Saturday, 14 June 2025
TheStatesTimes

'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' ดึง 3 รุ่นดัง ย้ายฐานมาผลิตในไทย เริ่มปี 2025 ท่ามกลางเสียงต่อต้าน การเสียเอกลักษณ์แบรนด์ 'เมดอินอเมริกา'

(27 ส.ค.67) เว็บไซต์เดลีเมลรายงานว่า 'ฮาร์เลย์-เดวิดสัน' (Harley-Davidson) ได้เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า บริษัทจะย้ายฐานการผลิตรถมอเตอร์ไซค์จำนวนหนึ่งไปยัง 'ประเทศไทย' ซึ่งได้สร้างความกังวลต่อคนในพื้นที่รัฐวิสคอนซินว่าอาจจะทำให้เกิดการเลิกจ้างงานตามมา ในขณะที่หลายคนแสดงความไม่พอใจว่าแบรนด์ไอคอนนิกที่ขึ้นชื่อในความภูมิใจเรื่อง 'เมดอินอเมริกา' มาตลอด จะไม่ใช่แบรนด์ที่ผลิตในประเทศแล้ว

โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสันยืนยันในแถลงการณ์ว่า บริษัทจะย้ายการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ 3 รุ่น ไปผลิตในต่างประเทศเป็นการชั่วคราวเริ่มตั้งแต่ปี 2025 โดยรถทั้ง 3 รุ่นเป็นกลุ่มเครื่องยนต์ Revolution Max ที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ ได้แก่รุ่น Pan America, Sportster S และ Nightster

อย่างไรก็ตาม บริษัทระบุว่าการย้ายการผลิตดังกล่าวจะเป็นเพียงการย้ายชั่วคราวเท่านั้น และเป็นเพียงแค่รุ่นปี 2025 เท่านั้น และบริษัทยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 9 ล้านดอลลาร์ในโรงงานหลายแห่งที่สหรัฐอเมริกาด้วย

"การโยกย้ายครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับรถรุ่น Grand American Touring และรถรุ่นอื่นๆ ที่ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ เช่น รุ่น Softail และ Trike ที่โรงงานในเมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย "โฆษกของฮาร์เลย์-เดวิดสัน ระบุพร้อมเผยต่อว่า...

"การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานในโรงงานที่สหรัฐฯ"

อย่างไรก็ตาม บรรดาพนักงานในพื้นที่และสหภาพแรงงานของฮาร์เลย์-เดวิดสันต่างยังคงแสดงความกังวลและไม่เห็นด้วย โดยสหภาพแรงงาน The International Association of Machinists & Aerospace Workers (IAM) ระบุว่ารู้สึกเหมือน "ถูกแทงข้างหลัง" โดยถูกทรยศด้วยการย้ายฐานการผลิตดังกล่าวไปต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาขายในประเทศให้ผู้บริโภคชาวอเมริกัน 

"การประกาศล่าสุดของฮาร์เลย์-เดวิดสันที่จะโยกย้ายงานและตำแหน่งงานของเราไปยังประเทศไทย สร้างความผิดหวังอย่างมากให้คนงานชาวอเมริกันและยังเป็นการทรยศต่อชื่อเสียงที่สั่งสมมาในฐานะอเมริกัน ไอคอน”

ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ฮาร์เลย์-เดวิดสันเคยประกาศย้ายฐานการผลิตจักรยานยนต์สำหรับตลาดจีนออกจากสหรัฐมาไทย เพื่อหนีการรีดภาษีรถสัญชาติอเมริกันจากจีน โดยปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง  

'เมียนมาถูกกฎหมาย' เหลืออด!! ซัดแรงงานเถื่อน 'เรียกร้องสิทธิ์-ด่าคนไทย' เมล็ดพันธุ์จาก 'NGO-คนได้สัญชาติ' หนุนหลัง ทำพม่าดีๆ ในไทยลำบาก

