบ้านได้ นะครับ 

ปล.คนรักหมา อย่าไปด่าหมา ครับ

ผู้ที่ได้อ่านข้อความนี้ของนายชัยวุฒิ ก็น่าจะได้เห็นถึงประโยชน์ของการมี ‘หมา’ ไว้เฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่มีหมาเห่านั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี ที่มี ‘หมา’ คอยระวังรักษาผลประโยชน์ให้เรา ไม่ให้ ‘โจร’ มันมาปล้นเราได้

เด็กไทยเก่ง โชว์!! ความเป็นเลิศทาง ‘วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์’ คว้า 36 เหรียญรางวัล โอลิมปิกวิชาการ ASMOPSS ที่ ‘อินโดนีเซีย’

(23 พ.ย. 67) กองทัพนักเรียนผู้แทนจากโครงการ ASMOPSS THAILAND ที่ไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับนานาชาติ ในโครงการ ASMOPSS (Asian Science And Mathematics Olympiad for Primary And Secondary Schools) ครั้งที่ 14 ณ เมืองบาญูวางี จังหวัดชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 28 คน เดินทางกลับถึงประเทศไทย โดยมีสื่อมวลชน ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ณ สนามบินดอนเมืองอย่างอบอุ่น

สำหรับการแข่งขันในปีนี้ นักเรียนผู้แทนจากประเทศไทยที่ผ่านการคัดเลือกจากนักเรียนทั่วประเทศได้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดจำนวน 28 คน และได้รับรางวัลกลับมาให้ชาวไทยได้ชื่นชมจำนวน 36 รางวัล แบ่งเป็น รางวัลประเภทบุคคล 28 รางวัล ได้แก่ 10 เหรียญทอง, 12 เหรียญเงิน , 6 เหรียญทองแดง และ รางวัลประเภททีม 8 รางวัล ได้แก่ รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 1 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 4 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 3 รางวัล โดยโครงการ ASMOPSS ครั้งที่ 14 นี้ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา

นางสาวพรพัชร แผลงเดช ประธานโครงการ ASMOPSS THAILAND กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า สำหรับปีนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เราส่งนักเรียนผู้แทนเข้าแข่งขันจำนวน 28 คน น้องๆได้รับรางวัลประเภทบุคคลและประเภททีมครบทุกคน อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลมากที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้ 

นายธนากร แผลงเดช (นายกสมาคมผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนนอกระบบ ผู้บริหารโรงเรียนกวดวิชาเอซายน์ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการแอสมอพส์) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมวิชาการ รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่ น้อง ๆ ตั้งใจทำ เพราะกว่าจะมีวันนี้ทุกคนได้ผ่านการคัดเลือกกันอย่างเข้มข้นทั้ง 2 รอบ หลังจากนั้นเราได้จัดติวอย่างเป็นระบบจากทีมครูมืออาชีพและรุ่นพี่ ๆ อดีตผู้แทนประเทศเพื่อสร้างวัฒนธรรมความช่วยเหลือกันและกันส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งการจัดทีมผสมระหว่างผู้แทนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เพื่อแข่งประเภททีม 

ซึ่งการที่เด็ก ๆมาจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมารวมทีมกันและทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยมขนาดนี้ ต้องขอขอบคุณเด็ก ๆ เป็นอย่างมากที่ทำให้ประเทศไทยมีทีมที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในทุกครั้งที่ไปแข่งขัน เราจะนำวัฒนธรรมความเป็นไทยไปแสดง โดยในปีนี้มีเรานำการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดไทยทุกสมัยและชุดไทยประจำท้องถิ่นไปจัดแสดงบนเวทีในคืนแสดงวัฒนธรรมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมโดยนักเรียนผู้แทนประเทศร่วมกับผู้ปกครองร่วมเดินอย่างเต็มภาคภูมิ และที่สำคัญคือชุดการแข่งขัน ASMOPSS ในปีนี้เราออกแบบโดยใช้ลายไทยผสมผสานไปกับแฟชั่นยุคใหม่ทำให้สามารถสื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ชัดเจน โดยเราต้องการแสดงให้เห็นว่า Soft Power นั้นสามารถแทรกซึมได้ในทุก ๆ เหตุการณ์ให้ผู้คนรับรู้อย่างเต็มใจเกิดการยอมรับและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งผ่านการถ่ายทอดจากความรู้ความสามารถ และเอกลักษณ์ความเป็นไทย เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเด็ก ๆ สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม ทุก ๆ คนที่เห็นต่างชื่นชม

