Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

รู้จัก ‘MI6’ ต้นสังกัด ‘James Bond 007’ หน่วยข่าวกรองอังกฤษ กับภารกิจ ‘ต่อต้านก่อการร้าย’

Secret Intelligence Service หรือ SIS (Military Intelligence, Section 6: MI6) หน่วยข่าวกรองต่างประเทศแห่งรัฐบาลสหราชอาณาจักร

Sir Ian Fleming ผู้แต่ง James Bond 007

แฟน ๆ ของ James Bond 007 คงสงสัยว่า 007 ยอดสายลับของรัฐบาลสหราชอาณาจักร สังกัดหน่วยงานไหนกันแน่ ด้วยตัวผู้แต่ง Sir Ian Fleming เคยรับราชการในหน่วยข่าวกรองทางเรือของกองทัพเรืออังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประสบการณ์เกี่ยวกับปฏิบัติการด้านการข่าวมากมาย เมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไม่นาน โลกก็เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต) กับฝ่ายประชาธิปไตย (สหรัฐอเมริกา) และมีการส่งสายลับไปทั่วโลก Sir Fleming ได้แนวคิดจะเขียนเรื่องราวเป็นนวนิยายเกี่ยวกับสายลับอังกฤษ โดยกำหนดให้สายลับผู้นั้นที่มีใบอนุญาตสังหารคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และใช้รหัสการทำงาน 007 ชื่อว่า James Bond โดยนำชื่อมาจากนักปักษีวิทยาผู้หนึ่งที่เขาชื่นชอบ และต้นสังกัดของ James Bond ก็คือ Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6) หน่วยข่าวกรองต่างประเทศแห่งรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งขอเรียกหน่วยงานนี้ว่า MI6 ด้วยชื่อนี้เป็นที่รู้จักมากกว่า SIS 

Thames House สำนักงานใหญ่ของ MI5 (Military Intelligence, Section 5)

รัฐบาลสหราชอาณาจักรมีหน่วยงานดูแลรับผิดชอบงานการข่าวหลายหน่วยคือ Security Service หรือที่เรียกว่า MI5 (Military Intelligence, Section 5) เป็นหน่วยงานด้านการต่อต้านข่าวกรองและความมั่นคงภายในประเทศ และเช่นเดียวกับ Government Communications Headquarters ( GCHQ) หน่วยข่าวกรองและความมั่นคงที่รับผิดชอบในการจัดหารวบรวมข่าวกรอง (SIGINT) ให้แก่รัฐบาลและกองทัพของสหราชอาณาจักร, Defense Intelligence (DI) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรองทางทหาร แตกต่างจากหน่วยข่าวกรองอื่น ๆ ของสหราชอาณาจักร (MI6, GCHQ และ MI5) ด้วยเป็นหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม (MoD) แทนที่จะเป็นองค์กรแบบแยกเดี่ยว มีการผสมผสานระหว่างเจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหาร และได้รับงบประมาณจากงบประมาณด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักร และ Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6)

ทำไม 007 จึงสังกัด MI6 ทั้ง ๆ ที่ชุมชนการข่าวของอังกฤษมีตั้งหลายหน่วย ซ้ำในอดีตหน่วยงานการข่าวของแต่ละเหล่าทัพแยกกัน ไม่ได้รวมกันเป็น DI เช่นทุกวันนี้ ด้วยเพราะ MI6 ได้รับมอบภารกิจในการรวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรอง (จากแหล่งข่าวที่เป็นบุคคลต่าง ๆ ) ในต่างประเทศ (HUMINT) เป็นหลักในการสนับสนุนความมั่นคงแห่งชาติของสหราชอาณาจักร MI6 เป็นหน่วยงานสมาชิกของชุมชนข่าวกรองของอังกฤษ และหัวหน้าหน่วยงานขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหราชอาณาจักร

MI6 ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1909 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานราชการลับ (Secret Service Bureau) และส่วนงานต่างประเทศส่วนนี้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้ชื่อปัจจุบันอย่างเป็นทางการประมาณปี ค.ศ.1920 ในชื่อ 'MI6' (หมายถึงหน่วยสืบราชการลับทางทหาร แผนกที่ 6) การมีอยู่ของ MI6 ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจนถึงปี ค.ศ.1994 ในปีนั้นได้มีการนำพระราชบัญญัติบริการข่าวกรองปี ค.ศ.1994 (Intelligence Services Act : ISA) เข้าสู่รัฐสภาเพื่อจัดวางองค์กรให้มีรากฐานตามกฎหมายเป็นครั้งแรก เป็นพื้นฐานทางกฎหมายสำหรับการดำเนินงาน ปัจจุบัน MI6 อยู่ในการกำกับดูแลของคณะตุลาการซึ่งมีอำนาจสืบสวน (Investigatory Powers Tribunal) กับคณะกรรมาธิการข่าวกรองและความมั่นคงแห่งรัฐสภา (Parliamentary Intelligence and Security Committee)

บทบาทที่สำคัญกว่าบทบาทอื่นของ MI6 ตามที่มีระบุไว้ คือ การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านการแพร่กระจายของอาวุธร้ายแรง การให้ข่าวกรองเพื่อสนับสนุนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการสนับสนุนเสถียรภาพในต่างประเทศ เพื่อทำลายการก่อการร้ายและอาชญากรรมอื่น ๆ แต่ MI6 ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานหลักอื่น ๆ คือ Security Service (MI5) และ Government Communications Headquarters (GCHQ) MI6 ทำงานเฉพาะในหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ ตามที่พรบ. ISA อนุญาตให้ปฏิบัติการ (เฉพาะกับบุคคลภายนอกเกาะอังกฤษเท่านั้น) การกระทำบางอย่างของ MI6 นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นประเด็นโต้แย้งสำคัญหลาย ๆ เรื่องเช่น การสมรู้ร่วมคิดและถูกกล่าวหาว่า ทำการทรมาน และลักพาตัวบุคคล