กลายเป็นประเด็นทางสังคมในไทยไปแล้ว เมื่อชาวเมียนมา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือกลุ่ม White Collar เริ่มออกมาตอบโต้กลับกับกลุ่ม Blue Collar ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเถื่อนหรือเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องที่มีการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเสมือนประหนึ่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของเมียนมา หรือการที่มีคลิปออกมาด่าคนไทยที่เข้ามาคอมเมนต์ในคลิปที่กลุ่มพม่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองของไทย จนไม่รู้ว่าใครจะต้องกลัวใครกันแล้ว

ว่ากันว่ากลุ่มเหล่านี้มีเหล่า NGO และกลุ่มสมาคมช่วยเหลือแรงงานพม่าที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามา ซึ่งคนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าที่อยู่ไทยมาก่อนและได้สัญชาติไทยไปแล้ว พร้อมทั้งแนะนำชี้ทางให้เห็นว่าคนพวกนี้จะต้องทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตนเองพ้นผิด รวมถึงหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยในสังคมไทย เป็นต้น

อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ว่าคนไทยเป็นคนง่าย ๆ มีคนบอกบท ให้ยกมือไหว้ ขอโทษออกสื่อ ก็จบ แต่ความจริงนั้นสะท้อนอีกแบบ เพราะการที่เราให้อภัยกันอย่างง่าย ๆ นั้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่เห็นไม่กลัว และออกมาทำคลิปเลียนแบบกันเต็มโซเชียลเต็มไปหมด ดังที่เราเห็นได้จากคลิปหนุ่มบางบอนที่ถูกคนพม่าเอามาเลียนแบบเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้  

ในขณะที่ฝั่งชาวเมียนมา White Collar ต่างออกคลิปมาขอโทษขอโพยคนไทย พร้อมขอบคุณคนไทยที่ให้โอกาส ให้ที่อยู่ที่พักพิงให้เขาเหล่านั้น มีเงิน มีทอง สามารถจับจ่ายซื้อของ ทำบุญ ทำทาน ได้ตามที่เขาได้ตั้งใจ  

เอย่า คงบอกได้แค่ว่า คนไทยเข้าใจนะคะ เวลามีปลาเน่าสักตัว ก็มักจะส่งกลิ่นเหม็นกลบปลาดีไปหมด แต่การที่จะกำจัดปลาเน่านั้น หากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนไทยฝ่ายเดียวคงจะไม่ได้แล้ว  

ดังนั้นพวกชาวเมียนมาดี ๆ ที่อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนในอดีต คงต้องร่วมมือกับคนไทยในการสร้างสังคมที่น่าอยู่

เอย่า จำได้ว่าคนไทยเรามีความทรงจำที่ดีกับชาวเมียนมาประดุจเพื่อนบ้านที่แสนดีฉันใด ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่สามารถสร้างได้จากฝั่งคนไทยเพียงฝ่ายเดียวฉันนั้น

ชาวเมียนมาต้องให้ความร่วมมือในการสอดส่องดูแลจัดการให้คนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือรวมตัวกันเป็นแก๊งอั้งยี่ได้ และคนพม่าที่ดีในสังคมไทยก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ไทยในการจัดการกับกลุ่มนอกกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการใช้ประเทศไทยมาเป็นที่ซ่องสุมหรือกบดานด้วยเช่นกัน

อ้อ!! ที่กล่าวเช่นนี้ ก็ใช่ว่าคนไทยจะไม่มีความสามารถหาทางหรือจัดการได้เองนะคะ...

เพียงแต่ว่า ถ้าวันใดประเทศไทยไม่ต้องการคนชาติคุณขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นพวกคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบบ้านนี้เมืองนี้อีกเลย 

เรายื่นโอกาสให้คุณ เพื่อให้คุณแสดงออกว่าคุณมีความรักในประเทศนี้ เคารพกฎหมาย กติกาของบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ช่วยคนของคุณแบบผิด ๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราเห็น ๆ กันอยู่

‘สหรัฐฯ’ หวั่น!! ตำรวจใช้ ‘AI’ ช่วยเขียนรายงาน ตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

