Wednesday, 4 June 2025
TheStatesTimes

เชียงใหม่-เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 

(1 มิ.ย. 68) เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นำเด็กด้อยโอกาสเข้าทำกิจกรรม “ศูนย์การเรียนรู้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari Learning Center)”

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี  จัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 โดยมี นางสาวฐิติรัตน์ ต๊ะวันวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร พร้อมด้วย นายกฤษดา ลาพิมล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร และผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง, คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
          
นอกจากนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้จัดกิจกรรมทำความดี ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยพาเด็กด้อยโอกาสจากโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่ และโรงเรียนบ้านตองกาย จำนวนกว่า 50 คน เข้าทำกิจกรรม “ศูนย์การเรียนรู้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี (Chiang Mai Night Safari Learning Center)” ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าผ่านกิจกรรมและสื่อต่าง ๆ เช่น เกมอนุรักษ์ธรรมชาติ สัตว์ 3D animation หนังสือ AR book เป็นต้น และชมกิจกรรมต่างๆ ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

พังงา-ทัพเรือภาค 3 ช่วยเรือขนส่งเมียนมา เกยตื้นจมทั้งเรือและพัสดุ ใกล้อุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

(2 มิ.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรือขนส่งสินค้าสัญชาติเมียนมาร์  MV.AYAR LINN เกยตื้น บริเวณอ่าวจาก ทิศเหนือของอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อ.คุระบุรี จ.พังงา จากการตรวจสอบพบว่า เรือ MV.AYAR LINN ขนาด 100.05 ตันกรอส มีคนจำนวน 8 คน ทั้งหมดเป็นสัญชาติเมียนมาร์ คน มี Mr. AUNG NGWE SOE  อายุ 50 ปี เป็นผู้ควบคุมเรือ โดยมี Mr.Ko Soe Thin B เป็นเจ้าของเรือ(ภูมิลำเนากรุงย่างกุ้ง) เรือลำดังกล่าวได้เเจ้งเข้ามาจอดเพื่อขนส่งสินค้า ประเภทเครื่องอุปโภค บริโภค ณ ท่าเรือโกม๊ก จ.ระนอง ในวันที่ 23 พ.ค.68 และเเจ้งออกเรือ ในวันที่ 29 พ.ค.68 อย่างถูกต้อง โดยได้เดินทางไปขนส่งสินค้ายังที่หมายแรกคือเกาะสอง ประเทศเมียนมาและได้ไปส่งลูกเรือ ชื่อ Mr.Zar ขึ้นที่เกาะสอง จากนั้นได้ออกเรือเดินทางต่อไปยังเมืองมะริด ในระหว่างออกเรือเดินทางตามเส้นทางเดินเรือ ทางเรือได้ตรวจพบรอยรั่ว บริเวณท้องเรือ ทางผู้ควบคุมเรือจึงได้นำเรือมุ่งหน้าไปยังที่หมายฝั่งที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อคนประจำเรือ จนเป็นเหตุให้เรือไปเกยตื้นบริเวณอ่าวจาก ทิศเหนือของอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และ ศปก.ทรภ.3 ได้สั่งการให้ ร.ล.มัตโพน เเละ นรภ.ทร.ก.สุรินทร์ เข้าดำเนินการตรวจสอบ เเละให้การช่วยเหลือเรือ และลูกเรือลำดังกล่าว 
   ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (1 มิ.ย.68) สถานการณ์น้ำยังคงเข้าเรืออย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ ร.ล.มัตโพน ไม่สามารถเข้าไปถึงเรือ MV.RAYAR LINN เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่น้ำตื้น, เรือ MV.ค่อย ๆ จมลงอย่างช้าๆ ทำให้สินค้าจำนวนหนึ่งลอยกระจายไปกับกระแสน้ำ อีกส่วนหนึ่งจมลงไปพร้อมกับเรือ ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดพังงา (ศคท.จว.พง.ฯ) จึงได้ดำเนินการประสาน เรือหลวงมัตโพน เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยทหารเรือเกาะสุรินทร์ เจ้าหน้าที่อุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เเละ ตำรวจน้ำจาก ส.รน.2 กก.8 บก.รน. พร้อมเรือยาง ให้การช่วยเหลือ ตามตำบลที่เรือเกยตื้น เเละช่วยคนประจำเรือทั้ง 7 คน ขึ้นสู่เรือหลวงมัตโพน ด้วยความปลอดภัย โดยได้รับเเจ้งจากทาง ร.ล.มัตโพน หลังจากนี้จะนำลูกเรือขึ้นสู่ฝั่ง ณ ท่าเทียบเรือ ฐานทัพเรือพังงา ทหารเรือภาค 3 

