Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

‘Kang Mak’ หนังผีอินโดฯ ฉาย 4 วัน โกยรายได้ทะลุ 110 ล้านบาท หลังรีเมกจาก ‘พี่มากพระโขนง’ ของไทยอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์

(20 ส.ค.67) หลังจากที่ เพจเฟซบุ๊ก GDH โพสต์แสดงความยินดีกับภาพยนตร์ ‘Kang Mak’ ระบุว่า ภาพยนตร์ของประเทศอินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก…พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คนนั้น ก็ได้สร้างความฮือฮากับชาวโซเชียลไทยจำนวนมาก 

โดยสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งกำกับโดย Herwin Novianto และเขียนบทโดย Alim Sudio Falcon Pictures ซึ่งดัดแปลงมาจากพี่มาก…พระโขนง ของประเทศไทย ที่แสดงนำโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ กวาดรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาท

หลังจาก ‘Kang Mak’ ปล่อยมาได้เพียง 4 วัน มีคนรับชมไปแล้ว 1.2 ล้านคน ในอินโดนีเซีย บริษัทสร้างภาพยนตร์ประกาศข่าวดีผ่านโซเชียลมีเดียว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมาก เพราะมียอดผู้ชมมากกว่า 356,000 คน ด้วยจำนวนตัวเลขดังกล่าวนี้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘Kang Mak’ ขึ้นแท่นภาพยนตร์อินโดนีเซียที่ขายดีที่สุดอันดับ 9 ในปี 2024 ทันที และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ต่อมาทางเพจ GDH ได้โพสต์ข้อความว่า "ขอแสดงความยินดีกับ ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์อินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก...พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คน ผู้ชมชาวอินโดนีเซียโพสต์รีวิวว่า ‘Kang Mak’ สามารถปรับเอกลักษณ์ของต้นฉบับเข้ากับบริบทความเป็นอินโดนีเซียได้เป็นอย่างดี สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้ทั้งเรื่อง และเป็นหนังตลกสยองขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มาร่วมลุ้นไปด้วยกันว่า ‘Kang Mak’ จะทำรายได้สูงสุดที่เท่าไร!"

🔎คาดการณ์ 25 รายชื่อ ในสังกัด ‘บิ๊กป้อม’ หลังข่าวสะพัดแยกทาง ‘ร.อ.ธรรมนัส’

20 (ส.ค. 67) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ประกาศอิสรภาพของตนเองและสส.ในสังกัดอีก 18 รายชื่อ โดยระบุว่า ขออิสรภาพคืน หลังชื่อหลุดจาก ครม.แพทองธาร พร้อมยอมรับเสียใจรับใช้คน ๆ หนึ่ง และพรรคพลังประชารัฐมาเป็นปี ชี้สั่งให้ไปตายก็ไป ไม่มีอะไรต้องคุยกับ พล.อ.ประวิตร

ขณะที่ สส.ฝั่งของ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เช็กรายชื่อแล้วมีจำนวนทั้งสิ้น 25 คน พบว่ามี 5 คน ที่รายชื่อซ้ำกับทางร.อ.ธรรมนัส โดยทั้ง 5 คนได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิบ้านป่ารอยต่อฯ โดยไม่ได้เดินทางไปร่วมแถลงข่าวกับร.อ.ธรรมนัส 

สำหรับรายชื่อ สส. ที่อยู่ในสังกัด พล.อ.ประวิตรมีดังนี้ 

1. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ 
2. นายสถิระ เผือกประพันธ์ สส.ชลบุรี เขต 10
3. นางขวัญเรือน เทียนทอง สส.สระแก้ว เขต 1
4. นางตรีนุช เทียนทอง สส.สระแก้ว เขต 2
5. นางสาวกาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ เขต 4

6. นายจำลอง ภูนวนทา สส.กาฬสินธุ์ เขต 3
7. นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ สส.หนองคาย เขต 1
8. นายไชยมงคล ชัยรบ สส.สกลนคร เขต 5
9. นายวิริยะ ทองผา สส. มุกดาหาร เขต 1
10. นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 1

11. นายจักรัตน์ พั้วช่วย สส.เพชรบูรณ์ เขต 2
12. นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ สส.เพชรบูรณ์ เขต 3
13. นายวรโชติ สุคนธ์ขจร สส.เพชรบูรณ์ เขต 4
14. นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ เขต 6
15. นายเพชรภูมิ อาภรณ์นวรัตน์ สส.กำแพงเพชร เขต 2

16. นายอนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร เขต 3
17. นายปริญญา ฤกษ์หร่าย สส.กำแพงเพชร เขต 4
18. นายสุธรรม จริตงาม สส.นครศรีธรรมราช เขต 6
19. นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ สส.พังงา เขต 2
20. นายทวี สุระบาล สส.ตรัง เขต 2

21. นายคอซีย์ มามุ สส.ปัตตานี เขต 2
22. นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2
23. นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 3
24. นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส.สิงห์บุรี เขต 1
25. นายองอาจ วงษ์ประยูร สส.สระบุรี เขต 4

'ดร.คงกระพัน' เปิดแผน!! เขย่า ปตท.ครั้งใหญ่ พลังงานรูปแบบใหม่ รายได้ใหม่ โอกาสระยะยาว

แม้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ทาง ปตท.จะแถลงผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี โดยมีกำไรสุทธิรวมของ ปตท. และบริษัทย่อยจำนวน 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 พร้อมๆ กับการเปิดเผยภาษีนำส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท และส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงาน ตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

แต่สิ่งที่ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บอสใหญ่คนใหม่ ดูจะย้ำในงานแถลงครั้งนี้บ่อยครั้ง กลับไม่ใช่การเน้นในเรื่องของความสำเร็จจากผลการดำเนินงานจากกลุ่ม ปตท.เท่าไรนัก 

เหตุผลหนึ่ง เพราะ ดร.คงกระพัน รู้ดีว่ากลุ่มธุรกิจเดิมของ ปตท.ที่มีอยู่ เริ่มส่งสัญญาบางอย่าง เช่น การเติบโตขึ้นบ้าง ทรงๆ บ้าง และบางกลุ่มอาจจะเหนื่อยในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพลังงานรูปแบบเดิม ซึ่งในอนาคต เชื่อว่าจะต้องปรับเปลี่ยนไปจากอิทธิพลของ 'สภาพภูมิอากาศ' ในโลกที่บีบให้มนุษย์ต้องหันมาใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น 

ขณะเดียวกันแนวโน้มพลังงานฟอสซิลพลังงานเดิมที่ใช้อยู่ ก็จะค่อยๆ ลดลงในอนาคต ภายใต้การคาดการณ์ว่า ถ่านหินจะลดลงเร็วกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ถัดมาคือน้ำมันก็จะลดลงต่อไป ส่วนก๊าซธรรมชาติจะลดลงช้า ปตท.ยังมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คือ LNG และมุ่งมองหาพลังงานหมุนเวียนอื่นมาพลังงานทดแทน ซึ่งหลัก ๆ จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์และลม รวมไปถึงไฮโดรเจน

ดังนั้น สิ่งที่ ดร.คงกระพัน ได้ประกาศในเชิงของเป้าหมายจากนี้ จึงชัดเจนไปที่ การมุ่งสร้างธุรกิจเพื่อความมั่นคงทางพลังงานให้เมืองไทย ที่อยู่บนพื้นฐานความถนัดของ ปตท. และต้องทำกำไรได้ในระยะยาว ซึ่งก็คงไม่พ้นการปรับทิศหันหาพลังงานสะอาดที่เด่นชัดขึ้น สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานแห่งอนาคต ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero 

"การทำให้ ปตท.เติบโตยั่งยืนอย่างสมดุลจากนี้ จะอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่จะสร้างความ "แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน' หรือ TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD...

"ขณะนี้เรากำลังทบทวนตัวเอง (Revisit) เพื่อเดินหน้าแผนกลยุทธ์ใหม่ในการทำธุรกิจ จากเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ที่ ปตท. ก็ไม่ต่างจากผู้ผลิตในกลุ่ม Oil Major ต่าง ๆ ในโลก ซึ่งมองเห็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) และแนวโน้มการใช้น้ำมันจะลดน้อยลง ส่งผลให้ทุกรายกระโดดเข้าไปทำธุรกิจอื่นนอกเหนือจากเรื่องน้ำมัน ซึ่งอาจจะมีทั้งธุรกิจที่ถนัดบ้างไม่ถนัดบ้าง มีการลองผิดลองถูก แต่ในส่วนของเราจากนี้ คงต้องเลือกทำแบบโฟกัส เพราะเงินเราไม่ได้มีอย่างไม่จำกัด"