(27 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักข่าวเอพี (AP) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานแชทบอตพลังปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) หรือเอไอ แชตบอต เพื่อทำรายงานเหตุการณ์ฉบับร่าง ส่งผลให้อัยการ หน่วยงานกำกับดูแลตำรวจ และคณะนักวิชาการทางกฎหมายบางส่วนกังวลว่าแชทบอต อาจปรับแก้เอกสารพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอาญา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

รายงานระบุว่า เอไอ แชทบอต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) และจำหน่ายโดยแอกซอน (Axon) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทเซอร์หรืออุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า (Taser) อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกับคุณสมบัติของเอไอ แชทบอต ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาได้

ริก สมิธ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอกซอน กล่าวว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลือกมาเป็นตำรวจ เพราะอยากทำงานตำรวจ และการต้องใช้เวลาครึ่งวันไปกับการป้อนข้อมูลเป็นเพียงส่วนน่าเบื่อหน่ายของงาน พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์เอไอตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ดราฟ วัน’ (Draft One) ได้รับ ‘เสียงตอบรับเชิงบวกมากที่สุด’ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่บริษัทฯ เคยเปิดตัวมา

สมิธกล่าวว่า ตอนนี้หลายฝ่ายอาจมีข้อกังวลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคณะอัยการเขตที่ปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งต้องการมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนรับผิดชอบกับการเขียนรายงานดังกล่าว ไม่ใช่เป็นฝีมือเอไอ แชทบอต เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องให้การเป็นพยานในศาลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เห็น

รายงานระบุอีกว่า เทคโนโลยีเอไอไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหน่วยงานตำรวจ ซึ่งเคยนำเครื่องมืออัลกอริทึมมาใช้ในการอ่านป้ายทะเบียนรถ จดจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ตรวจจับเสียงปืน และคาดการณ์ว่าอาชญากรรมอาจเกิดขึ้นที่ไหน

รายงานทิ้งท้ายว่า การประยุกต์ใช้เหล่านี้ หลายครั้งมาพร้อมกับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติพยายามกำหนดมาตรการป้องกัน ทว่าการนำรายงานตำรวจจากฝีมือเอไอมาใช้ยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จนแทบไม่มีมาตรการป้องกันการใช้งานเลย

'โรงหนังมาเลเซีย' ผุดไอเดีย 'ฮอตพอต ซินีมา' ดูหนังไปกินหม้อไฟไป ชาวมาเลย์ฯ ตั้งตารอ

(27 ส.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ชาวเน็ตมาเลเซียต่างแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก ‘Dadi Cinema’ ของโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่พบว่ามีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ ‘ฮอตพอต ซินีมา’ (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

โดยรูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ แต่ก็มีคนวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย ซึ่งเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 เป็นเครือข่ายโรงภาพยนตร์สัญชาติจีนที่มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

‘OR’ ร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ ‘ไปรษณีย์ไทย’ จัดตั้ง ‘ศูนย์บริการธุรกิจ-สถานีบริการพลังงานทางเลือก-สวนป่ายั่งยืน’

(27 ส.ค. 67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน ในบริเวณพื้นที่สำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย โดยมีนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ OR และ นายพิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร และรักษาการในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 5 อาคารไปรษณีย์ไทย สำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ

นายดิษทัต กล่าวว่า "ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญยิ่งในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การดำเนินธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน โดย OR จะให้การสนับสนุนด้านพลังงานทางเลือก ได้แก่ การให้บริการ EV Charger และการติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาเกาะจ่าย อาคารไปรษณีย์ และอาคารร้านค้า ซึ่งที่ผ่านมา OR ได้ให้ความสำคัญในการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านทาง platform ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV Station PluZ หรือการสร้างสถานีบริการต้นแบบแห่งอนาคต ‘Green Station’ ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านการใช้พลังงานจาก Solar Rooftop เป็นต้น"