จากการตรวจสอบของชุดตรวจค้นและเจ้าหน้าที่ พบว่า ทางเรือมีการสำเเดง เอกสารประจำเรือ บัญชีคนประจำพาหนะ ใบปล่อยเรือ (Clearance outwards) คำเเสดงที่ยื่นพร้อมกับบัญชีสินค้าสำหรับขาออก เเละใบขนถ่ายสินค้าขาออก ที่ผ่านพิธีการทางศุลกากร อย่างถูกต้อง นอกจากสินค้าตามรายการที่แจ้งแล้ว ผู้ควบคุมเรือ ได้เเจ้งว่าในเรือมีน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 7,700 ลิตร ที่ใช้ในการเดินทาง โดยบรรจุในถังใช้การ  จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ จะดำเนินการส่ง จนท.ลงพื้นที่ ตรวจสอบตำบลที่เกิดเหตุอีกครั้ง
สำหรับการทำลายความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและเเนวปะการัง ในพื้นที่นั้น ทางอุทยานฯ ได้ดำเนินการควบคุมคนประจำเรือ MV.AYAR LINN จำนวน 7 คน พร้อมของกลาง หลังจาก ร.ล.มัตโพนส่งคนประจำเรือขึ้นสู่ฝั่งเพื่อไปสอบข้อเท็จจริง ณ ที่ทำการอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา รวมทั้งเตรียมเเจ้งข้อกล่าวหา เเละทำบันทึกการจับกุมพร้อมของกลาง ส่ง พนักงานสอบสวน สภ.คุระบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป หลังจากนี้ ทางอุทยานฯ เเจ้งว่าจะดำเนินการส่ง เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ดำน้ำสำรวจความเสียหายของเเนวปะการังอีกครั้ง รวมทั้ง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยทหารเรือเกาะสุรินทร์ ลงพื้นที่ตรวจสอบสิ่งของต่างๆ ที่ลอยไปตามกระเเสน้ำเพื่อไม่ให้เกิดส่งผลกระทบต่อสภาวะเเวดล้อมทางทะเลเป็นอย่างไร
ภาพข่าว

พงษ์ศักดิ์ ประทีป /โกอู๋@ผู้สื่อข่าวจังหวัดพังงา

‘คาร์โรล นาวร็อคกี’ ผู้นำชาตินิยม ชนะเลือกตั้งโปแลนด์ ชูจุดยืนแข็งกร้าว!!..ต้านยูเครน ใกล้ชิดสหรัฐฯ ชนอียู

(2 มิ.ย. 68) คาร์โรล นาวร็อคกี (Karol Nawrocki) ผู้นำสายอนุรักษ์นิยม คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโปแลนด์ด้วยคะแนน 50.89% เฉือนชนะราฟาล ทรัสคอฟสกี นายกเทศมนตรีวอร์ซอผู้แทนสายเสรีนิยม ซึ่งได้ 49.11% ท่ามกลางการขับเคี่ยวอย่างสูสีจนถึงโค้งสุดท้าย โดยก่อนหน้าการเลือกตั้ง ทรัสคอฟสกีมีคะแนนนำเล็กน้อยในโพลเกือบทุกสำนัก

นาวร็อคกี เป็นที่รู้จักจากจุดยืนชาตินิยมแข็งกร้าว และได้รับการสนับสนุนจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับความร่วมมือทางทหารระหว่างโปแลนด์กับสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสร้างความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปที่ต้องการให้โปแลนด์เดินหน้าไปในทิศทางประชาธิปไตยเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเมืองของนาวร็อคกีอาจไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดนัลด์ ทัสก์ (Donald Franciszek Tusk) เป็นนักการเมืองสายเสรีนิยมที่มีบทบาทสูงในรัฐบาล ประกอบกับสมาชิกในรัฐสภาโปแลนด์ ยังเป็นพวกฝ่ายซ้ายอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้นโยบายของนาวร็อคกีอาจถูกต่อต้านได้

