Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

ประธานวุฒิสภาเข้าร่วมการแสดงดนตรีแจ๊ส เนื่องในโอกาสที่ฮังการีดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป

เมื่อวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2567 เวลา 18.00 นาฬิกา ณ เดอะ ล็อบบี้ โรงแรม เดอะ เพนนินซูลา กรุงเทพฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เข้าร่วมชมการแสดงดนตรีแจ๊ส เนื่องในโอกาสที่ฮังการีดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Hungarian Presidency of the Council of the European Union) ตามคำเชิญของนายชานโดร์ ชีโปช (H.E. Mr. Sándor Sipos) เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย พร้อมทั้งมอบของขวัญแสดงความยินดีในโอกาสดังกล่าว โดยมีนายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา เข้าร่วมงานแสดงดนตรีดังกล่าวด้วย 

การแสดงดนตรีแจ๊สครั้งนี้ เป็นการแสดง 'Cimbalom' หรือ 'ขิมฮังการี' ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติของประเทศฮังการี ประกอบการบรรเลงบทเพลงแจ๊สที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายเพลง รวมถึงเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” (Falling Rain) เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เน้นย้ำถึงความพิเศษของดนตรี ในฐานะภาษาสากล เปรียบเสมือนทูตวัฒนธรรม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงความรู้สึกและสร้างความเป็นเอกภาพให้กับผู้คนต่างเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม และหวังว่าฮังการีและไทยจะร่วมกันส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสังคม ซึ่งแสดงถึงอัตลักษณ์ของประเทศทั้งสองต่อไปในอนาคต อนึ่ง มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมชมการแสดงดนตรีครั้งนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกอัครราชทูตจากประเทศต่าง ๆ ในสหภาพยุโรป

'เพจดัง' ขยายความ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard ของ 'พิธา' สรุปแล้ว ไปเป็นนักเรียน ไม่ได้ไปเป็นอาจารย์ และไม่น่าใช่การถูกเชิญ

(21 ส.ค. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#ทุกคนคะ ขอกันเข้ามาเยอะ ประเด็น คุณพิธา ในฐานะ Visiting Democracy Fellowship ที่ Harvard หมายความว่าอะไร 

#หนูจะเล่าให้ฟัง

1. ต้องสมัครค่ะ เท่าที่อ่านดู ไม่มีอธิบายเรื่องการเชิญ โดยทั่วไปคือต้องสมัคร มีค่าใช้จ่าย ไม่แน่ใจว่าจะมีกรณีเชิญพิเศษหรือไม่นะคะ

2. ต้องเป็นนักเรียน ป.เอก หรือ PhD Vandidate (คือนักเรียน ป.เอก ที่สอบ Proposal ผ่านแล้ว) หรือ มีประสบการณ์ (Professional Experienc

3. Consider เป็น Full-Time Student ค่ะ จะสมัครเรียนได้ ต้องติดต่ออาจารย์ที่มหาลัยก่อน ให้อาจารย์รับ ถึงจะสมัครได้ แล้วจะขึ้นตรงกับภาควิชาใดภาควิชานึงของมหาลัย (Process แบบนี้ถือเป็นวิธีการสมัครเรียน ป.เอก ของอเมริกาแบบปกติค่ะ)

4. ไม่ต้องลงเรียนวิชาใดแล้ว (แต่ถ้าอยากเรียน ก็สามารถลงเรียนแบบ Audit ได้) ให้ทำเฉพาะงานวิจัยของตัวเอง เป็น Independent Research ในหัวข้อของตัวเอง จะถูก Required ให้เข้าฟังสัมมนาของมหาลัย (ซึ่งเป็นปกติของ นร. ป.เอก เช่นกัน)

5. เป็นโปรแกรมระยะสั้น ไม่เกิน 1  ปี หากครบกำหนดต้องสมัครใหม่เอง ไม่ต่อโปรแกรมอัตโนมัติ ไม่ได้วุฒิ ป.เอก แต่ได้ประกาศนียบัตร