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่าเพื่อตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจความยั่งยืน ‘ESG + E’ ตามกรอบนโยบายของบริษัทฯ ล่าสุดไปรษณีย์ไทยได้ทำความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่บริเวณสำนักงานใหญ่ของไปรษณีย์ไทย ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยอาคารศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ โดยมีสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งมีความพิเศษที่มีจำนวนแท่นชาร์จมากกว่าสถานีบริการน้ำมันอื่น ๆ อีกทั้งยังมีสถานีสลับแบตเตอรี่ (Swap Battery)ร้านกาแฟร้านจำหน่ายสินค้า และสวนสุขภาพ ทั้งนี้ อาคารภายในโครงการอาจมีการพิจารณานำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานร่วมกันระหว่าง ไปรษณีย์ไทย กับ OR มีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ และประโยชน์ต่อชุมชน

“ไปรษณีย์ไทยตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สื่อสารและขนส่งหลักของชาติที่จะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ เข้าถึงทุกเจนเนอเรชัน ทุกช่วงชีวิต โดยปัจจุบันได้พัฒนาหลากโซลูชันให้ทันกับบริบทการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ การจับมือกับ OR ในการจัดตั้งโครงการศูนย์บริการธุรกิจไปรษณีย์ สถานีบริการพลังงานทางเลือก และสวนป่ายั่งยืน เพื่อเป็นสถานที่สำหรับให้คนมานัดพบปะ นัดเพื่อน ใช้บริการสะดวก คล่องตัว สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานทั้งในส่วนของระบบการขนส่ง รวมถึงสำนักงานที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงานไปรษณีย์ในระยะแรกจำนวน 250 คัน ในพื้นที่นครหลวงและภูมิภาค และมีแผนที่จะติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (SOLAR PV ROOFTOP) ที่อาคารไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ สำนักงานไปรษณีย์นครหลวง สำนักงานไปรษณีย์เขตศูนย์ไปรษณีย์ ให้ได้ 60% ภายในปี 2573 และครบทั้งหมด 100% ภายในปี 2583”

โครงการนี้ จึงไม่เพียงแต่จะเป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างคุ้มค่า แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อชุมชนและสังคมโดยรวม และยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับทั้งสององค์กร โดยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับแนวทาง OR SDG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ‘GREEN’ ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 อย่างมีประสิทธิภาพ

“คลัง” ผนึกกำลัง 7 แบงค์รัฐ ออก 14 มาตรการเร่งด่วนช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ  โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์อุทกภัยได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ และการดำเนินธุรกิจของประชาชนเป็นอย่างมาก เพื่อการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จึงได้ออกมาตรการด้านการเงินทั้งมาตรการพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ดังนี้

ธนาคารออมสิน

1) มาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้รับการพักชำระหนี้เงินต้นและลดดอกเบี้ยร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 3 เดือน
2) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- โครงการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.6 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 เดือน ปลอดชำระเงินงวดใน 3 เดือนแรก
- โครงการสินเชื่อเคหะผู้ประสบภัย วงเงินกู้ต่อรายสูงสุดร้อยละ 100 ของราคาประเมิน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 2 ต่อปี

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำมาตรการเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูลูกค้า
วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2567/68 วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับร้อยละ 6.975 ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
2) โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR - 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
1) มาตรการลดเงินงวดและลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกค้าปัจจุบันจะได้รับการลดเงินงวดร้อยละ 50
จากเงินงวดที่ชำระปกติ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน
2) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับลูกค้าใหม่หรือลูกค้าปัจจุบัน สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมหรือสินเชื่อใหม่เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนหลังเดิมหรือซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 2 ต่อปี
3) มาตรการประนอมหนี้ สำหรับลูกค้าที่ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือนหรืออยู่ระหว่าง
การประนอมหนี้จะได้รับการปลอดชำระดอกเบี้ยและเงินงวดใน 6 เดือนแรก กรณีลูกค้าที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร
ผู้กู้ร่วมหรือทายาทสามารถผ่อนชำระต่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีตลอดระยะเวลาคงเหลือ และกรณีที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมแซมได้สามารถยกเว้นหนี้ในส่วนของอาคารและผ่อนชำระต่อเฉพาะในส่วนของที่ดินที่คงเหลือ
4) มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติจะพิจารณาสินไหมอย่างเร่งด่วน (Fast Track) เป็นกรณีพิเศษ

