Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

รมว.ยุติธรรม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ เชื่อกฎหมายปลดล็อกกระท่อมผ่านสภาได้ต้นปีหน้า นัดกมธ.8ม.ค.หาข้อมูลมาถกกัน ยันป.ป.ส.ยกร่างมาอย่างละเอียดรอบครอบ ย้ำเตือนประชาชนกฎหมายยังไม่ผ่านต้องศึกษาข้อปฏิบัติรอบครอบอย่าทำอะไรเกินเลย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อมว่า การพิจารณาอยู่ในวาระที่สอง ซึ่งเป็นขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ โดยที่ประชุมเลือกตนเป็นประธานกมธ.ชุดดังกล่าว เนื่องจากคงเห็นว่าตนมีความตั้งใจที่จะทำกฎหมายฉบับนี้เพื่อชาวบ้าน

ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านบ่อยครั้งว่าอยากให้กฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจบางชนิดต้องจริงจัง ถ้าไม่จริงจังจะจบได้ยากมาก โดยสัปดาห์นี้ได้เริ่มประชุมไปแล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ทำให้ต้องยกเลิกการประชุมไปก่อน โดยเบื้องต้นนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค.64

ซึ่งช่วงนี้ตนได้ขอให้ กมธ. ทุกท่านสรรหาและเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาพูดคุยกันเมื่อมีการประชุมได้ทันที นำมาปรึกษาหารือกันว่ามีอะไรติดขัดหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า กมธ.ทุกท่านน่าจะมีทิศทางที่ตรงกัน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ฉบับนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นผู้ดำเนินการยกร่าง แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งส่งต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ซึ่งทาง ป.ป.ส.ได้พิจารณาหาข้อมูลในการทำกฎหมายอย่างละเอียด การทำกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน เพราะบางหมู่บ้านมีต้นกระท่อมให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้วหากทำเป็นเรื่องอุตสาหกรรมด้วยจะเป็นเรื่องที่ดี

ซึ่งในหลายประเทศมีการปลูกเพื่ออุตสาหกรรม ข้อมูลตรงนี้เราจะต้องมีการรวบรวมและศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ตนเชื่อว่าแม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด แต่ในชั้นการพิจารณาของ กมธ.น่าจะใช้เวลาไม่เกินกรอบเวลา และน่าจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ภายในการประชุมสมัยนี้หรือภายในต้นปี 2564"

"ตอนนี้ผมต้องย้ำกับประชาชนอีกครั้งว่าเรายังไม่ได้มีการปลดล็อกพืชกระท่อม ดังนั้นขณะนี้อย่างพึ่งทำอะไรที่เกินเลยข้อกำหนด และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และขอขอบคุณชาวบ้านที่ไว้ใจให้ผมและรัฐบาลให้ได้ดำเนินการเรื่องนี้ เราจะพยายามทำกฎหมายออกมาให้ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เห็นชอบงบ “กองทุนบัตรทอง ปี 2565” กว่า 2.03 แสนล้านบาทแล้ว รองรับผู้ใช้สิทธิเพิ่มจากผลกระทบโควิด และอัตราเงินเฟ้อ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ “ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปี 2565” รวมทั้งสิ้น 203,027 ล้านบาท

ในจำนวนนี้รวมเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐ 55,198.26 ล้านบาท เป็นงบประมาณสู่การบริหารจัดการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 147,828.83 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 8,518 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.4% ส่งผลให้อัตราเหมาจ่ายรายหัวในปี 2565 จะเพิ่มเป็น 3,843.60 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 124.38 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทองปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจาก 1.อัตราเงินเฟ้อต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 2.ปริมาณงานและประชากรที่เพิ่มขึ้น

โดยรองรับประชากรที่จะเข้าสู่ระบบบัตรทองจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่นำมาสู่ปัญหาการว่างงาน 3.เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์รายการใหม่เพื่อการเข้าถึงบริการที่เพิ่มขึ้น และ 4.รองรับนโยบาย “การยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งรับบริการกับหมอประจำครอบครัวที่หน่วยปฐมภูมิใดก็ได้ บริการมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ที่ได้ที่มีความพร้อม รับบริการผู้ป่วยในโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และการเปลี่ยนหน่วยบริการมีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน

“ในปี 2565 คาดว่าจะมีผู้เข้าสู่ระบบบัตรทองจำนวนมาก จากข้อมูลคาดการณ์อัตราการเกิดและอัตราการตายโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่าจะมีผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่ 47.547 ล้านคน ขณะเดียวกันจะมีผู้ที่ว่างงานเข้ามาในระบบอีกราว 3.9 แสนราย ประกอบกับในปี 2565 สปสช. ได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อีกหลายรายการ และที่สำคัญคือการรองรับบริการ ตามนโยบายยกระดับบัตรทอง สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ที่เป็นการพลิกโฉมการให้บริการ เพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพให้กับประชาชน นำมาสู่การจัดทำข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 จำนวน 203,027 ล้านบาท” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 แบ่งเป็น 1.) งบค่าบริการเหมาจ่ายรายหัวสำหรับประชากรในระบบและประชากรที่คาดว่าจะเข้ามาในระบบ รวม 161,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5,916 ล้านบาท

2.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 242 ล้านบาท

3.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน 10,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 404 ล้านบาท

4.) ค่าบริการสาธารณสุขเพื่อควบคุมป้องกันความรุนแรงของโรคเรื้อรัง จำนวน 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5.6 ล้านบาท

5.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร เสี่ยงภาย และชายแดนใต้ จำนวน 1,490 ล้านบาท

6.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จำนวน 1,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 176 ล้านบาท

7.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 421 ล้านบาท

8.) ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 2,770 ล้านบาท

9.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับบริการโรคโควิด-19 เป็นรายการใหม่ที่ขอรับงบตั้งแต่ต้นปี 2565 จำนวน 825 ล้านบาท

10.) เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการ จำนวน 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 100 ล้านบาท จากการปรับอัตราการเยียวยาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโควิด-19

11.) ค่าบริการสาธารณสุขสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จำนวน 19,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1,053 ล้านบาท

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณกองทุนบัตรทอง ปีงบประมาณ 2565 เป็นการดำเนินงานตามกรอบรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง และมติ ครม. ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบอร์ด สปสช. ตลอดจนผลการรับฟังความเห็นจากประชาชน

โดย สปสช. จะเสนอข้อเสนองบประมาณนี้เข้าสู่การพิจารณางบประมาณของคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สปสช. ยืนยันว่าจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด

สมุดปกขาวหรือรายงานทางการว่าด้วย “การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน” (“Sustainable Development of Transport in China”) ระบุว่าจีนกำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องจากการเป็นผู้ตามไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีการขนส่ง โดยจีนได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญขึ้นมากมาย

ทั้งยังสร้างความก้าวหน้าที่สำคัญหลายครั้งในแวดวงโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ด้านการขนส่ง ดังจะเห็นได้จากอภิมหาโครงการและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกบางส่วนที่ระบุไว้ด้านล่างนี้

จีนเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีการสร้างทางรถไฟในพื้นที่สูงและพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก เช่น เดียวกับการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงและทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนัก

จีนได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ท้าทายที่สุดในการก่อสร้างทางหลวงในสภาพทางธรณีวิทยาที่ยากลำบาก เช่น ที่ราบสูงชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Plateau Permafrost) พื้นที่ดินบวมตัว (Expansive Soil) และทะเลทราย นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแกนหลักในการสร้างท่าเรือน้ำลึกนอกชายฝั่งการปรับปรุงปากแม้น้ำขนาดใหญ่และทางน้ำยาว และการสร้างสนามบินขนาดใหญ่

ภายในสิ้นปี 2019 ความยาวรวมของทางรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศจีนทะลุ 35,000 กิโล ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของทางรถไฟความเร็วสูงทั้งหมดของโลก

จีนได้สร้างทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-กวางโจว ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่ทางรถไฟความเร็วสูงฮาร์บิน-ต้าเหลียน ซึ่งเป็นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของโลกที่วิ่งในพื้นที่อุณหภูมิต่ำในฤดูหนาว ก็ได้เปิดให้บริการแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทางรถไฟบรรทุกสินค้าหนักต้าทง-ฉินหวงเต่า ยังติดอันดับทางรถไฟชั้นนำของโลกในด้านปริมาณการขนส่งต่อปีด้วย

จีนเป็นผู้นำของโลกทั้งในด้านจำนวนและความยาวรวมของสะพานและอุโมงค์ทางหลวงทั้งที่เปิดให้บริการแล้วและที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ผลงานของจีนครองอันดับต้นๆ ของโลกมากมาย เช่น สะพานขึงที่ยาวที่สุด 7 ใน 10 แห่ง และสะพานแขวนที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 แห่ง สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุด 6 ใน 10 และสะพานที่สุดที่สุด 8 ใน 10 แห่งทั่วโลก