เครื่องเข้าและถอดรหัส Enigma

ผลงานของ MI6 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประสิทธิภาพของ MI6 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นมีลักษณะผสมผสานกันไป เนื่องจากไม่สามารถสร้างเครือข่ายในเยอรมนีได้ ข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่มาจากข่าวกรองทางการทหารและการค้าที่รวบรวมผ่านเครือข่ายในประเทศที่เป็นกลาง ตลอดจนดินแดนที่ถูกยึดครอง และรัสเซีย ช่วงรอยต่อระหว่างสองสงครามโลก ในช่วงหลังสงคราม และตลอดช่วงทศวรรษที่ 1920 MI6 มุ่งเน้นไปที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิบอลเชวิสของรัสเซีย เช่น ปฏิบัติการเพื่อโค่นล้มรัฐบาลบอลเชวิคในปี ค.ศ.1918 รวมถึงความพยายามในการจารกรรมแบบดั้งเดิมมากขึ้นในช่วงต้นของสหภาพโซเวียต และ MI6 ได้รับการแนะนำจากพันธมิตรชาวโปแลนด์ในด้านเทคนิคและอุปกรณ์เพื่อถอดรหัสด้วยเครื่องเข้าและถอดรหัส Enigma รวมทั้งแผ่น Zygalski และการเข้ารหัส 'Bomba' ของเยอรมัน อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับความต่อเนื่องและความพยายามของอังกฤษในภายหลังในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นักเข้ารหัสชาวอังกฤษสามารถถอดรหัสข้อความจำนวนมากที่เข้ารหัสในเครื่อง Enigma ซึ่ง MI6 รวบรวมได้จากแหล่งข่าวที่มีชื่อรหัสว่า 'Ultra' ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการทำสงครามของฝ่ายพันธมิตร 

อุโมงค์สายลับ Berlin ถือเป็นปฏิบัติการข่าวกรองที่น่าทึ่งที่สุดแห่งหนึ่งของช่วงต้นยุคสงครามเย็น ตั้งแต่ปี 1953 ถึง 1955 CIA ของอเมริกาและ SIS (MI6) ของอังกฤษร่วมมือกันในการวางแผนและสร้างอุโมงค์ลับโดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าถึงการสื่อสารทางทหารของสหภาพโซเวียต

สงครามโลกครั้งที่สอง นอกจากการถอดรหัสจากรหัสเครื่อง Enigma สำเร็จแล้ว MI6 ยังสามารถปฏิบัติงานระบบ 'Double-cross' ซึ่งเริ่มดำเนินการโดย MI5 เพื่อป้อนข้อมูลข่าวกรองที่ทำให้ฝ่ายเยอรมันเข้าใจผิดอีกด้วย (เช่น กรณีปลอมศพนายทหารนาวิกโยธินอังกฤษพร้อมเอกสารลวง)  ในช่วงต้นปี ค.ศ.1944 MI6 ได้จัดตั้ง ส่วน IX ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นส่วนต่อต้านโซเวียตตั้งแต่ก่อนสงคราม และข่าวรั่วไปยัง NKVD เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษทั้งหมดที่ปฏิบัติการในโซเวียตรวมถึงข่าวสารข้อมูลที่ OSS ของสหรัฐอเมริกาแบ่งปันกับอังกฤษเกี่ยวกับโซเวียตด้วย ในยุคสงครามเย็น MI6 พลาดท่าเสียทีบ่อย ๆ ด้วยเรื่องของสายลับสองหน้า และการแปรพักตร์ ทำให้ข้อมูลสำคัญตกไปอยู่ในมือสหภาพโซเวียต และ MI6 มีส่วนในการโค่นนายกรัฐมนตรี Mohammad Mosaddegh ของอิหร่าน ในปี ค.ศ.1953 ส่งผลโดยตรงกับการปฏิวัติอิสลาม และการล่มสลายของรัฐบาล Pahlavi ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของอเมริกากับ Shah และความเป็นปรปักษ์ของสหรัฐอเมริกาต่อสาธารณรัฐอิสลาม และการแทรกแซงที่แสวงหาผลประโยชน์ของอังกฤษ ทำให้ชาวอิหร่านมองตะวันตกในแง่ร้าย และกระตุ้นให้เกิดความคลั่งไคล้ชาตินิยมจากความไม่พอใจจากการแทรกแซงจากต่างชาติ 

MI6 มีความเกี่ยวข้องกับสงครามโซเวียต – อัฟกานิสถานอย่างมาก จนกลายเป็นการปฏิบัติการลับที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง โดย MI6 สนับสนุนกลุ่มต่อต้านอิสลามซึ่งนำโดย Ahmad Shah Massoud และกลายเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการต่อสู้กับสหภาพโซเวียต โดยเจ้าหน้าที่ MI6 สองนายและครูฝึกทหารถูกส่งไปช่วย Massoud และนักรบของเขา พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียง วิทยุ และข้อมูลลับที่สำคัญเกี่ยวกับแผนการรบของสหภาพโซเวียต MI6 ยังมีส่วนช่วยในการทำลายเฮลิคอปเตอร์ของโซเวียตในอัฟกานิสถานเป็นจำนวนมากด้วย  