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
1) มาตรการพักชำระหนี้ พักชำระหนี้เงินต้นให้สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของผลกระทบและลักษณะของธุรกิจแต่ละราย
2) มาตรการสินเชื่อเติมทุน สำหรับซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการผ่านโครงการ Smile Biz ธุรกิจยิ้มได้ วงเงินต่อรายสูงสุด 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ MLR - 1 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR ของ ธพว. เท่ากับร้อยละ 7.5 ต่อปี) ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 6 เดือนแรก

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เพิ่มวงเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นชั่วคราวสูงสุดร้อยละ 20 ของวงเงินเดิม ช่วยลดภาระเงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งช่วยขยายระยะเวลาการชำระเงิน

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) สำหรับกลุ่มลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
จะได้รับการพักชำระหนี้เงินต้น ชำระเฉพาะอัตรากำไร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน โดยให้ขยายระยะเวลาออกไป
ไม่เกินระยะเวลาที่พักชำระและได้รับการยกเว้นค่าชดเชยผิดนัดชำระ (Late charge) ที่เกิดขึ้นทั้งจำนวนจนถึงวันที่ปรับปรุงบัญชี

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
1) มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียม สำหรับลูกค้า บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อและค่าจัดการค้ำประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือนนับจากวันถึงกำหนดชำระ
2) มาตรการพักชำระค่างวด สำหรับลูกหนี้ บสย. ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้และไม่ผิดนัดชำระหนี้สามารถพักชำระค่างวดเป็นระยะเวลา 3 งวด โดยขอเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2567

กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุดและไม่เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างต่อไป

ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม สภ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ดูแลสวัสดิการตำรวจ ตรวจความพร้อมยุทโธปกรณ์ พร้อมสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อวานนี้ (27 ส.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. , พล.ต.ท.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ จเรตำรวจ, พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม สภ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยมี พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.สุวรรณ์ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.นครปฐม และ พ.ต.อ.พายัพ โสธรางกูล ผกก.สภ.นครชัยศรี พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สภ.นครชัยศรี ให้การต้อนรับ

การตรวจเยี่ยม สภ.นครชัยศรี ในครั้งนี้ ผบ.ตร. ได้ตรวจเยี่ยมอาคารที่ทำการ สภาพความเป็นอยู่ ตลอดจนความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์และงบประมาณในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นได้รับฟังรายงานสรุปจากผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ และได้กำชับแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ดังนี้

1. ปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติหน้าที่ ส่งเสริมให้ชุมชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในทุกมิติ
3. เน้นการขับเคลื่อนแนวทางปฏิบัติราชการ ตร. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ใน 4 แนวทางหลัก คือ การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว, การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ, การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการดูแลสวัสดิการ ขวัญกำลังใจ ของข้าราชการตำรวจ
4.ให้ผู้บังคับบัญชาดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงจังในทุกระดับ เน้นผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และให้ข้าราชการตำรวจทุกนายร่วมกันสร้างความสามัคคี ผ่านแนวคิด Police’s Home
5. พัฒนากำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม และยึดมั่นในหลักจริยธรรม

จากนั้น ผบ.ตร. และคณะ ได้เดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์วิกฤต การปราบปรามอาชญากรรม และการจับกุมผู้ร้ายคดีสำคัญ ตลอดจนการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมาของตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่ง ผบ.ตร. ได้กล่าวชมเชย ผบช.ภ.7 และข้าราชการตำรวจทุกระดับ ที่ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า ในงบประมาณปี พ.ศ.2568 ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอของบประมาณค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์สายตรวจเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่าสถานีตำรวจหลายแห่ง ประสบปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