รถไฟฟ้าฟู่ซิงของจีนที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของโลกที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้บริการในหลายเส้นทาง อาทิ ทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้ ทางรถไฟระหว่างเมืองปักกิ่ง-เทียนจิน และทางรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-จางเจียโข่ว

จีนกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติบนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จีนได้สร้างเทคโนโลยีการผลิตเรือเครื่องจักรวิศวกรรมทางทะเลแบบพิเศษ และชุดอุปกรณ์ครบวงจรระดับแนวหน้าของโลก สำหรับจัดการตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่และจำเพาะด้วยระบบอัตโนมัติ


ที่มา: Xinhuathai

“ก้อย รัชวิน” อัปเดตอาการล่าสุด “ตูน บอดี้สแลม” กลับมาจับคอร์ดกีต้าร์ได้แล้ว ห่วงคอนเสิร์ตอีก 2 เดือนที่จะถึง

หลังจากที่ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ศิลปินชื่อดัง ได้เข้ารับการรักษาตัวด่วนที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (13 ธ.ค.) จากอาการกระดูกคอกดทับเส้นประสาท ทำให้แขนซ้ายมีอาการชา นิ้วมือซ้ายบังคับไม่ได้เป็นบางนิ้ว เป็นระยะเวลากว่า 11 วัน ล่าสุดสาวก้อย รัชวิน ภรรยาก็ได้ออกมาอัปเดตรูปภาพพร้อมอาการล่าสุดของตูนผ่านทางอินสตราแกรมส่วนตัว ข้อความว่า

“ DAY 11 ~ 9.30 น. ‘ภาพที่เห็นทุกเช้า’ วันนี้เป็นวันที่คุณหมอมาตรวจวินิจฉัยและได้คุยนานที่สุด มีคำถามที่ก้อยสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่ทำให้เกิดความอ่อนแรงของมือและนิ้วด้านซ้ายของพี่ตูน และอยากจะเข้าใจ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรากำลังรับมือกับอะไรอยู่ และต่อจากนี้จะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ร่างกายอย่างไรบ้าง? คุณหมอเลยต้องนั่งเลคเชอร์ให้เราสองคนฟังชุดใหญ่ ถึงขนาดวาดเป็น Anatomy จะได้อธิบายให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น #เสียดายตอนเด็กไม่ได้เรียนสายวิทย์ ????

และทุกวัน พี่ตูนจะทดสอบแรงที่มือว่าดีขึ้นมั้ย ด้วยการจับกีต้าร์คอร์ด C และ Am ผลปรากฏว่า วันนี้กดคอร์ดได้แล้วค่ะ เย้! ????☺️

สิ่งแรกที่พี่ตูนถามคุณหมอก็คือ ผมจะหายทันคอนเสิร์ตในอีก2เดือนข้างหน้ามั้ยครับ?

ก้อยรู้ได้ทันที ว่าพี่ตูนเป็นห่วงเรื่องงานมากที่สุด เค้าอยากหายไวๆเพื่อที่จะได้กลับไปร้องเพลงให้ทุกคนฟัง ...

ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ แต่เชื่อว่า ถ้าแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ จากคอร์ดพื้นฐานมาจับคอร์ดยากๆได้

เรื่องที่ยากลำบากในตอนนี้ เราก็คงผ่านมันไปได้เช่นกัน และอีกไม่นานเราคงได้กลับบ้านแล้วเนอะ ????

ส่งใจมาช่วยพี่ตูนกันนะคะ ????

ปล. ขอบพระคุณคุณหมอทีมอเวนเจอร์ทุกท่านที่สละเวลามาเยี่ยมพี่ตูนทุกๆเช้า และคอยตอบคำถามเจ้าหนูจำมัยอย่างก้อยนะคะ????♥️..รัก..23.12.20 #TogetherForeverKT #KTsJourney ”

ขอเป็นกำลังใจให้พี่ตูนหายป่วยและกลับมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้แฟน ๆ ได้ฟังเร็ว ๆ นะคะ

เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนหนีไม่พ้นอาการดราม่าช่วงก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ มาสะกิดเป็นต้องบ่อน้ำตาแตก

ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องก็ไม่มีอะไรเลย ร้องไปก็งงตัวเองไป ปกติก็ไม่ใช่คนขี้แงนี่นา สาว ๆ รู้ไหมคะ ว่าที่เราแสดงอาการแบบนั้นออกไปแท้จริงแล้วมันมีสาเหตุ

