Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

‘อ.สุวินัย’ แลกเปลี่ยนกับ ท่าน ว.วชิรเมธี เรื่องความรู้ทางจิต เผย!! การชำระกายภาพ พลังชีวิต และจิตใจให้บริสุทธิ์

(20 ต.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ โดยได้ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับ ท่าน ว. วชิรเมธี เรื่องความรู้ทางจิตของอัจฉริยะแห่งจิตกับขอบเขตของจิตใจทั้งหมด (full spectrum of the mind)

ต้องออกตัวก่อนนะว่า บทความนี้ผมตั้งใจแลกเปลี่ยนกับท่าน ว. วชิรเมธีคนเดียวเท่านั้น

ในยุคดาต้านิยม (dataism) นี้ "คนโง่" มีช่องทางส่งเสียงดังในโลกโซเชียลยิ่งกว่า ‘ปราชญ์บัณฑิต’ เสียอีก มิหนำซ้ำอัลกอริทึมยังออกแบบให้พวกคนโง่ทั้งหลายสุมหัวอยู่ใน Echo Chamber หรือ "ห้องสะท้อนเสียงพวกเดียวกันเอง" อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง จนไม่สามารถคิดนอกกรอบ หรือมองไปจากมุมมองอื่น ๆ ที่สูงส่งกว่าระดับจิตของตัวเองได้ คนโง่พวกนี้ ไม่วายแว้งกัด ‘เหยื่อโซเชียล’ ทุกรายที่ถูกไอโอหรือเพจอวตารปลุกปั่นผ่านการ ‘ป้อนสาร’ ให้เสพตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจูงจมูกให้คล้อยตามวาระที่ซ่อนเร้นของพวกมันที่ต้องการมีอำนาจครอบงำความคิดของ ‘ฝูงคนโง่ที่แสนเชื่อง’ ในโซเชียล

นักบวชรูปหนึ่งถึงแม้ยังเป็นแค่ ‘สมมติสงฆ์’ ยังมิได้สำเร็จทางจิต บรรลุมรรคผลกลายเป็นพระ ‘อริยบุคคล’ แต่ประวัติของท่านที่ผ่านมา ก็ถือว่าท่านเป็นพระดี เป็นพระหัวก้าวหน้า เป็นพระนักพัฒนา เป็นพระบัณฑิต ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการศาสนาและสังคมมากว่า 30 ปี ผ่านงานเขียนของท่านหลายสิบเล่ม รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน

ครั้นพอท่านพลาดพลั้งครั้งหนึ่ง ที่ถูกบอสพอลและสมุนหลอกใช้ เพื่อใช้ชื่อเสียงของท่านมาชุบตัว สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัท The Icon ของพวกตน ... ท่านก็โดนพวกสื่ออวตาร และพวกอินฟลูตัวแสบปากร้ายใจสกปรก ‘กล่าวร้ายป้ายสี’ ราวกับท่านเป็น ‘พระชั่วที่น่ารังเกียจ’ ครั้นพอท่านรับมือในการ ‘จัดการวิกฤตผิดพลาด’ ซ้ำสอง เพราะท่าน ‘สติหลุด’ ที่ไปเขียนจดหมายเปิดผนึกต่อว่าพิธีกรรายการชื่อดังที่เคยบวชกับท่านมาก่อน โดยใช้ภาษาที่แรง (ต่อมาท่านลบโพสต์ทิ้งไป)

ท่านก็เลยยิ่งถูกสังคมโซเชียลรุมถล่มซ้ำจนชื่อเสียงของท่านมัวหมอง
ตามมาด้วยการที่ลูกศิษย์ผู้อ่อนด้อยของท่านดันไปโพสต์รูปที่ท่านนั่งสมาธิกลางหิมะเพื่อ ‘อวดครูตัวเอง’ แบบโง่ ๆ ... จนท่านถูกเอาไปล้อเลียน ตกเป็นขี้ปากของสังคมโซเชียลอีกครั้ง

แต่ ‘ความจริงที่มีหนึ่งเดียว’ ก็คือ ท่านยังเป็นพระอยู่นะ แม้จะยังเป็นสมมติสงฆ์อยู่ก็ตาม ... ตัวท่านเองยังต้องเรียนรู้โลกธรรม 8 มุ่งมั่นฝึกฝนจิต ยกระดับจิต ปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐาน 4 จนกว่าท่านจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ตัวท่านยังอยู่ในกระบวนการ ‘จิตวิวัฒน์’ ท่ามกลางทะเลทุกข์ เช่นเดียวกับ พวกหน้าโง่ (สรรพสัตว์) ที่รุมถล่มท่าน ที่ยังอยู่ในกระบวนการ จิตวิวัฒน์ เหมือนกัน

ข้อเขียนต่อไปนี้ผู้เขียนตั้งใจมอบให้ ภิกษุท่านนั้น ได้อ่านโดยเฉพาะ 
โดยหวังว่าข้อเขียนชิ้นนี้จะทำให้ภิกษุท่านนั้น สามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาส ทะลวงขีดจำกัดแห่งสมมติสงฆ์ของตัวท่าน เพื่อก้าวข้ามสู่ขอบเขตแห่ง อริยบุคคล ที่อยู่ไม่ไกลจนสามารถเอื้อมไปถึงได้ด้วยอัตภาพในปัจจุบันชาตินี้ นี่เป็นหน้าที่ที่กัลยาณมิตรร่วมวิถีธรรม พึงกระทำให้กันและกันมิใช่หรือ

● ว่าด้วย ‘จิตวิวัฒน์’ ●
จำไว้นะ คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของตนเท่านั้น แต่คนเรายังพ่วงเอาประวัติศาสตร์เซเปียนส์ติดตัวไปกับตนเองด้วย
ผู้ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพได้ ผู้นั้นจะต้องเป็น คนหาเช้ากินค่ำทางจิต ตลอดไป
จะเป็นเรื่องน่าเศร้าเพียงไหน หากคนเราเป็นได้แค่ คนหาเช้ากินค่ำทางจิต ตลอดไป ต่อให้มีอำนาจหรือความมั่งคั่งทางวัตถุแค่ไหนก็ตาม
เพียงเพราะผู้นั้นไม่รู้จักรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเองและเพียงเพราะผู้นั้นไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพ
การบูรณาการตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพหรือฟ้าดิน จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนเรากลายเป็น มนุษย์ที่แท้ (真人)ได้จริง
นี่เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้คนเราเป็นอะไรที่มากกว่า ลิงเปลือย ที่อุตริริใส่เสื้อผ้าเล่นโทรศัพท์มือถือ 
เพราะไร้ความคิด คิดไม่เป็น ไม่รู้จักตนเอง ยังไม่ตื่นรู้เพราะหาคุณค่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตตนเองไม่เจอ

คนเราอาจมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้แค่ไม่กี่สิบปีก็จริง แต่ถ้าคนผู้นั้นสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของเอกภพ เข้ากับประวัติศาสตร์แห่งจิตใจของผู้นั้นจนเป็นหนึ่งเดียวได้
คือสามารถฝึกฝนตน บำเพ็ญเพียรทางจิต ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงตัวเองจนเป็นหนึ่งเดียวกับประวัติศาสตร์ของธรรมจิต (Spirit) ที่เป็นมหาสุญญตาได้
นั่นก็หมายความว่า คนผู้นั้นได้มีอายุยั่งยืนเทียมเท่าเอกภพ หรือฟ้าดิน
เขาคือมนุษย์ที่กลายเป็นฟ้าหรือพุทธะหรือพระเจ้า เขาจะเป็นทั้งมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็นพระพุทธะ รวมทั้งเป็นพระผู้เป็นเจ้าในร่างคนโดยสมบูรณ์
นี่แหละคือโลกของพระโพธิสัตว์ และเป็นวิถีของพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริง

คนเราเกิดมาทั้งที
ควรเข้าถึงอมตธรรม 
หรือมีจิตที่มีอมตธรรม 
อันเป็นธรรมแห่งความไม่ตาย
หรือเป็นความไม่ตายทางจิตให้จงได้ 
สังขารของคนเรานั้นไม่เที่ยง 
ไม่ว่าเราจะดูแลมันอย่างดีเพียงใด 
มันก็มีอายุการใช้งานของมัน 
การแสวงหาที่ถูกต้องจึงควรเป็น "ความไม่ตายทางจิต"
โดยการทำให้จิตของตนเข้าถึงไกวัลยธรรมอันเป็นอสังขตธรรมแห่ง "ความเป็นเช่นนั้นเอง" อยู่เช่นนั้นตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง 
ลองไปคิดทบทวนให้ดีเถิดว่า 
ชีวิตนี้เราควรแสวงหาอะไรกันแน่?

การที่ปุถุชนจะปฏิบัติธรรม เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตน จนหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้นั้น เป็นกระบวนการ ไต่ขึ้น (ascension) ที่เนิ่นช้า ยากลำบากและกินเวลานานมาก 
ด้วยเหตุนี้ "เบื้องบน" จึงต้อง "ลงมา"(descent) ช่วยผู้ปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อเร่งการวิวัฒนาทางจิตของผู้ปฏิบัติธรรมให้เร็วขึ้น 
นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Supramental Descent หรือการลงมาของจิตศักดิ์สิทธิ์ หรือเหล่า อริยบุคคล ในทุกศาสนานั่นเอง

● ว่าด้วยขอบเขตของจิตใจทั้งหมด ●
นอกจากจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึก ที่คนเราเข้าไม่ถึงในยามตื่นแล้ว
ขอบเขตของจิตใจเชิงโครงสร้างส่วนใหญ่ คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกจิตก็ยากที่จะเข้าถึงด้วย 
เนื่องจากจิตชั้นสูงเหล่านั้นมันอยู่ในระดับข้ามพ้นตัวตน (transpersonal)
จิตใจของคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกจิตจะถูกจำกัดอยู่แค่ขอบเขตของ physical mind และ mental mind ที่อารมณ์กิเลสเจือปนกับเหตุผลเสมอ .... นี่จึงทำให้คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หลุดพ้นไม่ได้
ขอบเขตของจิตใจที่สูงกว่านั้น อยู่เบื้องบนหรือเหนือศีรษะ (เหนือจักระที่ 7) ซึ่งเชื่อมกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการฝึกลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีลำดับชั้นดังนี้
(1) Higher Mind หรือ จิตสูงส่ง
(2) Illumined Mind หรือ จิตกระจ่าง
(3) Intuition หรือ จิตที่ได้ญาณ
(4) Overmind หรือ จิตเหนือโลก
จิตขั้นสูงที่ข้ามพ้นตัวตน 4 ระดับนี้ คือจิตที่อยู่ในเทียร์ที่สองในโครงสร้างของจิต 
โดยที่จิตที่เหนือไปกว่านั้นอีกคือ Super Mind หรืออภิจิต หรือจิตอริยะ หรือจิตนิพพาน ที่อยู่ในเทียร์ที่สามในโครงสร้างของจิต

คนธรรมดาที่คิดจะยกระดับจิตให้สูงขึ้นเพื่อข้ามพ้นตัวตน ต่อให้ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต่างจากมีห่วงเหล็กหนักข้างละหลายสิบกิโลกรัมผูกกับขาแต่ละข้าง แล้วต้องไต่ขึ้นยอดเขาเพื่อบรรลุธรรมในสภาพเช่นนั้นอย่างยากลำบากแสนสาหัส 
เพราะ physical mind กับ mental mind ที่ประกอบเป็นอัตตา หรืออีโก้ (ego) ของปุถุชนผู้นั้น จะคอยเป็นตัวฉุดยั้งตลอด ไม่ให้จิตไปไหน

การเจริญลมปราณกรรมฐานขั้นสูง จึงเปรียบเหมือนการดึงพลังศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน เข้าสู่ร่างกายของผู้นั้น ผ่านจักระที่ 7 กลางกระหม่อมเพื่อชำระภายในให้บริสุทธิ์ จนกลายเป็น "จิตศักดิ์สิทธิ์" ได้เสียก่อน 
เปรียบเหมือนการไต่ขึ้นยอดเขา โดยปราศจากห่วงเหล็กผูกขา มิหนำซ้ำยังมีวิชาตัวเบา ทำให้ปีนป่ายไต่ขึ้นยอดเขาได้คล่องแคล่ว เร็วกว่าแต่ก่อนด้วย
เพราะฉะนั้นต่อให้เราเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นทางเอกก็จริง 
เราก็ควรผนวก ลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ (หรือวิชาอานาปานสติลม 7 ฐาน) เข้าไปในการเจริญสมถะและวิปัสสนาของเราด้วย ตามเหตุผลข้างต้น
นี่คือเคล็ดลับและความลับที่ ‘พระป่า’ สายปฏิบัติล้วนทราบดี
แต่พระสายปริยัติ ต่อให้จบเปรียญ 9 จะไม่ทราบเรื่องเหล่านี้เลย รวมทั้งพระนักพัฒนา หรือพระปัญญาชนด้วย