หลังจากการโจมตี 11 กันยายน (911) ในวันที่ 28 กันยายนรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้อนุมัติการส่งเจ้าหน้าที่ MI6 ไปยังอัฟกานิสถานและภูมิภาคโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับมูจาฮาดีนในทศวรรษที่ 1980 และผู้ที่มีทักษะทางภาษาและความเชี่ยวชาญในระดับภูมิภาค เจ้าหน้าที่ MI6 จำนวนหนึ่งพร้อมด้วยงบประมาณ 7 ล้านดอลลาร์ได้เดินทางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน ซึ่งพวกเขาได้พบกับนายพล Mohammed Fahim แห่งพันธมิตรภาคเหนือ และเริ่มทำงานกับผู้นำอื่น ๆ ในภาคเหนือและภาคใต้เพื่อสร้างพันธมิตรแห่งความมั่นคง สนับสนุนและติดสินบนผู้บัญชาการของกลุ่มตอลิบานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเปลี่ยนข้างหรือผละจากการสู้รบ นอกจากนั้นแล้ว MI6 ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ในอาหรับนับแต่สงครามในอิรักอีกด้วย

ปัจจุบัน MI6 ตั้งอยู่ที่ SIS Building, 85 Albert Embankment, Vauxhall, Lambeth, London, สหราชอาณาจักร เรื่องราวของ James Bond 007 ล้วนแล้วแต่เป็นจินตนาการกอปรกับประสบการณ์ของผู้แต่ง Sir Ian Fleming ดังนั้น ‘James Bond 007’ และ ‘ใบอนุญาตฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย’ จึงไม่มีอยู่จริง แต่หน่วยงานที่มีอยู่จริงคือ ‘Secret Intelligence Service (SIS หรือ MI6)’ นั่นเอง

19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงสาธิตการทดลองฝนหลวงให้ผู้แทนรัฐบาลสิงคโปร์

ย้อนไปเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงควบคุมการทดลองปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อสาธิตให้ผู้แทนของรัฐบาลสิงคโปร์ชม ณ อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน 

โดยเหตุการณ์ในวันนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝน หวังผลให้ตกในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสิงคโปร์ที่กำลังประสบภาวะแห้งแล้งอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับสภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ในขณะนั้น ขอส่งนักวิทยาศาสตร์มาสังเกตการณ์และขอรับถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญใน การปฏิบัติการทำฝนหวังผลในประเทศไทย 

ในการนี้ทรงพระกรุณารับบัญชาการปฏิบัติการสาธิตด้วยพระองค์เอง ทรงกำหนดให้อ่างเก็บน้ำของเขื่อนแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีพื้นที่ผิวน้ำเพียง 46.5 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,162.5 ไร่ เป็นพื้นที่เป้าหมายหวังผลในการปฏิบัติการทำฝนสาธิตครั้งนี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยปฏิบัติการค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการทำฝนหวังผลที่ผ่านมา ทรงสามารถบังคับหรือชักนำฝนให้ตกลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานอย่างแม่นยำภายในเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนับจากเริ่มปฏิบัติการ เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาและเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่นักวิทยาศาสตร์สิงคโปร์ และข้าราชบริพารที่เป็นข้าราชการและข้าราชบริพารระดับสูงที่เฝ้าฯ สังเกตการณ์อยู่ ณ ที่นั้น ต่างประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ 'โครงการพระราชดำริ ฝนหลวง' เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี 2495 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาด แคลนน้ำ อุปโภค บริโภค และการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน โครงการพระราชดำริฝนหลวง ให้กับ ม.ร.ว. เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น 

ต่อมาปี 2512 โครงการฝนหลวงประสบความสำเร็จมากขึ้น จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกาก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ในปี 2518 ต่อมาประเทศไทยได้จดทะเบียนกิจกรรมฝนหลวง กับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก แห่งสหประชาชาติ เป็นครั้งแรกในปี 2525 และนำความรู้ด้านการสร้างฝนเทียมนี้เผยแพร่ไปยังต่างประเทศที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำฝน 

จากนั้นองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกจึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 ต่อมารัฐบาลไทยจึงมีมติเทิดพระเกียรติพระองค์ในฐานะ 'พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย' เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 และกำหนดให้วันที่ 19 ตุลาคม ของทุกปีเป็น 'วันเทคโนโลยีของไทย' เริ่มครั้งแรกในปี 2544

20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7) ทรงพระประชวรไข้พระวรกาย และเสด็จสวรรคต ณ พระตำหนัก พระราชวังพญาไท เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 

สำหรับ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 66 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2407 เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 พระชนมายุ 55 ปี พระองค์มีพระราชโอรสธิดาทั้งสิ้น 9 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรส 7 พระองค์ พระราชธิดา 2 พระองค์

เมื่อแรกประสูติพระองค์ได้รับพระราชทานพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี  พระองค์มีพระเชษฐาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสิ้น 6 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชยพระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ 

เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาที่เฉียบแหลมมาก ทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาหมั่นซักถามแสวงหาความรู้ด้วยพระวิริยะอุตสาหะและทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นเครื่องแสดงถึงการที่ทรงมีพระวิริยะ พระปัญญาปราดเปรื่องหลักแหลม ต่อมาขณะที่มีพระชนม์ 15 พรรษา ทรงเข้ารับราชการเป็นมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และในปีถัดมาก็ได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี

ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อมา พร้อมทั้งสถาปนาพระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ในฐานะเป็นพระชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 เพื่อตรวจดูแบบแผนราชการแล้วนำมาเปรียบเทียบปรับปรุงการปกครองของราชอาณาจักรสยาม พร้อมกันนั้นก็เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศในยุโรป พระองค์จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินได้เรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ด้วยพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถจรรยนุวัติปฏิบัติ ประกอบด้วยพระราชอัธยาศัยสภาพสมด้วยพระองค์เป็นขัตติยนารีนาถ และกอปรด้วยพระกรุณภาพยังสรรพกิจทั้งหลายที่ได้พระราชทานปฏิบัติมาล้วนแต่เป็นเกียรติคุณแก่ประเทศสยามทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธย จากสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็น 'สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ' เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกในประเทศไทย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราช กุมาร ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ในฐานะพระราชมารดาพระองค์จึงทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น 'สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี' และทูลเชิญพระองค์เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไท ซึ่งพระองค์ก็เสด็จประทับที่พระราชวังแห่งนี้จนกระทั่งเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้ออกพระนามพระบรมราชชนนีภายหลังการเสด็จสวรรคตว่า ‘สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง’

ด้วยพระเกียรติคุณที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนนานัปการ จนเป็นที่ประจักษ์ชัดจนถึงทุกวันนี้ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส จึงได้ประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณยกย่องให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็น 'บุคคลสำคัญของโลก' ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษาสำหรับเด็กและสตรี การศึกษาด้านการสาธารณสุขศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ประยุกต์และสังคม และมนุษยศาสตร์ ปี พ.ศ.2557 เนื่องในโอกาสครบ 150 ปี แห่งการพระราชสมภพ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติคุณให้ปรากฏแผ่ไพศาล สืบไป

21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 วันพระราชสมภพ ‘สมเด็จย่า’ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่า ของปวงชนชาวไทย

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10)

ตลอดพระชนม์ชีพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์ทรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนที่ยากไร้และชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพในปี พ.ศ. 2538 รวมพระชนมายุ 95 พรรษา
 .
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้ยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็น ‘บุคคลสำคัญของโลก’ ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นเพื่อส่วนรวมในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ประยุกต์ การพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม

พระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวไทยและประเทศชาติมีมากมาย พระองค์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ทรงอุทิศพระวรกายและสละเวลาให้แก่ประชาชน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยตลอดมา รัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันสำคัญของประเทศไทย ดังนี้

• วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ 
ด้วยพระเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จย่า ทรงมีต่อประชาชนที่ได้พบเห็นในถิ่นทุรกันดารในเรื่องของโรคภัย คือ เรื่องโรคฟัน ถือเป็นโรคหนึ่งที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดารและไม่สามารถช่วยตนเองได้ ในปี พ.ศ. 2512 พระองค์จึงทรงจัดตั้ง ‘หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระราชชนนี’ (พอ.สว.) ขึ้น และทรงให้ทันตแพทย์ร่วมปฏิบัติงานในหน่วยแพทย์พอ.สว.นี้ รวมทั้งพระองค์ได้พระราชทานวิชาชีพทันตแพทยศาสตร์และทันตบุคลากร ในปี พ.ศ.  2532 คณะรัฐมนตรีเห็นว่าสมเด็จย่ามีพระมหากรุณาธิคุณ จึงกำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม เป็นวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ และพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญาแก่พระองค์เป็น ‘พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย’

• วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ
สืบเนื่องจากพระองค์ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและเวลาเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก และสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติตนและการปฏิบัติงานเพื่อสังคมส่วนรวม เมื่อปี พ.ศ. 2528 รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ในปี 2542 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศพระนามให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ : การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม 

• วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ
วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ หรือ วันรักต้นไม้แห่งชาติ หรือ ‘วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ’ (National Annual Tree Care Day) ถือกำเนิดขึ้นจากแรงปณิธานของสมเด็จย่า ที่ทรงให้ความสำคัญการบำรุงรักษาต้นไม้และฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2533 กำหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น ‘วันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ’ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อสมเด็จย่า ที่ทรงงานพัฒนาชนบทโดยเฉพาะการฟื้นฟูสมดุลของธรรมชาติ

• วันพยาบาลแห่งชาติ 
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และด้วยพระวิริยะอุตสาหะ กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี ให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปีเป็น วันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา

‘ศูนย์วิจัยกสิกร’ เปิดตัวเลข GDP ไตรมาส 3 จีนโต 4.6% คาดทั้งปีโต 4.8% หลุดเป้า เหตุจากการเมืองระหว่างประเทศ

(18 ต.ค. 67) ศูนย์วิจัยกสิกร หรือ KResearch รายงานว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 4.6%YoY ในไตรมาส 3/24 โดย 9 เดือนแรกของปี 2024 เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ 4.8%YoY โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญ โดยการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ 9 เดือนแรกของปี 2024 ยังหดตัวที่ -10.1%YoY

2.การบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแอ รวมถึงความเสี่ยงจากเรื่องเงินฝืดยังมีอยู่ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนก.ย.2024 ขยายตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 0.4% และ 0.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลจากการเพิ่มเงินอุดหนุนในมาตรการ Trade in (ของเก่าแลกของใหม่) เดือนก.ค. 2024 ช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกในไตรมาส 3/24 เติบโตอยู่ที่ 2.7%YoY ทรงตัวจากไตรมาส 2/24 ที่ 2.6%YoY