#สรุปสั้นๆ

คุณพิธา สมัครเรียน Graduate Student ค่ะ เหมือน นักเรียน ป.เอก/PhD candidate ที่เรียน coursework ครบหมดแล้ว หรือ Postdoc และ ทำแต่งานวิจัยของตัวเองค่ะ เป็นโครงการทำวิจัยระยะสั้น และ มีกิจกรรมทำตามที่ Harvard จะให้ทำ และเป็น Non-Degree ค่ะ

ทั้งนี้ ทางเพจ ได้ตรวจสอบ พบอีกว่า นานพิธา น่าจะสมัครไว้ก่อนแล้ว เพราะถ้าไปปีนี้ ก็จะตรงกับเปิดเทอมเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ (Fall: Sep 2024 - May 2025)

'กนง.' มีมติคงอัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี ชี้!! เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามเป้า

(21 ส.ค. 67) นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4/67ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามที่ประเมินไว้ จากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่การส่งออกโดยรวมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ 

อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ แม้แรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปจะชะลอลงบ้างหลังขยายตัวดีในช่วงก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการส่งออกสินค้าบางกลุ่มยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนยังฟื้นตัวแตกต่างกันโดยรายได้แรงงานในภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ในระยะต่อไป ต้องติดตามความเสี่ยงด้านต่ำจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มชะลอลงตามผลผลิตที่ขยายตัวดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้แนวโน้มราคาหมวดพลังงานและอาหารสดไม่เร่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า 

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 แต่ต้องติดตามการขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ

ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง โดยตลาดการเงินเคลื่อนไหวผันผวนจากมุมมองผู้ร่วมตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามการเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ด้านต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ยังทรงตัวใกล้เคียงเดิม สินเชื่อภาคธุรกิจโดยรวมทรงตัว โดยสินเชื่อในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์หดตัวส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้าง 

ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น ด้านสินเชื่อครัวเรือนชะลอลงและคุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลง ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่ปรับลดลงจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 

คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs จึงสนับสนุนมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยให้กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) เกิดขึ้นต่อเนื่อง 

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและภาวะการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยจะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองรองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

วันที่ 20 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรอง ดร. มาห์ยูดิน (Dr. H. Mahyudin, St., MM.) รองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ 19 - 23 สิงหาคม 2567 โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และนางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง โอกาสนี้ นายระห์หมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เข้าร่วมด้วย

ประธานวุฒิสภา กล่าวต้อนรับรองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาคสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของรัฐสภาต่างประเทศคณะแรกที่ได้ให้การรับรอง ที่ผ่านมาไทยและอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาอย่างยาวนาน ยินดีที่ปีนี้ครบรอบ 74 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการจัดตั้งกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีการแลกเปลี่ยนการเยือนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกันอยู่เสมอ และสำหรับความร่วมมือพหุภาคี สมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศให้การสนับสนุนและทำงานอย่างใกล้ชิดในประเด็นที่อยู่ในความสนใจสำคัญร่วมกัน เชื่อมั่นว่าการพบปะกันระหว่างสมาชิกรัฐสภาทั้งสองประเทศจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประธานวุฒิสภากล่าวแสดงความยินดีกับอินโดนีเซียในการสร้างเมืองหลวงแห่งอนาคต "นูซันตารา" (Nusantara) ให้เป็นเมืองหลวงใหม่ที่ทันสมัยด้วยความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภาเชื่อมั่นว่าไทยและอินโดนีเซียสามารถทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน และการเปิดเส้นทางบินใหม่ระหว่างกันจะทำให้ประชาชนได้มีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น 

รองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาค (DPD) กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่ได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา การพบปะกันในวันนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สภาผู้แทนระดับภูมิภาคมีหน้าที่และอำนาจในการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การพิจารณาพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับงบประมาณของประเทศ ภาษี การศึกษา ศาสนา  ด้วยหน้าที่และอำนาจที่มีความเป็นอิสระและมีความท้าทาย สภาผู้แทนระดับภูมิภาคของอินโดนีเซียและวุฒิสภาไทยสามารถมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นด้านนิติบัญญัติร่วมกัน เชื่อมั่นในการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับนิติบัญญัติจะนำมาซึ่งความร่วมมือ ผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นต่อไป  

