Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

30 วันแรกของการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย: เดินหน้า ทำทันที เพื่อเศรษฐกิจยุคใหม่ 🌱

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยผลงานสำคัญใน 30 วันแรก (11 ก.ย. - 10 ต.ค. 2567) ภายใต้การนำของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กับนโยบาย 'ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่' ซึ่งเน้นการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่วันแรก

🔵 การจัดการกากและสารพิษที่ปลอดภัย:
ยกระดับการจัดการกากอุตสาหกรรม
ตั้งกองทุนปฏิรูปอุตสาหกรรม
จัดกิจกรรม “อุตสาหกรรมรวมใจ บรรเทาปัญหาสารเคมีรั่วไหล”

🟢 สร้างความเท่าเทียมให้ SME ไทย:
ตั้งนิคมอุตสาหกรรม SME พร้อมศูนย์บ่มเพาะ (I-EA-T Incubation) ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 'เสือติดปีก' และ 'คงกระพัน' รวม 1,900 ล้านบาท พักชำระหนี้ SME และยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้โรงงานที่ประสบอุทกภัย

🟡 อุตสาหกรรมใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม:
ส่งเสริมการผลิตอ้อยสด ลดการเผาอ้อย และเพิ่มพลังงานชีวมวล
เปิดงาน ECO Innovation Forum 2024 ผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว
พัฒนา 'อุทยานหินเขางู' เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
หนุน ศวฮ. จุฬาฯ ใช้ AI ในอุตสาหกรรมฮาลาล

💚 จิตอาสาเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม:
ปลูกป่าชายเลน 77,100 ต้น ลดโลกร้อน 🌳
ลงพื้นที่เชียงราย ซ่อมแซมระบบประปา บรรเทาผลกระทบอุทกภัย
2,592,000 วินาทีแห่งความเปลี่ยนแปลง:
“เราจะทำทันที ทำทุกวินาที” – รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ พร้อมแปลงนโยบายเป็นการกระทำอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน

📌 ร่วมติดตามและเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจใหม่ไปด้วยกัน!

‘พีระพันธุ์’ ย้ำชัดภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัว ใช้พลังงานสะอาด สอดรับเทรนด์ของโลก

(17 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมให้สอคคล้องกับแผนพลังงานใหม่เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality” ในการจัดสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2024 โดยสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม ความตอนหนึ่งว่า 

ในเรื่องการปรับตัวไม่ใช่แต่ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัว ภาครัฐก็ต้องปรับตัว โดยการปรับตัวไม่ได้แค่ให้สอดคล้องกับแผนพลังงานใหม่เท่านั้น แต่ต้องปรับให้เข้ากับเทรนด์โลกด้วย เพราะทุกภาคมีส่วนในการปล่อยมลภาวะนำสู่ภาวะโลกร้อน เห็นได้จากภัยน้ำท่วมในไทย พายุเฮอริเคน ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

สิ่งที่ต้องทำให้เราปรับตัวเข้ากับเทรนด์โลกคือ การลดคาร์บอนที่เกิดจากการใช้พลังงาน เพื่อสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 และNet Zero 2065 ซึ่งภาคอุตสหากรรมยังต้องใช้พลังงานฟอสซิล เพราะฉะนั้นในแผนพลังงานใหม่จึงวางไว้ให้การผลิตไฟฟ้าที่มาจากเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนมากขึ้น ซึ่งไทยเน้นที่พลังงานจากแสงแดด แผน PDP ใหม่จึงต้องเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้น 

อย่างไรก็ดี การปรับตัวดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในความเป็นจริงต้นทุนการผลิตเชื้อเพลิงนั้นถูก แต่ระบบการผลิตแพง และมีกฎระเบียบเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดข้อยุ่งยากเป็นอุปสรรค 

ในฐานะเข้ามารับผิดชอบกระทรวงพลังงานจึงกำลังศึกษาร่างกฎหมาย เพื่อทำอย่างไรให้เอกชนหรือภาคอุตสาหกรรมสามารถติดตั้งระบบไฟฟ้าได้เอง ได้ง่าย เน้นให้สามารถผลิตในประเทศทำให้ต้นทุนต่ำ เพื่อลดต้นทุนให้กับทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรมด้วย