3.การส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3/24 โดยขยายตัวอยู่ที่  6.0%YoY จาก 5.7%YoY ในไตรมาส 2/24 จากการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปจากความกังวลเกี่ยวกับการยกระดับสงครามการค้า และการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.2024 อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้าการส่งออกจะเริ่มมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจชะลอลง หลังมีการเร่งส่งออกไปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024

4.ด้านอุตสาหกรรม High-tech ที่ทางการจีนให้ความสำคัญยังเป็นอีกปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 3/24 โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรม High-tech  และการลงทุนในอุตสาหกรรม High-tech ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เติบโตได้อยู่ที่ 9.1%YoY และ 10.0%YoY ตามลำดับ

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 3/24 จากมาตรการเศรษฐกิจที่ทางการจีนทยอยออกมา โดยคาดว่าจะมีมาตรการทางการคลังออกมาเพิ่มเติม ซึ่งขนาดของวงเงินและรายละเอียดของมาตรการน่าจะมีออกมาในช่วงสิ้นเดือนต.ค.2024 ถึงต้นเดือนพ.ย.2024 นอกจากนี้ ในฝั่งมาตรการทางการเงินคาดมีการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมอีก 0.25-0.50% ตามที่ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนได้ระบุไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน คือ

1.สถานการณ์การกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. 2024 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าไม่ว่าจะเป็นพรรคใดที่ได้รับการเลือกตั้ง สหรัฐฯ จะเพิ่มการกีดกันการค้ากับจีน ขณะที่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการปรับเพิ่มภาษีจากประเทศอื่น ๆ

2.ภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในประเทศ ซึ่งการคลี่คลายปัญหายังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี แม้ทางการจะทยอยออกมาตรการต่าง ๆ เช่น ปรับลดเงินดาวน์ และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุดมีการขยายวงเงินในมาตรการ whitelist ที่สนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 4 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ตาม ราคาที่อยู่อาศัย ยอดขายที่อยู่อาศัยรวมถึงการลงทุนในที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มชะลอลง นอกจากนี้ ดัชนีความต้องการในการซื้อบ้านยังคงปรับลดลง

3.ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะยังกดดันการบริโภคในประเทศ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายในภาคการเงิน แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีทิศทางชะลอตัวจะยังกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคของจีน เนื่องจากครัวเรือนในจีนมีความมั่งคั่งประมาณ 70% อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตที่ 4.8% ต่ำกว่าเป้าหมายทางการที่ 5.0%

บรรณาธิการดัง ชี้งานหนังสือ 67 คนแน่น หลายสำนักพิมพ์ทำยอดขายถล่มทลาย

(18 ต.ค. 67) เริงวุฒิ มิตรสุริยะ บรรณาธิการและนักเขียน เจ้าของหนังสือชื่อดัง เช่น บุพเพสันนิวาสในประวัติศาสตร์อยุธยา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวบรรยายถึง บรรยากาศงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ว่า

คำแรกที่พบกับเจ้าของบูธ หรือเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ไปเปิดบูธ ผมจะถามว่า "เป็นงัยปีนี้ขายดีไหม?"

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะนำข้อมูล หรือไม่อยากพูดมาก เพราะเกรงครหาหมั่นไส้ แต่ส่วนใหญ่ต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า "ปีนี้ดีเลย" แม้แต่คุณเหม่ง แห่งบูธ สมาคมนักเขียน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บูธสมาคมนักเขียน ไม่เคยมีประวัติเลยว่าจะมีคนมาต่อคิวเพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ ปีนี้มีให้เห็น

บางแห่งอย่างบูธ สำนักพิมพ์แสงดาว พบคุณจรัญ หอมเทียนทอง ที่ทำหน้าที่อยู่โยงเป็นกำลังใจทีมงาน ก็บอกว่าปีนี้แนวโน้มดี คนคึกคักทุกวัน บูธแสงดาวปีนี้ก็คึกคักขึ้นเพราะมีเลือดใหม่หลายคนเพิ่มเข้ามา ช่วยป้ายยากันครึกครื้น ลูกค้าคนไหนมาหาหนังสืออะไรเป็นบอกและแนะนำได้หมด

ไม่ต่างจากอีกหลายสำนักพิมพ์ แน่นอนว่ามีเพียงสำนักพิมพ์เพียงไม่กี่แห่งที่บอกว่า ยอดตก และเราเข้าใจได้ว่าที่ยอดตกก็เพราะ ในอดีตเคยเป็นดาวเด่นของงานปีหลัง ๆ ไม่มีหนังสือใหม่ เคยทำยอดเอาไว้สูง ปีนี้ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ขายแต่เล่มก่อนมีเล่มใหม่นิดหน่อย ยอดขายเลยตกลง แต่ไม่ได้เสียหายอะไร

หลายสำนักพิมพ์พนักงานขายเคยนั่งเหงา ๆ เบื่อ ๆ ปีนี้ก็คึกคักมีงานให้วุ่นวายเพิ่มขึ้นเพราะมีคนมาหยุดและจ้องหาหนังสืออยู่ตลอดเวลา