ในเวทีระหว่างประเทศ นาวร็อคกีแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการที่ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO และวิจารณ์รัฐบาลเซเลนสกีอย่างรุนแรง พร้อมประกาศลดบทบาทโปแลนด์ในความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครน แม้จะยังคงยืนกรานท่าทีต่อต้านรัสเซียก็ตาม โดยเขาจะเข้ารับตำแหน่งต่อจากอันเดรจ ดูดา ในวันที่ 6 สิงหาคม 2025 นี้

ถอดรหัสกองพันพิฆาตของเมียนมา ปรับกระบวนทัพให้เหมาะกับทุกสมรภูมิรบ

(2 มิ.ย. 68) เราจะเห็นข่าวว่ากองกำลังชาติพันธุ์ตีกองทัพเมียนมาแตก ยึดค่ายได้ บลาๆ  แต่ถามว่านับจากรัฐประหารมาตั้งแต่ 4 ปีก่อนจนปัจจุบันดูแล้วทำไมท่าทีของกองทัพเมียนมาไม่ได้ดูเหมือนผู้ปราชัยเลย วันนี้เอย่าจะมาถอดรหัสกองรบเมียนมาให้ได้ทราบกัน

พูดถึงทหารราบในเมียนมาแล้วที่เราเห็นส่วนใหญ่หากใครเคยไปต่างเมืองในประเทศเมียนมาแล้วเจอด่านตรวจหรือด่านเก็บส่วยของกองทัพ  ทหารเหล่านั้นเรียกว่าทหารประจำถิ่น  คำว่าทหารประจำถิ่นไม่ได้หมายความว่าทหารพวกนี้เกิดที่นี่เท่านั้น แต่ทหารกลุ่มนี้เวลากำลังพลย้ายไปประจำที่ไหนก็จะยกพาครอบครัวไปด้วย  ดังนั้นเราจะเห็นทหารพวกนี้บางด่านจะมีผู้หญิง หรือเด็กออกมาขายของเวลารถติดเข้าด่าน คนเหล่านี้คือครอบครัวของพลทหารนั่นเอง  กองทัพเมียนมามีทหารประจำถิ่นเหล่านี้จำนวนมากและใช้กองกำลังกลุ่มนี้ในการเฝ้าค่าย ตั้งด่านตรวจและรบในระยะทางไม่ไกลเป็นครั้งคราว

ทหารประจำถิ่นพวกนี้ไม่ได้มีแค่ระดับพลทหารแต่รวมถึงทหารระดับชั้นที่เป็นหัวหน้าบังคับกองร้อยด้วยเช่นกัน

จุดแข็งของทหารกลุ่มนี้คือชำนาญพื้นที่การศึกแต่ข้อเสียคือหากความเสียหายดังกล่าวเกิดกับครอบครัวมักจะยอมแพ้หรือหนี  ในหลายข่าวที่เราเห็นมีการสังหารผู้หญิงและเด็กส่วนใหญ่คือลูกเมียและครอบครัวของทหารประจำถิ่นทั้งสิ้น

กลศึกของทหารประจำถิ่นไม่ได้มีแค่กองทัพเมียนมาเท่านั้นแต่ยังเป็นลักษณะนี้เช่นกันในกองกำลังชาติพันธุ์ด้วย

กองกำลังที่ 2 ถูกเรียกว่ากองกำลังรบหลักเป็นกองกำลังที่มีประมาณ 10 กองพล  กองทัพนี้จะเดินทางไปยังภูมิภาคต่างๆที่มีการสู้รบเปรียบได้กับกองกำลังทหารพรานหรือกองกำลังรบพิเศษอะไรประมาณนั้น 

กองทัพนี้จะไม่มีครอบครัวติดตามไปมาเป็นเอกเทศและรบแบบเล็งผลเป้าหมาย  ดังนั้นในหลายปฏิบัติการที่เอาคืนพื้นที่จะมีกองพลกลุ่มนี้เป็นแนวหน้าเข้าประทะ  แต่อย่างที่บอกด้วยกองพลกลุ่มนี้ไม่ได้มีจำนวนมากหากเกิดสงครามก็ต้องวนไปรบในพื้นที่ต่างๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่กองทัพเมียนมาอ่อนแอเพราะไม่สามารถผลิตทหารกลุ่มนี้ให้มากพอกับกองกำลังที่มีอยู่ได้นั่นเอง