● ว่าด้วยกายภาพ-พลังชีวิต-จิตใจ ● 
เมื่อสำรวจวิจัย 'คน' ในเชิงอัตวิสัย
จะพบว่า ในภาวะปกติที่คนเราลืมตาอยู่นั้น คนเราสามารถเข้าถึงจิตได้เพียงผิวนอกซึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ของตัวจิตเท่านั้น
แต่สำหรับมุนีที่ฝึกกรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ 
มุนีผู้นั้นย่อมสามารถเข้าถึงจิตได้ ทั้งในระดับที่เหนือขึ้นไป (above) ในระดับที่ล่างสุด (below) และในระดับภายใน (within) ด้วย 
ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ จะไม่สามารถเข้าถึงจิตในระดับที่ลึกหรือกว้างขนาดนี้ได้เลย

ในตัวของคนเราเมื่อมองในเชิงจิต จะมีระบบพลังงาน 2 ระบบที่ทำงานควบคู่กัน
ระบบแรก เป็นระบบพลังงานในแนวตั้ง ที่หมุนเป็นเกลียวจากล่างขึ้นบน (ตามทิศทางของจักระ)
ระบบที่สอง เป็นระบบพลังงานที่แผ่ออกไปรอบทิศจากศูนย์กลางของร่างกาย
ระบบแรก พลังงานจะพุ่งทะลุร่างกายออกไปถึงข้างบนเหนือศีรษะแตะถึงขอบเขตที่เรียกว่า superconscient (จิตเหนือสำนึก)
ขณะที่พลังงานที่พุ่งทะลุร่างกายลงมาข้างล่างลำตัวแตะถึงขอบเขตที่เรียกว่า subconscient (จิตใต้สำนึก) และ inconscient (จิตไร้สำนึก)
ขณะที่บริเวณกลางลำตัวเป็นที่ดำรงอยู่ของพลังงานแฝง ที่ควบคุม subliminal (จิตสำนึกแฝง) อีกทีหนึ่ง

วิญญาณ (soul) ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคนเรา (true being) ตั้งอยู่ที่กลางหทัย (จักระหัวใจ) ส่วนที่ลึกที่สุด (inmost) ของกายทิพย์ (subtle body)
คนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต จะไม่มีทางทราบถึงการดำรงอยู่ของพลังงานที่อยู่ข้างใน (inner) และในสุด (inmost) เหมือนกับที่ไม่สามารถทราบถึงพลังงานที่อยู่เบื้องบน (above) และเบื้องล่าง (below) 
ที่ก่อตัวเป็น "มณฑลแห่งพลัง" ที่ทรงพลังยิ่งของมุนีผู้นั้น
กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ จำแนกตำแหน่งในร่างกายโดยโยงกับจิตใจว่า 
- ศีรษะ เป็นตำแหน่งที่จิตรับรู้เรื่องความคิด
- ทรวงอกและบริเวณที่ต่ำลงมา เป็นตำแหน่งที่จิตรู้สึกอารมณ์ ความปรารถนาและแรงกระตุ้นต่าง ๆ
- ตั้งแต่ต้นขาลงมา เป็นตำแหน่งที่จิตไร้สำนึกเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหวของจิตและพลังงานในสามส่วนของร่างกายนี้ สะท้อนถึงการดำรงอยู่จริงของกายภาพ (physical) พลังชีวิต (vital) และจิตใจ (mind) ในตัวตนเชิงอัตวิสัยของคนเรา
ความสามารถในการใช้จิตเข้าไป ดูกาย(ภาพ) ... เข้าไป ดูพลังชีวิต (หรือดูปราณในกาย) และเข้าไป ดูจิตใจ (หรือดูจิต ดูธรรม) 
คือก้าวแรกที่สำคัญยิ่งของการฝึกจิตเพื่อบรรลุธรรม หรือบรรลุโมกษะ
ปัญหาก็คือ ปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต จะมีความสามารถในการชำระ-ควบคุมกายภาพของตัวเองต่ำมาก ๆ
ไม่ว่าในเรื่องการควบคุมความคิด การควบคุมอารมณ์ และการควบคุมความทะยานอยาก เนื่องจากปุถุชนคนธรรมดารู้จักตัวเองแค่ผิวเผินเปลือกนอกเท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าคำสอนข้างต้นของ "อัจฉริยะทางจิต" อย่างท่านอาจารย์ ศรี อรพินโธ (Sri Aurobindo, 1872-1950) น่าจะใกล้เคียงกับคำสอนของปัจเจกพุทธะ ที่พยายามเข้าใจตัวตนที่แท้ของคนเรานั่นเอง 
เหมือนกับการจำแนกกาย-เวทนา-จิต-ธรรม ของพระพุทธองค์ในสติปัฏฐาน 4

กายของคนเรา คือผลพวงของวิวัฒนาการของจิต ในส่วนที่เป็นธาตุวัตถุ (matter) 
เพราะฉะนั้นมันจึงมีแรงเฉื่อยของวัตถุธาตุดำรงอยู่ในกายของคนทุกคน
แรงเฉื่อยในกาย ที่เป็น body consciousness นี้แหละที่เป็นตัวสร้างความคิดแย่ ๆ อารมณ์แย่ ๆ จิตใจแย่ ๆ และนิสัยแย่ ๆ ขึ้นในตัวผู้คนที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมผู้นั้นจึงต้องบำเพ็ญลมปราณกรรมฐาน จนกระทั่งกายของเขากลายเป็น "กายศักดิ์สิทธิ์" หรือเป็นกายที่สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาจิตและบรรลุธรรม

พลังชีวิตหรือปราณ เป็นอีกส่วนหนึ่งในตัวตนของคนเราที่สำคัญยิ่ง เพราะมันเป็นพลังแห่งการเติบโต สร้างสรรค์ และทำลาย
เพราะฉะนั้นการฝึกลมปราณกรรมฐานเพื่อแปรพลังชีวิตให้เป็นพลังจิตวิญญาณ จึงสำคัญมากถึงมากที่สุด
พลังชีวิต (vital) มีสามส่วนซึ่งแบ่งตามระดับตำแหน่งในส่วนกลางของร่างกาย
- Lower Vital อยู่ตรงบริเวณท้องน้อย เป็นพลังชีวิตที่มีแนวโน้มมุ่งแสวงความสำราญ (The Enjoyer) ในเชิงลบ หรือแสวงกาม
‘อินทรีย์สังวร’ จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุนีผู้ปฏิบัติ
- Central Vital อยู่ตรงบริเวณช่องท้อง เป็นพลังชีวิตที่สำแดงความกล้าหาญและการกระทำที่มุ่งมั่น แต่ถ้าออกมาในเชิงลบจะกลายเป็นคนบ้าอำนาจ ยึดติดในอำนาจ ในเงินทอง ในชื่อเสียง และในวัตถุ
- Higher Vital อยู่ตรงตำแหน่งทรวงอกถึงลำคอ เป็นพลังชีวิตที่สำแดงอารมณ์ความรู้สึกเชิงบวกอย่างความรัก ความเมตตา ความกรุณา แต่ถ้าออกมาในเชิงลบจะกลายเป็นความโกรธ ความเกลียด ความริษยา ความพยาบาท ความเห็นแก่ตัว

จิตใจ (Mind) เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องสติปัญญา การรับรู้และเรียนรู้ โดยมีตำแหน่งอยู่บนศีรษะ หรือในกระโหลกศีรษะ
จิตใจดำรงอยู่ในความคิด และในไอเดียของอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ความเคลื่อนไหวของจิตใจสัมผัสได้ที่บริเวณศีรษะ ทั้งท้ายทอย กลางหน้าผาก และกลางกระหม่อม
ปัญหาจิตใจของปุถุชนคนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกจิต คือพวกเขาได้รับอิทธิพลในเชิงลบจากกายภาพ และพลังชีวิตจากส่วนที่ต่ำกว่าศีรษะของร่างกายเป็นประจำอยู่แล้ว 
จนทำให้อารมณ์และความอยากต่าง ๆ เข้าไปปนเปกับความคิดและการใช้สติปัญญาอย่างขาดสติ แยกแยะดีชั่วไม่ได้ 
อีกทั้งยังไม่สามารถตัดสินด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) ล้วน ๆ ได้ ... ทำให้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพวก "คนโง่ถาวร" สูงมาก 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่โลกโซเชียลมีเดีย สามารถ "ล้างสมอง" ผู้คนด้วยข่าวปลอม หรือข่าวที่บิดเบือนความจริง จนเกิดฝูงซอมบี้คลั่ง หรือกลุ่มคนโง่ถาวรที่ถูกจูงจมูกได้โดยง่าย ... ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยไม่เลือกอายุ อาชีพ เพศ วัย

ด้วยเหตุนี้ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือเป็นบูรณาโยคะ (integral yoga) จึงเป็นการชำระกายภาพ พลังชีวิต และจิตใจของคนเราให้บริสุทธิ์ (purification) ด้วยการชักนำ พลังจากเบื้องบนที่เป็นที่สถิตของ อภิจิต (supermind) ผ่านลงมาทางจักระที่ 7 กลางกระหม่อม 
ทำการชำระผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ (spiritual transformation) 
จนกระทั่งมุนีผู้นั้นกลายเป็นเครื่องมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (The Divine) โดยสมบูรณ์นั่นเอง
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ (อานาปานสติ 9 จุด) ก็จัดอยู่อยู่ในกรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยเช่นกัน

‘อิสราเอล’ ทิ้งระเบิดใส่!! ‘กาซา’ ดับอนาถ 73 ราย ‘เลบานอน’ โต้กลับยิงถล่ม!! ใส่บ้าน ‘เนทันยาฮู’

(20 ต.ค. 67) อิสราเอลได้ออกปฏิบัติการทิ้งระเบิดถล่มเมืองเบตลาฮิยา ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา เมื่อวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 73 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก หลังจากอิสราเอลเพิ่งปลิดชีพ ยาห์ยา ซินวาร์’ ผู้นำของกลุ่มฮามาสได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

รายงานระบุว่าเมื่อวานนี้ ยังมีเครื่องบินอิสราเอลโปรยใบปลิวไปทั่วพื้นที่ตอนใต้ของฉนวนกาซา โดยเป็นรูปภาพของซินวาร์ที่เพิ่งถูกสังหารไปพร้อมกับข้อความว่า ‘ฮามาสจะไม่ได้ปกครองกาซาอีกต่อไป’

ทั้งนี้ สำนักข่าวของกลุ่มฮามาสแถลงว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์โจมตีดังกล่าวอย่างน้อย 73 ราย แม้ว่าทางกระทรวงสาธารณสุขจะยังไม่ได้เผยแพร่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ แต่กองทัพอิสราเอลแถลงว่ากำลังตรวจสอบเหตุการณ์ โดยเชื่อว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่รายงานนั้นสูงเกินจริง และไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่กองทัพมี รวมถึงชนิดของอาวุธที่ใช้และความแม่นยำในการโจมตี ซึ่งกองทัพอิสราเอลยืนยันว่าเป้าหมายคือฐานที่มั่นของฮามาส

ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขปาเลสไตน์เผยว่า การปิดระบบโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตเป็นวันที่สองส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่ชาวบ้านและบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่รายงานว่า กองทัพอิสราเอลได้เพิ่มความเข้มงวดในการปิดล้อมค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ซึ่งเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดจากทั้งหมด 8 แห่งในกาซา โดยส่งรถถังเข้าควบคุมเมืองใกล้เคียงอย่างเบตฮานุนและเบตลาฮิยา พร้อมทั้งออกคำสั่งให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่

ในวันเดียวกัน มีรายงานว่าอิสราเอลได้เข้าโจมตีพิ้นที่ทางตอนใต้ของกรุงเบรุต ในเลบานอน โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่คลังเก็บอาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เพื่อตอบโต้กรณีที่ฮิซบอลเลาะห์ยิงขีปนาวุธเข้าถล่มตอนเหนือของอิสราเอลเมื่อวานนี้ และฝ่ายอิสราเอลอ้างว่ายังมีการยิงโดรนหมายถล่มบ้านพักตากอากาศของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูด้วย แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่บ้านดังกล่าวขณะโจมตีก็ตาม และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าตัวบ้านได้รับความเสียหายหรือไม่ 

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ปชช. ไม่เชื่อสินค้าที่ ‘ดารา-อินฟลูฯ’ รีวิว ชี้!! ร้องเรียนกับสื่อ ได้รับความเป็นธรรม รวดเร็วกว่าไปหา ‘สคบ.’