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนการใช้เล่มทะเบียนรถปลอม หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน มีโทษตามกฎหมายอาญา จำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่ามีประชาชนนำใบคู่มือจดทะเบียนรถปลอม (เล่มทะเบียนรถปลอม) หรือโฉนดที่ดินปลอม มาใช้เป็นหลักประกันการให้กู้ยืมเงิน เบิกเงินเกินบัญชี หรือขอเครดิตด้วยวิธีการอื่น เป็นจำนวนมากซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดและมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 200,000 บาท

การปลอมแปลงเอกสารทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ แก้ไข ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หากได้กระทำเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร มีความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้

ผู้ที่ทำเอกสารปลอม มีความผิดฐานทำเอกสารปลอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ เช่น หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาซื้อขาย และสัญญาเช่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท
- หากเอกสารที่ปลอมขึ้นมา เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจดทะเบียน และพินัยกรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท
- การแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ที่ใช้เอกสารปลอม กรณีมีการอ้างหรือใช้เอกสารที่ปลอมขึ้นตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการใช้เอกสารปลอม หรือพบเบาะแสว่าทีบุคคลใดรับจ้างทำเอกสารปลอม สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ที่สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วน 191 และสายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ดร.อรรถวิชช์’ เปิดใจหลังสมัครเข้า ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ลั่น!! รู้สึกอบอุ่นที่ได้กลับมาทำงานกับคนคุ้นเคย

‘อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี’ เปิดใจหลังสวมเสื้อพรรค ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ เผย รู้สึกอบอุ่นที่ได้กลับมาทำงานกับคนคุ้นเคยอย่างเป็นทางการ หลังได้เข้าไปช่วย ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ อยู่เบื้องหลังช่วยทำกฎหมายปรับโครงสร้างพลังงานก่อนหน้านี้ ย้ำชัด!! พร้อมทำงานร่วมกับสมาชิกพรรคทุกท่าน หวังช่วยผลักดันนโยบายและกฎหมายของพรรคเข้าสู่สภาแบบเชิงรุกและรวดเร็ว

(22 ส.ค. 67) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เปิดใจกับ THE STATES TIMES หลังสมัครเข้าเป็นสมาชิก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า…

ก่อนหน้านี้ ได้เข้ามาช่วยงานคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในปีกของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการปฏิรูปพลังงาน โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายทางเทคนิค หลังจากนั้นท่านก็ได้ชักชวนให้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยงานด้านกฎหมายและด้านนโยบายของพรรค

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า คุณพีระพันธุ์ มีความตั้งใจที่จะปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศอย่างจริงจัง จึงได้มีโอกาสไปช่วยงานที่กระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะการปฏิรูปการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งยังมีกฎหมายหลายฉบับที่ต้องแก้ไข หากจะทำให้เกิดการปฏิรูปพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม เพราะในโครงสร้างพลังงานมีความซับซ้อนต้องทำอย่างละเอียดและรอบคอบ ท่านจึงต้องการคนที่ช่วยกลั่นกรองเพิ่มเติม

“หลังจากช่วยงานที่กระทรวงได้สักระยะ คุณพีระพันธุ์ ท่านเห็นว่า ยังมีกฎหมายอื่นด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีกฎหมายหลายฉบับที่ทางพรรคต้องการเสนอ จึงอยากให้มาเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ เพื่อที่จะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ จากเดิมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังในส่วนของกระทรวงพลังงาน แต่หลังจากนี้ จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปากท้องพี่น้องประชาชนที่จะเสนอต่อสภาฯ มากขึ้น…