นางมัญชุมาศ บุญชู โกคิง ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนนอกระบบกรุงเทพมหานคร และอุปนายกสมาคม APANE กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะของผู้ส่งเสริมการศึกษาเอกชนนอกระบบ สำหรับความสำเร็จในวันนี้ก็คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ทั้ง ครู และโค้ช ได้ใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ สอนเด็กด้วยความตั้งใจ สามารถทำให้เด็กมีศักยภาพเพิ่มขึ้น เรียนอย่างมีความสุข ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สิ่งนี้เสมือนผลลัพธ์หลังจากที่เด็ก ๆ ได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร และมีเป้าหมายร่วมกัน โดยมีครูและโค้ชเป็นผู้ใช้กระบวนการตั้งคำถามและสะท้อนความคิด จนได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ นำชื่อเสียงสู่ประเทศไทย อยากให้ความสำเร็จในวันนี้เป็นแรงขับเคลื่อนในโรงเรียนทุกโรงเรียน และสังคม ร่วมกันมอบโอกาส ส่งเสริม สนับสนุนเยาวชนตัวอย่างในสิ่งที่พวกเขาได้ลงมือทำ สู่ความสำเร็จ เป็นแบบอย่าง แก่เยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป 

สำหรับโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นการร่วมมือกันระหว่าง โรงเรียนกวดวิชาเอซายน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนนอกระบบ ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ บริษัท ไมราห์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ให้จัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักเรียนผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ ในโครงการ ASMOPSS (แอสมอพส์) ซึ่งเป็นโครงการแข่งขันวิชาการเพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ระดับนานาชาติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยเน้นทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นฐาน ตลอดทั้งทักษะต่างๆ เช่น ทักษะด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น ที่ได้ความร่วมมือจาก 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ทาจิกิสถาน กัมพูชา ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง

การแข่งขันวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ระดับนานาชาติ ASMOPSS (แอสมอพส์) จัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นผู้จัดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนรอบแรก (รอบประเทศ) สมัครช่วงเดือนพฤษภาคม และจัดสอบเดือนสิงหาคมของทุกปี ส่วนรอบสอง (รอบคัดเลือกผู้แทนประเทศ) คัดเลือกจากนักเรียนที่ผ่านเข้ารอบตามเกณฑ์มาตรฐานระดับนานาชาติของ ASMOPSS เท่านั้น เพื่อคัดเลือกเป็นผู้แทนของประเทศไทย 

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารจากโครงการ ASMOPSS THAILAND ได้ที่ Facebook : ASMOPSS THAILAND , Line Official : @asmopss.thailand หรือทางhttps://asmopssthailand.com

Cat on the Roof นำย่าน ‘เจริญกรุง’ คว้าแชมป์!! ประกวด ‘ออกแบบบอร์ดเกม’ สะท้อน!! วิถีชีวิตคนไทยที่มีอัตลักษณ์ โดดเด่นด้านวัฒนธรรม ในย่านตึกเก่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ร่วมกับสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย และพันธมิตร ได้ประกาศผลการประกวดออกแบบบอร์ดเกม Thailand Board Game Design Contest 2024 (TBDC 2024) ครั้งที่ 1 ในหัวข้อ : บอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อเล่าเรื่องราวของ กทม. โดยนำพื้นที่ใน 4 ย่านคือจตุจักร, เสาชิงช้า, เยาวราช และเจริญกรุง มาเป็นหัวข้อหลักในการสื่อสารฯ ปรากฏผลผู้ชนะอันดับ 1 ได้แก่เกม Cat on the Roof จากทีม MISCELLANEOUS โดยนายพลสิทธิ์ แซ่เฮ้ง และนายวุฒิไกร วาทิตเมธี ซึ่งได้นำย่านเจริญกรุงมาออกแบบจนคว้าชัยชนะ  ซึ่งหลังจากนี้จะได้นำผลงานไปผลิตและเผยแพร่ พร้อมนำไปจัดแสดงในงานบอร์ดเกมระดับโลก ที่ประเทศเยอรมัน ในปี 68

นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวว่า การประกวดออกแบบบอร์ดเกมฯ ในครั้งนี้ จัดขึ้นด้วยความร่วมมือของสถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park, คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเกม, สมาคมผู้ผลิตและออกแบบบอร์ดเกม และสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย โดยมีเป้าหมายการสื่อสารถึงคุณค่าของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใน 4 ย่านสำคัญของ กทม. ที่ประกอบด้วยย่านจตุจักร, เสาชิงช้า, เจริญกรุง และเยาวราช ซึ่งถือเป็นย่านที่เป็นที่รู้จัก และมีอัตลักษณ์ที่สะท้อนวิถีชีวิตของไทย นำมาสื่อสารผ่านบอร์ดเกมที่เป็นสื่อที่คนในยุคปัจจุบันให้ความสนใจ โดยมุ่งหวังว่านอกจากจะเป็นการสื่อสารถึงคุณค่าของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับนโยบาย Soft Power แล้ว ยังจะเป็นการผลักดันให้เกิดนักสื่อสารเชิงวัฒนธรรมที่สามารถหยิบเรื่องราวของไทยมาสื่อสารผ่านสื่อในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น โดยหลัง จากนี้จะได้ขยายผลโดยผลงานของผู้ชนะเลิศจะถูกนำไปผลิต และเผยแพร่ให้ทดลองเล่นตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อุทยานการเรียนรู้ TK Park ฯลฯ นอกจากนี้หน่วยงานที่เป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนคือสมาคมบอร์ดเกมประเทศไทย ก็ได้มีแผนในการนำเกมที่ชนะการประกวดไปจัดแสดงที่งานบอร์ดเกมระดับโลก (Spiel 2025) ประเทศเยอรมนีในปี 2568

ด้าน นายพนม ศิริมงคลสกุล ผู้ดูแลโครงการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประกวดฯ ครั้งนี้ มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมจำนวน 121 ทีม เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวม 320,000 บาท หลังจากคัดเลือกเหลือ 16 ทีม ก็ได้นำไปทำกิจกรรม Workshop ร่วมกัน โดยจากการตัดสินของคณะกรรมการได้ผลดังนี้ 

1) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 1 ได้แก่เกม Cat on the Roof จากทีม MISCELLANEOUS โดยนายพลสิทธิ์ แซ่เฮ้ง และนายวุฒิไกร วาทิตเมธี คว้าเงินรางวัล 100,000 บาท และงบผลิตบอร์ดเกม 60,000 บาท โดยได้นำย่านเจริญกรุงมาออกแบบ มีแนวคิดให้ผู้เล่นเป็นแมวที่อาศัยอยู่ในย่านเจริญกรุง ออกเดินทางท่องเที่ยวสำรวจไปในย่านตึกเก่า และสถานที่ต่างๆ 

2) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 2 ได้แก่เกม Chatuchak Shop & Stuff จากทีมบุรินทร์ โดยนายบุรินทร์ มงคลสวัสดิกุล, นายธีรภัทร ประภัศร และคุณณัฏฐนิชา สาระ ซึ่งได้นำย่านจตุจักรมาออกแบบ โดยมีแนวคิดที่ให้ผู้เล่นเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติมาซื้อของ และของฝากในตลาดจตุจักร 

3) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 3 ได้แก่เกมโล้ศิวะ จากทีม Unplugged Fun โดยนายธันยา นวลละออง และนางวินิทรา นวลละออง ซึ่งได้นำย่านเสาชิงช้ามาออกแบบ โดยมีแนวคิดจากพิธีตรียัมปวายในการโล้ชิงช้ามาจัดทำเป็นเกม 

4) ผู้ชนะการประกวดอันดับ 4 ได้แก่ เกม 1 Day Trip จากทีม Sci Whale SRC โดยนายวิศวัฒน์ สกุลศักดิ์นิมิตร, นายณัฐพล เขียวพิมพ์ และนายณัฐวุฒิ แก้วคำน้อย นำย่านเสาชิงช้ามาออกแบบ โดยมีแนวคิดเอาแผนที่ย่านเสาชิงช้าและร้านอาหารต่างๆ รวมถึงเวลาเปิดปิดจริงมาใส่เข้าในเกม 

โดยภายในงานประกาศผลฯ ยังได้จัดให้มีนิทรรศการแสดงผลงานบอร์ดเกมที่เข้ารอบ และเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมทดลองเล่นบอร์ดเกม จากผลงานของทั้ง 16 ทีม, การเสวนาบนเวที 2 หัวข้อคือ 1) Lookback การพัฒนาบอร์ดเกมเพื่อเข้าประกวด กับตัวแทนผู้เข้าประกวด Thailand Board Game Design Contest 2024 ที่จะมาแชร์ Trick/Technique สำหรับผู้สนใจงานออกแบบบอร์ดเกมเชิงวัฒนธรรม และประสบการณ์จากการประกวดฯ และ 2) บอร์ดเกมในฐานะสินค้าเพื่อสื่อสาร Story เป็นเรื่องการสร้างจุดเด่นบอร์ดเกมที่มากกว่าสนุกสนาน การเติมเรื่องราวที่น่าสนใจสอดแทรกคุณค่าเชิงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จากนักออกแบบ, ค่ายเกมที่ส่งเกมไทยไปต่างประเทศ และ YouTuber ผู้เล่าเรื่องราวเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในบอร์ดเกม