(20 ต.ค. 67)  ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ใครจะคุ้มครองผู้บริโภค’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าของดารา และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คนดัง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการโฆษณาสินค้าของดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.21 ระบุว่า ไม่ส่งผลเลย รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า ส่งผลมาก ร้อยละ 19.01 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผล และร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผล

ด้านความเชื่อของประชาชนที่มีต่อดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ใช้สินค้าจากการโฆษณาจริง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.29 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเป็นบางครั้ง ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเฉพาะตอนโฆษณา ร้อยละ 3.89 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความรู้สึกของประชาชนต่อการโฆษณาสินค้าที่มีของแถมจำนวนมาก และ/หรือ ลดราคาเยอะ ๆ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.12 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า คุณภาพสินค้าอาจไม่ดี รองลงมา ร้อยละ 30.23 ระบุว่า เป็นแค่วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ร้อยละ 23.89 ระบุว่า ไม่คิดจะซื้อสินค้าที่โฆษณาแบบนี้ ร้อยละ 19.47 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ร้อยละ 19.24 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า ต้นทุนสินค้าน่าจะถูกมาก ร้อยละ 17.94 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า สินค้านั้นอาจใกล้หมดอายุการใช้งาน ร้อยละ 8.63 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบคุณภาพกับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบราคากับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 7.02 ระบุว่า จะลองสั่งมาใช้ดู ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้เป็นประจำ จะซื้อสินค้านั้นทันที ร้อยละ 2.14 ระบุว่า สนใจที่จะซื้อสินค้านั้นทันที (แม้ว่าจะไม่เคยใช้ก็ตาม) และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับการร้องเรียนจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.22 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ไม่ร้องเรียนใด ๆ ร้อยละ 15.50 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ ร้อยละ 12.06 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการร้องเรียนที่ได้รับความเป็นธรรมเร็วที่สุดจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 24.81 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ รองลงมา ร้อยละ 23.05 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ร้อยละ 15.88 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และไม่ร้องเรียนใด ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ร้อยละ 0.07 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ไม่ธรรมดา ฮากัน!! สนั่นโซเชียล

(20 ต.ค. 67) ส่งอาหารธรรมดาโลกไม่จำ!! ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ทำชาวเน็ตแห่แซว ไม่ได้ 5 ดาว เพราะส่งไม่ถึงมือ

ผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี pramot.007.mcfly ซึ่งเป็นไรเดอร์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะไปส่งอาหารให้ลูกค้ารายหนึ่ง ทำเอาชาวเน็ตถูกใจ จนคลิปกลายเป็นไวรัล

โดยคุณปราโมทย์ได้ไปส่งอาหารที่บริเวณอาคารก่อสร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกค้าที่สั่งไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นช่างที่กำลังนั่งอยู่บนเครนสูงเทียบเท่าตึกหลายชั้น เมื่อไปถึง ลูกค้ารายนี้ก็ทำการปล่อยสายเกี่ยวลงมาให้คุณปราโมทย์ผูกอาหารส่งขึ้นไป

คลิปวิดีโอนี้มีคนเข้ามาดูมากกว่า 500,000 ครั้ง พร้อมเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม หลายคนบอกว่า ‘นี่แหละวิถีคนไทย อะไรก็ได้’

มีไรเดอร์คนอื่นมาเล่าถึงประสบการณ์การส่งอาหารแปลกๆที่เคยเจอ คนหนึ่งบอกว่า “ของผมลูกค้าขับแม็คโครเอาบุ้งกี๋กวักเรียก ผมกลั้นขำแทบแย่” บ้างก็เข้ามาแซวว่า “นี่ไง ลูกค้าระดับสูง” หรือ “จริงๆเขาให้มัดตัวเองแล้วส่งขึ้นไปรึเปล่า”

เจ้าของช่องดังในTikTok โพสต์คลิป กรณี มีสาวอินโดฯ เดือด หลังถูกหนุ่มเกาหลี เหยียด!! แต่คนไทย กลับใจดี ให้อภัย

(20 ต.ค. 67) David William เจ้าของช่อง TikTok ที่ชื่อว่า ‘davidwilliamdw’ ได้โพสต์คลิป ถึงกรณีที่ ‘คนเกาหลี’ ชอบเหยียด ‘คนไทย’ โดยมีใจความว่า …

คนเกาหลีเป็นไร!!   อยากรู้จริงๆ เลย  ถ้าสังเกตดีๆ เวลาเราดูคลิปคนเกาหลี มันมีแต่คนเกาหลีดูถูกประเทศอื่นไปเรื่อยเปื่อย โดยไร้เหตุผล

คุณบอกว่าคุณดีกว่าคนอื่น คุณรวยกว่าคนอื่น คือ
ถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะบุญคุณของ ‘ชาวอเมริกัน’ และ ‘คนไทย’ และอีกหลายประเทศที่ไปช่วยคุณเนี่ยในช่วงสงครามเกาหลี พวกคุณทั้งหลายเนี่ย คงจะได้เป็นลูกน้องของ ‘คิม จ็อง-อึน’ กันหมดแล้ว

ที่คุณอยู่กันมาได้แบบมีอิสระ เสรี มันเป็นเพราะประเทศอื่นมากมาย รวมถึงประเทศไทยด้วย ไปช่วยพวกคุณเอาไว้

สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ 
ในเมื่อประเทศคุณอยู่ได้เพราะบุญคุณของประเทศอื่นทั่วโลก คุณก็ยังสามารถที่จะไปดูถูกคนอื่นได้ ทั้งๆที่ถ้าไม่มีเค้า คุณก็ไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน

มีกระทู้หนึ่ง เค้าได้เขียนว่าเป็นการจุดกระแสแบนเกาหลีที่โคตรโง่มาก เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศเนี่ย เราพึ่งเค้ามากกว่าเท่าตัว 