กระบี่ - เศรษฐีใจบุญ ครอบครัวเจ้าสัว คุณเฉลิม อยู่วิทยา ธุรกิจเจ้าของกระทิงแดง ร่วมบุญกับชาวบ้าน ทอดผ้าป่าวัดคลองท่อม 10 กว่าล้านบาท

เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.67) ณ.ศาลาการเปรียญ วัดคลองท่อม พระครูสถิตนราธิการ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อม ครอบครัวเจ้าสัว คุณเฉลิม อยู่วิทยา เศรษฐีใจบุญ ธุรกิจเจ้าของกระทิงแดง ชาวบ้าน และสาธุชนทั้งหลาย ได้ร่วมทอดผ้าป่า วัดคลองท่อม เป็นเงินจำวนทั้งหมด 10,070,490 บ. เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ และความศรัทธาแห่งธรรมของพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะเป็นสถานปฎิบัติธรรมของประชาชนอันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชนทั้งหลายตลอดจนประชาชนในชุมชนแห่งนี้ 

พระครูสถิตนราธิการ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อม การทอดป่าสามัคคีในครั้งนี้ เฉพาะคณะทางครอบครัว อยู่วิทยา ได้ร่วมสมทบบุญทั้งหมดได้ 10,000,000 บาท และมีชาวบ้านและสาธุชนในพื้นที่ร่วมทำบุญอีกส่วนหนึ่งด้วย และทราบว่า ทอดกฐินปีนี้ทางเจ้าสัว คุณวิทยา อยู่เจริญ ก็จะเดินทางมาเป็นประธานกฐินอีกด้วย 

รรท.รอง ผบ.ตร. แสวงหาความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ผ่านเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืน

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล

จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ในฐานะหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติประเทศไทย เป็นรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผบช.กมค., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ที่ปรึกษา ศพดส.ตร., พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง จตร., พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม. พร้อมผู้แทน ยธ., กต., ป.ป.ส. และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เดินทางไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 18 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (The 18th ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crimes and Its Related Meetings) (AMMTC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 สิงหาคม 2567 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับผู้แทนจากชาติสมาชิก 10 ประเทศ พร้อมประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และติมอร์-เลสเต โดยมี พล.อ.วิไล หล้าคำฟอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ความร่วมมือของ AMMTC เป็นไปตามอนุสัญญาอาเซียนด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก แผนงานอาเซียนด้านการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและด้านความร่วมมือการตรวจคนเข้าเมืองและงานกงสุล โดยมี SOMTC และ อธิบดีกรมตรวจคนเข้าเมืองและหัวหน้าฝ่ายกงสุลกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกลไกสนับสนุน โดยการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ จะทำหน้าที่เป็นกลไกระดับสูงสุดที่กำหนดนโยบายความร่วมมือและการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการบริหารจัดการชายแดนในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนสนับสนุนความร่วมมือและการประสานงานภายในอาเซียนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในปัจจุบันและที่เกิดขึ้นใหม่ แลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเทศคู่เจรจา และหน่วยงานภายนอกอาเซียน โดยประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการป้องกันปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า ผลการประชุมหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
พล.ต.ท.ประจวบฯ เข้าร่วมประชุมทวิภาคี กับประเทศเกาหลีใต้ ร่วมกับ นาย โน มัน ซก อัยการสูงสุด สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมองค์กร สำนักงานอัยการสูงสุด สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานที่ดำเนินมายาวนาน รวมทั้งหารือกรณีความร่วมมือทางอาญา และการลักลอบค้ายาเสพติด ตลอดจนประสานความร่วมมือ ในการเร่งรัดติดตามจับกุม ในกรณีหากมีผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้ก่อเหตุในประเทศไทย มาดำเนินคดี   