เราเรียกอาการนี้ว่า “PMS” หรือ "Premenstrual syndrome" เกิดจากการที่ฮอร์โมนมีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นราว 7-10 วัน ก่อนมีประจำเดือนในแต่ละรอบ ส่งผลต่อทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีอารมณ์เศร้าหรือเสียใจ โกรธหรือหงุดหงิดง่าย และอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวลง่าย รวมทั้งการร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ เช่น แม่ใช้ให้ไปล้างจาน แฟนไม่พาไปกินขนม หรือหมาเดินหนี ก็อาจทำให้สาว ๆ น้ำตาร่วงเผลาะได้

ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายได้เอง เมื่อประจำเดือนมา สำหรับการรักษาอาการทางจิตจากภาวะ PMS นั้นคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ รู้ตนเองว่ากำลังมีอาการอยู่ ฝึกผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงชากาแฟ เนื่องจากชากาแฟมีสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดซึมเศร้า

เห็นไหมคะว่าเราไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่แค่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ช่วงนี้เท่านั้น วอนคนรอบข้างโปรดเข้าใจสาว ๆ ที่อาจมีอาการใจบางหน่อยนะคะ

ตอนนี้จีนกำลังมีส่วนร่วมในการสร้าง ‘ประชาคมการขนส่งระดับโลก’ สำหรับทุกฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จากรายงานข้อมูล ‘สมุดปกขาว’ หรือรายงานทางการว่าด้วย ‘การพัฒนาอย่างยั่งยืนของการขนส่งในจีน’ (Sustainable Development of Transport in China) ระบุว่า ปัจจุบันจีนได้มีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมการขนส่งระดับโลกแก่ทุกๆ ฝ่าย ด้วยการขยายความร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยเข้ามาส่งเสริมการเชื่อมต่อระดับโลก และมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลกอย่างชัดเจน

โดยจีนจะดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างที่สุด เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย จนทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันผ่านการดำเนินงานในสาขาที่หลากหลายในระดับที่สูงขึ้น

...ความร่วมมือที่ผนวกเข้ากับ ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’

ภายใต้หลักการของการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวาง การร่วมสร้างคุณูปการ และการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน จีนได้ร่วมมือกับหลากหลายประเทศในแผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ เสริมสร้างการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการอำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศ

สมุดปกขาวระบุถึงความคืบหน้าต่อเนื่องในโครงการความร่วมมือต่างๆ ซึ่งร่วมถึงทางรถไฟข้ามพรมแดนจีนเนปาล ทางรถไฟจีน-ลาว และอีกหลายโครงการ เช่น ทางรถไฟมอมบาซา-ไนโรบี และทางด่วนคุนหมิง-กรุงเทพฯ ที่ล้วนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่จีนส่วนร่วมในการก่อสร้างและการบริหารจัดการท่าเรือในต่างประเทศหลายแห่ง

จีนยังส่งเสริมการประสานนโยบาย กฏ และมาตรฐานระหว่างนานาประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การขนส่งระหว่างประเทศด้วย

ทั้งนี้จีนได้ลงนามในข้อตกลง 22 ฉบับเกี่ยวกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศกับ 19 ประเทศ ทำข้อตกลงการขนส่งระดับทวิภาคีหรือภูมิภาค 70 ฉบับกับประเทศและภูมิภาค 66 แห่ง โดยมีบริการขนส่งสินค้าครอบคลุมทุกประเทศที่ติดทะเลในแผนริเริ่มฯ และเมื่อสิ้นปี 2019 ยังมีสายการบินจีนและต่างประเทศที่เปิดให้บริการเชื่อมต่อจีนกับนานาประเทศถึง 54 แห่ง โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 6,846 เที่ยวต่อสัปดาห์

...การส่งเสริมมาตรฐานกำกับดูแลการขนส่งทั่วโลก

จีนได้เข้าร่วมเป็นภาคในข้อตกลงพหุภาคีเกี่ยวกับการขนส่งเกือบ 120 ฉบับ โดยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กรการขนส่งระหว่างประเทศหลายแห่งและเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการประชุมการขนส่งโลก (World Transport Convention)

จีนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหมดภายใต้กรอบของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจีนมีเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

สมุดปกขาวระบุว่าจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยจีนได้ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบและพันธกรณีระหว่างประเทศที่สอดคล้องต่อขั้นตอนการพัฒนาและเงื่อนไขของจีน ทั้งยังบังคับใช้ยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศในเชิงรุก

...เสริมแกร่งการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศ

จีนเสริมสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งในงานการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ร่วมกับนานาประเทศและผลักดันให้มีประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคน

จีนได้แบ่งปันแนวทางการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดสำหรับเรือ สนามบิน สายการบินและกะบริการไปรษณีย์ ทั้งยังสร้างช่องทางด่วนภายในประเทศสำหรับการขนส่งวัสดุป้องกันการแพร่ระบาด

องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization) ได้แนะนำและส่งต่อมาตรการจำนวนมากจากจีนไปยังประเทศสมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวน 174 แห่ง

สมุดปกขาวระบุว่า จนถึงตอนนี้จีนได้ส่งเสบียง 294 ชุดไปยังประเทศ 150 แห่งและองค์การระหว่างประเทศ 7 แห่ง ทั้งยังมีการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 35 ทีมรวม 262 คน ไปช่วยเหลือประเทศ 33 แห่ง


ที่มา: Xinhuathai

รมว.ศึกษาธิการ ‘ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ’ เผยเลื่อนงานวันเด็กปี 64 หลังโควิดกลับมาระบวาด ขณะที่ ไฟเขียว โรงเรียน- ชุมชน จัดงานวันเด็กได้ เหตุสามารถยืนยันผู้ที่มาผู้ร่วมงาน ส่วนพื้นที่สาธารณะและเอกชนให้งดจัด

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดงานวันเด็ก ว่า งานวันเด็กของกระทรวงศึกษาธิการต้องเลื่อนไปก่อน เพราะเป็นงานวันเด็กที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคนร่วมงานมาจากที่ใด ส่วนงานกิจกรรมวันเด็กที่สามารถระบุคนเข้าร่วมได้สามารถจัดได้ตามปกติ

เนื่องจากเป็นมาตราการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เช่นการจัดงานวันเด็กในสถานที่ชุมชนและพื้นที่ที่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กและผู้ที่มาร่วมงานมาจากที่ใด แต่ถ้าเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่สามารถระบุยืนยันตัวบุคคลได้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมงานปีใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

“หากจะมีการจัดงานวันเด็ก เฉพาะในบางพื้นที่ต้องเป็นไปตามมาตรการ ตามที่ศบค.กำหนด ผู้ที่มาร่วมงานสามารถยืนยันตัวตนได้ก็จัดได้ สำหรับโรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมได้ เพราะสามารถที่จะยืนยันตัวตนเด็กและผู้ที่มาร่วมงาน ซึ่งขออนุญาตจาก สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้อยู่แล้ว ในส่วนของภาคเอกชนที่จะเชิญชวนให้เด็กมาร่วมงานกิจกรรมวันเด็ก ยังทำไม่ได้ “ นายณัฏฐพลกล่าว

พร้อมยืนยันว่า สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในสถานศึกษาได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับจากพื้นที่ ในพื้นที่เสี่ยงก็ได้มีการปิดโรงเรียน อย่างโรงเรียนใน สพฐ. ปิดไปแล้ว 528 โรงเรียน อาชีวะปิดไป 20 วิทยาลัย ในภาคเอกชนมีการปิดไป 220 โรงเรียน ซึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่มากสุด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร กระทรวงศึกษาควบคุมสถานการณ์ ตามที่ ศบค.เสนอ ไม่ได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด เพราะเรามีข้อมูลและอัตราความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน

อ่านไม่ผิดหรอก แต่ KFC ร้านไก่ทอดชื่อดัง กำลังจะทำเครื่องเกมมาขาย แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่แค่นั้น เพราะเจ้าเครื่องเกมนี้ มัน ‘อุ่นอาหาร’ ได้ด้วยเว้ยเฮ้ย!!

ก่อนหน้านี้ถ้าใครเคยตามทวิตเตอร์ @KFC_gaming จะเห็นเรื่องโจ๊กๆ ที่มีการนำเครื่องเกมมาโชว์ โดยเครื่องเกมนี้พร้อมที่อุ่นไก่ในตัว

ตอนแรกที่เห็น ทุกคนก็คงมองว่าเป็นเรื่องตลก หรือเอาฮาอยู่แล้ว และก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง จนปล่อยผ่านไป

แต่เฮ้ย!! ผิดคาด เพราะ KFC เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่เคยเผยแพร่ออกไป โดยได้ร่วมกับ Cooler Master บริษัทผลิตอุปกรณ์ Gaming ผลิตเครื่องเกมที่มาพร้อมเตาอุ่นไก่ในตัวซะงั้น

โดยเครื่องดังกล่าวมีการใช้ชื่อว่า ‘KFConsole’ มาพร้อมกับขุมพลัง Intel NUC 9 Extreme ที่ใช้ชิป Intel Core i9 รุ่นที่ 9