เศรษฐกิจไม่ดีอยู่หลายปี และงานหนังสือหาความนิ่งไม่ได้อยู่หลายวาระ บรรดาสำนักพิมพ์ที่ยังใช้โลกทัศน์เก่ามอง ปีนี้เลยพลาดอย่างมาก บางสำนักจากเคยมีสองสามบูธก็ลดจำนวนบูธจองเหลือ หนึ่งหรือสองล็อค ยอดขายแทนที่จะทำได้ดี เลยตกลงตามจำนวนพื้นที่การขาย บางเจ้าบอกหยุดก่อน แต่มาเดิน เห็นคนมางานนี้ และใช้จ่ายกับหนังสือ ถึงกับร้องว่าเสียดาย 

อยากฟันธงว่า งานหนังสือครั้งหน้า มีนาคมหรือเมษายน บรรดาสำนักพิมพ์ที่เคยเข็ด ๆ ขยาด ๆ จะกลับมา ปีนี้เราแทบไม่ได้ยินอีกแล้วว่า ราคาเช่าบูธแพง ต่างจากงวดที่แล้วอย่างชัดเจน ทั้งที่ค่าเช่ายังแพงอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมมาอีกนิดหน่อย

ผมไปเดินครั้งก่อนวันศุกร์ ไปแบบแว๊บ ๆ เหมือนไอ้แมงมุมโหนสลิงตัวเองลงจอดแว๊บเดียวแล้วชิ่งกลับมา วันนี้วันพฤหัสเลือกเวลาที่คิดว่าน่าจะเป็นวันที่คนน้อยที่สุด เพราะพรุ่งนี้เย็นวันศุกร์คนเลิกงานน่าจะมาที่นี่กันเยอะ ไม่ต้องพูดถึงเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงซึ่งจะเป็นเสาร์อาทิตย์สุดท้ายที่คนเยอะแน่นอน

ปรากฏว่าไปถึง ตอนเที่ยงกว่า ๆ ดูเหมือนคนไม่เยอะมาก แต่เดินไปเดินมา เอะ คนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นักเรียนนักศึกษาเดินกันให้ควั่ก คนทำงานคนวัยเบบี้บูมที่ว่างงานแล้วก็มาเดินชิว ๆ เลือกหยิบหนังสือกลับไปอ่านคนละสามสี่เล่ม ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก 

อดคิดไม่ได้ว่าทำไมจู่ ๆ ปีนี้ งานมหกรรมหนังสือถึงคึกคักขึ้นมาได้ คำตอบคงไม่ใช่เพราะตรีมงานเรื่องผีแน่ ๆ อาจจะมีผลบ้างแต่ยืนยันว่าไม่ใช่ แต่คิดไปว่าน่าจะมาจากสภาพทางการเงินทางเศรษฐกิจที่ดูผ่อนคลายขึ้น บรรยากาศทางการบ้านการเมืองที่ไม่บีบเค้น แม้ต้องผ่านพ้นช่วงน้ำท่วมไป แต่ภาวะงานที่เงินหมื่นไหลเข้ากระเป๋าคนจนก่อนหน้านี้ ก็ช่วยกระตุ้นเป็นบอมทางการเงินเล็ก ๆ ให้กระเป๋าตังค์คนทั่วไปพลอยคึกคักขึ้น อาจเป็นภาวะทางจิตวิทยาก็ว่าได้ หลังจากคนรัดเข็มขัดกันมาจนท้องกิ๋วก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ผ่อนคลายลง

บรรยากาศทางสังคมที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ วนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ อวดรวย ขับรถหรู โชว์ของแพงและถูกจับกุม ประเทศที่ทนายหน้าหอสองสามคนออกทีวีแทบทุกช่องทางให้ได้เห็นและเริ่มเป็นผู้ทรงอิทธิพล กับมูลนิธิที่ช่วยเหลือประชาชนคนเสาะหาแหล่งช่วยเหลือทำหน้าที่แทนตำรวจ จนผู้คนเคยชิน ทำให้คนอยากกลับไปหาอะไรแปลกต่างหรือที่คุ้นเคยทำด้วยตัวเองมากขึ้น การเดินงานหนังสือ ซื้อหนังสือ เลยเป็นมุมกลับที่กระตุ้นให้บรรยากาศดีขึ้น

อ้อ...มีนิดหนึ่ง ไปงานหนังสือ ตอนเดินเข้างานผ่านประตูหมายเลขอะไรจำไม่ได้ เขาขึ้นปกหนังสือโชว์ หนังสือขายดีในงาน และหนังสือโดดเด่นของงานอะไรทำนองนั้น ผมไปยืนดู อดคิดไม่ได้ ใครเป็นคนเลือกหนังสือดีเด่นหรือหนังสือแนะนำอะไรพวกนี้หว่า....นี่คือหนังสือที่ชูหน้าชูตาคนไทยแล้วจริง ๆ เหรอ? 