สำหรับผู้สนใจที่ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามข่าวสารหรือผลของการแข่งขัน ได้ที่ Facebook เพจ TBDC : Thailand Board Game Design Contest ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

‘เหล้าเถื่อน’ ใน ‘ลาว’ กำลังระบาดหนัก ‘ออสเตรเลีย’ เตือน!! นักท่องเที่ยวให้ระวัง

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) ออสเตรเลียเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอลในสปป.ลาว หลังวัยรุ่นออสเตรเลีย 1 รายเสียชีวิต หลังดื่มสุราปนเปื้อนที่วังเวียง เป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส ของออสเตรเลีย แถลงว่า บิอังกา โจนส์ วัยรุ่นออสเตรเลียวัย 19 ปี เสียชีวิตเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดี) หลังจากดื่มเหล้าผสมเมทานอลในสปป.ลาว ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 แล้วที่สงสัยเสียชีวิตในเหตุการณ์ดื่มเหล้าเถื่อนในลาว 

เมืองวังเวียง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของลาว ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ ไปทางเหนือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งวัยรุ่นออสเตรเลียหลายคนเดินทางไปเที่ยวก่อนล้มป่วยหนัก  เผยให้เห็นเมืองนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ที่มาร่วมทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ 

โจนส์ ล้มป่วยในวังเวียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจากนั้นก็ถูกส่งตัวมายังจังหวัดอุดรธานี เพื่อรักษาต่อ ขณะที่ฮอลลี โบวลส์ เพื่อนของเธอในวัย 19 ปีอีกราย ยังรักษาตัวอยู่ที่ไทยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของครอบครัวที่ระบุว่าเธอยังอยู่อาการขั้นวิกฤต

ทั้งนี้ เชื่อว่าโจนส์และโบวลส์ ดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอล ซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมแทนเอธานอลในราคาที่ถูกกว่า แต่อาจทำให้เกิดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ และทางออสเตรเลียออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนในลาวแล้ว

ทางการไทยยืนยันว่า โจนส์ เสียชีวิตเนื่องจาก ‘ภาวะสมองบวมเพราะมีระดับเมทานอลในระบบร่างกายสูง’

สุราปนเปื้อนเริ่มกลายเป็นประเด็นขึ้นมา หลังจากหญิงออสเตรเลีย 2 รายล้มป่วยเมื่อ 13 พฤศจิกายน หลังออกไปดื่มกับกลุ่มเพื่อนที่นั่น และการเสียชีวิตของโจนส์ ถือเป็นนักท่องเที่ยวรายที่ 4 ที่เสียชีวิตเพราะดื่มสุราปนเปื้อนในวังเวียง

ทางการออสเตรเลีย ระบุว่า ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายราย’ ต่างเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อนเมทานอลนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันแล้วว่ามีชาวอเมริกัน 1 รายเสียชีวิตที่วังเวียง และกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก ยืนยันว่ามีพลเมือง 2 รายเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เช่นกัน

นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศนิวซีแลนด์ เผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีพลเมือง 1 รายล้มป่วยในลาว และคาดว่าอาจเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อน พร้อมทั้งออกคำเตือนการเดินทางของพลเมืองนิวซีแลนด์ที่ไปเยือนลาวให้ระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเมทานอลในลาวด้วยเช่นกัน

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ เจอ!! ‘พิธา’ โดยบังเอิญ ขณะปั่นจักรยาน เลียบริมคลองแสนแสบ

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ขณะออกจากบ้านย่านทองหล่อเพื่อไปประชุมที่ มศว.ประสานมิตร ด้วยการปั่นจักรยานเลียบคลองแสนแสบ โดยในระหว่างทักทายประชาชนริมทางไปด้วย แต่ที่เซอร์ไพรส์ คือเจอกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ปั่นจักรยานไปส่งลูกเหมือนกัน