สำหรับความร่วมมือแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ได้ประชุมทวิภาคีกับประเทศกัมพูชา และ ประเทศลาว ร่วมกับ นาย ซาร์ โสขะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา และ พล.อ.วิไล หล้าคำฟอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สปป.ลาว ทั้ง 2 ประเทศยินดีที่จะเพิ่มการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ควบคุมและปกป้องพื้นที่ชายแดน เพิ่มความเข้มงวดตรวจตราด่านเข้า-ออก ปิดกั้น เส้นทางข้ามชายแดนขององค์กรอาชญากรรม แลกเปลี่ยนข่าวกรอง ส่งต่อข้อมูลแผนประทุษกรรมของคนร้าย เร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ระดมกวาดล้างบุคคลหลบหนีเข้าเมือง กรณีชาวไทยเป็นเหยื่อ ให้เร่งรัดช่วยเหลือ สืบสวนดำเนินคดีกับนายทุนต่างชาติ และร่วมมือจับกุมอาชญากรที่หลบหนีเข้าประเทศเพื่อส่งกลับประเทศที่ร้องขอ
 
พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร.กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิก ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาค ที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล เคียงข้างและร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาความมั่นคงทุกประเภท นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน 

'มาร์ก' แฉ!! 'รัฐบาลไบเดน' สั่งปิดกั้นข้อมูลโควิดช่วงปี 2021 บนเฟซบุ๊ก เพื่อช่วยรักษาคะแนนให้พวกเขาชนะการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ออกมาแฉว่า 'รัฐบาลไบเดน กดดันให้ Facebook/Meta ปิดข้อมูลข่าวสารหลายอย่างมาก เพื่อช่วยรักษาคะแนนให้ชนะการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน และตัวเขาเองเสียใจมากที่ไม่ได้ออกมาบอกความจริงให้เร็วกว่านี้

(28 ส.ค.67) Business Tomorrow เปิดเผยว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ผู้เป็นเบื้องหลังของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ Instagram ได้ออกมาแสดงความเสียใจเมื่อคืนก่อน (26)

เขาอ้างว่า ตนไม่เคยเปิดเผยถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิดที่ผ่านมา โดยในจดหมายถึงคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันจันทร์ (26) ซักเคอร์เบิร์ก เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไบเดนได้ 'กดดัน' ให้ Meta เซ็นเซอร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับไวรัสระบาดในปี 2021

ซักเคอร์เบิร์ก ยอมรับว่า แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ผิด และเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลในขณะนั้น 

"ผมเชื่อว่าแรงกดดันจากรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และผมเสียใจที่เราไม่ได้ออกมาต่อต้านอย่างแข็งขันมากกว่านี้" 

มาร์กกล่าวในจดหมายถึง จิม จอร์แดน ประธานคณะกรรมการตุลาการจากรัฐโอไฮโอ

นอกจากนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังเน้นย้ำว่า Meta ไม่ควรยอมเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเนื้อหาของตนเพียงเพราะแรงกดดันจากรัฐบาลในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง และบริษัทพร้อมที่จะต่อสู้กลับหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ในจดหมายฉบับเดียวกัน ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงกรณีที่ Meta ตัดสินใจปรับลดการเผยแพร่เนื้อหาของ New York Post ที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาทุจริตของครอบครัวประธานาธิบดีไบเดนก่อนการเลือกตั้งปี 2020 โดยเขายอมรับว่าบริษัท 'ไม่ควร' ลดระดับเนื้อหาดังกล่าวในขณะที่รอการตรวจสอบข้อเท็จจริง และ Meta ได้ปรับปรุงนโยบายใหม่ โดยไม่ลดระดับเนื้อหาในสหรัฐฯ ระหว่างรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกต่อไป

อีกประเด็นที่น่าสนใจในจดหมายนี้คือ ซักเคอร์เบิร์กประกาศว่า เขาไม่มีแผนที่จะบริจาคเงินสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้งในท้องถิ่นเหมือนที่เคยทำในช่วงการเลือกตั้งปี 2020 การบริจาคที่เขาตั้งใจให้เป็นกลางนี้กลับถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นธรรมและถูกตั้งชื่อเล่นว่า 'Zuckerbucks' โดยกลุ่มพรรครีพับลิกัน

เรื่องราวนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แต่ยังเปิดเผยถึงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในยุคของข้อมูลข่าวสารในวันนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top