Friday, 17 May 2024
TheStatesTimes

‘ดร.สมชัย’ โพสต์ข้อความ “ค่าเสียโอกาสประเทศ 500,000,000,000 บาท!”

(2 พ.ค. 67) ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง โพสต์ข้อความพร้อมแสดงความรู้สึกเศร้าผ่านเฟซบุ๊ก ‘Somchai Jitsuchon’ ระบุว่า…

“ค่าเสียโอกาสประเทศ 500,000,000,000 บาท!”

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ส่งกระเช้าเยี่ยมตำรวจจราจรที่ได้รับบาดเจ็บ จากการเข้าระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง

วันนี้ (2 พฤษภาคม 2567) เวลา13.30น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หน.คณะทำงานด้านเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าเยี่ยมพร้อมมอบกระเช้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ ประวะโข รอง สว.(จร.) งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. ณ โรงพยาบาลตำรวจ หลังเข้าระงับเหตุชายคลั่งอาละวาดทุบรถประชาชน บริเวณหน้าปั๊มแก๊สตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง ริมคลองผดุงกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร จนถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยอาวุธมีด เมื่อวานนี้

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ตนรู้สึกชื่นชมและเป็นห่วง ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ไปปฏิบัติหน้าที่แต่ระหว่างทางนั้นมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนร้องของความช่วยเหลือ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จึงได้หยุดรถลงมาระงับเหตุ จนได้รับบาดเจ็บตามที่ปรากฏออกข่าวไปแล้วนั้น  โดยวันนี้ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ได้ทราบเรื่องดังกล่าว จึงฝากชื่นชมกับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยนึกถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีมากสำหรับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พร้อมมอบหมายให้ตนมาเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

ด้าน ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ผู้บังคับบัญชาส่งกระเช้าและกำลังใจมาให้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ในระหว่างเข้าระงับเหตุ ตนได้มีสติทุกขณะ เพราะเกรงว่าชายคลุ้มคลั่งคนดังกล่าวจะเข้าทำร้ายประชาชนบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก่อนที่ตนจะโดนทำร้าย ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ จนกระทั่งพลเมืองดีที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ได้เข้ามาร่วมช่วยควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

เบื้องต้นอาการบาดเจ็บของ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ ดีขึ้นตามลำดับ พบมีบาดแผลบริเวณศีรษะ 2 จุด แผลเย็บ 5 เข็ม และ 6 เข็ม ซึ่งทางแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจยืนยันว่าอาการโดยทั่วไปไม่มีอะไรน่ากังวล ไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายในเย็นวันนี้

ย้อนอดีต!! ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ โรคระบาดที่ร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์ หลังมีผู้ติดเชื้อ 500 ล้านคนทั่วโลก และคร่าชีวิตไปกว่าหลายสิบล้านคน

จากการระบาดของไวรัส COVID-19 ไปทั่วโลก รวมถึงบ้านเราด้วย ซึ่งเป็นโรคระบาดที่ถือว่าหนักหนาสาหัสชนิดที่คนในยุคสมัยนี้ไม่เคยเจอะเคยเจอมาก่อน แต่ในอดีตเมื่อกว่าร้อยปีก่อนก็ได้มีการระบาดอย่างหนักของไข้หวัดใหญ่สเปน (The Spanish flu) ซึ่งเป็นหนึ่งในการระบาดของโรคที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ โดยไข้หวัดใหญ่สเปนถูกพบครั้งแรกในยุโรป สหรัฐอเมริกา และบางส่วนของทวีปเอเชีย ก่อนที่จะแพร่ระบาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งในขณะนั้นยังไม่มียาหรือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ ประชาชนจึงได้รับคำสั่งให้สวมหน้ากาก รวมทั้งโรงเรียน โรงละคร และธุรกิจต่าง ๆ ก็ถูกปิดตาย และศพผู้เสียชีวิตถูกกองไว้ในห้องเก็บศพชั่วคราว ก่อนที่ไวรัสจะยุติระบาดไปทั่วโลก

สำหรับ ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ เป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918 ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์เอ H1N1 เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1918 ถึงเดือนเมษายน 1920 ทำให้มีผู้ติดเชื้อ 500 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในขณะนั้น ซึ่งเกิดขึ้นถึง 4 ระลอกต่อเนื่องกัน โดยตัวเลขของผู้เสียชีวิตคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 20-50 ล้านคน (แต่การประมาณการจะเริ่มตั้งแต่ 17 ล้านคน ไปจนถึงสูงถึง 100 ล้านคน) ซึ่งมากกว่าทหารและพลเรือนทั้งหมดที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมกันเสียอีก

การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดขึ้นในเกือบทุกพื้นที่ของโลก โดยอันดับแรกจะเกิดตามท่าเรือ จากนั้นก็จะแพร่กระจายจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองตามเส้นทางคมนาคมหลัก อย่างในอินเดีย คาดว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12.5 ล้านคน ในระหว่างการแพร่ระบาด และโรคนี้ก็ได้แพร่กระจายไปถึงหมู่เกาะห่างไกลในแปซิฟิกใต้ รวมถึงนิวซีแลนด์และซามัว ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตประมาณ 550,000 - 675,000 คน ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่ในทั่วโลกเกิดขึ้นในช่วงระลอกที่ 2 และ 3 มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดขึ้นอีกในปี 1920 แต่ความรุนแรงลดลง

อย่างไรก็ตาม…แล้วไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดจากอะไร? ซึ่งการระบาดเริ่มขึ้นในปี 1918 ในช่วงเดือนสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งปัจจุบันนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ความขัดแย้งอาจมีส่วนทำให้ไวรัส H1N1 แพร่กระจาย ในแนวรบด้านตะวันตกทหารที่ทำการรบนั้นอยู่ในสภาพคับแคบสกปรกและอับชื้นจนทหารเริ่มป่วย อันเป็นผลโดยตรงจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากการขาดสารอาหาร ความเจ็บป่วยของพวกเขา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ‘la grippe’ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อ และแพร่กระจายไปตามลำดับภายในเวลาประมาณ 3 วัน หลังจากที่ป่วยทหารหลายคนจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่ก็่ใช่ว่าจะเป็นในทหารทั้งหมด ในช่วงฤดูร้อนปี 1918 เมื่อทหารเริ่มลากลับบ้าน พวกเขาได้นำไวรัสที่ตรวจไม่พบซึ่งทำให้พวกเขาป่วยไปด้วย ไวรัสจึงแพร่กระจายไปทั่วเมืองและหมู่บ้านในประเทศบ้านเกิดของทหาร ผู้ติดเชื้อจำนวนมากทั้งทหารและพลเรือนไม่สามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว 

ต่อมาในปี 2014 มีทฤษฎีใหม่ (ยังเป็นข้อสันนิษฐาน) เกี่ยวกับ ‘ต้นกำเนิด’ ของไวรัส ชี้ให้เห็นว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน โดย National Geographic รายงานว่า บันทึกที่ยังไม่ได้ค้นพบก่อนหน้านี้ได้เชื่อมโยงไข้หวัดกับการขนส่งแรงงานกรรมกรจีน ผ่านแคนาดาในปี 1917 และ 1918 คนงานส่วนใหญ่เป็นคนงานในฟาร์มจากพื้นที่ห่างไกลในเขตชนบทของจีนตามหนังสือ ‘The Last Plague’ ของ Mark Humphries (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโตรอนโต 2013) พวกเขาต้องอยู่กันอย่างแออัดในตู้คอนเทนเนอร์รถไฟที่ปิดสนิทเพื่อขนส่งข้ามประเทศเป็นเวลา 6 วัน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังฝรั่งเศส ซึ่งที่นั่นพวกเขาต้องขุดสนามเพลาะ วางรางรถไฟ สร้างถนน และซ่อมแซมรถถังที่เสียหาย โดยรวมแล้วมีการระดมคนงานมากกว่า 90,000 คน ไปยังแนวรบด้านตะวันตก โดย Mark Humphries อธิบายว่าส่วนหนึ่งในจำนวนคนงานชาวจีน 25,000 คน ในปี 1918 ประมาณ 3,000 คนต้องยุติการเดินทางในเขตกักกันทางการแพทย์ของแคนาดา ในขณะนั้นเนื่องจากการเหยียดผิว ความเจ็บป่วยของพวกเขาถูกระบุโดยตำหนิว่าเป็น ‘โรคขี้เกียจของจีน’ และแพทย์ชาวแคนาดาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาการของคนงาน เมื่อถึงเวลาที่คนงานมาถึงทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในช่วงต้นปี 1918 หลายคนเริ่มป่วยและอีกหลายร้อยคนกำลังจะตายในไม่ช้า 

ทั้งนี้ สำหรับที่มาของชื่อ ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ ซึ่งถูกเรียกชื่อผิด ๆ โดยสเปนเป็นประเทศเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 1 และไม่เหมือนกับเพื่อนบ้านในยุโรป แต่ก็ไม่ได้กำหนดให้มีการเซ็นเซอร์ตรวจสอบสื่อในช่วงสงคราม โดยในฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา หนังสือพิมพ์ไม่ได้รับอนุญาตให้รายงานสิ่งใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อการทำสงคราม รวมถึงข่าวว่า ไวรัสที่ทำให้คนป่วยหนักกำลังระบาดไปทั่วกองทหาร เนื่องจากนักข่าวชาวสเปนเป็นเพียงคนเดียวที่รายงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1918 การระบาดจึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อของ ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ (The Spanish flu)

>> สำหรับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในยุคนั้น มี 4 ระลอก ดังนี้… 

- การระบาดระลอกที่ 1 ของการระบาดใหญ่เกิดขึ้นในปี 1918 ในฤดูใบไม้ผลิและโดยทั่วไปยังระบาดไม่รุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการเช่น ไข้หวัดทั่วไป คือ หนาวสั่น มีไข้ และอ่อนเพลีย มักจะหายเป็นปกติหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน และจำนวนผู้เสียชีวิตที่รายงานอยู่ในระดับต่ำ และค่อนข้างไม่รุนแรง กินเวลาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 1918 โดยอัตราการเสียชีวิตไม่ได้สูงกว่าปกติ ซึ่งในสหรัฐอเมริกามีรายงานการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่ถึง 75,000 ราย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 1918 เทียบกับการเสียชีวิตประมาณ 63,000 ราย ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 1915 และในกรุงมาดริด ประเทศสเปน มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่น้อยกว่า 1,000 คน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 1918 ไม่มีรายงานการกักกันในช่วงไตรมาสแรกของปี 1918 อย่างไรก็ตาม คลื่นลูกแรกทำให้การปฏิบัติการทางทหารของสงครามโลกครั้งที่ 1 หยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีทหารฝรั่งเศส 3 ใน 4 กองกำลังอังกฤษครึ่งหนึ่งและทหารเยอรมันกว่า 900,000 คนป่วย 

- การระบาดระลอกที่ 2 ของโรคไข้หวัดใหญ่สเปนได้ปรากฏขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของปีเดียวกันนั้น เหยื่อเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันหลังจากเกิดอาการ ผิวหนังของผู้ติดเชื้อเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และปอดเต็มไปด้วยของเหลวที่ทำให้หายใจไม่ออก เริ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคม 1918 อาจแพร่กระจายไปยังเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา และเมืองฟรีทาวน์ ประเทศเซียร์ราลีโอนโดยทางเรือ ซึ่งน่าจะมาถึงพร้อมกับกองทหารอเมริกันจากท่าของกองทัพเรือที่เมืองบอสตัน และค่ายเดเวนส์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นป้อมเดเวนส์) ห่างจากเมืองบอสตันไปทางตะวันตกประมาณ 30 ไมล์ สถานที่ทางทหารอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ต่างได้รับผลกระทบในไม่ช้า ขณะที่กองกำลังทหารสหรัฐฯ ถูกส่งไปยุโรป ทำให้เกิดการแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือในอีก 2 เดือนต่อมา จากนั้นไปยังอเมริกากลาง และอเมริกาใต้รวมถึงบราซิลและแคริบเบียน ในเดือนกรกฎาคม 1918 จักรวรรดิออตโตมันพบผู้ป่วยรายแรกในทหารบางนายจากเมืองฟรีทาวน์ การระบาดของโรคยังคงแพร่กระจายไปทั่วแอฟริกาตะวันตกตามชายฝั่งแม่น้ำและทางรถไฟในอาณานิคม และโดยรถไฟไปยังชุมชนห่างไกลมากขึ้น ในขณะที่แอฟริกาใต้ได้พบการระบาดในเดือนกันยายนจากเรือที่แรงงานพื้นเมืองของแอฟริกาใต้กลับมาจากฝรั่งเศส จากนั้นแพร่กระจายไปทั่วแอฟริกาตอนใต้และเลยจาก Zambezi ไปถึงเอธิโอเปียในเดือนพฤศจิกายน เมื่อวันที่ 15 กันยายน นครนิวยอร์กพบผู้เสียชีวิตครั้งแรกจากโรคไข้หวัดใหญ่สเปน ขบวน Philadelphia Liberty Loans Parade ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 28 กันยายน 1918 เพื่อส่งเสริมพันธบัตรรัฐบาลสนับสนุนการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 12,000 คน หลังจากการระบาดครั้งใหญ่ของโรคที่แพร่กระจายไปในหมู่ผู้คนที่เข้าร่วมขบวนพาเหรด เพียงปีเดียวคือปี 1918 ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของชาวอเมริกันถึงกับลดลงไปหลายสิบปี

