Saturday, 14 June 2025
TheStatesTimes

‘ถนอม’ ยก ‘พีระพันธุ์’ นักการเมืองที่ควรอนุรักษ์ ชี้รทสช.วุ่น เหตุคนกลุ่มหนึ่งพลาดเงินหนุนกลุ่มทุนพลังงาน

นายถนอม อ่อนเกตพล ผู้จัดรายการ 'ฟังชัด ๆ ถนอมจัดให้' โพสต์เฟซบุ๊กถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน รวมถึงความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ...

'พีระพันธุ์' นักการเมืองที่ไม่น่ารัก แต่ควรอนุรักษ์

ข่าว สส.พรรค รทสช.เคลื่อนไหวปลดคุณพีระพันธุ์ ออกจากหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีพลังงาน เสมือนหนึ่งว่า คุณพีระพันธุ์เป็นคนไม่ดี เป็นอันตรายต่อประเทศประชาชนที่ต้องกำจัดให้พ้นไปจากวิถีการเมืองน้ำเน่า

'พีระพันธุ์' ที่ผมรู้จักเป็นคนอย่างไร 

1.คุณพ่อเป็นทหารเคยดูแลพลังงานของประเทศ อยากเป็นนักบินแต่มีปัญหาเรื่องสายตาจึงมาเรียนนิติศาสตร์เป็นผู้พิพากษา เหล่านี้ อาจจะหล่อหลอมให้คุณพีระพันธุ์เป็นคนที่มีทั้งระเบียบ วินัย และเคร่งครัดในกฎระเบียบ ตรงไปตรงมา ค่อนข้างจะขวานผ่าซาก 

2.คุณพีระพันธุ์ เป็นกรรมาธิการงบประมาณที่ทหารทุกเหล่าทัพต้องระมัดระวังในการชี้แจง เพราะเป็นคนที่รู้เรื่องกองทัพจริงคนหนึ่ง   

3.ครอบครัวคุณพีระพันธุ์ เป็นครอบครัวที่มีเงิน มีทรัพย์สินมั่งคั่งมากพอที่จะเลี้ยงดู สส.ในสังกัดให้พอใจอยู่ด้วยได้ แต่ไม่ทำ

4. คุณพีระพันธุ์ มีความเป็นตัวตนแบบเฉพาะตัวที่มีจุดยืนและเป้าหมายในการทำงานการเมืองในรูปแบบที่ตนเองต้องการตามอุดมการณ์คิดของตัวเอง จึงมาร่วมมือกับลุงตู่ สร้างพรรคในอุดมการณ์ 

ด้วยคุณสมบัติ 4 ข้อดังกล่าว จึงทำให้นักการเมืองจำนวนหนึ่งเข้ามาร่วมสังกัด อาศัยบารมีลุงตู่และคุณพีระพันธุ์เข้าสภากันหลายคน 

โดยจำนวนหนึ่งคาดหวังจะได้รับการสนับสนุนเงินจากทุนพลังงาน แต่พอถึงเวลาไม่ได้มีเงินจากทุนพลังงานทั้งช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง จึงทำให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งผิดหวัง  

ต่อเมื่อมีคนบางคนตั้งโต๊ะเป็นเจ้ามือคอยดูแล และมีกลุ่มทุนพลังงานเดิมจะเข้ามาหนุนในนามพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมา จึงพากันเอาใจออกห่าง 

ปัญหาของคุณพีระพันธุ์เวลานี้ คือ 
1. ไม่เอาใจทุนพลังงาน ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาล 
2. ไม่เอาใจเลี้ยงดู สส. เหมือนเจ้ามือบางคน 
3. ขออะไรส่วนตัวก็ไม่ได้  

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นอุปสรรคในการทำงานการเมืองของนักการเมืองบางคน 
จึงหาทางออกจากพรรค 

ตรงกันข้ามกับคุณชัชวาล คงอุดม หรือ 'ชัช เตาปูน' และลูกชาย ชื่นชอม คงอุดม คนที่มีความมั่งคั่งเหลือพอที่จะให้การช่วยเหลือคน โดยไม่ต้องขอใครกิน ยังให้การสนับสนุนคุณพีระพันธุ์อย่างเต็มที่ 

คุณชัชวาล เล่าให้คุณต้นทางท็อบนิวส์ฟังว่า....ตอนคุณพีระพันธุ์สู้คดีค่าโง่โฮปเวลที่ศาลปกครองตัดสินแล้วให้ การรถไฟ กระทรวงคมนาคม ชดใช้ค่าโง่กว่า 2 หมื่นล้านพร้อมดอกเบี้ยในสมัยลุงตู่ มีคนเสนอให้คุณพีระพันธุ์ 1 หมื่นล้าน ให้หยุดทำเรื่องนี้ แต่คุณพีระพันธุ์ไม่หยุด สู้คดีจนชนะคนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่ที่นักการเมืองคนหนึ่งก่อไว้แม้แต่บาทเดียว 

นักการเมืองแบบนี้ ถ้าคนไทยไม่อนุรักษ์พีระพันธุ์ไว้ แล้วเราจะให้มีนักการเมืองพันธุ์ไหนมาบริหารประเทศ 

ผมไม่ได้รู้จักคุณพีระพันธุ์ส่วนตัว แต่ผมแน่ใจว่า ... 