โดยภาคอุตสาหกรรมจะต้องเหนื่อยมากหน่อย เพราะต้องเผชิญอุปสรรคทางการค้า หากสินค้าไม่ผลิตจากพลังงานสะอาดก็จะถูกข้อกีดกันจากประเทศนำเข้า อาจไม่รับซื้อ ผมถึงบอกว่าภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่แค่ปรับตัวให้เข้ากับแผนพลังงานใหม่ แต่ต้องปรับตัวเข้ากับโลกด้วย ซึ่งในภาคปฏิบัติ ภาคอุตสาหกรรมต้องช่วยคิดวิธีแก้ไขและนำเสนอมากับทางภาครัฐ

ภารกิจของแผนพลังงานฉบับใหม่จะต้องไม่ใช่เป็นภาระ แต่เพื่อประเทศเดินหน้าสอดคล้องโลก อย่างไรก็ดี ทั้งหมดของแผนต่างๆ ไม่ได้สำคัญไปกว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของชีวิตมนุษย์ ซึ่งภาครัฐพยายามดำเนินการให้มั่นใจได้ว่ากระทรวงพลังงานดำเนินการแผนพลังงานเพื่อประโยชน์ของประเทศ เพื่ออุตสาหกรรม เพื่อประชาชน ซึ่งขณะนี้แผน PDP อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็น หวังว่าท่านที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะได้ช่วยระดมความคิดช่วยมองให้สอดคล้องกัน

หรือพูดง่ายๆว่า ทำอย่างไรให้คาร์บอนลดลงจากภาคการผลิตและการใช้พลังงานก่อนจะเดินทางไปสู่ Net Zero ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำ และการจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจทุกฝ่าย เช่น ภาคอุตสาหกรรมทำอย่างไรให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง เพราะค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำคัญต่อทุกภาคส่วน

ภาระหน้าที่ของผมคือต้องสร้างความคล่องตัว ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ควบคุมไม่ได้จากการพึ่งพาเชื้อเพลิงในการผลิคจากก๊าซในอ่าวไทย นำเข้าจากเมียนมา และมั่นใจว่าวันนี้วิทยากรที่มาร่วมสัมมนามีองค์ความรู้เพื่อจะเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมรับมือกับเทรนด์โลกได้อย่างทันท่วงที

‘อัครเดช’ จี้ตรวจสอบถังดับเพลิงแบตรถ EV หลังสืบพบติด มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต

(17 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงข่าวของ กรรมาธิการอุตสาหกรรมฯว่า

จากปัจจุบันประชาชนได้หันมาใช้รถยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV ซึ่งใช้แบบเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งหากเกิดเหตุเพลิงไหม้ การดับเพลิงจะทำได้ยากกว่าเหตุเพลิงไหม้ทั่วไป ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งในเรื่องนี้ จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาประสิทธิภาพการระงับเหตุเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขึ้นมาโดยเฉพาะ 

คณะทำงานชุดดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง จากหลายภาคส่วน เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร, สมาคมดับเพลิงและช่วยชีวิต พบข้อมูลเบื้องต้นว่าประสิทธิภาพของทั้งอุปกรณ์ และสารเคมีดับเพลิงในการระงับเพลิงไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควร

ดังนั้นจึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดับเพลิงที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เพื่อลดการสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน 

นอกจากนี้คณะทำงานชุดดังกล่าว ยังได้พบว่าในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ดับเพลิง หรือ ถังดับเพลิง ซึ่งอ้างว่าสามารถใช้ดับเพลิงที่เกิดจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือรถ EVได้ และยังมีตรา มอก. กำกับ แต่อย่างไรก็ดีจากการสืบสวนในทางลับของคณะทำงาน พบว่ามีโอกาสที่จะเป็นการลอบประทับตรา มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต คณะทำงานจึงนำเรื่องมาเพื่อหารือกับคณะกรรมาธิการ 

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ จึงได้ประสานงานไปยังเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า บริษัทดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย รวมถึงมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปแล้วอีกด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่อาจจะส่งผลร้ายในอนาคตขึ้นได้ เนื่องจากประชาชนที่ใช้อุปกรณ์ดับเพลิงดังกล่าวในการดับเพลิงรถ EV หรือเพลิงไหม้จาก แบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนแต่ไม่สามารถดับได้จริง ย่อมจะทำให้เกิดการสูญเสียในทรัพย์สิน และอันตรายถึงชีวิตของพี่น้องประชาชนได้