“ผมอยากจะบอกว่า การเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ผมรู้สึกอบอุ่นนะ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว คนในพรรคส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนคุ้นเคยเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านหัวหน้าพรรค คุณพีระพันธุ์ หรือ คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคฯ ในวันที่ผมเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และผมก็เชื่อมั่นว่าการทำงานทุกอย่างจะราบรื่น เพราะส่วนใหญ่แล้วเคยทำงานร่วมกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นที่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคกล้า ผมยินดีที่จะทำงานร่วมกันกับสมาชิกทุกท่านในพรรค เพราะเชื่อมั่นว่า คนที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน จับมือร่วมกันจะเกิดพลังมากกว่า” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ดร.อรรถวิชช์ ย้ำว่า หาก สส.ท่านใดของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีข้อกฎหมายที่สนใจ และต้องการนำเสนอกฎหมายต่อสภา ก็ยินดีที่จะเข้าไปช่วยร่างตัวกฎหมายให้ เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเร็วยิ่งขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า การทำงานในภาคประชาชนก่อนหน้านี้ ตนได้ทำการรวบรวมข้อมูลเอาไว้จำนวนมาก ที่สามารถนำมาแปลงเป็นกฎหมายได้ ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นงานเชิงรุกของพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน เพราะขนาดของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีจำนวน สส. 36 ที่นั่ง เป็นจํานวนที่เอื้อให้สามารถเสนอกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว เพราะใช้จำนวน สส. เพียง 20 คนขึ้นไปในการลงชื่อยื่นเสนอ ในขณะที่ภาคประชาชน จะต้องรวบรวมรายชื่อให้ได้ 10,000 คนขึ้นไป จึงจะสามารถเสนอกฎหมายได้ 

พร้อมกันนี้ ดร.อรรถวิชช์ ยังได้กล่าวถึงกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรที่ได้ผลักดันมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ว่า ในเรื่องกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรจะยังคงเดินหน้าผลักดันต่อไป และการที่ตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเต็มตัว หนึ่งในเหตุผลหลัก คือ การผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ซึ่งคุณพีระพันธุ์ 

ท่านเป็นนักการเมืองท่านเดียวที่พอพูดเรื่องกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรแล้วท่านเข้าใจทันที และท่านตระหนักดีว่าประชาชนได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และท่านสนับสนุนให้เดินหน้าผลักดันอย่างเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านี้ สามารถรวบรวมรายชื่อประชาชนได้แล้วประมาณ 5,000 รายชื่อ ยังขาดอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อที่จะยื่นร่างกฎหมายต่อสภาได้ ซึ่งท่านได้แนะนำว่า ให้ยื่นเป็นกฎหมาย สส.ของพรรค โดยให้ สส.ลงนามแล้วยื่นต่อสภาฯ ได้เลย เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่รวดเร็วขึ้น

“ผมมีความรู้สึกว่า คุณพีระพันธุ์ ท่านเข้าใจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง และที่สำคัญการทำงานกับท่าน ไม่ต้องอธิบายให้ซับซ้อน เพราะว่าพออธิบายไปท่านเข้าใจแล้วว่าเรื่องอะไร และก็สั่งการทันที ซึ่งท่านรับปากในเรื่องกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโร และยังให้ทำกฎหมายอื่น เช่น พ.ร.บ. บัตรเครดิต ที่เคยผลักดันร่วมกันเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่สามารถทำให้มีผลบังคับใช้คุ้มครองพี่น้องประชาชน เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เก็บจากบัตรเครดิต ให้เตรียมทำต่อด้วย เพราะเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์และจะช่วยคุ้มครองประชาชน”

‘กมธ.อุตฯ’ ติดตาม ‘เรือขนฝุ่นเหล็กแดง’ ใกล้ชิด หลังลือเข้าไทย วอนทุกหน่วยงานตรวจเข้ม ยึดความปลอดภัย ปชช. มาอันดับแรก

(21 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้แถลงข่าวถึงแนวทางการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของฝุ่นแดงจากการถลุงเหล็กซึ่งเป็นกากของเสียอันตราย

นายอัครเดช เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวว่าจะมีเรือขนฝุ่นแดง หรือฝุ่นเหล็ก ซึ่งเป็นของเสียจากการถลุงเหล็ก กากของเสียอันตรายบรรทุกขึ้นเรือขนส่งเอกชนรายใหญ่ใส่ตู้คอนเทนเนอร์เกือบ 100 ตู้น้ำหนักรวมประมาณ 816 ตัน ต้นทางจากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าปลายทางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ตามกำหนดจะถึงไทย โดยได้มีหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติในเรื่องนี้ได้แจ้งเตือนมานั้น

กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องของการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกากแคดเมียม หรือ กากของเสียอุตสาหกรรมอื่น ๆ 

ในวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ และกรมศุลกากร เข้ามาให้ข้อมูล 

โดยข้อมูลเบื้องต้นนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งว่า ฝุ่นแดงเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ไม่สามารถขนย้ายข้ามประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้ 

หากจะมีการขนย้ายเข้ามาในประเทศจะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่าในกรณีดังกล่าวไม่มีการอนุญาตให้ขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศ และไม่เคยอนุญาตให้มีการขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศมาก่อน 

ด้านกรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อ กมธ.การอุตสาหกรรม ว่า ในส่วนของเรือทั้ง 2 ลำที่ได้รับการแจ้งเตือนนั้น ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเรือลำแรกได้เดินทางออกจากท่าเรือในประเทศสิงคโปร์เดินทางสู่ประเทศจีนโดยไม่มีการจอดที่ประเทศไทย และสำหรับเรือลำที่ 2 ยังอยู่ที่ประเทศโมร็อกโกและยังไม่มีการเดินทางมายังทวีปเอเชีย 

จึงขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนให้สบายใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ขอให้กรมศุลกากรติดตามเรือทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิดต่อไป 

สำหรับการตรวจตู้คอนเทนเนอร์เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จของในตู้คอนเทนเนอร์นั้น ทางกรมศุลกากรแจ้งว่ามีการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ผ่านการ X-Ray และเปิดตู้คอนเทนเนอร์ แต่อย่างไรก็ดีอาจมีการเข้าสู่ประเทศผ่านการสำแดงเท็จอาจเกิดขึ้นได้ ทาง กมธ. จึงได้ขอให้กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป

นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ถลุงฝุ่นแดงในประเทศไทยทั้งสิ้น 8 โรงงาน ยังมีการดำเนินการอยู่ 5 โรงงาน โดยเป็นการถลุงเฉพาะฝุ่นแดงในประเทศไทยเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามทาง กมธ. ได้ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการลักลอบถลุงฝุ่นแดงจากต่างประเทศ

“คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ และขอยืนยันว่าจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนต่อไป”

'สิงคโปร์' แหกกฎ!! เตรียมแจกเงินคนตกงาน 1.5 แสนบาท แต่ต้องรับเงื่อนไข 'อบรมเพิ่มทักษะ' เพื่อกลับสู่ตลาดงานต่อไป

คนตกงานในสิงคโปร์เตรียมเฮ เมื่อ 'ลอเรนซ์ หว่อง' นายกรัฐมนตรีประกาศอัดฉีดงบประมาณก้อนใหม่ ลงในโครงการ SkillsFuture Jobseeker Support เตรียมแจกเงินช่วยเหลือแรงงานที่ว่างงานในประเทศ หลังจากที่เคยคัดค้านว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่ส่งเสริมให้คนหวังพึ่งแต่สวัสดิการรัฐจนขาดแรงจูงใจในการหางานทำ

SkillsFuture Jobseeker เป็นโครงการภาครัฐที่สนับสนุนผู้หางาน ด้วยการจัดฝึกอบรม เพิ่มทักษะแรงงาน พร้อมบริการให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และจัดหางานให้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ ช่วยให้แรงงานยกระดับทักษะด้านอาชีพของตัวเอง เพื่อหางานให้ได้เร็วที่สุด

แต่เมื่อวันอาทิตย์ (18 ส.ค.67) ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลอเรนซ์ หว่อง ได้ประกาศระหว่างการปราศรัยเนื่องในวันชาติ รัฐบาลสิงคโปร์จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังว่างงานในสิงคโปร์ด้วย