ถ้าผมจะไปขอผลประโยชน์สนับสนุนส่วนตัวจากคุณพีระพันธุ์บ้างก็คงไม่ได้ และบอกเลยว่าอย่าแม้จะคิด แต่ถ้าเป็นประโยชน์เพื่อชาวบ้าน ผมแน่ใจว่า คุณพีระพันธุ์ ไม่ละเลย อย่างเช่น 'ชุดสุดซอย' ที่นำโดยคุณโอ๋ ฐิติภัสร์ 

ถ้าพีระพันธุ์ไม่ใช่ของแท้ ลุงตู่คงไม่เอามาเป็นที่ปรึกษาและมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีใกล้ชิดติดตัว ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน    

ดังนั้น สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ประสงค์จะให้ใครเห็นด้วย ไม่ประสงค์จะยกย่องใครและทับถมใครเป็นการส่วนตัว แต่หากผมไม่ปกป้องคนที่ทำประโยชน์ส่วนรวมให้ประเทศชาติแล้ว แล้วเราจะปกป้องประเทศชาติไปทำไม ปล่อยให้เขมรมันยึดไปเลย 

และถ้าเราไม่ปกป้องนักการเมืองดี ๆ ไว้ แล้วเราจะมีคนดีๆที่ไหนเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประชาชน และถ้าเราไม่รักษานักการเมืองดี ๆ ไว้ ก็เท่ากับเราทำลายคนดี ๆ และทำลายตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

'รักชนก-สหัสวัต' หอบหลักฐานร้อง ป.ป.ช. ฟัน 'สุชาติ' ปม ‘ประกันสังคม ’ซื้อตึกแพงเกินจริง

‘รักชนก-สหัสวัต’ ยื่นคำร้อง ‘ป.ป.ช.’ สอบ ‘สุชาติ’ พ่วงปลัดแรงงาน ปมซื้อตึกสกายไนน์แพงเกินจริง 2 เท่า ฟาด ‘นายกฯ’ ตั้งใครเป็น รมต. ควรเกรงใจประชาชน-ผู้ประกันตนด้วย

(13 มิ.ย.68) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน พร้อมด้วย นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อคราวดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เมื่อคราวดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) อนุมัติเงินกองทุนประกันสังคมลงทุนในกองทรัสต์ เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพรม์ แอสเซท (Prime Asset Private Equity Trust) กรณีโครงการอาคาร Cas Centre หรืออาคารสกายไนน์ (SKYY9 Centre)

และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อดีตปลัดกระทรวงแรงงานช่วงปี 2564 – 2567 ที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) โดยตำแหน่ง ได้กระทำความผิดตามมาตรา 172 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยนายสหัสวัต กล่าวว่า หลายเดือนที่ผ่านมาพวกตนติดตามการดำเนินงานของ สปส. พบปัญหาทุจริตหลายอย่าง เรื่องหนึ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจคือการซื้อตึกสกายไนน์ เห็นผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ออกมาแล้วยืนยันว่ามีความผิดปกติ วันนี้จึงมายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อยื่นสอบนายสุชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น รวมถึงองคาพยพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตึกนี้ เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกันตนจำนวนมาก เงินซื้อตึกมาจากเงินที่ผู้ประกันตนทำงานและส่งเงินสมทบเข้ามาแต่กลับถูกนำไปใช้อย่างไม่สมเหตุสมผล วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยขอฝากคำถามถึงนายกรัฐมนตรีด้วยว่า จะตั้งคนแบบนี้ ที่มีคดีอยู่ใน ป.ป.ช. ทั้งคดีทุจริตและคดีค้ามนุษย์ เรียกรับผลประโยชน์จากขบวนการที่ส่งแรงงานไทยไปเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในต่างประเทศ ให้เป็นรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ตอนนี้ประชาชนจับตาดูอยู่ว่าโผ ครม. จะไปในทิศทางไหน

ด้านนางสาวรักชนก กล่าวยืนยันว่า มูลค่าที่แท้จริงของตึกสกายไนน์กับราคาที่ สปส. ซื้อนั้นไม่สอดคล้องกัน หลังจากพวกตนออกมาพูดก็ถูกสุชาติฟ้อง อย่างไรก็ตามยืนยันมาตลอดว่า ทุกอย่างที่พูดไม่ได้ต้องการโจมตีใคร แต่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของผู้ประกันตน โดยหลังจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะกรรมการสอบฯ ผลออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มูลค่าของตึกอยู่ที่ประมาณ 3,000-3,200 ล้านบาท แต่ประกันสังคมกลับทุ่มเงินซื้อสูงถึง 7,000 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่งหนังสือให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้ว ตนหวังอย่างยิ่งว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นำคนผิดมาลงโทษ