นอกจากนี้ยังมีเอกสารหรือ การกล่าวอ้างอีกว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัท ในเครือ ปตท. จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่จะต้องมีธรรมาภิบาลในการดำเนินการ โดยกิจการในกำกับต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด  และ ผู้บริหารต้องมีส่วนรับผิดชอบ

ดังนั้นตนจึงเรียกร้องไปยังบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ว่าบริษัทที่ทำผิดกฎหมายมาตรฐานอุตสาหกรรมเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท.หรือไม่ รวมทั้งออกมาชี้แจงให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว และหากบริษัทดังกล่าวถือหุ้นโดย ปตท. จริงจะต้องมีมาตรการดำเนินการเพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงดำเนินการกับผู้กระทำความผิดกฎหมายอย่างไร 

นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าคณะทำงานของกรรมาธิการอุตสาหกรรมที่พิจารณาเรื่องนี้อยู่จะดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องดับเพลิงหรือสารดับเพลิงของบริษัทดังกล่าวที่มีการใช้ตราสินค้ามาตรฐานอุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตว่ามีประสิทธิภาพในการระงับเพลิงจาก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าหรือไม่อย่างไร ซึ่งได้มีการทดสอบไปแล้วอยู่ระหว่างการสรุปผล เสนอกรรมาธิการอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วน

คณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมไฟไหม้รถยนต์เหมือนที่เพิ่งเกิดขึ้นมากับรถแก๊สที่สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศจึงจะเร่งดำเนินการ กรณีดังกล่าวกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนต่อไป

บขส. เปิดให้บริการรถทัวร์ ‘อุดรธานี-วังเวียง’ เริ่ม 1 พ.ย. 67 ลดระยะเวลาเดินทางเหลือ 5 ชม.

(17 ต.ค. 67) นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป บขส. จะกลับมาเปิดให้บริการเดินรถระหว่างประเทศไทย - ลาว เส้นทางที่ 9 อุดรธานี - ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี - หนองคาย - วังเวียง เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้เกิดการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างสนามบินและรถไฟความเร็วสูง สปป.ลาว - จีน ได้อย่างสะดวก รวดเร็วและไร้รอยต่อ 

สำหรับเส้นทางดังกล่าว มีระยะทาง 240 กิโลเมตร การกลับมาเปิดให้บริการครั้งนี้จะเดินรถโดยใช้เส้นทางด่วน เวียงจันทน์ - วังเวียง ใช้ระยะเวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง 30 นาที จากเดิมใช้เส้นทางเดินรถทางราบปกติ ใช้ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ดังนั้น หากใช้เส้นทางด่วนจะช่วยประหยัดเวลาเดินทางได้ประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ใช้รถโดยสารปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 40 ที่นั่ง ให้บริการวันละ 2 เที่ยววิ่งต่อวัน (ไป - กลับ) แบ่งเป็น เที่ยวไป ต้นทางรถออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุดรธานี แห่งที่ 1 เวลา 08.30 น. - ท่าอากาศยานอุดรธานี เวลา 09.00 น. - สถานีขนส่งหนองคาย เวลา 10.20 น. ส่วนเที่ยวกลับรถออกจากวังเวียง เวลา 09.00 น. ค่าโดยสาร 500 บาท 

ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ทุกช่องทางของ บขส. อาทิ ช่องทางออนไลน์ Facebook Page : บขส. Line : @บขส.99 เว็บไซต์ บขส. Application E-ticket และช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร บขส. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2936 3660 ในวันและเวลาราชการ หรือสถานีเดินรถอุดรธานี โทร. 0 4222 1489 หรือจุดบริการท่าอากาศยานอุดรธานี โทร. 09 8437 2488

วิปรัฐบาล-ฝ่ายค้านเห็นร่วมกันเลื่อนการพิจารณา แก้รัฐธรรมนูญไปประชุมสภาสมัยหน้า คาดกลาง ธ.ค.