โดยโครงการ SkillsFuture ใหม่นี้ รัฐจะให้เงินช่วยเหลือแก่คนงานรายได้น้อย - ปานกลาง ที่ตกงานเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในค่าครองชีพ ซึ่งเป็นเงินสูงถึง 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 1.57 แสนบาท) เป็นระยะเวลาสูงสุดที่ 6 เดือน 

ตัวเลขเงินจำนวนนี้ นักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยามองว่า 'เหมาะสม' สำหรับแรงงานที่มีเหตุต้องว่างงานโดยไม่สมัครใจ และไม่เกินพอดี จนอาจเกิดปัญหาการหวังพึ่งพาสวัสดิการรัฐในระยะยาว หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม

ส่วนเงื่อนไข ก็คือ ผู้ว่างงานต้องลงทะเบียนเข้าโครงการพัฒนาแรงงาน SkillsFuture Jobseeker ตามมาตรฐานของกรมส่งเสริมแรงงานของสิงคโปร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ย้ำว่า การเข้าฝึกอบรมในโครงการนี้ถือเป็นการลงทุนที่จำเป็นสำหรับแรงงาน เพื่อโอกาสในการได้งานที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งบุคคลที่ผ่านเกณฑ์ประเมินรายเดือน จึงจะมีสิทธิ์รับเงินชดเชยรายได้ 6,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในระยะเวลา 6 เดือน 

สำหรับการรับเงินช่วยเหลือของแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งต้องปฏิบัติตามขั้นตอนภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุมนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านแรงงานครั้งสำคัญของประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่เคยมีสวัสดิการสำหรับคนว่างงานมาก่อน เพราะเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะส่งเสริมให้ประชาชนขาดความกระตือรือร้น แล้วเลือกที่จะรับสวัสดิการมากกว่าการทำงาน

ทั้งนี้การปฏิเสธแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการสำหรับแรงงาน มีมาตั้งแต่สมัยที่สิงคโปร์แยกตัวจากมาเลเซียในปี 1965 และจัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเองภายใต้การนำของ ลี กวนยู ซึ่งประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาละทิ้งแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ เพราะรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายตามแนวคิดดังกล่าวจะบั่นทอนความสามารถในการพึ่งพาตัวเองของประชาชน และความมุ่งมั่นในการสร้างตัวเพื่อความสำเร็จในชีวิต 

ดังนั้น ผู้นำที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายลี กวนยู ตั้งแต่ โก๊ะ จ๊กตง และ ลี เซียนลุง ก็ไม่เคยผลักดันนโยบายด้านสวัสดิการช่วยเหลือผู้ว่างงานเช่นกัน

ทว่า ลอเรนซ์ หว่อง กลับมีความเห็นว่า อาจถึงเวลาแล้วที่สิงคโปร์ต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อช่วยเหลือแรงงาน ในยุคสมัยที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงยืนยันว่า การรับสวัสดิการรัฐอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ส่งผลดีเชิงบวกต่อแรงจูงใจในการแสวงหางานของแรงงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์ระวังมาโดยตลอด 

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ จึงมองหาทางเลือกอื่น โดยใช้แบบแผน 'Workfare' แทนที่จะใช้คำว่า 'Welfare' ซึ่งหมายถึงสวัสดิการที่รัฐต้องเป็นผู้รับประกันการว่างงาน ที่นำไปสู่ความคาดหวังในการพึ่งพาแต่สวัสดิการรัฐ ซึ่งหมายถึงการใช้ภาษีจากการทำงานของประชาชนคนอื่น

Workfare เป็นแนวทางที่รัฐบาลสิงคโปร์นำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 2005 โดยแรกเริ่มเดิมที เป็นโครงการที่สนับสนุนกองทุนแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐจะเติมเงินให้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญ แต่มีเงื่อนไขว่าผู้มีรายได้น้อยจะต้องมีงานทำ

แต่สำหรับโครงการล่าสุดนี้ รัฐบาลสิงคโปร์จะพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ว่างงาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ว่างงานต้องเข้าสู่กระบวนการฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ ต้องผ่านคะแนนประเมิน และ ต้องเข้าโปรแกรมจัดหางาน เพื่อกลับสู่ตลาดแรงงานต่อไป 