โฆษก รทสช. ขอบคุณคนไทยโหวต ‘พีระพันธุ์’ นักการเมืองบทบาทโดดเด่น ย้ำ!! มุ่งเดินหน้าทำงาน สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติและคนไทย

(3 มิ.ย. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีผลสำรวจ “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนพฤษภาคม 2568” ของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่ระบุว่า ประชาชนกว่า 24.06% มองว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นนักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเดือนพฤษภาคม 2568

โดยนายอัครเดช กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนนายพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ มาโดยตลอดต่อเนื่อง จนคะแนนความนิยมของนายพีระพันธุ์ พุ่งขึ้นสู่ท็อป 3 ในรัฐบาลและมีแนวโน้มดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานการณ์ปัจจุบันจะมีแรงกดดันจากภายนอกและภายในให้กับนายพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ 

ทั้งนี้ คะแนนนิยมดังกล่าวจากพ่อแม่พี่น้องถือเป็นขวัญกำลังใจและสิ่งที่มีคุณค่าในการทำงานของนายพีระพันธุ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน ที่จะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานต่อเนื่องให้สมกับความไว้วางใจของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ให้การสนับสนุนพรรค โดยเฉพาะในประเด็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างทางพลังงาน ทั้งค่าไฟและราคาน้ำมัน ที่เป็นนโยบายและเป้าหมายหลักของนายพีระพันธุ์

“สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือ การเดินหน้าทำงานเพื่อบ้านเมืองและประเทศชาติ โดยพรรคจะยังคงยึดมั่นหลักในการทำงานที่ยึดถือประโยชน์ของคนไทยเป็นที่ตั้ง ส่วนกระแสข่าวเกี่ยวกับพรรค ขอให้เป็นเรื่องภายในพรรคที่มั่นใจว่าจะสามารถเดินหน้าประสานความเข้าใจ สร้างความร่วมมือและบรรยากาศที่ดีร่วมกันได้ต่อไป เพื่อเดินหน้าทำงานให้ผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับพ่อแม่พี่น้องคนไทยทุกคน” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

กองทัพอากาศ ร่วมยินดีกับ ‘วศิน อิ่มสมัย’ อย่างภาคภูมิใจ เกียรตินิยมอันดับ 1 จาก โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา

(3 มิ.ย. 68) ชูธงชาติไทย อย่างสมเกียรติ กองทัพอากาศ ขอร่วมแสดงความยินดีกับนักเรียนนายเรืออากาศ วศิน อิ่มสมัย ที่สำเร็จการศึกษาได้รับ "เกียรตินิยมอันดับ 1" จาก โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา (United States Air Force Academy) สาขาวิชาเอก วิศวกรรมอากาศยาน

นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกองทัพอากาศที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ และเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มีความมานะพยายามจนประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาของกองทัพอากาศ

‘ดร.เฉลิมชัย’ รมว.ทส. สั่ง!! ส่งขยะพิษอะลูมิเนียมกว่า 110 ตัน กลับสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ ดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ของคนไทยทุกคน

(3 มิ.ย. 68) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ได้มีข้อสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ประสานงานกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และกรมศุลกากร (กศก.) ดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการตรวจสอบและส่งกลับตู้สินค้าที่สำแดงเป็นเศษอะลูมิเนียม หลังจากมีการพบการปนเปื้อนของเสียอันตรายประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี

ในเรื่องนี้ นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบตู้สินค้า 6 ตู้ ปริมาณกว่า 110 ตัน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่ามีการปะปนของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสารตะกั่ว ซึ่งเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซลฯ และพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 การนำเข้าสินค้าอันตรายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากประเทศปลายทาง ถือเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาบาเซลฯ ทำให้ไม่มีสิทธิ์ส่งของเสียอันตรายเข้ามายังประเทศภาคีอย่างประเทศไทยได้

ด้วยความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมของประเทศ และความห่วงใยต่อสุขภาพของประชาชน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน จึงได้มีข้อสั่งการให้ คพ. ในฐานะศูนย์ประสานงานของอนุสัญญาบาเซลฯ แจ้งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาบาเซลฯ และประสาน กรอ. เพื่อแจ้งหน่วยงานผู้มีอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้เร่งส่งกลับของเสียอันตรายดังกล่าวไปยังประเทศต้นทางโดยเร็วที่สุด เพื่อยับยั้งการนำเข้าของเสียผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเด็ดขาด