ดร.คงกระพัน เผยต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจของ ปตท.แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ธุรกิจ Hydrocarbon & Power ที่ครอบคลุม การสำรวจและผลิต ก๊าซ น้ำมัน ปิโตรเคมีและการกลั่น ค้าปลีกน้ำมัน และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่เรามีความถนัด ซึ่งตอนนี้มีสัดส่วนกำไร 99% ของกำไรรวมของ ปตท. แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ธุรกิจกลุ่มนี้ก็ต้องปรับตัว ทำให้ดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง รวมถึงการหาโอกาสในการเติบโตใหม่ ๆ เช่น การหาพันธมิตรที่เหมาะสม เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจ แต่สิ่งสำคัญคือจะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดคาร์บอน

อีกกลุ่มคือ ธุรกิจ Non-Hydrocarbon เป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ (Mega Trend) อย่างเช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ปตท. ได้ทบทวนธุรกิจกลุ่มนี้ใหม่ทั้งหมดทั้ง value chain และพบว่าธุรกิจ EV Charging หรือการอัดประจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ น่าจะเป็นธุรกิจที่เหมาะสมกับกลุ่ม ปตท. โดยสามารถใช้จุดแข็งของบริษัท ปตท.นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่มี Ecosystem ที่ดี ใกล้ชิดกับลูกค้า โดย OR จะมีบทบาทเป็น Mobility Partner ให้กับคนไทย

อย่างไรกับก็ตาม การจะ Revisit ตัวเองนั้น ดร.คงกระพัน มองว่าจะต้องวิเคราะห์ 2 มุมมองให้ออก คือ...

1) ธุรกิจที่ทำใน Value Chain นั้นยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่หรือไม่ เพราะ 3-4 ปีที่แล้วกับวันนี้คนละเรื่องกัน

และ 2) ปตท. มี Right to play หรือจุดแข็งในการจะเข้าไปทำธุรกิจกลุ่มนี้หรือไม่

"ถ้ามีทั้ง 2 อย่าง แปลว่าธุรกิจยังน่าสนใจอยู่ เราสู้ ทำต่อ หรือบางธุรกิจอาจจะต้องเร่งเครื่องด้วย บางธุรกิจอาจจะต้องออก เช่น กรณีที่ธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วไม่ตอบโจทย์ ปตท. ก็มีทางออกหลายวิธี เช่น อาจจะต้องหาพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจที่จะต้องดูความสามารถในการแข่งขันว่าเหมาะสมกับเราไหม สามารถเข้าหรือออกได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการกอดสินทรัพย์ (Asset) ไว้เยอะเกินไป เราจึงควรต้องทำให้ตัวเบา" ดร.คงกระพัน กล่าว

ทั้งนี้ ภายใต้แผนการทบทวนตัวเองของ ปตท. ก็มีการพูดถึง 'CCS – ไฮโดรเจน' เข้ามาเป็นสมการสำคัญอยู่อย่างชัดเจนขึ้นด้วย

"อย่างที่บอกไปว่า ตอนนี้เราทำ Strategy Plan เสร็จแล้ว ซึ่งก็จะเริ่มบอกได้ชัดเจนว่า ธุรกิจไหนจะเร่งเครื่อง? ธุรกิจไหนจะถอย? อย่างไฮโดรคาร์บอนจะทำไฮโดรเจน คู่กันกับ CCS ช่วงปลายปีก็จะรู้ว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร ต้องกู้เท่าไร ต้องปันผลอย่างไร จะมีความสามารถที่จะลงทุนแค่ไหน ก็เอามาเทียบกับโครงการที่จะเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าอยู่ในแผนการ...