ลอเรนซ์ หว่อง กล่าวว่า โครงการนี้มีไว้เพื่อสนับสนุนแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง และช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพที่จำเป็นระหว่างเข้าโครงการ แต่คนงานก็ต้องมีส่วนร่วม ด้วยการแสดงรับผิดชอบต่ออนาคตของตนเอง  และพยายามดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้

ก็ถือเป็นโครงการแจกเงินอย่างมีวิสัยทัศน์ ตามสไตล์สิงคโปร์จริง ๆ ที่ยึดว่า 'เกิดเป็นคน ต้องทำงาน' และสวัสดิการรัฐมีไว้สำหรับผู้ที่เสียภาษีเท่านั้น

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ประเสริฐ’ คุมเข้มข้อมูลรั่วไหล เผย ‘สคส.’ สั่งปรับเอกชน ‘7 ล้าน’ ปล่อยข้อมูลส่วนตัวประชาชนหลุดถึงมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันที่ 21 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อมูลรั่วไหลภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไปกระทำความผิดกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กระทรวงดีอีว่า คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ที่รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับเทคโนโลยีและอื่นๆ ได้มีคำสั่งปรับบริษัทเอกชนรายใหญ่ของประเทศที่มีการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ที่ปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากรั่วไหลไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยไม่มีมาตรการควบคุมดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด รวมถึงบริษัทดังกล่าวไม่มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) และละเลยไม่แจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่รั่วไหลให้แก่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้มีคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองบริษัทดังกล่าวในอัตราสูงสุดรวมจำนวนทั้งสิ้น 7 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) บริษัทที่ถูกร้องเรียนได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวนมากกว่า 1 แสนราย  และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประกอบธุรกิจหลักของบริษัท แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กฎหมายกำหนด จึงทำให้เมื่อเกิดข้อมูลรั่วไหล บริษัทดังกล่าวไม่สามารถเยียวยาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเป็นกรณีดำเนินการที่ขัดต่อมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

2) ผู้ถูกร้องเรียนดังกล่าวไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด ทำให้ข้อมูลรั่วไหลจากบริษัทดังกล่าวไปยังกลุ่มมิจฉาชีพคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 37(1) แห่งพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

3) เมื่อเกิดเหตุข้อร้องเรียนจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการแก้ไข และแจ้งเหตุให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลล่าช้า ทำให้ไม่สามารถเยียวยาได้ อันเป็นความผิดตามมาตรา    37 (4) พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ยังมีคำสั่งให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยที่ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลอีก รวมทั้งได้มีคำสั่งกำชับให้บริษัทผู้ถูกร้องเรียนดำเนินการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงเพิ่มเติมมาตรการรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัย กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และมีหน้าที่ต้องแจ้งให้สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงมาตรการแก้ไขดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง

“คำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองดังกล่าว เป็นคำสั่งลงโทษปรับทางการปกครองฉบับแรกกับบริษัท เอกชนรายใหญ่ โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ตั้งแต่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรปหรือ GDPR” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ 

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง DE ได้แถลงเพิ่มเติมว่าคำสั่งปรับดังกล่าวต้องการคุ้มครองประชาชนจากปัญหากรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลที่เป็นปัญหาหลักของประเทศในตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเป็นการแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชนที่มีข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ให้ต้องดำเนินการแจ้งสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด โดยคำสั่งปรับทางการปกครองฉบับนี้จะใช้เป็นมาตรฐาน และบรรทัดฐานในการพิจารณาเรื่องข้อมูลรั่วไหลในภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีการร้องเรียนเข้าที่สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป และผลจากการปรับครั้งนี้จะทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนตื่นตัวในเรื่องการเคร่งครัดและปฎิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ให้มากขึ้น รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการป้องปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดขึ้น จากการนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่มีอยู่มากในปัจจุบันไปใช้โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังช่วยในการเยียวยาบรรเทาความเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลจากเหตุดังกล่าวข้างต้น และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มากขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top