- การระบาดระลอกที่ 3 เกิดขึ้นในฤดูหนาว (เดือนมกราคม พ.ศ. 2462) ถัดมาและเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิไวรัสก็เริ่มระบาด ไข้หวัดใหญ่สเปนก็ระบาดถึงออสเตรเลีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปราว 12,000 คน หลังจากการยกเลิกการกักกันทางทะเล จากนั้นก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอยู่ตลอดฤดูใบไม้ผลิและจนถึงเดือนมิถุนายน 1919 ส่วนใหญ่ส่งผลกระทบต่อสเปน เซอร์เบีย เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน แม้จะรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่ 2 แต่ก็ยังร้ายแรงกว่าระลอกแรก และในสหรัฐอเมริกามีการระบาดในบางเมือง อย่างเช่น ลอสแองเจลิส นิวยอร์กซิตี้ เมมฟิส แนชวิลล์ ซานฟรานซิสโก และเซนต์หลุยส์ ซึ่งอัตราการเสียชีวิตโดยรวมของชาวอเมริกันอยู่ในระดับหมื่นคนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 1919 ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มคนอายุ 20 - 40 ปี ซึ่งเป็นรูปแบบอายุการตายที่ผิดปกติของไข้หวัดใหญ่

- การระบาดระลอกที่ 4 เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 1920 นิวยอร์กซิตี้ สวิตเซอร์แลนด์ สแกนดิเนเวีย และหมู่เกาะในอเมริกาใต้ เมืองนิวยอร์กเพียงแห่งเดียวมีรายงานผู้เสียชีวิต 6,374 คน ระหว่างเดือนธันวาคม 1919 ถึงเดือนเมษายน 1920 ซึ่งเป็นจำนวนเกือบสองเท่าของระลอกแรกในฤดูใบไม้ผลิปี 1918 เมืองอื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้ง ดีทรอยต์ มิลวอกี แคนซัสซิตี มินนีแอโพลิส และเซนต์หลุยส์ มีการระบาดอย่างหนัก โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าทั้งหมดของปี 1918 เปรูประสบพบเจอในช่วงต้นปี 1920 และญี่ปุ่นในช่วงปลายปี 1919 ถึง 1920 โดยกรณีสุดท้ายในเดือนมีนาคม ในยุโรปห้าประเทศ (สเปน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์) มีการบันทึกจุดสูงสุดอยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคม - เมษายน 1920

ด้วยในยุคนั้นเมื่อกว่าร้อยปีก่อน วิทยาการทางการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าปัจจุบัน จำนวนผู้เสียชีวิตจึงถึงสูงมาก ด้วยจำนวนประชากรในโลกขณะนั้นไม่ถึงสองพันล้านคน แต่หลักการป้องกันยังคงแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนเช่น การสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง การรักษาความสะอาด ฯลฯ จากบทเรียนหลักในอดีต ‘มาตรการใด ๆ’ ก่อนที่จะเกิดการระบาดซึ่งถูกอธิบายว่า "เกินจริง แต่ในภายหลังมักจะกลายเป็นว่า ไม่เพียงพอ" ศาสตราจารย์ Jaume Claret Miranda ภาควิชา Arts and Humanities มหาวิทยาลัย Oberta de Catalunya กล่าว

ในขณะนี้วัคซีน mRNA ที่ใช้ฉีดป้องกันไวรัส COVID-19  กำลังเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างมากในวงกว้างว่า การรับวัคซีน mRNA นั้นมีความคุ้มหรือไม่? ด้วยเพราะปรากฏว่า มีผู้ที่รับวัคซีน mRNA จำนวนหนึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ มีความผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย อาทิ หลังจากที่รับวัคซีน mRNA แล้ว โดยอาการจากผลข้างเคียงที่พบจากผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ได้แก่ การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) หรือ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) ซึ่งพบเจอบ่อยมาก มีการค้นพบครั้งแรกในประเทศอิสราเอล เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนได้รับวัคซีน mRNA ค่อนข้างมาก ดังนั้นหากพบว่า มีอาการผิดปกติในร่างกายหลังจากรับวัคซีน mRNA ควรไปพบแพทย์ หรือดื่มน้ำรางจืด (จากการต้มใบรางจืด) ด้วยน้ำรางจืดมีฤทธิ์ในการขับพิษและของเสียออกจาร่างกาย ควรดื่มตอนเช้าก่อนรับประทานอาหารและยาต่อเนื่องกันสัก 2 - 4 สัปดาห์ จะสามารถช่วยขับพิษที่ทำให้ร่างกายมีความผิดปกติและช่วยลดอาการผิดปกติในร่างกายได้ในระดับหนึ่ง

'รมว.ปุ้ย' ย้ำ!! 'ตนเอง-ขรก.' ต้องทำงานเพื่อประชาชน หากไม่มีผลงาน ก็ต้องพร้อมแสดงความรับผิดชอบ

(2 พ.ค. 67) จากกรณีนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดใจกับสื่อมวลชนถึงเหตุผลการลาออกว่า เกิดจากความกดดัน และน้อยใจผู้บริหาร ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ตนก็ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องลาออก ส่วนอธิบดีกรมโรงงานก็พบล่าสุดที่ จ.ระยอง หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ ส่วนที่ว่าท่านลาออกเพราะเกิดความน้อยใจ และความกดดันนั้น ถ้าติดตามข่าวอย่างละเอียดจะเห็นว่า ได้ให้กำลังใจคนทำงานมาตลอด และไม่ได้ระบุว่าเป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ อธิบดีกรมโรงงาน แต่บอกว่า ทุกคนต้องทำงานอย่างเต็มที่ เพราะ 1 เดือนที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมเจอภาวะวิกฤตในหลายด้าน และในทุกปัญหากระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก มันกดดันให้เราต้องทำงานอย่างเต็มที่

“จะมาบอกว่าน้อยใจหรือเสียกำลังใจไม่ได้ เพราะเราต้องทำงาน เป็นข้าราชการต้องทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ตัวรัฐมนตรีเองก็ต้องทำงาน ถ้าไม่มีผลงานก็ต้องพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบ ไม่ได้บอกว่าจะปรับเปลี่ยนใคร แต่ถ้าเมื่อไรที่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ได้ทำตามหน้าที่ สังคมก็จะต้องตั้งคำถาม ตัวดิฉันเองก็ไม่สามารถหนีความรับผิดชอบได้ เราต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่มีเวลามานั่งท้อหรือเสียใจ และเมื่อเกิดวิกฤตเราควรใช้โอกาสนั้นแสดงฝีมือให้ประชาชนเห็นว่า เราช่วยประชาชนได้ และที่สำคัญ ประตูห้องทำงานรัฐมนตรีก็เปิดตลอด มีปัญหาอะไรก็มาคุยกันได้” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ส่วนความคืบหน้าไฟไหม้โรงงานสารเคมี ที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้กำชับไปแล้วว่าต้องควบคุมเพลิงให้ได้ และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่ 3 ในเวลาไล่เลี่ยกัน และบ่ายวันนี้ก็จะลงไปดูหน้างานด้วยตัวเอง

'คู่รักชาวเกาหลี' แชร์ประสบการณ์ทำกระเป๋าตังค์หายบนรถเมล์ สุดท้ายได้คืน เพราะพี่ๆ พนักงานบนรถ 'เก็บไว้ให้-พาไปรับคืนถึงที่'

(2 พ.ค. 67) จากเพจ 'BKKWheels' ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวคู่รักเกาหลีที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย พร้อมทั้งได้สัมผัสกับน้ำใจของคนไทย ว่า...

บ่อยครั้งที่ผมมักจะเห็น YouTuber ชาวต่างชาติรีวิวประเทศไทย ถึงอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือใด ๆ ต่าง ๆ ก็ตามที่เขาได้พบในประเทศเรา ในตอนสรุปสุดท้ายพวกเขาส่วนใหญ่จะพูดเหมือน ๆ กันว่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดในการมาท่องเที่ยวเมืองไทย ก็คือ 'คนไทย'

และคลิปคู่รักชาวเกาหลีจากช่อง Nice Week ก็เช่นกัน ที่แชร์ประสบการณ์ทำกระเป๋าตังค์หายบนรถเมล์แต่ได้คืน ซึ่งในฐานะคนไทยที่ได้ดูคลิปนี้ผมก็รู้สึกทึ่งเหมือนกัน กับสิ่งที่พนักงานรถเมล์สาย 76 ทำให้กับนักท่องเที่ยวทั้งสอง ดูแล้วก็รู้สึกประทับใจและขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคนจริงๆ ที่มอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้ให้กับแขกผู้มาเยือน

>> เรื่องย่อ

นักท่องเที่ยวสองคนได้ทำคอนเทนต์ รีวิวรถเมล์ในกรุงเทพฯ ในรูปแบบต่าง ๆ พวกเขาขึ้นลงรถเมล์อยู่หลายคัน ลองรถร้อน รถเย็น จนนาทีที่ 1:53 ของคลิป พวกเขาพบว่ากระเป๋าตังค์หายไป ซึ่งเขาน่าจะขอความช่วยเหลือ จากพนักงานบนรถเมล์ที่เขานั่งอยู่ คงจะพยายามตามหากันจนนั่งไปจนสุดสาย 

จนกระทั่งน่าจะพบว่ากระเป๋ารถเมล์อีกคันเก็บไว้ให้ คนขับรถเมล์และพนักงานบนรถจึงช่วยขับรถเมล์แบบส่วนตัว พาพวกเขาตามไปรับกระเป๋าตังค์คืนมาได้ ดูแล้วรู้สึกสุดยอดจริง ๆ ในน้ำใจของพนักงานรถเมล์สายนี้ และสายที่เก็บกระเป๋าได้ 

เรื่องผ่านมา 1 เดือนแล้ว แต่ยอดวิวมีเพียง 5 พันกว่าวิวเท่านั้น เลยเอาเรื่องนี้มาแชร์ ในมุมดี ๆ ของรถเมล์ไทยครับ

‘ททท.’ ผนึกกำลัง ‘ยูเนียนเพย์’ หวังดึงตลาดจีนใช้จ่ายเพิ่มในไทย

(2 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และยูเนียนเพย์ อินเตอร์เนชันแนล (UnionPay International) ผู้ให้บริการทางการเงินของจีน ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยกระดับประสบการณ์การเดินทางในไทย

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวฯ ซึ่งร่วมพิธีลงนาม กล่าวว่า การทำงานร่วมกันครั้งนี้ที่มุ่งเน้นแผนริเริ่มและการประชาสัมพันธ์ตลาดร่วมกัน สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทย ซึ่งต้องการสร้างความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวกับผู้มีบทบาทนำในตลาดนักท่องเที่ยวแห่งสำคัญ

ฐาปนีย์ อีกกล่าวว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกันระหว่างไทยกับจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นมา ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือกับจีน รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกแก่การเดินทางและส่งเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ทั้งนี้ ฐาปนีย์เสริมว่า การพำนักแบบฟรีวีซ่า ระยะ 30 วัน กอปรกับความเป็นหุ้นส่วนกับยูเนียนเพย์ จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยสูงและนิยมท่องเที่ยวไทยเดินทางมาไทยมากขึ้น และเพิ่มการจับจ่ายซื้อสินค้าและการบริการทางการท่องเที่ยวของไทย

ด้าน หวังลี่ซิน กรรมการบริหารยูเนียนเพย์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า การทำงานร่วมกันครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการชำระเงินมานำเสนอการเป็นจุดหมายท่องเที่ยวชั้นนำของไทย พร้อมกับมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ผู้ถือบัตรยูเนียนเพย์

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยระบุว่า จีนกลับมาครองตำแหน่งตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยมากที่สุดในปีนี้ คิดเป็นจำนวน 2.29 ล้านคน เมื่อนับถึงวันที่ 28 เม.ย. โดยปีนี้ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมกว่า 11.94 ล้านคนแล้ว

ไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนในปีนี้ราว 8 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 75 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งหมด 11.1 ล้านคน ที่เดินทางเยือนไทยในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่

‘สหรัฐฯ’ วอน ‘จีน-รัสเซีย’ เร่งประกาศเจตนารมณ์ “การใช้นิวเคลียร์ต้องตัดสินใจโดยมนุษย์ ไม่ใช่ AI”

(2 พ.ค.67) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและรัสเซียประกาศเจตนารมณ์ในลักษณะเดียวกับสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจโดยมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

นายพอล ดีน รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ประจำสำนักควบคุม ป้องปราม และเสถียรภาพอาวุธ กล่าวในงานแถลงข่าวออนไลน์ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ให้คำมั่นอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า มนุษย์เท่านั้นที่มีอำนาจควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด โดยฝรั่งเศสและอังกฤษก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ในทำนองเดียวกัน

“เราหวังว่าจีนและสหพันธรัฐรัสเซียจะออกแถลงการณ์ในลักษณะเดียวกัน” นายดีนกล่าวและว่า “เราเชื่อว่านี่เป็นบรรทัดฐานสำคัญอย่างยิ่งของพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ และจะเป็นที่ยินดีอย่างยิ่งในบริบทของ P5” 

ทั้งนี้คำกล่าวของ นายดีน ยังหมายรวมถึง 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความเห็นของนายดีนมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามที่จะมีการหารือกับจีนอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องนโยบายอาวุธนิวเคลียร์และการเติบโตของ AI

ประเด็นการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 26 เม.ย.

นายบลิงเกนกล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมทวิภาคีเกี่ยวกับ AI เป็นครั้งแรกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะแลกเปลี่ยนมุมมองกันว่าจะบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ให้ดีที่สุดได้อย่างไร ในฐานะส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูการสื่อสารทางทหารให้กลับสู่ภาวะปกติ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้กลับมาหารือเรื่องอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คาดว่าจะยังไม่มีการเจรจาควบคุมอาวุธอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้”

ปทุมธานี 'บิ๊กแจ๊ส' ลาออกจากนายก อบจ. เพื่อประโยชน์ของประชาชน

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีชี้แจงกรณียื่นหนังสือลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยืนยันทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเต็มที่แล้ว