"นั่นก็เพราะ 'ไฮโดรเจน' (Hydrogen) จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยลดคาร์บอน สำหรับภาคอุตสาหกรรม เพราะอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า โรงกลั่น โรงปิโตรเคมี หากปรับเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรเจนเป็นส่วนผสมของเชื้อเพลิง จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ หากเราสามารถใช้ไฮโดรเจนทดแทนไฮโดรคาร์บอนได้ 5% ก็จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 5% เช่นกัน"

(***แนวโน้มราคาต้นทุนผลิตไฮโดรเจนจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ทำให้ ปตท.อาจจะดำเนินการได้เร็วกว่าแผน)

ดร.คงกระพัน เสริมอีกว่า "ก่อนหน้านี้ทางท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ได้ไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งท่านก็คุยเรื่องไฮโดรเจนเหมือนกัน ทาง ปตท. ก็ได้มีคุยกับท่านแล้ว ทางซาอุดีอาระเบียก็อยากจะมาลงทุนที่เมืองไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะตลาดนี้มีศักยภาพใหญ่กว่า Mobility เป็นร้อยเท่าเลยทีเดียว"

"ส่วนการลงทุนเรื่อง CCS (การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) จะอยู่ในแผนการลงทุน 5 ปีแน่นอน และไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ ปตท.สผ. ทำก่อนหน้านี้ ซึ่งโครงการของ ปตท.สผ. นั้นเป็นแซนด์บ็อกซ์ เป็นการทดลองเบื้องต้น แต่โครงการนี้กลุ่ม ปตท. เราวางแผนกลยุทธ์การกักเก็บคาร์บอนร่วมกัน หรือก็คือใครปล่อยก็เก็บ เช่น IRPC, GC, GPSC, TOP จะต้องดักจับคาร์บอนมาจากโรงงานตัวเอง การเก็บไม่ได้แปลว่า ต้องปล่อยแล้วก็เก็บ บางทีอาจจะเก็บตั้งแต่ยังไม่ปล่อยเลยก็ได้ โดยมี ปตท. เป็นคนลงทุนเรื่อง Infrastructure และทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อปลดล็อกกฎระเบียบ และให้ ปตท.สผ. ช่วยดูแลปลายทาง ในเรื่องการเก็บลงหลุมเช่น ใต้ทะเล"

อย่างไรก็ตาม ดร.คงกระพัน มองว่า ในส่วนของเทคโนโลยี CCS นั้น ในต่างประเทศไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ มีการลงทุนทำกันมาเยอะในหลายประเทศ อย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรปก็มีเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งหากปตท.จะลงทุน ก็อาจจะลงทุนพัฒนาร่วมกับพันธมิตร หรืออาจจะไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเอาเทคโนโลยีมาปรับประยุกต์ ก็เป็นไปได้หมด

สุดท้าย ซีอีโอ ปตท. ให้บทสรุปว่า ไม่ว่าจะมีความท้าทายในด้านพลังงานอย่างไร ปตท.ต้องมีทิศทางชัดเจน ดังวิสัยทัศน์ 'ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน' ซึ่งต้องสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทย ภายใต้การเติบโตทางธุรกิจที่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงยึดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศเป็นเรื่องสำคัญ

'รวมไทยสร้างชาติ' อ้าแขนรับ 'อรรถวิชช์' ร่วมพรรค คาด!! ดึงมาช่วยเสริมกำลังให้ทีมกฎหมายแน่นปึ้ก

เมื่อวานนี้ (20 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ประชุมพรรค รทสช. อบอุ่น ชื่นมื่น เหมือนเคยค่ะ วันนี้เราปรบมือรับสมาชิกใหม่ พี่เอ๋ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่จะมาช่วยเสริมกำลังให้ทีมกฎหมายของเรา

วันพุธ พฤหัสบดี นี้เตรียมดู เตรียมฟัง การผลักดัน เรื่องดี ๆ ทั้งเรื่อง พรบ.การออกเสียงประชามติ ปัญหาผู้ลี้ภัยการสู้รบในเมียนมา การปรับปรุงการบริหารงานราชทัณฑ์ ฯลฯ จาก พรรครวมไทยสร้างชาติ

'หนุ่มกะเหรี่ยง' ตะโกนลั่นตลาดบางบอนหยามหญิงไทย เข้ามอบตัวแล้ว อ้าง!! ถูกตีความผิด ไม่ได้ไลฟ์สดชวนพรรคพวกมานอนกับสาวไทย

(20 ส.ค. 67) ที่สถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียน จากกรณีที่หนุ่มชาวกะเหรี่ยงได้ไลฟ์สดผ่าน TIKTOK กลางตลาดบางบอน กรุงเทพมหานคร ชักชวนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงมาจีบสาวไทย ว่า ชวนไปหลับนอนด้วยไม่ยาก จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล ว่า เป็นการไม่ให้เกียรติคนไทย หากปล่อยคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมเช่นนี้ไว้ อาจเป็นภัยในอนาคตได้ อยากให้ตำรวจไปดำเนินการกับหนุ่มกะเหรี่ยงคนนี้

ต่อมาหนุ่มกะเหรี่ยงคนดังกล่าว คือ นาย ซอ ตวน ตวน วิน อายุ 25 ปี ก็ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ สน.บางขุนเทียน โดยมีตำรวจสืบสวนนครบาล 9 และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมสอบปากคำด้วย โดยมีล่ามชาวเมียนมามาช่วยแปลภาษาระหว่างการสอบปากคำ

นาย ซอ ตวน ตวน วิน กล่าวขอโทษคนไทย ว่า ไม่ได้มีเจตนาพูดไม่ให้เกียรติผู้หญิงไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้คำที่ไม่สุภาพขณะไลฟ์สด จนทำให้ถูกนำไปแปลความหมายในทางที่ผิด

นาย ซาน มิน อู ล่ามชาวเมียนมา ก็ได้อธิบายให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า เนื้อหาที่ นายซอ ตวน ตวน วินไลฟ์สดนั้น ไม่ได้เป็นการเชิญชวนให้พรรคพวกมาพาสาวไทยไปหลับนอนแต่อย่างใด แต่มีคำพูดอยู่ช่วงหนึ่งที่พูดว่า “อยากได้อวัยวะเพศหญิง” จึงทำให้ถูกตีความไปในทางที่ผิด ซึ่งจากการกระทำดังกล่าว ก็ส่งผลทำให้แรงงานชาวเมียนมาเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย จึงอยากอธิบายให้ประชาชนชาวไทยได้เข้าใจ

ด้าน พันตำรวจเอก กฤติเดช จันทร์เพชร ผู้กำกับการ สน.บางขุนเทียน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเรื่องทางตำรวจก็ได้เร่งไปติดตามตัว นายซอ ตวน ตวน วิน เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง นาย ซอ ตวน ตวน วิน มามอบตัว ซึ่งเมื่อตรวจสอบพิสูจน์ทราบก็พบว่าเป็นการแปลภาษาผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ นาย ซอ ตวน ตวน วิน ไม่พบเอกสารการเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง จึงดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง โดยจะส่งตัวให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปดำเนินการต่อ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศต่อไป

สำหรับปมดรามาดังกล่าว เกิดจาก เพจ 'LOOK Myanmar' ได้โพสต์คลิปหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินไลฟ์ในตลาดบางบอนที่พูดภาษากะเหรี่ยง และถ่ายกล้องไปที่สาวไทย ซึ่งกำลังเดินผ่านไปผ่านมา โดยความหมายในถ้อยคำของชายในคลิปนั้น สื่อถึงว่า "อยากมีอะไรกับผู้หญิงไทย" นั่นเอง 

ทั้งนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความประกอบด้วยว่า...

“คนบางคนคิดว่าตูอยู่ไทย เดินตลาดพม่าในไทย ไลฟ์ถ้าไม่พูดพม่าไม่มีใครจับได้ ก็เผอิญเนี่ย แอดมินเพจนี้เนี่ย รู้จักคนเยอะ สมัครพรรคพวกชาวกะเหรี่ยงที่เป็นคนดี ๆ เค้าเลยแปลให้ เค้าบอกว่า มันพูดภาษากะเหรี่ยงสายหนึ่งละกัน ไม่ใช่กะเหรี่ยงฝั่งแม่สอด มันบอกมันอยากเฮ๊ดกีสาวไทย แถมชักชวนพวกขี้กลากแบบมันให้เข้ามาเฮ๊ดกีสาวไทยด้วย นี้ให้สมัครพรรคพวกช่วยกันแปล ถามตำรวจไทยหรือ ตม. ไทย ว่าทำอะไรคนแบบนี้ได้บ้างหรือต้องให้มีเหยื่อจากภัยสังคมแบบมันก่อนถึงจะทำ พิกัด : ตลาดบางบอน”

'จีน' ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ จนฟิล์มแรปปกป้องสีรถยนต์บวมเป่ง แต่ไม่ก่อความเสียหาย 'ด้านกลไก' หรือข้อบกพร่อง 'ด้านการผลิต'

ท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในจีน ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่รู้สึกถึงความร้อน รถยนต์ก็เช่นกัน หลังปรากฏภาพรถยนต์หลายคันสีบวมเป่ง สืบเนื่องจากอากาศอันร้อนระอุ ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์เรียกขานมันว่า ‘รถตั้งครรภ์’

ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับคลิปวิดีโอหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพรถยนต์หลายคันบวมโป่งขึ้นมา คล้ายกับกำลังตั้งท้อง

ปรากฏการณ์ที่เรียกขานกันว่า ‘รถตั้งครรภ์’ เร้าความอยากรู้อยากเห็นและความกังวลแก่ผู้คนในวงกว้าง กระตุ้นให้หลายคนตั้งคำถามเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้

ในวิดีโอเผยให้เห็นว่ารถยนต์หลายคันบวมจากภายนอก ทำให้พวกมันรูปร่างเหมือนกับตั้งท้อง ขณะที่ เจนนิเฟอร์ เจิง ผู้สื่อข่าวที่มีถิ่นฐานในสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันอยู่ในจีน แชร์วิดีโอลงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ พร้อมเขียนว่า "ไม่ใช่เรื่องตลก! รถยนต์ผลิตในจีนตั้งครรภ์ เมื่อสภาพอากาศมันร้อนเกินไป"

วิดีโอนี้กลายเป็นที่พูดถึงและส่งต่อกันอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีผู้เข้าชมแล้วอย่างน้อย 757,000 วิว ในนั้นรวมไปถึงคลิปรถออดีคันหนึ่ง ซึ่งจอดในที่โล่งแจ้ง มีสภาพฟิล์มปกป้องหรือฟิล์มแรปรถโป่งพองขึ้นมา

รายงานข่าวสันนิษฐานว่า ท่ามกลางอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน ฟิล์มแรปปกป้องสีรถยนต์เกิดบวมขึ้นมา และผู้คนพากันเรียกขานมันว่า ‘รถตั้งครรภ์’

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคนทั้งแสดงความคิดเห็นติดตลก แสดงความกังวลและคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ในนั้นรวมถึงรายหนึ่งซึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณภาพของกาวที่ใช้ในการแรป บางคนสอบถามเกี่ยวกับวิธีการที่จะทำให้ฟิล์มแรปที่บวมขึ้นมาแฟบลง ท่ามกลางความกังวลว่าอาจเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม บางส่วนก็เบาใจได้ประมาณหนึ่ง เนื่องจากภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายด้านกลไกหรือข้อบกพร่องด้านการผลิตรถยนต์ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน

แม้ฟิล์มแรปรถยนต์จะมีชั้นปกป้องรังสียูวี สำหรับปกป้องสีรถจากปัญหาดังกล่าว แต่อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในจีน พิสูจน์แล้วว่ามันหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับฟิล์มแรปบางยี่ห้อ

เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศร้อนจัด พวกผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เจ้าของรถใช้ฟิล์มแรกคุณภาพสูงและกาวคุณภาพดี รวมถึงหลีกเลี่ยงจอดรถตากแดดในชั่วโมงที่มีสภาพอากาศร้อนจัด

‘รมว.ดีอี’ เดินหน้า ปิดแพลตฟอร์ม ‘ทางรัฐปลอม’ 290 บัญชี แจ้งเตือนพี่น้องประชาชน อย่าเชื่อ-อย่าแชร์ ‘ข่าวปลอม’ ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

วันที่ 20 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake New Center หรือ AFNC) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และ เครือข่าย ได้ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินสถานการณ์การกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1-20 สิงหาคม 2567 ทีมปฏิบัติการได้ดำเนินการประสานปิดกั้นแพลตฟอร์ม ‘ทางรัฐ’ ปลอม 290 เพจ  โดยแบ่งเป็น แฟนเพจ Facebook จำนวน 284 เพจ และบัญชี Tiktok จำนวน 6 บัญชี  พร้อมเฝ้าระวังการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง 

นายประเสริฐ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบมิจฉาชีพ ใช้วิธีการหลอกลวงประชาชน ส่งข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือน โดยแอบอ้างโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet หรือ โครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ อยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พบกรณีการส่งข้อมูลต่อกันว่า ‘ผู้ที่ลงทะเบียนแอปทางรัฐ มีสิทธิ์ที่ข้อมูลจะตกไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์’ และ ‘ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขายข้อมูลให้มิจฉาชีพ’

ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA พบว่าประเด็นเรื่อง “ผู้ที่ลงทะเบียนแอปทางรัฐ มีสิทธิ์ที่ข้อมูลจะตกไปอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์” เป็นข้อมูลเท็จ โดยแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และระบบงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นมีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลอย่างรัดกุม มีความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ระบบการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management Systems – ISMS) จึงมั่นใจได้ว่า ข้อมูลจะไม่ถูกเปิดเผยไปสู่ภายนอกได้

สำหรับ ‘แอปฯ ทางรัฐ’ เป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางให้แก่ผู้ใช้บริการเท่านั้น ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทาง หรือของประชาชนที่ลงทะเบียนมาไว้ที่ แอปฯ ทางรัฐ แต่อย่างใด โดยข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงใน แอปฯ ทางรัฐ นั้น สามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูลและผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น โดยสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ‘ทางรัฐ’ ได้โดยตรงจากแอปฯ ‘App Store’ สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และแอปฯ ‘Google Play’ ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) เท่านั้น

ในส่วนของ ข่าวปลอม ‘ยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขายข้อมูลให้มิจฉาชีพ’ จากการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับ สำนักงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัล (Digital wallet) กระทรวง ดีอี พบว่า เป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการประกาศยุติโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567) และข้อมูลการลงทะเบียนในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีการควบคุมกำกับดูแลที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มั่นใจได้ว่า ข้อมูลจะไม่ถูกเปิดเผยออกไปภายนอก ซึ่งการขายข้อมูลหรือส่งต่อข้อมูลให้กับมิจฉาชีพเป็นความผิดตามกฎหมาย รัฐบาลไม่สามารถทำได้แต่อย่างใด 

“ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมืออย่าเชื่อ อย่าแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในทุกช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยประชาชนสามารถรับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “แอปฯทางรัฐ” ได้จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th หรือ โทร. 02-612-6060 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือพิมพ์เป็นภาษาไทยว่า www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล ไทย หรือสามารถสอบถามผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Call Center) สายด่วน โทร. 1111 ซึ่งกระทรวงดีอี มีความห่วงใยประชาชน ต่ออันตรายที่เกิดขึ้นจากภัยไซเบอร์ โดยโจรออนไลน์ได้อาศัยการเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวข้องกับโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต และการลงทะเบียนผ่านแอปฯ ‘ทางรัฐ’ ซึ่งขณะนี้กระทรวงดีอีได้ทำการปิดกั้นแพลตฟอร์มปลอมแล้ว 290 บัญชี พร้อมกับการตรวจสอบข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่เกี่ยวข้อง โดยถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง และจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง และขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน’ พร้อมกับไม่แชร์ข้อมูลที่บิดเบือนในทุกช่องทางสังคมออนไลน์” นายประเสริฐ กล่าวย้ำ 

หากประชาชนโดนหลอกออนไลน์ โทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 สอบถามข้อมูลข่าวสารโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” โทรสายด่วน Digital Wallet 1111 (24 ชั่วโมง) แจ้งเบาะแส ข่าวปลอม และอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง) , Line ID: @antifakenewscenter และเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

จีนพบ 'ปลาสเตอร์เจียน' หายากใกล้สูญพันธุ์ในแม่น้ำแยงซี ผลจากคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

(21 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หน่วยงานการเกษตรท้องถิ่นของจีนรายงานพบปลาสเตอร์เจียนแยงซี ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองระดับสูงสุดของจีน บริเวณแม่น้ำแยงซีตอนบนในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 

หลัวซิ่งกั๋ว หัวหน้าสถานีประมง สังกัดสำนักเกษตรและกิจการชนบทของเมืองสุ่ยฟู่ ระบุว่าคลิปวิดีโอที่บันทึกโดยกลุ่มช่างภาพเผยว่าปลาสเตอร์เจียนแยงซีอยู่ร่วมกับปลาชนิดอื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกของคำสั่งห้ามทำการประมงอย่างครอบคลุมในพื้นที่นี้

หลัวเสริมว่า เมืองสุ่ยฟู่ได้ติดตามปลา 62 สายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2023 ในจำนวนนี้เป็นปลาหายากบางสายพันธุ์ ซึ่งเผยให้เห็นว่าความหลากหลายของปลาหายากและพันธุ์ปลาเฉพาะถิ่นยังคงเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้

อนึ่ง ปลาสเตอร์เจียนแยงซี หรือที่เรียกว่าปลาสเตอร์เจียนแดบรี เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

เปิดใจ ‘ร้านข้าวแกงในอุทัยฯ’ ขายแกงถุงละ 10 บาท มานานกว่า 9 ปี เน้นขายเยอะ-กำไรนิดหน่อย ช่วยคนหาเช้ากินค่ำในยุคต้องรัดเข็มขัด

(21 ส.ค. 67) ที่จังหวัดอุทัยธานี จากปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา​ลงเรื่อย ๆ ​ประชาชนส่วนใหญ่ต้องรัดเข็มขัด​ประหยัดค่าใช้จ่าย​ ส่งผลให้การค้าขายซบเซา แต่ทว่ามีร้านแกงถุงของสองสามีภรรยาที่ขายแกงถุง เพียงถุงละ 10 บาท กลับขายดีเป็นพิเศษ

เนื่องจากราคาถูกและสามารถช่วยเหลือประชาชนลดค่าใช้จ่ายได้ โดยมีลูกค้าทั้งชาวบ้านทั่วไปและคนหาเช้ากินค่ำที่มีรายได้น้อยแวะเวียนมาซื้ออย่างไม่ขาดสาย 

นายกิติรัตน์ พันธ์นุ่ม อายุ 38 ปี และนางสาวสุทธิราภรณ์ เชิดสูงเนิน อายุ 35 ปี สองสามีภรรยาเจ้าของร้านแกงถุง 10 บาท กล่าวว่า ได้ร่วมกันเปิดร้านขายแกงถุงในราคา 10 บาทนี้มาแล้ว ถึง 9 ปีเต็ม โดยตั้งใจว่าเอากำไรแค่พออยู่ได้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติเศรษฐกิจย่ำแย่อย่างนี้ เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เอากำไรแต่น้อย อาศัยขายได้จำนวนมากก็พอที่มีกำไรให้พออยู่ได้ก็ถือว่าดีแล้ว

ดีกว่าขายราคาสูงแต่ขายได้น้อยไม่มีกำไร โดยจะมาตั้งร้านขายแกงถุงตั้งแต่เวลา 05.00-10.00 น. ทุกวัน ลูกค้าที่มาซื้อก็หลากหลาย

โดยเฉพาะคนมีรายได้น้อย ด้วยราคาที่ถูกจึงทำให้สามารถเลือกซื้อได้มากกว่า 1 เมนู จะมาซื้อไปเป็นกับข้าว 3 - 4 อย่าง ก็กินกันได้ทั้งครอบครัวกันเป็นประจำดีกว่าซื้อกับข้าวไปปรุงอาหารเองมื้อหนึ่งจะแพงกว่านี้มาก ไม่ต่ำกว่ามื้อละ 100 บาท

แต่ละวันร้านแกงร้านนี้จะมีให้เลือกมากถึง 8 - 9 เมนูไม่ซ้ำหมุนเวียนไปในแต่ละวัน ซึ่งมีทั้ง ต้มยำ ต้มจืด แกงส้ม แกงเผ็ด ผัดกะเพรา ผัดวุ้นเส้น และยำต่าง ๆ รวมถึงข้าวสวยในราคาถุงละ 10 บาท เช่นกัน อีกด้วย

‘พิธา’ เริ่มบทบาทใหม่ที่ ‘Harvard’ ในฐานะ Visiting Democracy Fellows ลั่น!! ไม่ได้หายไปไหน แค่รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิม

(21 ส.ค. 67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส. และหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ พร้อมแนบลิงก์บทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ BLOOMBERG.COM โดยระบุว่า…

"ก้าวต่อไป กับ บทบาทใหม่ของผมที่ Harvard ในฐานะ Visiting Democracy Fellows หวังว่าจะไปแชร์ประสบการณ์การเมืองให้คนรุ่นใหม่ และ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอวันกลับมาเป็นนักการเมืองที่ดีกว่าเดิมครับ ไม่ได้หายไปไหนนะ ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง บางกอก กับ บอสตัน ครับ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top