ทั้งนี้ อาคารสกายไนน์เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 ก่อนหยุดชะงักและถูกทิ้งร้างมานานหลายปี จนกระทั่งปี 2559 มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัทบริษัท AGRE101 จำกัด ปัจจุบันคือ บริษัท ไพรม์ ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด เริ่มปรับปรุงอาคารแต่ยังคงไม่สมบูรณ์และไม่มีการใช้งานที่ชัดเจน สำหรับประเด็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งคือเรื่องของมูลค่าอาคาร ในปี 2565 บริษัทที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเมินอยู่ที่ 7,300 – 8,000 ล้านบาท แต่สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กลับประเมินมูลค่าอาคารดังกล่าวไว้เพียง 3,400 – 3,800 ล้านบาท แตกต่างจากราคาที่สำนักงานประกันสังคมเข้าลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

โดยช่วงเดือนมีนาคมปี 2566 สำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนในกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพรม์ แอสเซท ซึ่งกองทรัสต์นี้ได้เข้าซื้อบริษัท AGRE101 จำกัด ที่ถือครองอาคารสกายไนน์ในราคา 6,900 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมินที่แท้จริงอย่างมาก การจัดซื้ออาคารดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่อาคารยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่มีผู้เช่าหรือรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ ขัดต่อเป้าหมายที่ต้องการจะสร้างรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ ยังขาดการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน (ROI) และการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานประกันสังคม ส่งผลให้บริษัท ไพรม์ ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ได้รับเงินจากการขายอาคารมูลค่า 6,900 ล้านบาท อาจมีการทุจริตเกิดขึ้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ภายในกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมของเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกันตน เนื่องจากเป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใสและไม่คุ้มค่าในการลงทุน ส่งผลให้เงินจากกองทุนประกันสังคมที่มีไว้เพื่อดูแลสุขภาพและสวัสดิการของผู้ประกันตนถูกใช้ไปในโครงการที่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนได้

การนำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนดังกล่าว มี นายบุญสงค์ เลขาธิการ สปส. ขณะนั้น เป็นผู้ลงนาม โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีการตรวจสอบสัญญาการก่อตั้งทรัสต์ ไม่ได้สอบทานความถูกต้องของการประเมินทรัพย์สินและตรวจสอบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนแต่ประการใด อาจมีการทุจริตเพื่อหาส่วนต่างของมูลค่าที่สูงเกินความเป็นจริง ทำให้กองทุนประกันสังคมได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากผลการอนุมัติดังกล่าว

ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงแรงงานให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา กลับปล่อยปละละเลยให้มีการลงทุนซื้ออาคารดังกล่าวที่อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้น เป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 35 พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เช่นเดียวกับ บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชารองจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปล่อยปละละเลยให้มีการลงทุนซื้ออาคารดังกล่าวที่อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้น เป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 ประกอบ พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 28 (1) และมาตรา 30 ว่านายสุชาติ, นายบุญชอบ และ นายบุญสงค์ ได้ดำเนินการ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ให้เกิดผลเสียต่อกองทุนประกันสังคม ตลอดจนไต่สวนหาข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจ นายสุชาติ, นายบุญชอบ และนายบุญสงค์ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ด้วยหรือไม่

‘เจมส์ เรืองศักดิ์’ โพสต์ถึงเหตุเครื่องบินแอร์อินเดียตก ขนลุกซู่!!...ผู้รอดชีวิตเพียง 1 ราย นั่งหมายเลขเดียวกัน

(13 มิ.ย. 68) จากกรณีเที่ยวบิน AI171 ของสายการบิน Air India ตกหลังบินขึ้นจากเมืองอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดพบว่าผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของโศกนาฏกรรมนี้ นั่งอยู่ที่หมายเลข 11A

เหตุการณ์นี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ เครื่องบินโบอิ้ง 787‑8 ดรีมไลเนอร์ ตกกระแทกอาคารแพทย์หลังขึ้นบินเพียง 625 ฟุต คร่าชีวิตผู้โดยสาร-ลูกเรือ 241 คน บาดเจ็บกว่า 60 คน ขณะที่ชายเชื้อสายอินเดีย-อังกฤษวัย 40 ปี ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว นั่งที่ริมหน้าต่าง 11A และสามารถหนีออกจากซากเครื่องก่อนเกิดไฟลุกไหม้