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า เหตุผลอันดับแรกคือผมเองได้หารือเกี่ยวกับปัญหาน้ำหลาก เพื่อที่จะป้องกันได้อย่างไร จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี เราจะคุยกันตลอดในช่วง 2 ถึง 3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมากจนก็เกือบจะแย่ แล้วช่วงฤดูน้ำหลากที่จะถึงนี้ปริมาณน้ำคาดว่าจะมากกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งทางปทุมเราสู้มาตลอดเวลาสามปีเพื่อให้จังหวัดปทุมธานีไม่จมน้ำ เราได้มีการประสานพูดคุยกันตลอดเพื่อเตรียมการตั้งรับ เมื่อได้พูดคุยกันทุกจังหวัดหากเข้าการเลือกตั้งตามปกติ ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม เมื่อหมดวาระแล้ว ก่อนหมดวาระ 6 เดือนเราจะช่วยเหลือประชาชนไม่ได้เลย อะไรก็ต้องอยู่ในกฎกติกาหมด เบิกจ่ายไม่ได้ ยิ่ง 3 เดือนสุดท้ายยิ่งแย่ใหญ่เลย เราจึงตัดสินใจด้วยกันในฐานะประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง ทุกคนจึงมีความเห็นว่าหากเราช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ เราจะอยู่ทำไม่ เมื่ออยู่แล้วทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเราคาดว่าปีนี้น้ำจะเยอะ นี่คือเหตุผลหลัก เป็นเหตุผลที่ต้องออกก่อน ผมเองจะออกพร้อมกัน 3 จังหวัด โดยทาง นครสวรรค์ และอ่างทอง เราได้คุยกันโดยผมได้ยื่นใบลาออกมีผลตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนจังหวัดอื่นๆเดี๋ยวคงตามมาอีก เพราะเมื่อเข้าสู้ 180 วันจะเริ่มระวังตัวกัน และข้อกฎหมายยุบยิบ

ประเด็นที่สอง สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือเรื่องวัคซีน ที่ฉีดให้พี่น้องประชาชนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ผมได้บทเรียนจากสถานการณ์โควิด-19 เราได้นำซิโนฟาร์มมาฉีดให้พี่น้องประชาชน นำนวัตกรรมใหม่ๆมา เป็นจังหวัดเดียวเลยที่สู้มาตลอด แล้วนำร่องมีการตั้งโรงพยาบาลสนาม เมื่อมีการระบาดไข้หวัดใหญ่ในพื้นที่ปทุมธานีเป็นอันดับหนึ่งในพื้นที่สุขภาพเขตที่ 4 ผมต้องขอบคุณท่านสาธารณสุขจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด จนมีการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชน ขณะนี้มีการระดมฉีด ซึ่งทางสาธารณสุขคาดว่าจะระบาดอย่างรุนแรงที่สุดในช่วงต้นฤดูฝน จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมต้องลาออกก่อน 

ส่วนอีกประเด็นเราจะมีงานพระราชพิธี งานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ในการจัดแข่งเรือยาวประเพณีที่เป็นประเพณีของจังหวัดปทุมธานี เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 10 พระราชทานถ้วยรางวัลถึง 3 ถ้วย สมเด็จพระราชินีอีก 1 ถ้วย เราจัดมาแล้ว 2 ปี กำหนดไว้วันที่ 5 ธันวาฯ หากผมไม่ออกก่อนในวันที่ 19 ธันวาฯจะครบ มันใกล้เลือกตั้งทันที ผมจะทำอะไรไม่ได้จัดอะไรก็ไม่ได้ งานที่เป็นหน้าตาของปทุมธานีจะเสียหาย ภายในงานไม่ได้มีเพียงแข่งเรือยาวอย่างเดียวแต่จะมีการแสดงสินค้าโอทอป เศรฐกิจจะต้องหลั่งไหลเข้ามา 

และประเด็นสุดท้ายเพราะว่าการเลือกตั้ง สว.ที่จะถึงนี้ เนื่องจากผมเป็นประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง 25 จังหวัด การเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้มีกติกายุบยิบ กติกาที่ไม่เคยมีมาก่อน ประชาชนไม่ได้เลือก สว.ไม่ได้มาจากประชาชน สว.จะมาจากการเลือกกันเองของคนบางกลุ่ม มีหลายๆคนที่ประสานมาหาผมเนื่องจากผมมีสายสัมพันธ์กับประธานสมาพันธ์ฯ อีก 3 ภาค เพื่อที่จะให้ผมช่วยเหลือในการล็อบบี้ได้ กฎหมายมันแรงมาก ถึงขนาดตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต และมีจำคุก 1 ถึง 10 ปี หากใครที่มีส่วนกับการฮั้ว ผมจึงคิดว่าเราเลือกตั้งนี้ ผมไม่ยุ่ง ผมวางตัวเป็นกลางทางการเมืองจริง ๆ และเมื่อลาออกครั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้มีผล จะเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ผมก็จะลงอีก หรือหากเป็นคนอื่น เขาก็จะบริหารและใช้เวลาเต็มที่และเริ่มต้นใหม่ในการที่จะดูแลพี่น้องประชาชนต่อไปไม่ต้องมากังวลกับอะไร เหล่านี้คือเหตุผลที่ผมลาออก ที่ทำเพื่อประชาชน