(17 ต.ค. 67) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ภายหลัง สส.หารือความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เสร็จสิ้น นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แจ้งผลการหารือกับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กรณีวันประชุมสภาในสัปดาห์หน้า ว่า ประธานวิปทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมวันที่ 24-25 ตุลาคม โดยในวันที่ 24 ตุลาคมจะเป็นกระทู้ต่างๆ เพื่อตรวจสอบรัฐบาล ขณะที่วันที่ 25 ตุลาคมจะเป็นการพิจารณาญัตติต่างๆ ที่ค้างอยู่

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าหากพิจารณาในสมัยประชุมนี้จะเป็นการกระชั้นชิดเกินไป จึงต้องการจะพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมหน้า เบื้องต้นทางสภาเห็นว่าวันที่ 16-18 ธันวาคมโดยประมาณ ซึ่งอยากให้นายวันมูหะมัดนอร์นำช่วงวันดังกล่าวไปหารือกับนายมงคล สุรัจจะ ประธานวุฒิสภา

ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในสมัยหน้านั้น จะได้หารือกับนายมงคลก่อนต่อ ซึ่งตอนนี้นายมงคลไม่อยู่ เนื่องจากมีภารกิจติดประชุมที่ต่างประเทศ เมื่อท่านกลับมาจะไปปรึกษาท่าน หากได้ผลเป็นอย่างไรจะเรียกวิปสามฝ่ายมาประชุมโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง และหากมีข้อกฎหมายที่จะนำเข้าสู่การพิจารณา ก็สามารถนำเสนอก่อนประชุมได้

ออท.สหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคำนับ รอง นรม.และ รมว.กห.

(17 ต.ค. 67) ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ภายในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม พลตรี ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง นาย Robert F. Godec (รอเบิร์ต เอฟ โกเด็ก) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย (ออท.สหรัฐฯ/ไทย) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี

(รอง นรม.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กห.) เพื่อแสดงความยินดี ในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง รมว.กห. และหารือในหลายประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับความร่วมมือ ด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

โดย รอง นรม. และ รมว.กห. ขอบคุณ ออท.สหรัฐฯ/ไทย และชื่นชมในความร่วมมือที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินการเกิดผลสัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดี ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งด้านการศึกษา การพัฒนากองทัพ การแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ ทำให้เกิดความทันสมัยของกองทัพทั้ง 2 ประเทศ อันนำมาซึ่งความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และจะทำให้เกิดความสงบสุขในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก

การหารือ ได้กล่าวถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือน การประชุมระดับต่างๆ การปรับการเกณฑ์ทหาร โดยใช้รูปแบบความสมัครใจเหมือนกับของกองทัพสหรัฐฯ มาเป็นแนวทางใน การพัฒนา เพื่อปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด รวมทั้งการสนับสนุนให้กำลังพลของกองทัพไทย ได้เข้าไปร่วมฝึก/ศึกษา ณ ประเทศสหรัฐฯ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การจัดหายุทโธปกรณ์และส่งกำลังบำรุง รวมทั้งการฝึกร่วม/ผสม Cobra-Gold ที่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการฝึกที่เก่าแก่และยาวนาน รวมทั้งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค นับเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย และส่งเสริมขีดความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกัน

สำหรับประเด็น ความท้าทายด้านไซเบอร์ระหว่างกองทัพไทยกับสหรัฐฯ ได้มีการพูดคุยถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับความร่วมมือ การแก้ปัญหาไซเบอร์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความมั่นคง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการข่าวและการก่อการร้าย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในการผลิตเพื่อบรรจุการใช้งานให้กับเหล่าทัพบนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมส่งออกได้ต่อไป ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศชั้นนำของโลก โดยเฉพาะด้าน การจัดโครงสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ทั้งระบบ
ทั้งนี้ การเข้าเยี่ยมคำนับ ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้มีความแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในภูมิภาค

ภายหลังการเข้าพบ ออท.สหรัฐฯ/ไทย ได้ขอบคุณ รอง นรม. และ รมว.กห. ที่กรุณาสละเวลาให้การต้อนรับในวันนี้ และชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร รวมทั้งยินดีอย่างยิ่งหากไทยและสหรัฐฯ จะได้พัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างกันต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ถอดบทเรียนจากต่างประเทศ อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. แนะ 5 แนวทาง ออกกฎหมายคุม ‘อินฟลูเอนเซอร์’

(17 ต.ค. 67) ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวสภาผู้บริโภค ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอินฟลูเอนเซอร์เยอะมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่ใช้สื่อออนไลน์อย่างแพร่หลาย เพราะฉะนั้นการใช้อินฟลูเอนเซอร์จึงเป็นการตลาดที่เข้าถึงคนไทยได้ง่าย และรวดเร็ว รวมถึงคอนเทนต์ที่มีความหลากหลาย และเกินจริง ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นข่าวว่าอินฟลูเอนเซอร์ได้นําแนวคิดหรือความเชื่อบางอย่างที่หมิ่นเหม่ เช่น การลงทุนในการพนันออนไลน์ การดูแลสุขภาพแบบผิด ๆ การชวนลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ หรือเรื่องความเชื่อทางศาสนา

เมื่อถามถึงกฎหมายที่จะเข้ามาควบคุม ผศ.ดร.เอมผกา ได้ยกตัวอย่างกฎหมายควบคุมอินฟลูเอนเซอร์จากในหลายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทย โดยถูกแบ่งออกเป็น 5 แนวทาง

แนวทางที่ 1 ‘ให้ข้อมูลว่าเป็นการโฆษณา’ เป็นกฎหมายบังคับว่าอินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งให้ชัดว่ารีวิวนั้นเป็นโฆษณา ซึ่งกลไกนี้จะถูกระบุอยู่ในกฎหมายทั้งในประเทศแถบเอเชียและยุโรป เช่น เกาหลีใต้ อินเดีย นิวซีแลนด์ แคนาดา โดยใส่แฮชแท็กระบุชัดเจนว่าเป็นโฆษณาไว้ตั้งแต่ต้นโพสต์หรือต้นคลิปวิดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่ารีวิวนั้นเป็นการโฆษณา

แนวทางที่ 2 ‘เปรียบอินฟลูเอนเซอร์ คือผู้ประกอบธุรกิจ’ หลายประเทศมองว่าอินฟลูเอนเซอร์ คือผู้ประกอบธุรกิจ เพราะว่าอินฟลูเอนเซอร์ ทำคอนเทนต์แลกกับยอดวิวซึ่งยอดวิวก็นำมาสู่รายได้ เท่ากับเป็นผู้ประกอบธุรกิจ และในเชิงผู้ประกอบธุรกิจจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาบังคับใช้

แนวทางที่ 3 ‘เปิดเผยข้อมูล’ ต้องมีการเปิดเผยตัวตนที่ชัดเจน ที่สามารถเจาะจงไปได้ว่าคนนี้คือใคร เช่น นอร์เวย์ ออกกฎหมายกำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องแจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาสินค้าบนโซเชียลมีเดียต่อหน่วยงานรัฐ

แนวทางที่ 4 ‘ควบคุมเนื้อหา’ เป็นกลไกที่มองถึงการควบคุมเนื้อหาที่มีความอ่อนไหว หรือข้อมูลที่อาจผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ เช่น ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ ต้องจดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตจากสภาสื่อแห่งชาติ (NMC) เพื่อป้องกันการโฆษณาที่ ผิดกฎหมาย และการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรืออันตรายต่อสาธารณะ

“ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์แล้วต้องขอใบอนุญาต แต่จะเป็นเฉพาะคอนเทนต์เท่านั้นที่ต้องขอใบอนุญาต เช่น การเงินการธนาคาร การทำเสริมความงาม การรักษาโรค ต้องเป็นคนเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้นที่จะพูดได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดเรื่องรักษาโรคได้ แต่ต้องเป็นหมอจริง ๆ เท่านั้น” ผศ.ดร.เอมผกากล่าว

แนวทางที่ 5 ‘ทำแนวทางหรือข้อแนะนำ’ ไม่ใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นการทำคู่มือแนะนำอินฟลูเอนเซอร์ สำหรับบางประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะออกกฎหมายรูปแบบไหน โดยทำเป็นคู่มือแนะนำไปก่อนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ ให้เรียนรู้ ตระหนัก จากกฎหมายที่มีในปัจจุบัน

แม้ว่า ประเทศไทยยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน จะมีเพียงกฎหมายควบคุม เช่น พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.อาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค ที่เพิ่มกำหนดนิยาม ให้ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งครอบคลุมถึงพรีเซนเตอร์ ที่ทำการโฆษณาอาหาร จะต้องรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาด้วย

อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหา อาจต้องศึกษาจากตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมไทยต่อไป