มีเวลาอีกไม่กี่วัน ไปเดินงานหนังสือกันครับ ปีนี้บรรยากาศดีเลย ดีกว่าตามข่าว บอสเยอะเกินจำเป็นก็แล้วกัน ขอบอก

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 จะจัดถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2567นี้ ที่ฮอลล์ 5 - 7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ลูกจ้างผู้รับเหมาช่วงโรงกลั่น TOP ถูกลอยแพ จากเหตุผู้รับเหมาหลักเบี้ยวไม่จ่ายค่าแรง

(18 ต.ค. 67) จากกรณีที่สหพันธ์ผู้รับเหมาโรงกลั่น TOP โครงการพลังงานสะอาด CFP (Clean Fuel Project โรงกลั่นน้ำมันใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่เกิดจากการรวมตัวของ 24 บริษัทผู้รับเหมาช่วงไทย ได้ร่วมกันแถลงถึงผลกระทบที่เกิดจากการจ่ายเงินงวดของผู้รับเหมาหลัก ที่ล่าช้าต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน จนส่งผลกระทบ ต่อทั้งนายจ้างและแรงงานกว่า 2 หมื่นชีวิต พร้อมประกาศเดินเท้ายื่นหนังสือชี้แจงความเดือดร้อน 

รวมทั้ง ข้อเรียกร้องที่ต้องการให้เจ้าของโครงการฯ แสดงความชัดเจนในการเจรจากับบริษัทผู้รับเหมาหลัก เพื่อให้นำเงินที่ได้รับ ออกมาจ่ายค่างวดงานให้กับผู้รับเหมาไทย ก่อนที่สายป่านทางการเงินจะขาด จนต้องลอยแพแรงงานกว่า 20,000 คน

ล่าสุด เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ( 18 ต.ค.) นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้มอบหมายให้นายชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เดินทางมายังบริเวณโค้งด้านหน้าโรงเรียนบุญจิตวิทยา ซึ่งเป็นจุดนัดรวมตัวของตัวแทนนายจ้างและแรงงานจาก 24 บริษัทผู้รับเหมาช่วงไทย เพื่อร่วมเดินเท้าไปยื่นหนังสือต่อผู้บริหารโครงการพลังงานสะอาด ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี  

ขณะที่รูปแบบการเดินขบวนจะแบ่งเป็น 2 เส้นทางคือ ขบวนแรกได้ออกเดินจากประตู 1 โครงการพลังงานสะอาดฯ ไปยังป้ายสามเหลี่ยมด้านหน้าโครงการฯ

ส่วนขบวนที่ 2 เดินเท้าจากโรงเรียนบุญจิตวิทยา ไปยังป้ายสามเหลี่ยมหน้าโครงการฯ เพื่อร่วมบูม PAY PAY PAY เรียกร้องให้ผู้รับเหมาหลักจ่ายเงินงวด  

ทั้ง 2 ขบวน จะมีผู้ร่วมเดินเท้ามากกว่า 3,000 คน โดยจะมีทั้งผู้บริหารบริษัทรับเหมาช่วง และแรงงาน ที่พร้อมใจกันสวมใส่หมวก safety และเสื้อยูนิฟอร์มถือธงสัญลักษณ์ของแต่ละบริษัท รวมทั้งป้ายข้อความต่างๆ อาทิ คนจ่ายใจลอย คนคอยใจจะขาด , รอเงินจาก 10,000 บาทจากรัฐ ยังดูมีความหวังกว่ารอเงินจาก ...,  คนไทยตกงาน บริษัทต่างชาติไม่จ่ายเงิน หรือแม้แต่การระบุชื่อ 3 ผู้ร่วมทุนบริษัทรับเหมาหลักต่างชาติ พร้อมเรียกร้องให้จ่ายเงิน ฯลฯ  

ระหว่างเดินทางยังจัดทีมการ์ดของแต่ละบริษัทช่วยเคลียร์เส้นทาง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ปิดท้ายขบวนด้วยทีมแม่บ้านที่จะช่วยทำความสะอาดจุดที่เดินผ่าน เพื่อลดความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน

ส่วนเนื้อหาบางตอนที่ระบุในจดหมายซึ่งยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และผู้บริหารโครงการพลังงานสะอาด อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ระบุว่า

“ปัจจุบันผู้รับเหมาช่วงไทย กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการที่ผู้รับเหมาหลักค้างชำระค่าจ้างก่อสร้าง แม้ว่าผู้รับเหมาช่วงได้ส่งมอบงานตามสัญญาเรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นผลงานตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2567 รวมมูลค่าหลายพันล้านบาท และได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทผู้รับเหมาช่วงกว่า 100 กว่าราย และแรงงานกว่า 10,000 คน

นอกจากนี้ ผู้รับเหมาช่วงบางรายยังจำเป็นต้องดำเนินงานต่อโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จนทำให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่องเป็นระยะเวลายาวนาน โดยยังไม่ได้รับการเยียวยาหรือความช่วยเหลือที่เพียงพอจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้การค้างชำระค่าจ้างก่อสร้างดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในวงกว้างทั้งความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน เป็นโครงการสำคัญที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศการล่าช้าหรือหยุดชะงักของโครงการจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนพัฒนาพลังงานในระยะยาว

และยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานกว่าหลายพันคนและครอบครัวที่ถูกเลิกจ้างและที่กำลังจะถูกเลิกจ้างสถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ปัญหาสังคมที่รุนแรงในวงกว้าง เช่น การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม หรือปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน รวมทั้งความเชื่อมั่นต่อเจ้าของโครงการในไทย ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งมีกระทรวงการคลังถือหุ้นทางอ้อมในอันดับต้นๆ และอาจส่งผลกระทบระยะยาวในอนาคตฯลฯ ”

และยังได้มีการเรียกร้องให้ภาครัฐ และผู้ถือหุ้นทางอ้อมของเจ้าของโครงการ หาแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ในการบรรเทาความเดือดร้อนและรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย เพื่อประคองให้โครงการดำเนินต่อไปได้

รวมทั้งขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์การค้างชำระค่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในโครงการ และประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อความสำเร็จของโครงการ และจัดหามาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน สำหรับกลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วง รวมถึงแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานและครอบครัว

ที่สำคัญยังขอให้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดกระบวนการจ่ายค่าตอบแทนที่ค้างชำระ โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการช่วยเหลือทางกฎหมายหากจำเป็น

กรมทางหลวงเปิดมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี วิ่งฟรีสุดสัปดาห์

(18 ต.ค. 67) นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบาย 'คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย' ที่มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงสั่งการให้กรมทางหลวงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่พี่น้องประชาชนนั้น

กรมทางหลวงจึงเดินหน้าสานต่อนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด จะขยายช่วงเวลาเปิดวิ่งฟรี! ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ช่วงด่านฯ นครปฐมฝั่งตะวันตก – ด่านฯ กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กิโลเมตร ทุกวันศุกร์ถึงวันจันทร์ หลังจากที่ได้เปิดทดลองการให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง ทุกสัปดาห์ ช่วงวันศุกร์ เวลา 15:00 น. ถึงวันอาทิตย์ เวลา 21:00 น. ซึ่งประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดผู้ใช้บริการในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-14 ตุลาคม 2567) สูงถึง 32,450 คัน

อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) หรือมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี ได้รับความนิยมและมีปริมาณการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเส้นทางที่ช่วยร่นระยะเวลาเดินทาง เหลือเพียง 30 นาที จากเดิม 1 ชั่วโมง ส่งผลดีต่อการคมนาคมขนส่ง การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีและภาคตะวันตก 

กรมทางหลวงจึงขยายเวลาเปิดวิ่งฟรี ทุกวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึง วันจันทร์ เวลา 12.00 น. โดยสามารถเข้า – ออกได้ เฉพาะที่ด่านฯ นครปฐมฝั่งตะวันตก และด่านฯ กาญจนบุรี เริ่มตั้งแต่วันนี้ (18 ตุลาคม 2567) เป็นต้นไป

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 10 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้เพิ่มศักยภาพในการพัฒนาในการแข่งขันในตลาดสากล กลุ่มสาขาของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก ปี 2024

ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ภาคที่ 10 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ดำเนินกิจกรรมเพิ่มศักยภาพด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน สาขาของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก ในจังหวัดนครศรีธรรมราช และได้สนับสนุนเพิ่มศักยภาพของกลุ่มวิสาหกิจ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้หลากหลาย (Multifunction Product) ดังนี้

1. กลุ่มคีรี Kiree  >> พัฒนาผลิตภัณฑ์คลุมไหล่ ที่ยังสามารถใช้งาน ผ้าพันคอ และกระเป๋าได้อีกด้วย
2. วิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจพอเพียงในครัวเรือน >> พัฒนาผลิตภัณฑ์เทียมหอมไล่ยุง สามารถจุดไล่ยุงได้ และช่วยในการผ่อนคลาย ช่วยในการฝึกสมาธิ และผลิตจากไขถั่วเหลือง 100% ที่ยังสามารถนำน้ำตาเทียน มาทาบนผิวหนังให้ชุ่มชื่น
3. วิสาหกิจเกษตรกรชาวสวนบ้านต้นมะม่วง >> พัฒนาผลิตภัณฑ์ถ่านดับกลิ่นจากเปลือกมังคุด เป็นรูปมโนราห์ จัดเป็นนาฏศิลป์พื้นถิ่น เพื่อขจัดกลิ่นและไล่แมลงที่ไม่พึงประสงค์ได้ ในรถ ตู้เย็น ในห้องพัก และยังสามารถวางตกแต่งเพื่อความสวยงาม

DIPromCenter10 Boosts Product Development for Global Market Competitiveness in the Home Decor and Souvenir Sectors for 2024

DIPromCenter10, under the Department of Industrial Promotion, has enhanced its efforts to boost the competitiveness of local products in the global market, focusing on home decor, accessories, and souvenir sectors in Nakhon Si Thammarat province. As part of this initiative, three multifunctional products from local enterprises have been developed, each designed for versatile use as a multifunctional product.

One of the standout products is a multipurpose shoulder wrap developed by the 'Kiree Group'. This innovative product can also be used as a scarf and includes a convenient built-in pouch.

For inquiries, please contact:
Kiree Group
Moo 10, Ban Kiriwong, Kamlon Sub-district, Lan Saka District, Nakhon Si Thammarat Province  
Tel: 086-9467786

Another noteworthy enterprise is the 'Sufficiency Economy in Household Community Enterprise', which has developed a mosquito-repellent soy wax incense. This product not only repels mosquitoes but also promotes relaxation and concentration. Made from 100% soybean wax, the melted wax can be applied to the skin as a moisturizing agent.

For inquiries, please contact:
Sufficiency Economy in Household Community Enterprise
64/1 Moo 4, Khun Thale Sub-district Municipality, Lan Saka District, Nakhon Si Thammarat Province  
Tel: 061-1679335

Lastly, the 'Baan Ton Ma-Muang Agricultural Community Enterprise' has developed a mangosteen peel charcoal deodorizer, shaped like a traditional Manora dancer. This product is both functional and decorative, designed to eliminate odors and repel unwanted insects in cars, refrigerators, and living spaces.

For inquiries, please contact:
Baan Ton Ma-Muang Agricultural Community Enterprise
159 Moo 4, Lan Saka Sub-district, Lan Saka District, Nakhon Si Thammarat Province  
Tel: 088-7608209
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top