ถ้าถึงวันนึงที่คนเกาหลีจุดกระแสแบนไทยบ้าง ก็คือนักท่องเที่ยวที่ในครึ่งปีแรกเลยนะ
มาประเทศไทยประมาณล้านกว่าคน มาเที่ยวไทย เค้าก็จะบอกว่า เดี๋ยวเค้าหายไปแล้วเงินก็จะหยุดไหลเข้าประเทศไทยเลยนะ

อันนี้ขออนุญาตด้วยความเคารพเลยนะ พูดตรงตรงเลยว่า บางทีก็ไม่เข้าใจคนไทยบางคน ที่ไม่ว่าชาวต่างชาติเนี่ยจะดูถูกบ้านเราแค่ไหนก็ตามแต่ หรือดูถูกคนไทยแค่ไหนก็ตามแต่ เรายังอุตส่าห์ยกย่องเค้าอยู่ดี หาข้ออ้างให้เค้าอยู่ดี 

สําหรับใครก็ตามแต่ ที่อาจจะกังวลเรื่องนี้ว่า ถ้าเรามีศักดิ์ศรีมากขึ้น  เดี๋ยวเค้าจะไม่มาเที่ยวประเทศไทย คือขออนุญาตเลยนะ

ของดียังไงก็เป็นของดี ประเทศไทยเนี่ยมีอาหารที่อร่อยมาก สถานที่ท่องเที่ยวดีมาก ค่าครองชีพก็ไม่ได้แพง เพราะฉะนั้นสุดท้ายเนี่ย ก็จะมีคนมาเที่ยวอยู่ดี

นักข่าวไทยในอังกฤษ ชี้!! หากบอสดิไอคอน โอนเงินหนี 8 พันล้านบาท เผย!! สามารถตามแกะรอยได้ เพราะสุดท้ายก็ต้องนำมาแลกเงินจริง

(20 ต.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Pui Vijitphan’ ซึ่งเป็นคนไทยที่ทำงานด้านสื่อมวลชนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้โพสต์ข้อความในฐานะ ‘ผู้เสียหายโดยตรง’ จากกรณีดิไอคอน โดยได้ระบุว่า ...

‘เอก สายไหมต้องรอด’ แฉว่าพบความผิดปกติ ก่อนที่ บอสดิไอคอนคนสุดท้ายจะถูกจับ มีการโอนเงินหนี 8 พันล้านบาท หรือ 247,911,936 USDT 

ถ้าให้เรามอง ในรูปนี้จะเห็นการโอน USDT (Tether) ผ่านสองเครือข่ายบล็อกเชน คือ Ethereum (ETH) และ TRON แบบตรงๆ เลย ซึ่งแปลว่าการโอนเงินครั้งนี้มันเป็น wallet-to-wallet หรือพูดง่ายๆ คือ โยกเงินจากกระเป๋านึงไปอีกกระเป๋านึงโดยตรง ไม่ได้ผ่านเว็บแลกเปลี่ยนแบบที่เราคุ้นเคยทั่วไป เช่น ผ่าน Bitkub อะไรพวกนี้

1. สองรายการแรกเป็นการโอน USDT ที่ใช้เครือข่าย Ethereum ผ่านมาตรฐาน ERC-20 แบบตรงๆ บนบล็อกเชนของ ETH
2. สองรายการหลังเป็นการโอน USDT ผ่านเครือข่าย TRON ใช้มาตรฐาน TRC-20 ทำให้เห็นว่ามีการย้ายเงินไปบนบล็อกเชนของ TRON โดยตรง

ถ้าจะให้เราสรุปคร่าวๆ คือ การโอนแบบนี้บ่งบอกได้ว่า เจ้าของกระเป๋าน่าจะเป็นคนโยกเอง หรือไม่ก็มีกระเป๋าของตัวเองที่ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการโยกจากกระเป๋าประเภทซอฟต์แวร์อย่าง MetaMask หรือ Trust Wallet กระเป๋าฮาร์ดแวร์แบบ Ledger หรือ Trezor หรือแม้แต่กระเป๋าเก็บออฟไลน์แบบ Cold Storage ก็ได้ทั้งนั้น

ถ้าดูจากช่วงเวลาการโอนแล้ว ก็อาจจะโยกเงินหนีกันก่อนที่จะมีการดำเนินคดีหรือการจับกุม อย่างในกรณีของ The ICON Group

ถ้าถามว่าตำรวจจะตามรอยเงินจากกระเป๋าคริปโตได้มั้ย บอกเลยว่าทำได้ แต่ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะเห็นธุรกรรมทั้งหมดบนบล็อกเชนได้แบบเปิดเผย แต่กระเป๋าคริปโตมันไม่ได้บอกชื่อจริงใครตรงๆ ไง มันจะมีแค่ที่อยู่ (address) เป็นรหัสยาวๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้ตามไปถึงตัวคนจริงๆ

อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือการโอนเงินข้ามเครือข่าย (cross-chain) แบบโอนจาก Ethereum ไป TRON หรือเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งทำให้เส้นทางเงินดูซับซ้อนขึ้น เพราะเงินมันอาจจะถูกแปลงเป็นคริปโตเหรียญอื่น หรือโทเค็นอื่นระหว่างทาง พวกนี้จะทำให้การตามรอยยากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามไม่ได้ ถ้ามีเทคนิคและเครื่องมือที่ดี

ถึงจะซับซ้อนยังไง ถ้ามีจุดที่เงินไปแสดงตัวตนหรือลิงก์เข้ากับข้อมูลที่ระบุตัวคน (KYC) เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือชื่อที่ใช้บนเว็บแลกเปลี่ยน ตำรวจก็มีโอกาสตามเจอจนได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เงินต้องไปจบที่ไหนสักแห่งที่มีการแลกเป็นเงินจริง หรือเอามาใช้จริง

สรุปสั้นๆ ก็คือ ถ้าตำรวจจะตามจริงๆ ก็มีหนทาง แต่ต้องใช้เวลา ความพยายาม และข้อมูลมากหน่อย ที่สำคัญคือ ต้องเจอจุดเชื่อมที่ชี้ไปหาเจ้าของกระเป๋าที่แท้จริงให้ได้ก่อน ไม่งั้นก็คงจะตามเงินไปเรื่อยๆ แบบงงๆ ได้เหมือนกัน