‘MOSHI’ ฉลองครบรอบ 8 ปี สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน อัดแคมเปญพิเศษ!! ‘แจกใหญ่ แทนคำขอบคุณ’

(23 พ.ย. 67) นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MOSHI ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ผ่านการยึดมั่นเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ ‘มอบความสุขด้วยการสรรค์สร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์เป็นเลิศ’ ด้วยการนำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยาแก่ผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำงานแบบใช้ข้อมูลเป็นหลักสำคัญ และสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับพันธมิตร ตลอดระยะเวลา 8 ปีในการก่อตั้งมา ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าสินค้าของเราเป็นที่ยอมรับและอยู่ในใจของผู้บริโภค ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่หยุดนิ่ง และสร้างความพึงพอใจในสินค้าและบริการ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย

ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ (CAGR) ตลอดระยะ 3 ปี (2566-2568) เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยอัตราการเติบโตมาจากยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และยอดขายจากสาขาเดิม ผ่านกลยุทธ์สำคัญต่างๆ ได้แก่ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ การปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Collaboration ที่โดดเด่นเพื่อสร้างสีสันให้กับผู้บริโภค รวมถึงการได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวเพิ่มว่า แม้อุตสาหกรรมธุรกิจสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยมีแนวโน้มการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการปรับตัวของคู่แข่งรายเดิม และการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินว่าตลาดยังคงมีศักยภาพในการเติบโต และมีความเชื่อมั่นในขีดความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทฯ ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในด้านการออกแบบที่ทันสมัยและการมีสินค้าลิขสิทธิ์ ซึ่งสามารถจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน Moshi Moshi เท่านั้น ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าและการกำหนดราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนการเติบโตผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วยการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน อย่างยั่งยืน

สะท้อนผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 735.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 585.09 ล้านบาท นับว่าเป็นผลการดำเนินงานที่ทำได้สูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ ของปี สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,076.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,749.75 ล้านบาท และสามารถทำกำไรสุทธิได้ 314.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 254.24 ล้านบาท แม้จะเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่บริษัทฯ ยังสามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่ดี นับเป็นการทำผลงานทั้งรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High) ทั้งนี้ ผลเติบโตหลักมาจากความสำเร็จในการขายสินค้าลิขสิทธิ์ ที่ได้รับความนิยมสูง อีกทั้ง บริษัทฯ ได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 5,000 SKUs ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เริ่มรับรู้รายได้จากการร่วมทุน (JV) เพื่อจัด Exhibition ของ Hello Kitty และ Sanrio Characters อีกด้วย

สำหรับ ในช่วงที่เหลือของปี 2567 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยเตรียมพร้อมสินค้าใหม่ เพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับตลาด รวมถึงมุ่งเติมเต็มความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมวางแผนที่จะขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน แหล่งท่องเที่ยว และทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมผู้บริโภคและอำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีก 6 สาขา ภายในไตรมาส 4/2567 ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีสาขารวมทั้งสิ้น 34 สาขาในปีนี้ โดยเป็นสาขาภายใต้แบรนด์ MOSHI ทั้งหมด ครอบคลุม 62 จังหวัดทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสพิเศษ เฉลิมฉลองการครบรอบ 8 ปี ของ Moshi Moshi เพื่อแสดงความขอบคุณต่อความรักและการสนับสนุนจากลูกค้าที่มีให้ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญพิเศษ ‘แจกใหญ่ แทนคำขอบคุณ’ ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีกับ Moshi Moshi เพียงช้อปสินค้าทุกๆ 299 บาท รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรับรางวัล ได้แก่ รางวัลใหญ่รถยนต์ Honda City e:HEV SV, รถจักรยานยนต์ YAMAHA Grand Filano Hybrid Connected,  โทรศัพท์มือถือ iPhone 16 Promax,  ทองคำแท่ง 1 บาท และ Gift Voucher มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท แค่เพียงช้อปสินค้าที่ร้าน Moshi Moshi (ยกเว้นสาขาสำเพ็ง และ Platinum) หรือช่องทาง Shopee ของ Moshi Moshi Official Store: https://shope.ee/AUPaW9eNKG ระยะเวลาในการซื้อสินค้า เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. – 31 ธ.ค. 2567 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและลงทะเบียนได้ที่ LINE Official Moshi Moshi: @moshimoshi.jp หรือติดตามโปรโมชันอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage Moshi Moshi: https://www.facebook.com/moshimoshi.jp 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top