เจมส์ เรืองศักดิ์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “ขนลุกมาก เขานั่งหมายเลขเดียวกับผม 11A” ทำให้ย้อนเตือนเหตุการณ์ในปี 2541 ที่รอดชีวิตจากเที่ยวบิน TG261 ของการบินไทย ประสบอุบัติเหตุขณะพยายามร่อนลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานี ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนจากอิทธิพลของพายุจิล

โดยในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 101 คน และได้รับบาดเจ็บ 45 คน 'เจมส์ เรืองศักดิ์' เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รอดตายจากเหตุการณ์นั้น ส่วนสาเหตุของการตกไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดสู่สาธารณะมากนัก มีเพียงความพยายามระบุว่าสาเหตุการตกน่าจะมาจากการหลงสภาพการบินในการลงจอดเวลากลางคืนในสภาพอากาศที่มีลมแรง

ทั้งนี้ เจมส์ยังได้ย้ำว่าตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างสิ้นเชิง เป็นเครื่องเตือนใจให้อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตด้วยสติ และไม่ประมาท พร้อมปฏิเสธข่าวลือว่าเขาได้นั่งเครื่องบินฟรีตลอดชีวิต โดยยืนยันว่าไม่เคยมีสิทธิพิเศษใดๆ

กรมธุรกิจพลังงาน ตุนสต็อกน้ำมันเพียงพอ 60 วัน ยันพร้อมรับมือสงครามตะวันออกกลาง

กรมธุรกิจพลังงานเตรียมพร้อมรับมือสงครามตะวันออกกลาง ย้ำไทยมีปริมาณสำรองน้ำมัน ในสต็อกเพียงพอใช้ได้ 60 วัน ขอประชาชนไม่ต้องกังวล 

(13 มิ.ย. 68) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า หลังเกิดการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ขยายวงกว้าง โดยเฉพาะสถานการณ์การโจมตีเป้าหมายทางทหารและโครงการเกี่ยวกับนิวเคลียร์ในอิหร่าน โดยสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันจากพื้นที่ตะวันออกกลางมายังประเทศไทย กรมธุรกิจพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อม หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศอย่างแน่นอน

ปัจจุบันมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,104 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 23 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,597 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,886 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 17 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวล และขอให้ติดตามข่าวสารที่เป็นทางการจากทางราชการ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน จะบริหารจัดการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สงครามที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด

'ROSOBORONEXPORT' บ.ผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่รัสเซีย ร่วมโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ Indo Defense Expo 2025 เพิ่ม

บริษัท JSC ROSOBORONEXPORT (ส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation) ในฐานะคณะผู้แทนรัสเซียเข้าร่วมงาน Indo Defense 2025 ตามคำเชิญส่วนตัวของ ปราโวโบ ซูเบียนโต ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งได้เชิญเมื่อพบกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียในปี 2024 โดย JSC ROSOBORONEXPORT จัดแสดงอุปกรณ์ทางทหารล่าสุดของรัสเซียในงาน Indo Defense Expo 2025 ระหว่างวันที่ 11 ถึง 14 มิถุนายนที่ Jakarta International Expo เมืองเคมาโยรัน ประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ส่งออกพิเศษของรัสเซียนำเสนออาวุธยุทโธปกรณ์ของรัสเซียมากกว่า 250 รายการสำหรับทุกเหล่าทัพ โดยส่วนใหญ่ได้รับการทดสอบในสภาพการรบจริงและได้รับการอัปเกรดตามผลจากการใช้งานจากปฏิบัติการจริง

ในงาน Indo Defense 2025 บริษัท ROSOBORONEXPORT จะจัดนิทรรศการอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารของรัสเซีย นำเสนอผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่ผลิตโดยรัสเซียซึ่งตรงตามข้อกำหนดของโครงการอาวุธยุทโธปกรณ์ปี 2025-2029 ของกองทัพอินโดนีเซียให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” Alexander Mikheev ผู้อำนวยการทั่วไปของ ROSOBORONEXPORT กล่าว “ข้อเสนอของเราสำหรับกองทัพอินโดนีเซีย ได้แก่ เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 แบบ Su-57E และรุ่นที่ 4++ แบบ Su-35 รวมถึงอาวุธสำหรับเครื่องบินเหล่านี้ ได้แก่ ขีปนาวุธนำวิถีแบบ Kh-31PD, Kh-35UE เครื่องบินเติมน้ำมัน IL-78MK-90A เฮลิคอปเตอร์แบบ Ka-52E และ Mi-17 โดรน (UAV) ตลอดจนยานเกราะที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางทางน้ำมากมาย อาทิ รถถังสะเทินน้ำสะเทินบกเบาแบบ Sprut และรถหุ้มเกราะ BMP-3F เรือดำน้ำและเรือชายฝั่ง อุปกรณ์ป้องกันภัยทางอากาศล่าสุด: ระบบ SAM S-400 Triumf, ระบบ S-350E Vityaz, ระบบ Pantsir-S1M SPAAGM, ระบบ Verba MANPADS และระบบต่อต้านโดรน

อินโดนีเซียมีพรมแดนทางทะเลยาวและเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ ROSOBORONEXPORT จะนำเสนออุปกรณ์มากมายสำหรับกองทัพเรือ ในบรรดาอุปกรณ์ที่จะนำมาจัดแสดงในงาน Indo Defense 2025 ได้แก่ เรือตรวจการณ์ Project 22160 และเรือคอร์เวตต์ชั้น Tigr Project 20382 รวมถึงเรือจู่โจมความเร็วสูง BK-16 และ BK-10 ที่สามารถปฏิบัติการได้ทั้งในทะเลหลวงและในเขตชายฝั่ง ในช่องแคบและแม่น้ำ เรือดำน้ำ Project 636 ระบบขีปนาวุธป้องกันชายฝั่งเคลื่อนที่ Bastion พร้อมขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือ Yakhont และ Rubezh-ME โดยมีการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีด้วยการเปิดตัวการผลิตสำหรับโรงงานและอู่ต่อเรือในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแนวโน้มของตลาดอาวุธโลกในปัจจุบัน และโครงการร่วมกับ ROSOBORONEXPORT ในพื้นที่นี้จะทำให้ประเทศที่เป็นมิตรของรัสเซียสามารถกระตุ้นการเติบโตของการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเองได้ ในระหว่างโปรแกรมธุรกิจในงาน Indo Defense 2025 บริษัทจะจัดการประชุมและเจรจากับตัวแทนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานทั้งหมดของกองทัพอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ROSOBORONEXPORT จะเสนอความช่วยเหลือจากรัสเซียให้กับอินโดนีเซียในการสร้างกองทัพที่ทันสมัยที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามและความท้าทายต่อความมั่นคงของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

ROSOBORONEXPORT เป็นหน่วยงานของรัฐแห่งเดียวของรัสเซียที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและการใช้งานสองแบบครบวงจร โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Rostec State Corporation โดยเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดอาวุธระดับโลก ด้วยสัดส่วนของการส่งออกอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารของรัสเซียมากกว่า 85% Rosoboronexport ร่วมมือกับบริษัทและองค์กรด้านการป้องกันประเทศของรัสเซียมากกว่า 700 แห่ง ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของความร่วมมือทางเทคนิคทางการทหารของรัสเซียในปัจจุบันครอบคลุมมากกว่า 100 ประเทศ Rostec State Corporation เป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ซึ่งรวมองค์กรวิจัยและการผลิตมากกว่า 800 แห่งใน 60 ภูมิภาคของประเทศ บริษัทมีบทบาทสำคัญในฐานะซัพพลายเออร์รายใหญ่ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหาร และอุปกรณ์พิเศษผ่านคำสั่งซื้อด้านการป้องกันประเทศของรัฐ นอกจากนี้ Rostec ยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการผลิตพลเรือนที่มีเทคโนโลยีสูงในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ เช่น วิศวกรรมอากาศยาน การสร้างเครื่องยนต์ การขนส่ง วิศวกรรมไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการแพทย์ ยา และวัสดุนวัตกรรม เป็นต้น ในปี 2023 บริษัทมีรายได้รวมเกินกว่า 2.8 ล้านล้านรูเบิล (ราว 1.14 ล้านล้านบาท)

สื่อเตหะรานยัน แม่ทัพระดับสูง-นักวิทย์อิหร่านดับ หลังจาก 'อิสราเอล' เปิดฉากถล่มฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) อิสราเอลประกาศเปิดฉากโจมตี (preemptive strike) ต่ออิหร่าน โดยรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล อิสราเอล คัตซ์ (Israel Katz) ระบุว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามจากโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน

กองทัพอิสราเอล (IDF) แถลงว่ายุทธการระลอกแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยมุ่งเป้าโจมตีเป้าหมายทางทหารหลายจุดทั่วอิหร่าน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ ขณะเดียวกันสื่อทางการอิหร่านรายงานว่า แม่ทัพระดับสูง 2 นาย ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) คือ ฮอสเซน ซาลามี (Hossein Salami) และ โกลาม-อาลี ราชิด (Gholam Ali) เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ

รายงานยังระบุว่า นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชั้นนำของอิหร่าน 2 คน ได้แก่ โมฮัมหมัด-เมห์ดี เทห์รานชี (Mohammad Mehdi Tehranchi) และ ฟาเรย์ดูน อับบาซี (Fereydoun Abbasi) ก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ด้วย ขณะที่มีเสียงระเบิดรุนแรงในหลายเมือง เช่น เตหะราน นาทานซ์ คอนดาบ และโครัมอาบาด รวมถึงมีรายงานผู้เสียชีวิตในอาคารที่พักอาศัยในกรุงเตหะราน

นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวผ่านวิดีโอว่า เป้าหมายของปฏิบัติการนี้ คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตขีปนาวุธ และศักยภาพทางทหารของอิหร่าน โดยจะดำเนินต่อไป “ตราบเท่าที่ยังจำเป็น” พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

ด้านสหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ โดยอิสราเอลเป็นฝ่ายดำเนินการฝ่ายเดียว ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าใกล้บรรลุข้อตกลงกับอิหร่าน และยังไม่ต้องการให้มีการปะทะรุนแรงในตะวันออกกลาง เพราะอาจทำลายโอกาสของการเจรจาโดยตรงที่กำลังดำเนินอยู่ระหว่างวอชิงตันและเตหะราน

‘คิงเพาเวอร์’ อ้างโควิด เศรษฐกิจแย่ นทท. จีนหาย ขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีดอนเมือง-ภูเก็ต-เชียงใหม่

‘คิงเพาเวอร์’ ยื่นหนังสือถึงทอท. ขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี สนามบินดอนเมือง-ภูเก็ต-เชียงใหม่ อ้างผลกระทบโควิด เศรษฐกิจตกต่ำ สงคราม กำแพงภาษี รัฐขาดมาตรการเชิงรุกทำนักท่องเที่ยวจีนหาย รวมถึงขอคืนพื้นที่ทำยอดขายลด ขาดทุน จ่ายผลตอบแทนที่กำหนดสูงเกินไปไม่ไหว ชี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่ได้เกิดจากบริษัทฯ จี้เจรจายุติใน 45 วัน

รายงานข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้ทำหนังสือถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. โดยขอหารือแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งบ.คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ได้รับสัญญาประกอบกิจการ ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2576 นับจากสถานการณ์โควิด-19 ทอท.ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ เป็นผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) จำนวน 127.30 บาท โดยเรียกเก็บจากผู้โดยสารขาออกผู้โดยสารผ่านและผู้โดยสารขาเข้า ผลกระทบโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ก็มีเหตุสงครามในหลายภูมิภาค สงครามการค้า และการกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้โดยสารจีนที่มีกำลังซื้อสูงลดลง ทำให้ยอดขายลดลง

โดยบริษัทฯ อ้างสาเหตุถึง 7 ประเด็น ที่เป็นเหตุสุดวิสัย ส่งผลต่อยอดจำหน่ายและการประกอบการของบริษัทฯ และส่งผลทำให้ค่าตอบแทนที่บริษัทฯต้องชำระให้แก่ทอท.อยู่ในเกณฑ์ที่สูงผิดปกติกว่าที่ควรจะเป็นและที่ได้เสนอไว้ ซึ่งผลกระทบต่างๆ เป็นผลให้บริษัทฯ ประสบกับภาวะขาดทุนจากแบกรับภาระ อัตราค่าตอบแทนที่สูงผิดปกติและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์จนส่งผลให้บริษัทฯ มีความจำเป็นที่ต้องเลื่อนชำระค่าภาระต่าง ๆ มาเป็นระยะ ๆ ซึ่งเหตุการณ์อันส่งผลกระทบเหล่านั้นเป็นเหตุสุดวิสัยอันมิได้เกิดจากการกระทำหรือความผิดจากบริษัทฯ แต่ประการใดทั้งสิ้น แต่ในทางกลับกัน ทอท. กลับพิจารณาและดำเนินการตามที่ ทอท.เห็นสมควรเพียงลำพังและเป็นประโยชน์แก่ ทอท. เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้หารือบริษัทฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมต่อทั้งสองฝ่าย หรือมิได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกันกับบริษัทฯ ที่มีมากกว่าผลกระทบด้านค่าตอบแทน

ดังนั้น ด้วยเหตุต่าง ๆ ที่ยังไม่คลี่คลายในขณะนี้ และยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะยุติเมื่อไหร่ รวมถึงความไม่มั่นใจในการให้ความเป็นธรรมต่อคู่สัญญาของ ทอท. บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะร้องขอให้เกิดการหารือเพื่อหาแนวทางและข้อยุติอื่นๆ รวมถึงแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อยุติภายใน 45 วัน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ ในระหว่างการพิจารณาของ ทอท. บริษัทฯ ขอนำส่งค่าตอบแทนตามสัญญาประมูลในอัตราร้อยละ 20 ของยอดจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในแต่ละเดือน ซึ่งภายหลังสิ้นเดือน เมื่อทราบยอดจำหน่าย บริษัทฯ จะคำนวณค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 20 และชำระค่าตอบแทนดังกล่าวภายในวันสุดท้ายของเดือนถัดไป โดยเริ่มจากยอดจำหน่ายเดือนกรกฎาคม 2568 (เนื่องจาก บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมเวลาชำระเงินสำหรับค่าตอบแทนขั้นต่ำ เดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568) ซึ่งจะทราบยอดจำหน่ายภายหลังสิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 และจะชำระค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 20ให้แก่ ทอท. ภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำของเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเดิมบริษัทฯ ต้องชำระให้แก่ ทอท. ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 และขอให้ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระ โดยขอให้แนวทางการนำส่งค่าตอบแทนข้างต้นมีผลต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้ข้อยุติจากการเจรจา

สำหรับสถานการณ์ที่ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ระบุเป็นเหตุสุดวิสัยและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยมิได้เกิดจากการกระทำของบริษัทฯ โดยเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถประกอบการและปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ได้ ดังนี้

1. การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 กระทบต่อวิธีการคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ลดลงจากการหยุดประกอบการร้านค้าปลอดภาษีขาเข้าอย่างไม่เป็นธรรม และแตกต่างจากเจตนาของ TOR และสัญญาฯอย่างมีนัยสำคัญ

2. การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร ซึ่งเป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.กำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ.2530 (ฉบับที่ 7 ) ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ยกเว้นอากรสินค้าไวน์ที่ระบุไว้ในประกาศฯ (จากเดิมอัตราอากรอยู่ที่ร้อนยละ 60) ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่าย

3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของทอท. บางส่วน(เนื้อที่ประมาณ 491.220 ตารางเมตร) ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งทอท.ใช้วิธีคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่ต้องชำระให้แก่ทอท.ที่ปรับลดลงตามสัดส่วนของพื้นที่ขอคืนมีผลต่อยอดจำหน่ายสินค้าลดลง

4. การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยสูงสุด

5. สถานการณ์ภายในประเทศอันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร เช่น การย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติ การปิดตัวของบริษัทในหลายอุตสาหกรรม อาชญากรรมทางไซเบอร์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) หรือการถล่มของตึก สตง.จากแผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในประเทศ

6. สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังมีผลกระทบต่อธุรกิจ

7. สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ บริษัทฯอ้างสัญญาข้อ 7.9 ระบุว่า ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องหรือมีเหตุจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเหตุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผิดของคู่สัญญาฝ่ายใด คู่สัญญาจะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไข

ข้อ7.7 ในกรณีที่ข้อกำหนดของสัญญาข้อใดข้อหนึ่งตกเป็นโมฆะไม่สมบูรณ์ หรือใช้บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงในข้อกำหนดอื่นยังมีผลบังคับกันได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องดำเนินการเจรจาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสัญญาที่มีผลในทางพาณิชย์

ข้อ7.5 ภายใต้บังคับของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับทอท. การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญานี้ไม่อาจทำได้ เว้นแต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะได้ทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา

ทอท.ทำสัญญากับบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด สำหรับกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ สัญญาที่ ทอท.DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 2562 มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2574 ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ปีแรก 2,331 ล้านบาท ต่อมาแก้ไขสัญญา 2 ครั้ง คือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ล่าสุดปรับอายุสัญญาเป็นระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2576

กัมพูชาดันซีรีส์ ‘ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ’ เล่าชีวิตของ ‘ฮุน เซน-ภรรยา’ แทนละครไทย

(13 มิ.ย. 68) กระทรวงข่าวสารกัมพูชาออกคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องในประเทศยุติการออกอากาศละคร ภาพยนตร์ และเพลงไทยทุกประเภททันที เป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้ฝั่งไทย หลังไทยยังไม่เปิดด่านชายแดน โดยมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ 6 ข้อที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาเสนอไว้ อาทิ แบนสินค้าไทย ดึงแรงงานกลับ และหนุนสินค้าเกษตรกัมพูชาแทน

ล่าสุด สถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา (TVK) เตรียมออกอากาศซีรีส์ 'ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ' แทนละครไทย โดยซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของสมเด็จฯ 'ฮุน เซน' และภรรยา 'บุนรานี' โดยมีเป้าหมายสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวกัมพูชา

จากข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงสารสนเทศกัมพูชา ระบุว่า “ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ” ถ่ายทอดชีวิตสมเด็จฯ ฮุน เซน ในช่วงเริ่มสร้างครอบครัว ท่ามกลางยุควิกฤติของประเทศ เมื่อสูญเสียลูกชายคนหนึ่ง ทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นมากอบกู้ชาติ จนนำไปสู่การปลดแอกกัมพูชาได้สำเร็จเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2522

‘ดร.หิมาลัย’ นำ พพ. แจงแนวทาง 'โครงการฝายธงน้อย' มุ่งบริหารจัดการน้ำพร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน

พพ. ชี้แจงแนวทาง 'โครงการฝายธงน้อย' แก่จังหวัดน่าน เดินหน้าเพื่อชุมชน เสริมแผนจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม ลดผลกระทบอุทกภัยด้วยพลังงานสะอาด

(13 มิ.ย. 68) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน จัดการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการฝายธงน้อย และแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขตจังหวัดน่าน ณ ห้องประชุมพระเจ้า สุริยพงษ์ ผริตเดช ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดน่าน โดยมี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม และ นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดี พพ. เป็นผู้นำเสนอข้อมูลต่อผู้บริหารจังหวัดน่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, หน่วยงานราชการในพื้นที่, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้นำชุมชน และผู้แทนภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดร.หิมาลัย กล่าวว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ “เพื่ออธิบายอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน และรับฟังทุกข้อกังวลและทำความเข้าใจร่วมกัน” เพื่อให้การพัฒนาโครงการฝายธงน้อยและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง นอกจากการให้ข้อมูลหรือการชี้แจงอย่างชัดเจนแล้ว ยังได้เสนอแนวทางบริหารจัดการน้ำเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน ที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มพลังงานสะอาดเข้าสู่ระบบ แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว ผ่านการจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนในด้านอาชีพ การศึกษา และสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า

โดยได้จัดทำแผนบรรเทาทุกข์โครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่

แผนระยะสั้น (พ.ศ. 2568–2570) ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เครื่องสูบน้ำหอยโข่ง การระบายน้ำผ่านทางผ่านปลา และการขุดลอกตะกอนดินทรายในลำน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เหนือฝาย ลดความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะสามารถช่วยระบายน้ำในช่วงที่น้ำหลากได้ถึง 50 ลบ.ม /วินาที ปัจจุบันอยู่ระหว่างการของบประมาณโครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท 

แผนระยะยาว (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป) ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารระบายน้ำฉุกเฉิน จำนวน 2 ช่อง พร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยมีเป้าหมายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดประมาณ 11.10 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และมีความสามารถในการช่วยระบายในช่วงน้ำหลากได้ถึง 220 ลบ.ม/วินาที  พร้อมทั้งสามารถจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย

หลังการประชุม คณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่จริงบริเวณฝายธงน้อย เพื่อสำรวจและศึกษาภูมิประเทศโดยรอบพร้อมรับฟังข้อมูลในพื้นที่อย่างรอบด้าน นำไปสู่การปรับแนวทางดำเนินโครงการให้เหมาะสมกับสภาพจริงและความต้องการของชุมชน

พพ. ยืนยันเดินหน้าโครงการฝายธงน้อยและโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างโปร่งใส โดยเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้โครงการเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน พร้อมย้ำว่าจากข้อมูลทางวิชาการ ฝายธงน้อยไม่ใช่สาเหตุของน้ำท่วมในเทศบาลเมืองน่าน แต่ก็ยังคงร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อวางแนวทางป้องกันและบรรเทาผลกระทบอย่างรอบด้าน

นักวิชาการแฉ สหรัฐฯ สั่งอพยพคนก่อนอิสราเอลถล่ม เชื่อรู้แผนซัดอิหร่าน แถมให้ไฟเขียวโจมตีฐานนิวเคลียร์

(13 มิ.ย. 68) จากเหตุการณ์อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านอย่างหนัก ใช้เครื่องบินรบกว่า 200 ลำถล่มเป้าหมายกว่า 100 จุด โดยมุ่งทำลายโครงสร้างนิวเคลียร์และสังหารผู้นำทางทหารระดับสูงของอิหร่าน ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้แน่นอนว่า อิสราเอลประสานงานกับสหรัฐฯ ล่วงหน้า

ดร.เกร็ก ไซมอนส์ (Dr. Greg Simons) นักวิชาการด้านสื่อจากมหาวิทยาลัยนานาชาติแดฟโฟดิล ของบังคลาเทศ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ สั่งอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตจากอิรักและอ่าวเปอร์เซียก่อนการโจมตี แสดงให้เห็นว่าวอชิงตันรับรู้และอาจให้ไฟเขียวต่อแผนการดังกล่าว แม้สหรัฐฯ จะออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม

นักวิชาการยังระบุอีกว่า อิสราเอลต้องการสกัดความพยายามเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในก่อนหน้านี้ โดยที่สหรัฐฯ ยังอยากหันไปโฟกัสกับจีน แต่กลับถูกพันธมิตรอย่างอิสราเอลและยูเครนดึงกลับสู่ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

สำหรับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ดร.ไซมอนส์มองว่า เขา “ทำสงครามเพื่อหนีคดี” เพราะหากสันติภาพเกิดขึ้น โอกาสที่เขาจะถูกจับกุมในคดีทุจริตทางการเมืองย่อมเพิ่มขึ้น ทั้งยังวิจารณ์สหรัฐฯ ว่าให้การสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยกล่าวว่า “อิสราเอลจุดไฟที่ดับเองไม่ได้ แล้วหวังให้วอชิงตันช่วยจ่ายค่าเสียหายแทน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top