สำหรับแนวทางที่ทำได้ในประเทศไทย ผศ.ดร.เอมผกาให้ข้อเสนอว่า “แนวทางที่สามารถทำได้ในเลยน่าจะเป็น การเปิดเผยว่าคอนเทนต์นี้คือการโฆษณา เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลในการตัดสินใจ รวมถึงการตีความว่าอินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้รับผิดบางอย่างที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคนั้นมีกลไกบังคับใช้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ระมัดระวังในการรับโฆษณาสินค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนการควบคุมเนื้อหาอาจารย์มองว่าเป็นแนวทางที่ดีเพื่อป้องกันข้อมูลข่าวปลอม แต่อาจขัดต่อบริบทสังคมไทย เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ถือว่าเป็นความท้าทายในการควบคุมเนื้อหาและการรักษาสิทธิแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย”

สงขลา-ทัพเรือภาคที่ 2 ตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้

(17 ต.ค.67) ที่สถานีการบิน ฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 เป็นประธานในพิธีตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 ด้วยในห้วง ต.ค. - ม.ค. ของทุกปี เป็นช่วงฤดูมรสุมในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกในพื้นที่ จว.สงขลา และพื้นที่ใกล้เคียงมีฝนตกหนัก อันเป็นเหตุให้เกิดอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม เพื่อเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนและเตรียมการรับมือกับเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้น 

ในช่วงมรสุมที่กำลังจะมาถึง เพื่อให้ทันท่วงที ลดการสูญเสียทรัพย์สินของประชาชนและของภาครัฐจากภัยพิบัติให้ได้มากที่สุด โดยมีการบูรณาการ การทำงานร่วมกันประกอบด้วย ศูนย์บรรเทาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา เทศบาลนครสงขลา เทศบาลเมืองเขารูปช้าง ศูนย์กู้ภัยสว่างสงขลาร่วมใจ ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเลจังหวัดสงขลา และบริษัท ปตท.สผ.จำกัด (มหาชน) 

จากนั้น ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในทัพเรือภาคที่2 และแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมในพิธี ก็ได้เดินตรวจเยี่ยมหน่วยต่างๆที่มาร่วมในพิธีตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาร่วมในพิธีฯในวันนี้ พร้อมเน้นย้ำให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่กำลังจะมาถึง อย่างเต็มขีดความสามารถและมีประสิทธิภาพสูงสุด พล.ร.ท.นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บรรเทา สาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 กล่าวว่า ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้อนุมัติให้ ทัพเรือภาคที่ 2 จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ตามที่กองทัพเรือจะมอบหมาย โดยพื้นที่รับผิดชอบ ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ทางบกประกอบด้วย จังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะ อำเภอสิงหนครและอำเภอระโนด จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ อำเภอขนอม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ อำเภอ เกาะสมุยและอำเภอเกาะพะงัน พื้นที่ทางน้ำประกอบด้วย พื้นที่ทางทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ และชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยตอนล่าง มีขั้นตอนการปฏิบัติ ตามแผน 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นเตรียมการก่อนเกิดเหตุ ขั้นการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุและขั้นการฟื้นฟูบูรณะภายหลังเกิดเหตุ

ปัจจุบันในพื้นที่รับผิดชอบ ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 เริ่มเข้าสู่ห้วงฤดูมรสุม คลื่นลมแรง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปในภูมิภาค ทำให้มีแนวโน้มที่อาจจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้ตลอดเวลา  ดังนั้น เพื่อให้มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้ดำเนินการจัดพิธีตรวจความพร้อมหน่วยต่าง ๆ ตลอดจนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ในวันนี้

ทั้งนี้หากมีเหตุประสบภัย ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัยหรือภัยพิบัติอื่น ๆ สามารถแจ้งมายังศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 074-325804 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว ปฏิบัติทันต่อเหตุการณ์ มีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน

‘ผอ.สำนักงานสลาก’ เผยจำหน่ายสลาก N3 วันแรก ประชาชนสนใจท่วม เก็บข้อมูลก่อนเปิดเต็มตัว เม.ย. 68

(17 ต.ค. 67) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) นำโดย พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย เรือโทสุภาสชาญ ทัศนกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานฯ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ที่ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ให้ความร่วมมือ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการจำหน่าย ‘สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก’ ซึ่งเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก ในงวดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 หรือ เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

พันโทหนุน เปิดเผยว่า บรรยากาศการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก ในระบบทดสอบแบบปิด (Sandbox) ในวันแรก เป็นไปด้วยความคึกคัก โดยในระยะการทดสอบนี้ สำนักงานสลากฯ จะเป็นผู้จำหน่ายเอง ไม่เกิน 5 ล้านฉบับต่องวด จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบจุดจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ในฟีเจอร์ 'ค้นหาร้านสลากตัวเลขสามหลัก' และสามารถชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ เท่านั้น ในราคาฉบับละ 20 บาท

ทั้งนี้ สำนักงานสลากฯ กำหนดให้ในช่วงระยะการทดสอบ ต้องจำหน่ายและซื้อสลากฯ ผ่านจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จำนวน 647 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้ความร่วมมือเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่า จุดจำหน่ายในหลายพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีการนำจอสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่ออธิบายขั้นตอนการจำหน่ายอย่างชัดเจน รวมทั้งมีการใช้สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก ที่หลากหลายมาใช้ในการจำหน่าย แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวอย่างมาก  

พันโท หนุน กล่าวว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลักเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่จ่ายเงินรางวัลแบบผันแปรตามจำนวนผู้ถูกรางวัลในแต่ละหมายเลขของงวดนั้น ๆ  หากผู้ซื้อต้องการทราบจำนวนเงินรางวัลในแต่ละประเภทรางวัลที่จะได้รับ สามารถตรวจสอบได้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังในฟีเจอร์ ‘เช็กเลขขายดีและเงินรางวัลงวดนี้’ ซึ่งจะแสดงจำนวนผู้ซื้อ , จำนวนเงินรางวัลทั้ง 1,000 หมายเลข ตั้งแต่ 000-999 ณ เวลาขณะนั้นให้ผู้ซื้อได้รับทราบ ก่อนตัดสินใจทำรายการซื้อ

“สำนักงานสลากฯ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความสนใจ และขอบคุณร้านค้าในจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ที่เข้าร่วมทดสอบการจำหน่ายด้วยความสมัครใจ ซึ่งขณะนี้ระบบการจำหน่ายต่าง ๆ มีความพร้อม และหลังจากนี้ สำนักงานสลากฯ จะติดตาม และเก็บรวบรวมข้อมูล ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ครบถ้วนรอบด้านมากที่สุด ก่อนที่จะเปิดให้มีการจำหน่ายเต็มรูปแบบในช่วงเมษายน 2568”

สำหรับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก จะใช้ผลรางวัลอ้างอิงจากผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก ที่กำหนดออกรางวัลเดือนละ 2 ครั้ง ในทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน หรือตามที่สำนักงานสลากฯ กำหนด โดยรางวัลสามตรงและสามสลับหลัก จะมาจากเลข 3 ตัวท้ายของผลรางวัลที่ 1, รางวัลสองตรงมาจากผลรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลพิเศษจะสุ่มจากผู้ถูกรางวัลสามตรงเท่านั้น ผู้ที่ถูกรางวัลจะได้รับการเตือนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง และสามารถกดรับเงินรางวัลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังได้ทันที

ทั้งนี้ การลงพื้นที่ดังกล่าว สืบเนื่องจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้จัดพิธีส่งมอบการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ขนาดการติดตั้งรวมทั้งสิ้น 100 กิโลวัตต์ ในโครงการ “สนับสนุนโรงเรียนสลากกินแบ่งสงเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2567 ทั่วประเทศ ด้วยการจัดหาและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้กับโรงเรียนในกลุ่มภาคเหนือตามแผนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม (CSR) ของสำนักงานสลากฯ

พีระพันธุ์-เอกนัฏ นำทีมรวมไทยสร้างชาติร่วมพิธีเปิด ประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว จ.สุราษฎร์ธานี

(18 ต.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้าร่วมในพิธีเปิดงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว จ.สุราษฎร์ธานี ประจำปี 2567 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-22 ตุลาคม 2567 

โดยมี คณะกรรมการบริหาร สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติได้ร่วมในงานประเพณีในครั้งนี้ อาทิ นายชุมพล กาญจนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นางสาววชิราภรณ์ กาญจนะ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร และสส.สุราษฎร์ธานี เขต 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ, รองศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, นางสาวกานสินี โอภาสรังสรรค์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 และรองเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ, นายพันธ์ศักดิ์ บุญแทน สส.สุราษฎร์ธานี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ, นายธานินท์ นวลวัฒน์ สส.สุราษฎร์ธานี เขต 7 พรรครวมไทยสร้างชาติ, นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร เขต พรรครวมไทยสร้างชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top