ผมรู้สึกสบายๆอยู่แล้ว เพราะตอนที่ผมเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารจังหวัดปทุมธานี ผมก็ไม่เคยคิดที่มาเป็นนายก อบจ. เพราะมีน้อง ๆ ผอ.จากหลายโรงเรียน และผู้นำท้องถิ่นรวมถึงประชาชนเป็นจำนวนมาก มาพูดคุย เพื่อต้องการให้ช่วยกันพัฒนาการศึกษา และพัฒนาเมืองปทุมธานีให้รุ่งเรืองเทียบเที่ยงกับจังหวัดอื่นๆชั้นนำของประเทศ เมื่อเข้ามาแล้วก็มีโครงการที่ต่อเนื่อง ผมจึงไม่เคียดในการที่ลาออก และเลือกตั้งใหม่ใน 60 วัน แต่เราต้องคิดถึงประชาชนเป็นหลักเท่านั้นเอง ผมมองเพียงว่าประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับคืออะไร มันมีมากกว่ามหาศาล กับเวลาอีก 7 ถึง 8 เดือน เราลาออกไม่ได้ยึดติด ผมไม่ได้กังวลอะไร โดยเหตุผลที่สำคัญคือฤดูน้ำหลาก เรื่องโรคระบาด และการแข่งขันเรือประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปทุมธานี

‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ ลุยตรวจสอบเพลิงไหม้ ‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ คาด!! ลุกไหม้จากก้นบุหรี่ที่ดับไม่หมด หลังมีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบ

จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณระเบียงอาคาร 1 ชั้น 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นสำนักงานของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ นั้น

คืบหน้าล่าสุด (2 พ.ค. 67) เมื่อเวลา 15.15 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณชั้น 6 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า “เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบที่เกิดเหตุ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้ตรวจสอบต้นเพลิง เป็นจุดที่วางกองวัสดุเก่าที่ไม่ใช้งานแล้ว อาทิ แผ่นกันสาด จุดที่ไฟไหม้สิ่งที่พบมากสุด คือ ก้นบุหรี่ทั้งเก่าและใหม่ กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นตั้งข้อสันนิษฐานว่า เพลิงอาจลุกไหม้มาจากก้นบุหรี่ที่ยังดับไม่หมด และลมพัดมาจากบริเวณบันไดหนีไฟที่มีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบบุหรี่”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวอีกว่า “ในจุดเกิดเหตุไม่ตรวจพบระบบไฟฟ้า จึงคาดว่าไม่ใช่สาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร และอีกประเด็นเรื่องที่คาดว่าไม่ใช่สาเหตุ คือเรื่องอุณหภูมิความร้อนจากแสงแดด ที่ตกกระทบกับกองวัสดุที่ไม่ใช้งาน ซึ่งจากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบโดยละเอียดว่าเกิดจากอะไรต่อไป”

“ทั้งนี้ ช่วงนี้ที่สภาพอากาศร้อนอุณหภูมิสูง ขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนในการจุดธูป จุดเทียน หรือสูบบุหรี่ จะต้องทำการดับให้เรียบร้อยก่อนที่จะออกจากบ้าน ก้นบุหรี่ต้องดับในจุดที่ดับบุหรี่เท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องตรวจสอบว่าปิดเรียบร้อยก่อนที่จะเดินทาง ถ้าเป็นไปได้ควรถอดปลั๊กออก เนื่องจากหากเสียบปลั๊กและอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในห้อง อาจจะเสี่ยงต่อการจุดติดไฟได้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

‘เพจตี๋น้อย’ แชร์ภาพ ‘ทุเรียนหมอนทอง’ ในตลาดสดจีน ชี้!! ราคาแรง กก.ละ 325 บ. แต่ครองตลาดถึง 99%

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความถึงความนิยมทุเรียนไทยในประเทศจีน โดยเฉพาะทุเรียนหมอนทอง ระบุว่า…

“โพสต์นี้เอาภาพมาฝากกันครับ ทุเรียนหมอนทอง ที่นี่ขาย กก.ละ 65 หยวน (ประมาณ 325 บาท) ราคาถือว่าแพงเอาเรื่องเลยครับ นี่ขนาดในตลาดสดนะ ไม่ใช่ในห้าง

ที่นี่ซินเจียงจะขายทุเรียนหมอนทองเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 99% ที่เหลือจะเป็นพวงมณี หรือทุเรียน มูซางคิง จากมาเลเซียครับ

榴莲 liú lián แปลว่า ทุเรียน
金枕头 jīn zhěn tóu แปลว่าหมอนทอง”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top