ส่วนการ์ดจาก ASUS สามารถสลับเป็นแบบ Hot Swap ได้ (แต่ยังไม่เผยรุ่น) พร้อมกับรองรับ Ray Tracing ที่คาดว่าจะเป็นตระกูล NVIDIA RTX กันเลยทีเดียว

ส่วนความจำนั้นก็มาพร้อมกับ SSD แบบ NVMe จากทาง Seagate ขนาด 1TB ที่ให้มา 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Firecuda ที่เป็นแบบ SSD และ Baracuda ในแบบ Hard Disk สามารถรองรับการทำงานของ VR, Game ที่มีค่า Refresh Rate 240 fps

แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ ‘ช่องอุ่นไก่’ หรือ Chicken Chamber ที่สามารถใช้อุ่นไก่ได้จริง (คาดว่าจะเอาความร้อนของเครื่องเป็นพลังทำให้ไก่สุก)

อย่างไรก็ตาม KFC ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย แต่จากความแปลกใหม่ของการเป็นเครื่องเกมและมีช่องอุ่นไก่มาให้แบบนี้ ราคามันคงไม่เบาแน่ๆ

สำหรับปรากฎการณ์ใหม่ของ KFC ในครั้งนี้ หากให้คิดในมุมสร้างสรรค์ หรือเอาความแปลกมาปล่อยให้เกิด Talk กระแทกให้แบรนด์ KFC มีไวรัล ก็คงไม่แปลก

แต่ถ้า KFC ลงมาล้วงจับพฤติกรรมคนเล่นเกม ที่ส่วนใหญ่จะไม่นิยมห่างตาจากหน้าคอม โดยเอากิมมิคเรื่องกินมาปรนเปรอไปพร้อมๆ กันได้ และคิดเล่นๆ อนาคต KFC เกิดมีแพ็กเกจจิ้งไก่สดมาให้ทอดหรืออุ่นกับเครื่อง KFConsole ได้ง่ายๆ อันนี้โคตรจะ Impact

แต่ยังไงซะเจ้า KFConsolก็ยังไม่มีการถอยออกมาสู่ตลาดจริง เพียงแต่แค่คิดว่า KFC มีไอเดียแบบนี้ อุปกรณ์พีซีและอุปกรณ์เตาอุ่น คงมีเบะปากมองบนไม่น้อย…


ที่มา – Coolermaster / Twtiter @KFC_gaming

คลิกชม KFConsole >> 

"สุริยะ" เข้มสั่งกรมโรงงานอุตฯ, อุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร หากฝ่าฝืนไม่ร่วมมือ โทษหนักกว่าหลายเท่า

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร

ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวัง ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมกับทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว

“ต้องมีการตรวจสอบทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจำนวน สถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยได้ให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด และย้ำเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด”

สุริยะ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ต้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน ไม่ให้ออกนอกพื้นที่

จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่ออารมณ์อยากท่องเที่ยวคนไทยหมดไปพอสมควร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดฉุดยอดเงินสะพัดเหลือแค่ 10,700 ล้าน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ปี พ.ศ.2564 คาดว่าหดตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยเป็นการติดเชื้อภายในประเทศที่มาจากแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาคร ขณะเดียวกันก็ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อที่กระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในหลายจังหวัดส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนักท่องเที่ยวเกิดความหวั่นวิตกกังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาด

ทั้งนี้ ททท.ประเมินว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวปีใหม่ พ.ศ.2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 4 วัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563 – 3 มกราคม พ.ศ.2564 คาดว่า จะมีคนไทยเดินทางภายในประเทศ 2.75 ล้านคน - ครั้ง และมีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่มากว่า 10,700 ล้านบาท โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 37% ซึ่งลดลงจากปีก่อนมาก เพราะปีที่ผ่านมามีวันหยุดยาวถึง 5 วัน และมีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เพราะเป็นช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสร้างรายได้หมุนเวียนมากถึง 23,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเกิดล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร แต่ก็ยังไม่นำไปสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ดังนั้น บางพื้นที่จึงยังจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 64 ที่ ททท. เป็นผู้จัด หรือร่วมสนับสนุนการจัดงานใน 4 พื้นที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรองตามภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ ราชบุรี และร้อยเอ็ด แต่การจัดงานได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ยกระดับความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมโรค คาดว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 4.71 แสนคน-ครั้ง และมีรายได้หมุนเวียน 1,800 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top