#ที่เขียนยาวๆนี่ เพราะตรูเป็นผู้เสียหายโดยตรง แม้ไม่ได้โดนหลอกโดยตรง แต่เครือข่ายอีบอสมันมาเข้าทางคนใกล้ตัวให้หลงเชื่อ เจ็บใจมานานมากก และสะใจมากที่มีวันนี้ ที่ได้เห็น คุณบอสพอลเข้าคุก ค่ะ

‘อดีตสว.วันชัย’ ออกโรงป้อง ‘ท่าน ว.วชิรเมธี’ เชื่อ!! ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับ ‘ดิไอคอน’

(20 ต.ค. 67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสว. โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ท่าน ว. … ธรรมะย่อมชนะอธรรม’ ในเพจ เฟซบุ๊กทนายวันชัย สอนศิริ กรณี ท่าน ว. วชิรเมธี ถูกกล่าวหาเข้าไปสนับสนุนธุรกิจ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ระบุว่า …

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมา เป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่า เป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป

นายวันชัย ระบุต่อว่า ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน

แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของ นักเทศน์ นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

“ใครจะล่อ ดิไอคอน ล่อบอส คนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอส ก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว ก็ดูหน่อยว่า แสงมันมืด หรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ยใหญ่โตกันเหลือเกิน กัมมุนา วัตตติ โลโก” นายวันชัย ระบุทิ้งท้าย

เปิด!! สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ข้อตกลงความร่วมมือของ ‘รัสเซีย - เกาหลีเหนือ’

(20 ต.ค. 67) ข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย

เป็นข่าวสะเทือนวงการการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ยื่นข้อตกลงทางทหารฉบับใหม่กับเกาหลีเหนือเพื่อขอการรับรองต่อรัฐสภารัสเซียโดยผลักดันให้มีการยอมรับอย่างเป็นทางการต่อข้อตกลงป้องกันร่วมกันที่เขาได้จัดทำกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อครั้งไปเยือนเกาหลีเหนือปูติน ซึ่งถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 24 ปี ซึ่งข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนเอกสารการให้สัตยาบัน

แม้ว่าข้อตกลงนี้จะเรียกว่า ‘สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม’ ( ‘Treaty on Comprehensive Strategic Partnership’) แต่เงื่อนไขของสนธิสัญญานี้ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารซึ่งกันและกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือนั้นโดยพื้นฐานแล้วถือเป็นสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารและการเมือง โดยข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและสถานการณ์โลกในปัจจุบันโดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ข้อตกลงยืนยันว่าทั้งสองประเทศมี ‘ความปรารถนาที่จะปกป้องความยุติธรรมระหว่างประเทศจากความทะเยอทะยานที่จะมีอำนาจเหนือผู้อื่นและความพยายามที่จะกำหนดระเบียบโลกขั้วเดียว’ และ ‘เพื่อสร้างระบบระหว่างประเทศหลายขั้วบนพื้นฐานของความร่วมมือโดยสุจริตของรัฐ การเคารพซึ่งกันและกันในผลประโยชน์ การแก้ไขปัญหาในระดับนานาชาติร่วมกัน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอารยธรรม อำนาจสูงสุดของกฎหมายระหว่างประเทศในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความพยายามร่วมกันเพื่อต่อต้านความท้าทายใดๆ ที่คุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ’

แม้ว่าสนธิสัญญามีเนื้อหาไม่มากเพียงแค่ 23 มาตราเท่านั้นแต่มีข้อกำหนดที่น่าสนใจประการหนึ่ง โดยระบุว่า ในกรณีที่มีภัยคุกคามจากการโจมตีโดยอำนาจที่สาม ผู้ลงนาม ‘จะตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการความร่วมมือตามคำขอของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และรับรองความร่วมมือในการกำจัดภัยคุกคามนั้น’ ส่วนอื่นระบุว่า ‘หากฝ่ายหนึ่งพบว่าตนเองอยู่ในภาวะสงครามอันเนื่องมาจากการโจมตีด้วยอาวุธโดยประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ฝ่ายนั้นทันทีด้วยวิธีการทั้งหมดที่มี’

ซึ่งระบุเอาไว้ในมาตรา 4 ของข้อตกลงระบุว่า หากรัสเซียหรือเกาหลีเหนือถูกโจมตีและเข้าสู่ภาวะสงคราม อีกฝ่ายจะให้ความช่วยเหลือทางทหารและความช่วยเหลืออื่น ๆ โดยใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ สนธิสัญญายังกำหนดให้ทั้งสองประเทศ “สร้างกลไกสำหรับกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศเพื่อประโยชน์ในการป้องกันสงครามและรับรองสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ” และโต้ตอบกันเพื่อ “ร่วมกันเผชิญหน้ากับความท้าทายและภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดูแลสุขภาพและห่วงโซ่อุปทาน” รวมถึงการก่อการร้าย อาชญากรรมที่เป็นองค์กร การค้ามนุษย์ และการอพยพที่ผิดกฎหมาย

ในด้านเศรษฐกิจ ข้อตกลงหุ้นส่วนเรียกร้องให้มีการ ‘ขยายและพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้า เศรษฐกิจ การลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคนิค” ตั้งแต่ความพยายามในการเร่งความร่วมมือด้านการค้าและเทคโนโลยี และการส่งเสริม “การวิจัยร่วมกันในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงสาขาต่างๆ เช่น อวกาศ ชีววิทยา พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ’

ข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจัดทำขึ้นเป็นพิเศษและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ เพราะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวที่อยู่นอกอดีตสหภาพโซเวียตที่รัสเซียได้ร่างข้อตกลงดังกล่าวด้วย (จนถึงขณะนี้มีเพียงเบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัฐสหภาพของรัสเซียและสมาชิกองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) เท่านั้นที่ได้รับการรับประกันความมั่นคงในลักษณะเดียวกัน) 

ในสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญมากระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีภาระผูกพันซึ่งกันและกัน โดยรัสเซียจะมีภาระผูกพันในการปกป้องพันธมิตรใหม่ของตนอย่างเกาหลีเหนือ หากมีการรุกรานเกิดขึ้น และในทางกลับกันเกาหลีเหนือจะมีภาระผูกพันที่จะให้การสนับสนุนเราทุกรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนทางทหาร หากมีการรุกรานรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและช่วยลดความเสี่ยงของสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี 