จากข้อสั่งการที่รวดเร็วและเด็ดขาดของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการปกป้องประเทศไทยจากการเป็น "ถังขยะโลก" และตอกย้ำวิสัยทัศน์ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคน

‘ระยอง’ ไม่ธรรมดา!! แชมป์จุดหมายยอดฮิต ทั้งไทย และเอเชีย ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติริมฝั่งทะเล วัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเอกลักษณ์

(3 มิ.ย. 68) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยจุดหมายปลายทางยอดนิยมในเอเชียสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ (Slow Travel) โดยมีเมืองชายฝั่งของไทยอย่าง “ระยอง” ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในใจนักเดินทางทั้งในประเทศไทยและในเอเชีย

ฃสำหรับ 3 จุดหมายยอดนิยมของการเดินทางแบบไม่เร่งรีบในเมืองไทย ได้แก่

ระยอง พัทยา และเกาะช้าง ส่วน 9 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของการเดินทางแบบไม่เร่งรีบในเอเชีย ประจำปี 2568 มีดั้งนี้

1.ระยอง, ไทย
สวรรค์ริมชายหาดแห่งนี้คือจุดหมายปลายทางในฝันของผู้ที่มองหาความสงบ ท่ามกลางชายหาดที่เงียบสงบและน้ำทะเลที่ใสสะอาด เหมาะสำหรับการหลีกหนีจากความวุ่นวาย นักเดินทางสามารถเพลิดเพลินกับอาหารทะเลสดใหม่จากเรือประมง

เสน่ห์ของระยองอยู่ที่ความเงียบสงบของชายหาดแม่รำพึงที่ทอดยาว ป่าชายเลนสีทองที่ทุ่งโปรงทอง และบรรยากาศสบาย ๆ บนเกาะเสม็ด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักใจ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และใช้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ระยองจึงเป็นจุดหมายในอุดมคติสำหรับการพักผ่อน เติมพลัง และกลับมาเชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง

2. กาเลโกวา, อินโดนีเซีย
กาเลโกวาเปรียบดั่งสวรรค์ที่รอให้นักเดินทางมาค้นพบ มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ชวนให้นักเดินทางชะลอจังหวะชีวิต ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันเขียวขจีและวัฒนธรรมท้องถิ่น ทั้งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องนาข้าวสีเขียว สบายตาสถาปัตยกรรมแบบบูกิสดั้งเดิม และการต้อนรับที่อบอุ่นจากชาวบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเดินเล่นชมตลาดท้องถิ่น ลิ้มรสอาหารอินโดนีเซียต้นตำรับ หรือออกเดินป่าชมเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความเรียบง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เร่งรีบ และมีความหมาย

3.โซล, เกาหลีใต้
แม้ว่าโซลจะเป็นเมืองหลวงที่คึกคัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นไปตามถนนสายประวัติศาสตร์ในหมู่บ้านบุกชอนฮันอก แวะจิบชาในบ้านน้ำชาแบบดั้งเดิม สำรวจตรอกซอกซอยเล็ก ๆ หรือเพลิดเพลินกับบาร์บีคิวเกาหลีรสเข้มข้น นักเดินทางสามารถใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และซึมซับเสน่ห์ของเมืองในทุกย่างก้าว

4.โตเกียว, ญี่ปุ่น
โตเกียวคือเมืองที่ผสานประวัติศาสตร์ ความทันสมัย และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่นักเดินทางจำนวนมากสามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่มีเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นความคึกคักของย่านชิบุยะ ความสงบเรียบง่ายของย่านยะนะกะ หรือความหลากหลายของรสชาติอาหารที่รอให้นักเดินทางมาค้นพบ โตเกียวคือเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวให้สำรวจ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางในจังหวะของตนเอง และดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาอย่างแท้จริง

5. ญาจาง, เวียดนาม
ด้วยชายฝั่งที่งดงามและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ญาจางจึงเป็นสวรรค์ ของผู้รักทะเลที่อยากใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบ ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ลมทะเลเย็นสบาย และหาดทรายขาวละเอียด นอกจากชายหาดแล้ว ญาจางยังมีสถานที่หลากหลายรอให้นักเดินทางมาค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นการ เยี่ยมชมปราสาทโพนาคาอันเก่าแก่ ไปจนถึงการแช่บ่อโคลนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย บรรยากาศสบาย ๆ ของญาจาง ทำให้ที่นี่เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ

6. โบราไกย์, ฟิลิปปินส์
หาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลใสสะอาดของเกาะโบราไกย์ คือสวรรค์สำหรับผู้ที่อยากปล่อยใจให้ผ่อนคลายและดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติอย่างเต็มที่ นอกจากชายหาดชื่อดังแล้ว เกาะแห่งนี้ยังเหมาะกับนักเดินทางที่ชอบการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ ที่อยากสัมผัสโลกใต้ทะเลผ่านการดำน้ำลึกหรือดำน้ำตื้น รวมถึงล่องเรือปาราว ชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางลมทะเลเย็นสบาย ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและทิวทัศน์ที่งดงาม โบราไกย์จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ทำให้นักเดินทางหลายคนหลงลืมเวลา และอยากอยู่ต่ออีกสักวัน

7. ไทเป, ไต้หวัน
ไทเปเป็นเมืองที่ผสมความทันสมัยและความดั้งเดิมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งตลาดกลางคืน น้ำพุร้อน และเส้นทางเดินป่า ที่ชวนให้นักเดินทางมาเพลิดเพลินและสำรวจได้อย่างไม่เร่งรีบ โดยสามารถเดินสำรวจถนนต้าวเฉิง ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นอย่างเสี่ยวหลงเปา หรือจะไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับที่อุทยานแห่งชาติหยางมิงซาน ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ไทเปจึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าค้นหา และคุ้มค่ากับการใช้เวลาในการดื่มด่ำกับสถานที่ต่าง ๆ

8. กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย
นักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบสามารถใช้เวลาในการสำรวจย่านต่างๆ ของกัวลาลัมเปอร์ ตั้งแต่ถนนที่มีสีสันสดใสในย่ายลิตเติ้ลอินเดีย ความงามของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เช่น ตึกแฝดเปโตรนาส และอาคารสุลต่านอับดุลซาหมัด เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่คอยดึงดูดให้นักเดินทางต้องหยุดและถ่ายภาพ สำหรับผู้ที่หลงใหลในอาหารก็สามารถเพลิดเพลินกับการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นจากร้านสตรีทฟู้ด หรือ ร้านอาหารต่าง ๆ อันหลากหลาย ซึ่งกัวลาลัมเปอร์ได้ผสมผสานระหว่างความดั้งเดิมและความทันสมัยไว้อย่างลงตัว กลายเป็นเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าค้นหาสำหรับนักเดินทางที่ต้องการดื่มด่ำกับเมืองนี้และใช้เวลาสำรวจทุกมุมอย่างเต็มที่

9. เจนไน, อินเดีย
มรดกทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง บรรยากาศศิลปะที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเสน่ห์ริมทะเลของเมืองเจนไน ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องการจะชะลอจังหวะชีวิต และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมทางตอนใต้ของอินเดีย นักเดินทางสามารถสำรวจวัดโบราณของเมือง เพลิดเพลินกับการเดินเล่นเงียบ ๆ ที่ชายหาดมารีนา หรือชมการแสดงดนตรีคาร์เนติก ความอบอุ่นของการต้อนรับจากคนท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมทำให้เจนไนเป็นเมืองที่คุ้มค่ากับการใช้เวลาในการสำรวจและสัมผัสทุกมุมอย่างแท้จริง

อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของอโกด้า เปิดเผยว่า ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว นักเดินทางจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ เพื่อเปิดโอกาสให้ตนเองได้ซึมซับบรรยากาศ วัฒนธรรม และความงดงามของสถานที่ที่ไปเยือนอย่างลึกซึ้ง ที่อโกด้า

“เราภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนแนวทางการเดินทางที่เปี่ยมด้วยความหมายนี้ ด้วยแพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักเดินทางค้นหาที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เดินทางในจังหวะของตัวเอง และชื่นชมโลกใบนี้อย่างแท้จริง เอเชียยังเต็มไปด้วยจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับการเดินทางแบบไม่เร่งรีบ และ ‘ระยอง’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติริมