Tuesday, 13 May 2025
TheStatesTimes

พระราชดำริฯ โดย 'กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ' เพื่อประโยชน์สุขแก่ 'ชาวประชา-เด็กนักเรียน' ในถิ่นทุรกันดาร

(21 พ.ค. 67) 'มูลนิธิชัยพัฒนา' ได้โพสต์เรื่องราวของ ไข่ไก่ อารมณ์ดี Happy Chicken ไข่โอเมก้า ผลิตผลจากการพัฒนา เพื่อให้ราษฎรในถิ่นทุรกันดารเลี้ยงไก่ไข่ไว้เป็นอาหารโปรตีน ระบุว่า...

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์จากโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานด่านซ้าย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานบ้านหนองชะลาบ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก 'ไข่ไก่ อารมณ์ดี Happy Chicken ไข่โอเมก้า' ไข่มีคุณภาพ สะอาด ถูกหลักอนามัย มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมด้วยวิตามิน โอเมก้า 3 และแร่ธาตุมากมาย เพราะเกิดจากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ ปลอดภัยจากสารเร่งและยาปฏิชีวนะ ทำให้ไก่มีความสุข อารมณ์ดี จึงดีต่อผู้บริโภค ซึ่งการศึกษาวิจัยพบว่าไข่ไก่ที่ได้จากการเลี้ยงแม่ไก่แบบปล่อยอิสระ มีกรดไขมันโอเมก้า วิตามิน A และ E สูงกว่าการเลี้ยงแบบขัง

เรื่องราวก่อนจะมี 'ไข่ไก่ อารมณ์ดี Happy Chicken ไข่โอเมก้า' มาจากปัญหาความยากจนและความทุกข์ยากลำบากของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร โดยเฉพาะเด็ก ๆ ขาดสารอาหารที่จำเป็น

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีโอกาสเสด็จไปกับพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาค ทำให้ทรงตระหนักถึงปัญหานี้ จึงทรงหาแนวทางแก้ไขตามแนวพระราชดำริของพระราชบิดาที่ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ ศูนย์พัฒนาปศุสัตว์ตามพระราชดำริ จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 จึงพระราชทานพระราชดำริให้ศูนย์พัฒนาปศุสัตว์ฯ เป็นศูนย์กลางในการผลิตพันธุ์สัตว์ต่างๆ ที่จำเป็นและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาส่งเสริมพันธุ์สัตว์พันธุ์ดีให้แก่ราษฎรที่ยากจนในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากศูนย์พัฒนาปศุสัตว์ฯ เพื่อให้ราษฎรสามารถเลี้ยงสัตว์ใช้เป็นอาหารโปรตีน 

วันนั้นทรงมีพระราชดำรัสด้วยว่า “...ไก่พวกนี้เขาให้ไข่เรากินแล้ว ก็ต้องเลี้ยงให้เขามีความสุขด้วย ต้องปล่อยให้ออกมาเดินเล่นบ้าง ต้องเลี้ยงแบบให้ไก่มีความสุข หรือที่เรียกว่า เลี้ยงแบบ Happy Chicken...”

จากนั้นในปี 2558 มีกระแสรับสั่งเพิ่มเติมให้ศูนย์พัฒนาปศุสัตว์ฯ ดำเนินการส่งเสริมขยายพันธุ์ไก่ไข่สู่โรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนโดยให้สามารถดำเนินการขยายพันธุ์ได้เอง และให้ดำเนินงานฝึกอบรมและส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่แก่โรงเรียนถิ่นทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดตาก ผลิตพันธุ์เป็ดไข่สนับสนุนแก่พื้นที่ที่มีความต้องการให้มากขึ้น 

ต่อมาได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดทำโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานบ้านหนองชะลาบจังหวัดตาก เพื่อผลิตและกระจายพันธุ์ไก่ไข่และเป็ดไข่พระราชทานแก่โรงเรียนทุรกันดารพื้นที่จังหวัดตาก รวมทั้งเป็นแหล่งสาธิตฝึกอบรมและศึกษาเทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ปีกและการผลิตอาหารสัตว์โดยใช้วัสดุท้องถิ่น

โครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานด่านซ้าย จังหวัดเลย และโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานบ้านหนองชะลาบ จังหวัดตาก จึงเป็นโครงการที่ผลิตไก่ไข่พระราชทานและส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่แบบ Happy Chick โดยเป็นการเลี้ยงไก่แบบปล่อย Free range system หมายถึงระบบการจัดการเลี้ยงไก่ที่ปล่อยให้ไก่ได้ออกมาภายนอกได้อย่างอิสระในพื้นที่ที่มีหญ้าปกคลุม ทำให้ไก่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การคลุกฝุ่น การไซร้ขน การจิกกินพืช ผัก และแมลง ทำให้ไก่มีความสุข จึงเรียกว่า 'Happy Chicken' รวมทั้งการใช้อาหารที่มีวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อพระราชทานพันธุ์ไก่ไข่ที่มีคุณภาพแก่โรงเรียนในถิ่นทุรกันดารและประชาชนที่ยากจน ตลอดจนประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ

พระราชดำรินี้เกิดประโยชน์สุขโดยตรงแก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนที่จะได้รับอาหารโปรตีนไว้บริโภคอย่างเพียงพอ ขณะที่เกษตรกรได้รับองค์ความรู้การเลี้ยงไก่ไข่ที่มีคุณภาพ การผลิตอาหารเลี้ยงไก่ การได้รับการส่งเสริมอาชีพด้านปศุสัตว์ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งได้ขยายต่อยอดไปยังพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย

'ไข่ไก่ อารมณ์ดี Happy Chicken ไข่โอเมก้า' ปัจจุบันยังเป็นสินค้าส่งมอบความสุขแก่ผู้บริโภคทั่วไป ด้วยเป็นที่ยอมรับว่าเป็นไข่คุณภาพถูกหลักอนามัย ดีต่อกายและใจ

นี่คือเรื่องราวความหมายที่อยู่เบื้องหลังผลิตผลจากการพัฒนาของมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุขและอยู่ดีกินดี อันจะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศ

📢ผู้สนใจ 'ไข่ไก่ อารมณ์ดี Happy Chicken ไข่โอเมก้า' สามารถติดต่อได้ที่ โครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานด่านซ้าย จังหวัดเลย โทร. 042 810497 และโครงการศูนย์พัฒนาพันธุ์สัตว์พระราชทานบ้านหนองชะลาบ จังหวัดตาก โทร. 055 508950

'ปราชญ์ สามสี' ตั้งข้อสังเกต 2567 คืนชีพขบวนการล้มเจ้าด้วยทริกใหม่ 'ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้-สิ่งที่เสียหาย-ควบคุมไม่ได้' ออกจากขบวนการ

(21 พ.ค.67) เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จับได้สถานการณ์หลังจากนี้นะครับ

เราจะเห็นได้ว่าแม้ว่าตัวแปรทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะย้ายค่ายย้ายสี

แต่จะเห็นชัดในปี 2567 นี้คือการก่อร่างสร้างตัวของขบวนการโจมตีสถาบัน ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

"มีการโอนถ่ายอำนาจเปลี่ยนจากผู้นำทำความคิดรุ่นเก่าไปสู่ผู้นำทางความคิดรุ่นใหม่..."

ถ้าเปรียบเป็นบ้านก็คือมีการเดินสายไฟใหม่
เปลี่ยนหม้อแปลงจ่ายไฟ...หันมาใช้เงินภาษีมากขึ้น

"ตัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้ สิ่งที่เสียหาย หรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้...ออกไปจากขบวนการ"

ทั้งในเรื่องการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ และการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูซ้ำรอยด้านประวัติศาสตร์จะมีให้เห็น

โดยมีฐานเชิงสัญลักษณ์อยู่ที่ฝรั่งเศสนั่นแหละ

‘ญี่ปุ่น’ ติดฉากกั้นสีดำบังวิว ‘ภูเขาไฟฟูจิ’  อวสานจุดเช็กอิน นักท่องเที่ยว ‘ไร้วินัย’

(21 พ.ค.67) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่าการได้ชมวิวภูเขาไฟฟูจิถึงจะเรียกได้ว่าเดินทางถึงญี่ปุ่นจริง ๆ และเมืองฟูจิคาวากุจิโกะก็เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงร้องเรียนจากคนท้องถิ่นว่าแขกผู้มาเยือนเหล่านี้มักจะทิ้งขยะเรี่ยราด รุกล้ำพื้นที่ หรือแม้กระทั่งฝ่าฝืนกฎจราจร เพื่อที่จะได้รูปในมุมที่สวยที่สุดเอาไปแชร์ลงโซเชียลมีเดีย

ชาวเมืองเล่าว่า นักท่องเที่ยวบางคนจอดรถในที่ห้ามจอด ไม่สนป้ายคำเตือนห้ามสูบบุหรี่ และไปยืนออกันอยู่บนบาทวิถี เพื่อจะถ่ายรูปกับร้านสะดวกซื้อซึ่งมีวิวยอดภูเขาไฟที่มีหิมะปกคลุมเป็นฉากหลัง

ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ของเมืองเริ่มนำฉากตาข่ายสีดำขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 20 เมตร มาติดตั้งตรงจุดเช็กอินถ่ายรูปจนแล้วเสร็จเมื่อช่วงสาย ๆ ที่ผ่านมา ตามรายงานของผู้สื่อข่าวเอเอฟพี

“ฉันหวังว่าตาข่ายนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มีใครทำกิจกรรมอันตรายบริเวณนี้อีก” มิจิเอะ โมโตโมจิ วัย 41 ปี เจ้าของร้านขนมหวานพื้นบ้านญี่ปุ่นในพื้นที่บอกกับเอเอฟพี

ด้าน คริสตินา รอยส์ นักท่องเที่ยวชาวนิวซีแลนด์ วัย 36 ปี ออกมาบ่นด้วยความเสียดายว่า “ฉันรู้สึกผิดหวังที่พวกเขาเอาตาข่ายมาติดตั้ง ตรงนี้มันเป็นจุดถ่ายรูปที่เยี่ยมมาก แต่ก็เข้าใจได้ พวกเรามาถึงตั้งแต่คืนวานนี้ และได้ถ่ายรูปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการติดตั้งฉาก และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเรา”

“จะว่าไปมันก็อันตรายอยู่ เพราะมีรถยนต์ขับไปมาบนถนน ยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่พวกคุณสามารถถ่ายภาพกับภูเขาไฟฟูจิได้”

ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเยือนมากเป็นประวัติการณ์ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งทะลุ 3 ล้านคนต่อเดือนเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และอีกครั้งในเดือน เม.ย.

นักท่องเที่ยวที่จะใช้เส้นทางยอดนิยมปีนขึ้นภูเขาไฟฟูจิในฤดูร้อนปีนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 2,000 เยนต่อคน โดยทางการยังได้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 4,000 คนเพื่อลดปัญหาความแออัด

‘สภ.นิคมพัฒนา’ โปรโมตห้องพักหลุดจอง ขนาดไม่เล็ก-แต่งมินิมอล พร้อมติดโปรฯ เด็ด ‘ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม’

(21 พ.ค. 67) กลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเพจ ‘สถานีตำรวจภูธรนิคมพัฒนา’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ด่วน!! ห้องว่างหลุดจอง สภ.นิคมพัฒนาตามสโลแกน “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ขนาด 56 ตร.ม. (ไม่เล็กนะครับ) ห้องสวย พื้นทาสีเขียวลงมัน อากาศถ่ายเทดี มีมุ้งลวด เหล็กดัด พัดลมแบบบิ้วอิน มีความมั่นคงแข็งแรง

มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชม. แต่งครบจบสไตล์แบบวินเทจแอนด์มินิมอล์ ข้างนอกกะทัดรัดแบบมินิมอล์ ข้างในโอ่โถงอลังการแบบลัคชูรี่ “ให้การไม่ดีติดเยอะ ให้การเลอะเทอะติดเต็ม” ครับ”

พร้อมภาพห้องขังขนาดกะทัดรัด มีตำรวจ 3 นายยืนอยู่ โดยโพสต์ดังกล่าวมีคนกดไลก์กว่า 5.3 หมื่น คอมเมนต์อีก 4 พัน และยอดแชร์ 1 หมื่นครั้ง 

'อัครเดช' ห่วงไทยไร้มาตรฐานดับเพลิงไหม้จากแบตฯ รถ EV เตรียมตั้งคณะกรรมเร่งศึกษาเรื่องนี้ต่อรัฐบาลโดยเร็ว

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงมาตรการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้จากยานยนต์ไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ว่า...

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน ทำให้พบว่ามาตรการระงับเพลิงไหม้และการควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ของประเทศไทยยังต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรูปแบบของการประกอบอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าเป็นประเทศของศูนย์กลางในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกพบว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 170,000 คัน สถานีชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 2,500 แห่ง กระจายทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีสถานีชาร์จไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือน และตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจรวมถึงมาตรการอุปกรณ์ในการระงับเพลิงไหม้และควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ในลิเทียมไออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมาตรการการควบคุมอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการดำเนินการระงับเหตุเพลิงที่เกิดจากการลุกไหม้ของ ลิเทียมไอออน 

ด้วยเหตุนี้ กมธ.อุตสาหกรรมจึงได้ประสานงานและ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของไฟที่ลุกไหม้จากลิเทียมไอออนหรือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งวิธีการระงับเหตุเพลิงไหม้และผลกระทบจากเพลิงไหม้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคู่มือและฝึกอบรมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงของเหตุเพลิงไหม้ และความปลอดภัยในด้านอื่นๆ พร้อมผลักดันให้มีการทดสอบสารเคมีที่สามารถช่วยในการระงับเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้แนะให้หน่วยงานภาครัฐเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้และการควบคุมเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำมาจากลิเธียมไอออน รวมถึงเพลิงไหม้โรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวและโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมเป็นอุปกรณ์ติดรถยนต์อีกด้วย โดยกรรมาธิการอุตสาหกรรมจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวนำเสนอรัฐบาลเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป

30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 วันคล้ายวันสวรรคต ‘พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ กษัตริย์ผู้ทรงได้รับการยกย่องเป็น 'นักประชาธิปไตย'

หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จฯ ประพาสยุโรป เพื่อทอดพระเนตรการพัฒนาด้านต่าง ๆ และทรงรับการผ่าตัดรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ แต่เนื่องด้วยพระราชดำริที่ไม่ตรงกัน กับรัฐบาลคณะราษฎรหลายประการ และทรงพิจารณาแล้วว่า ไม่ทรงสามารถประสานกับรัฐบาล

เพื่อให้บรรลุประโยชน์แก่ปวงชนส่วนรวมได้ จึงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ขณะประทับพักฟื้นพระวรกายที่พระตำหนักโนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 เมื่อพระองค์ทรงสละราชสมบัติแล้ว ยังคงประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ แต่พระองค์ทรงพระประชวรอยู่เนือง ๆ อันเนื่องมาจากพระพลานามัยของพระองค์ ทรงไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

กระทั่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตด้วยอาการพระหทัยวาย ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา 6 เดือน 23 วัน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเรียบง่าย ณ ฌาปนสถานโกลเดอร์สกรีน (Golders Green) ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2492 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี จึงทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกจากท่าเรือเมืองเซาแธมตันโดยรัฐบาลอังกฤษ ตั้งกองเกียรติยศส่งเสด็จ เรือ Willem Ruys นำเสด็จฯ สู่สิงคโปร์ และเรือภาณุรังษีของบริษัทอีสต์เอเชียติก ได้นำเสด็จฯ เข้าสู่ประเทศไทยถึงเกาะสีชัง รัฐบาลไทย ซึ่งมีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรือหลวงแม่กลองไปรับเสด็จที่เกาะสีชัง มาถึงท่าราชวรดิฐ วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2492 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เฝ้าฯ รับเสด็จฯ และอัญเชิญพระบรมอัฐิ โดยกระบวนพยุหยาตราใหญ่ เข้าสู่พระบรมมหาราชวังประดิษฐาน ร่วมกับสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังมีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์ ชื่อว่า ‘พระไตรปิฎกสยามรัฐ’ เป็นต้น

นอกจากนี้ พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เนื่องในวโรกาสฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี พระองค์ทรงได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์บางส่วนว่าเป็น ‘กษัตริย์นักประชาธิปไตย’ เนื่องจากทรงยินยอมสละพระราชอำนาจของพระองค์ให้เป็นของประชาชน และลดพระราชฐานะของพระองค์ให้เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญพระองค์แรก

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่อนุชนรุ่นหลังอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สถาบันพระปกเกล้า จึงได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้มีวันสำคัญเกี่ยวกับพระองค์ว่า สมควรกำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ คือ วันที่ 30 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น ‘วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 โดยให้กำหนดวันที่ 30 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น ‘วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ อันเป็นวันรัฐพิธีโดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ

‘เศรษฐกิจสีชมพู’ โอกาสที่ ‘ไทย’ ไม่ควรมองข้าม ดึงกลุ่ม ‘LGBTQ+’ ผู้มีกำลังซื้อมหาศาลเข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน เดือน Pride Month ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปิดรับความหลากหลายทางเพศที่ไร้ซึ่งข้อจำกัดเดิม ๆ อยากพาทุกคนมารู้จักกับ ‘เศรษฐกิจสีชมพู’ หรือ ‘Pink Economy’ อีกหนึ่งโอกาสของ ‘ประเทศไทย’ ที่จะใช้ความโดดเด่นของพื้นที่ที่เปิดกว้างและมอบอิสระให้ชาว LGBTQ+ ในการสร้างธุรกิจที่โดนใจกลุ่มคนเหล่านี้

โดยในปี 2566 ข้อมูลจาก LGBT Capital ระบุว่า ประเทศไทย ติดอันดับ 4 ของโลก ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBT สูงที่สุด อีกทั้งแนวโน้มการจัดอันดับระดับสากล ในแง่ประเทศที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ มากที่สุด ซึ่งไทยก็มีคะแนนไต่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพดินแดนที่เปิดกว้างพร้อมโอบอุ้มความหลากหลายทางเพศ จนนี่อาจกลายมาเป็นจุดขายใหม่ทางเศรษฐกิจได้

บทความจาก สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในแต่ละปีของเทศกาลไพรด์ หรือ Pride Month ในเดือนมิถุนายน การจัดงานนี้ที่ประเทศไทยได้รับการกล่าวถึงในกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลก เพราะมีสีสันและน่าตื่นตาตื่นใจมาก

และการรวมตัวหรือรวมกลุ่มของชาว LGBTQ+ นี่เอง ที่ทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน ซึ่งภาษาในทางการตลาด เรียกว่า PINK ECONOMY หรือเศรษฐกิจสีชมพู ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐฯ ช่วงกลางทศวรรษ 1960 เมื่อบริษัทต่างๆ เริ่มมองเห็น ‘กำลังซื้อ’ และการใช้จ่ายที่หนักและหลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งมากกว่ากลุ่มเพศตรงข้าม และกลุ่มครอบครัวที่มีลูก แม้จะไม่ได้มีรายได้สูงกว่าก็ตาม

แต่ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างออกไป ไม่มีลูก ไม่มีภาระทางครอบครัวมากนัก จึงมีเงินในกระเป๋าเหลือสูงกว่า มีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย และบริการระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมักจะเลือกซื้อด้วยราคาที่แพงกว่าผู้บริโภคกลุ่มครอบครัว

ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ส่วนตัว แม้กระทั่งการท่องเที่ยวที่เน้นความหรูหรา และหากกลุ่ม LGBTQ+ เลือกใช้ชีวิตคู่ ก็ยิ่งมีกำลังซื้อสูงขึ้นแบบทวีคูณไปอีก เรียกว่า DINK หรือ Double Income, No Kids มีรายได้สองเท่า ไม่มีลูกเป็นเงื่อนไข และใช้จ่ายได้อิสระ

โดย PINK ECONOMY ในสหรัฐนั้น อาจสูงถึง 780,000 ล้านดอลลาร์จากการประเมินของ Witeck Communication บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ธุรกิจของสหรัฐ ขณะที่ประมาณการกำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ทั่วโลกอาจจะสูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ขณะที่หนังสือพิมพ์ China Daily ของทางการจีน ได้เคยระบุถึงเม็ดเงิน Pink economy ในประเทศเมื่อหลายปีก่อนที่มีขนาดตลาดสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ จากจำนวน LGBTQ+ ที่มีอยู่ในจีนถึง 70 ล้านคน พูดง่าย ๆ แค่ตลาดคนกลุ่มนี้ในจีนประเทศเดียว ก็เท่ากับประชากรไทยทั้งประเทศแล้ว

ดังนั้น ด้วยโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ทำให้ประเทศไทยไม่ควรมองข้ามความน่าสนใจของ เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECONOMY ด้วยประการทั้งปวง

สำหรับโอกาสของตลาด พลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ภายใต้ข้อมูล กลุ่มเกย์ และเลสเบี้ยน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าเพศหญิงและชาย มูลค่าตลาดถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะไทย ซึ่งกวาดเม็ดเงินจากคนกลุ่มนี้ได้เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยจะตั้งเป้า เป็นฮับ LGBTQ+ Destination และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ ระดับสากล เช่นเดียวกับ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ และออสเตรเลีย อีกด้วย โดยจะเดินหน้าพัฒนาการเดินทางมาเยือนให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย และมีที่พักโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว สถานบริการเฉพาะกลุ่ม ตลอดจนคลินิกสุขภาพเพศหลากหลายอย่างครบครัน ผลักดัน ซีรีส์วายไทยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ไปในตัว

โดยล่าสุดได้มีการวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดผ่าน เศรษฐกิจสีชมพู หรือ PINK ECNOMY ที่เกิดขึ้นจากพลังซื้อ กลุ่ม LGBTQ+ ทั้งนี้ โอกาสของธุรกิจ และกิจกรรมที่มีศักยภาพ ซึ่งรัฐและเอกชนต้องช่วยขับเคลื่อน มีดังนี้

1. ส่งเสริม เทศกาล Pride Month ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ และ ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ สร้างความพร้อมของพื้นที่เพื่อเสนอตัว เป็นเจ้าภาพ จัด WorldPride เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาร่วมงานมากขึ้น และสนับสนุนแบรนด์สินค้าให้ใช้ในเทศกาล ชูธงสีรุ้ง แสดงสัญลักษณ์ของการเป็นส่วนหนึ่งบนแพลตฟอร์มและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQ+ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย

2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย อาศัยจุดแข็งของไทย ที่ติดอันดับประเทศน่าเที่ยวของชาว LGBTQ+ ดึงแหล่งท่องเที่ยวและเทศกาลท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย ใช้โอกาสพัฒนาสินค้าชุมชนให้น่าสนใจ เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มาเที่ยวและใช้จ่ายมากขึ้น

3. ส่งเสริมธุรกิจด้านความบันเทิง คลับ บาร์ ราตรีสถาน หรือการประกวด LGBTQ+ เพื่อให้เป็นฮับของการมาผ่อนคลายและสนุกสนาน

4. ส่งเสริมธุรกิจด้านสุขภาวะและอสังหาริมทรัพย์สำหรับเพศหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม LGBTQ+ ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพเฉพาะ การผ่าตัดแปลงเพศ และการจัดสรรบ้านพักอาศัยสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

‘เนทันยาฮู-ผู้นำฮามาส’ โดนคู่!! ‘ไอซีซี’ โร่ขอหมายจับ ข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม-อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

(21 พ.ค.67) คาริม ข่าน อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) กล่าวว่า เขาได้ขอหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายยูอาฟ กัลลันท์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล และผู้นำฮามาสอีก 3 คน ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม

แถลงการณ์ของข่านถูกเผยแพร่หลังสงครามในฉนวนกาซายืดเยื้อมานานกว่า 7 เดือน โดยระบุว่า เขามีเหตุผลอันสมควรที่ทำให้เชื่อว่า ชายทั้ง 5 คนนี้ต้องรับผิดทางอาญาต่อข้อกล่าวหาว่าได้ก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ข่านกล่าวด้วยว่า เขาได้ยื่นขอหมายจับเนทันยาฮูและกัลลันท์ ที่ดูแลการรุกรานของอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา หลังจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน

ขณะเดียวกันก็ยังได้ยื่นขอหมายจับยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส โมฮัมเหม็ด อัล-มาสรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดอีฟ และอิสมาอิล ฮานีเยห์ หัวหน้าสำนักการเมืองของกลุ่มฮามาสด้วย

ข่านระบุว่า อิสราเอลก็เหมือนรัฐอื่น ๆ ที่มีสิทธิที่จะดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองของตน แต่สิทธิดังกล่าวไม่ทำให้อิสราเอลหรือรัฐใด ๆ พ้นจากพันธกรณีในการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

“อาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการโดยอิสราเอลนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีพลเรือนชาวปาเลสไตน์อย่างกว้างขวางและเป็นระบบตามนโยบายของรัฐ และจากการประเมินของเรา อาชญากรรมเหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้” ข่านกล่าว

หลักฐานที่สำนักงานของเขารวบรวมมาได้แสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้กีดกันพลเรือนจากสิ่งของที่ขาดไม่ได้สำหรับการอยู่รอดของมนุษย์อย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงอาหาร ยารักษาโรค และพลังงาน ซึ่งเนทันยาฮูและกัลลันท์ต้องรับผิดชอบ เพราะอิสราเอลจงใจก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง และการสังหารซึ่งเป็นอาชญากรรมสงคราม

ขณะที่ผู้นำกลุ่มฮามาสเผชิญข้อกล่าวหาว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่กลุ่มฮามาสก่อขึ้น รวมถึงการทำลายล้างและฆาตกรรม การจับตัวประกัน การทรมาน การข่มขืน และการกระทำรุนแรงทางเพศอื่น ๆ

หลังจากนี้องค์คณะผู้พิพากษาก่อนพิจารณาคดีจะตัดสินว่า หลักฐานที่อัยการได้นำเสนอนั้นเพียงพอที่จะให้ไอซีซีออกหมายจับหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไอซีซีไม่มีอำนาจให้การบังคับให้มีการดำเนินการตามหมายจับแต่อย่างใด

การสอบสวนในกรณีสงครามฉนวนกาซาโดยไอซีซีถูกต่อต้านจากทั้งสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ขณะที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของข่านอีกด้วย

เนทันยาฮู กล่าวว่า การตัดสินใจของข่านเป็นการบิดเบือนความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับปฏิเสธการที่อัยการไอซีซีนำเอาอิสราเอลที่เป็นประชาธิปไตยไปเปรียบเทียบกับกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นฆาตกรสังหารหมู่

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ เรียกการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นเรื่องรับไม่ได้ พร้อมกับย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ไบเดนกล่าวว่า การสนับสนุนของสหรัฐต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของอิสราเอลนั้นแข็งแกร่ง เรายืนหยัดร่วมกับอิสราเอลเพื่อกำจัดฮามาส เราต้องการให้ฮามาสพ่ายแพ้ และเรากำลังทำงานร่วมกับอิสราเอลเพื่อทำให้มันเกิดขึ้น

ขณะที่นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การดำเนินการนี้ถือเป็นอันตรายต่อการเจรจาข้อตกลงตัวประกันและการหยุดยิง

ซามี อาบู ซูห์รี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮามาส กล่าวว่า การตัดสินใจของอัยการในการออกหมายจับผู้นำฮามาสทั้ง 3 คน ก็เท่ากับว่าเหยื่อมีสถานะเป็นผู้ประหัตประหาร พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยกเลิกหมายจับผู้นำของตนด้วย

ด้านเบนนี เกนต์ซ สมาชิกคณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอล กล่าวว่า การเปรียบเทียบผู้นำประเทศประชาธิปไตยที่มุ่งมั่นจะปกป้องตนเองจากความหวาดกลัวอันน่ารังเกียจต่ผู้นำองค์การก่อการร้ายกระหายเลือด ถือเป็นการบิดเบือนความยุติธรรมอย่างลึกซึ้ง และเป็นการล้มละลายทางศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง

‘ลิซ่า’ ทำว้าวุ่น!! หลังโพสต์อวดชุดน้องเป็ดลาบูบู้ ราคาพุ่งไกลจากหลักร้อยถึงหลักพัน ไม่ถึง 24 ชม.

(21 พ.ค.67) เรียกว่างานเข้าคนรักอาร์ตทอย โดยเฉพาะติ่งลาบูบู้ หลังจากที่ ‘ลิซ่า Blackpink’ หรือ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ เจ้าแม่ sold out ขอเป็นสาวกรันวงการลาบูบู้อีกคน ได้ทำการโพสต์ภาพคู่น้องลาบูบู้ ก็ทำเอาลาบูบู้ราคาสูงขึ้นไปหลายเท่า แถมหายากจนบางรุ่นกลายเป็นแรร์ไอเทม กลายเป็นของหายากที่หลายคนพยายามตามหา ราคารีเซลล์จากหลักร้อยพุ่งไปถึงหลักสองพันบาทเป็นที่เรียบร้อย

ล่าสุด ลิซ่า ได้โพสต์ภาพไอจีสตอรี่ กระเป๋าพร้อมลาบูบู้ อวดชุดเป็ดลาบูบู้ ก็ทำเอาวงการร้อนฉ่า จาก accessory ชุดเป็ดลาบูบู้จากราคาตามท้องตลาด ไม่ถึง 500 บาท ไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่ลิซ่าโพสต์ ราคาดีดไปถึง 2,600 บาท แถมตอนนี้ยังต้องพรีออเดอร์ในบางร้านเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า 

ราคาชุดเป็ดลาบูบู้ไปไกลทำเอาชาวเน็ตหลายคนถึงกับอุทานว่า ราคาไปไกลมาก! บางคนก็บอกว่า แพงจนแทบขยี้ตาไม่ทัน บางคนก็ครีเอตไม่สนราคา เปิดรับถักชุดเป็ดให้น้องลาบูบู้ สร้างรายได้อีกด้วย

'สมชาย' เต็งประมุขสภาสูง-กู้เกียรติเพื่อไทย คู่ขนาน 'ระบอบทักษิณ-เศรษฐา' ได้ไปต่อ

จะบอกว่าไม่เซอร์ไพรส์ ก็คงไม่ได้ สำหรับกรณีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 สามีของ 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

จริง ๆ แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนนครศรีธรรมราช จะไปสมัครที่นั่น ซึ่งเป็นบ้านเกิด หรือลงในกทม. ที่ทำงานรับราชการยาวนานจนได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และได้เป็นนายกฯ ไร้ทำเนียบ 50 กว่าวัน เพราะพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร เลยเถิดมาถึงรัฐบาลสมชาย...ก็ย่อมได้

แต่การเลือกลงเชียงใหม่ที่ชีวิตปักหลักยาวนานรอบนี้ หากสมชายได้รับเลือกก็จะเป็นการกอบกู้เกียรติภูมิให้กับพรรคเพื่อไทยทางอ้อม เพราะเลือกตั้ง สส. ปี 2566 ก็ดังที่รู้ ๆ กันว่า จาก 10 ที่นั่ง พรรคก้าวไกลกวาดไป 7 เพื่อไทยได้แค่ 2 พลังประชารัฐได้ 1 เสียฟอร์มพรรคเสื้อแดงเป็นอย่างมาก...

ไม่แต่เท่านั้น ไม่ต้องอินไซด์อะไรกันมาก การลงสมัครของสมชายรอบนี้ชัดเจนว่า หากเขาได้เป็น 1 ใน 200 สว. โอกาสที่จะได้เป็นประธานวุฒิสภาก็มีสูงกว่าใครเพื่อน...

อนึ่ง ชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ แล้วเป็นนายกฯ สองรอบ แล้วมาเป็นประธานสภาสั่งลาฯ ได้อีก แล้วทำไมอดีตนายกฯ อย่างสมชาย จะทำไม่ได้!!

สว. มีวาระ 5 ปี แม้ไม่มีอำนาจโหวตนายกฯ แล้ว แต่อำนาจอื่น ๆ ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ การกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบถ่วงดุล-เสริมดุลรัฐบาล

กรณีถ้าสมชายได้รับเลือกเป็นประมุขวุฒิสภา ก็จะเป็นอีกเสาค้ำอำนาจให้กับระบอบทักษิณที่กำลังฟื้นคืนชีพ ยึดฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาล่าง, สภาสูง, คุมฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ตัวจริงเสียงจริงของอำนาจคือ บ้านจันทร์ส่องหล้า...

ตอนนี้เหลือเพียงโจทย์ข้อใหญ่คือ ทำอย่างไรให้ ลูกสาวคนโปรดที่มีทั้งดีเอ็นเอพ่อและแม่อย่าง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร โตได้ทัน มารับไม้ตำแหน่งนายกฯ จาก 'อานิด' เศรษฐา ทวีสิน ได้ทันในสมัยหน้า...

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต...ก่อนที่จะไปลุ้นกันว่าสมชายและอุ๊งอิ๊งจะไปถึงเป้าวางหรือไม่...เฉพาะหน้ารอดูจุดเปลี่ยน 23 พ.ค. กรณี 40 สว. ปฏิบัติการสอยพิชิต ชื่นบาน ว่าจะลากเอาเศรษฐาตกเก้าอี้ไปด้วยหรือไม่...

บรรดาเกจิอาจารย์ฟันธงกันเป็นเสียงเดียวว่า  23 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาแน่ แต่เศรษฐายังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...แล้วจากนั้นอีกประมาณเดือนครึ่งไปรอฟังคำตอบ ใครรอดใครร่วง...

ประมวลข่าวประเมินสถานการณ์...ราคาต่อรองพิชิต โอกาสรอด 10 ไม่รอด 90 ส่วนนายกฯ รอด 51 ไม่รอด 49...

จาก 23 พ.ค. ไปโฟกัสกันวันที่ 29 พ.ค. ทักษิณ ชินวัตร ต้องไปฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้องคดีมาตรา 112 จากอัยการสูงสุด...ตอนนี้ราคาต่อรอง 60 ไม่ฟ้อง 40 ฟ้อง...

ดูตัวเลขพยากรณ์จาก 2 กรณีแล้วหลายคนอาจขัดอกขัดใจ เพราะถ้าเป็นไปตามนี้แปลว่าระบอบทักษิณยังไปต่อและมีแนวโน้มฮึกเหิมต่อไป...ทราบแล้วเปลี่ยน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top