ซึ่งปัจจุบันเราเห็นได้จากการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่ยั่วยุมากขึ้นของโซล ประกอบกับความพยายามที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการป้องกันของเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ้อมรบร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซี่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ได้

รัสเซียซึ่งเคยเป็นและยังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางการทหารชั้นนำของโลกและเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ นั่นหมายความว่า หากเกาหลีเหนือถูกโจมตีจากเกาหลีใต้ รัสเซียจะถูกร้องขอให้ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญานี้และเข้ามาช่วยเหลือเกาหลีเหนือต่อต้านเกาหลีใต้ (เพราะสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้) โซลและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ จะต้องไม่เพียงแค่จัดการกับเกาหลีเหนือเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเกาหลีเหนือและรัสเซียด้วย 

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สงครามระหว่างเปียงยางและโซลมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเนื่องมาจากการยั่วยุของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้มาอย่างยาวนาน ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจึงถือเป็น "ก้าวหนึ่งสู่การรักษาเสถียรภาพและการรักษาสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ" เนื่องจากสร้างสมดุลทางทหารซึ่งจะช่วยแก้ไข "ความไม่สมดุลของกองกำลังทหาร" ที่เพิ่มมากขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้และพันธมิตร 

ในสายตาของเกาหลีเหนือสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) กำลังกลายเป็นมหาอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง สามารถผลิตอาวุธสมัยใหม่ทุกประเภท ตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเรือดำน้ำและเครื่องบินขับไล่ ปล่อยดาวเทียมตรวจการณ์ของตนเอง แต่สิ่งเดียวที่เกาหลีใต้ไม่มีคืออาวุธนิวเคลียร์ แต่การได้มาซึ่งอาวุธดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องของการตัดสินใจทางการเมืองและอาจใช้เวลาไม่มากนัก ศักยภาพทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือเพียงลำพังไม่อาจแข่งขันกับเพื่อนบ้านที่ติดอาวุธครบครันและเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก ร่วมกับญี่ปุ่นได้ ซึ่งหากเกาหลีเหนือยืนหยัดต่อสู้กับภัยคุกคามเหล่านี้เพียงลำพัง ก็มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการรุกรานของเกาหลีใต้และพันธมิตร

ในขณะเดียวกันในฝั่งของรัสเซียข้อตกลงดังกล่าวสามารถสร้างความชอบธรรมให้แก่เกาหลีเหนือในการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และทหารเพื่อทำสงครามกับยูเครนอย่างเปิดเผยและต้องคิดถึงการสนับสนุนจากพันธมิตรของรัสเซีย ซึ่งจะเป็นการสร้างความกังวลใจให้กับยูเครนและพันธมิตรนาโต้ในความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบัน 

ดังนั้นข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียจึงเป็นข้อตกลงที่เราควรให้ความสำคัญ และจับตามองว่าจะช่วยป้องปรามและลดความขัดแย้งในพื้นที่สำคัญของโลกได้หรือไม่

‘พีระพันธุ์’ มอบ ‘ดร.หิมาลัย’ ลงพื้นที่น้ำท่วม มอบถุงยังชีพ ช่วยประชาชน พร้อมสำรวจความเสียหาย เพื่อนำไปประสานงาน บรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้าน

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค. 67) เวลา 13.00น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีความห่วงใยชาวนครสวรรค์ จึงได้มอบหมายให้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษาฯ และ สส.สัญญา นิลสุพรรณ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จังหวัด นครสวรรค์  จำนวน 1,000 ครัวเรือน

-ณ.วัดบางเคียน ต.บางเคียน
-ณ.วัดดงขุย ต.หนองกระเจา
-ณ.อบต.พันลาน ต.พันลาน

พร้อมด้วย คุณพิมพ์ปวีณ์ นิลสุพรรณ เลขานุการนายก อบจ.นครสวรรค์ ว่าที่ร้อยโท อุทิศ คงรอด นายอำเภอชุมแสง พ.ต.อ.สมศักดิ์ เขียวอ่อน ผกก.สภ.ชุมแสง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. ให้การต้อนรับและร่วมมอบถุงยังชีพแจกให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยเมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา 

ในพื้นที่ตอนนี้ ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือน และพื้นที่การเกษตรอีกหลายตำบล ในการนี้จะได้มีการนำปัญหาดังกล่าว เข้าไปประสานหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางเพื่อแก้ไขความเดือดร้อน และบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านต่อไป

‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ลั่น!! แก้คอร์รัปชัน ย้ำ!! ประชาธิปไตยต้องสุภาพ

(20 ต.ค. 67) อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียแล้วในวัน นี้ โดยให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับปัญหาภายในต่างๆ เช่น การทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศ และจะทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

ปราโบโววัย 73 ปีผู้นี้เคยผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากอดีตผู้บัญชาการทหารที่เผชิญข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ กลายมาเป็นผู้กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา

ในพิธีสาบานตนวันนี้ ปราโบโวสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีน้ำเงินกรมท่า พร้อมโสร่งผ้าทอสีทองและแดงเลือดหมู มาในรถยนต์สีขาวคันโตที่เปิดช่วงหลังคาซันรูฟยืนขึ้นโบกมือทักทายประชาชนสองข้างทาง ก่อนจะเข้ารัฐสภาอินโดนีเซียและกล่าวสุนทรพจน์ที่เร่าร้อนต่อสมาชิกรัฐสภาว่า เขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อชาวอินโดนีเซียทุกคน และกระตุ้นให้คนในชาติช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศที่เสรี คือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” ปราโบโวกล่าว

ในสุนทรพจน์ที่ครอบคลุมหลายประเด็นและกินเวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมง ปราโบโวกล่าวว่าการพึ่งตนเองด้านอาหารจะเป็นไปได้ภายใน 5 ปี ขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าจะกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเอง

ประธานาธิบดีคนใหม่ให้คำมั่นว่าจะขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน และย้ำด้วยว่า แม้ว่าว่าตนจะต้องการดำรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นไปอย่าง ‘สุภาพ’

ด้านสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีปราโบโว และระบุว่า จีนจะรักษา ‘การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด’ กับประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย 

"จีนและอินโดนีเซียเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกันมาโดยตลอด และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมของทั้งสองประเทศยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการสร้างอนาคตร่วมกัน" ผู้นำจีนระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top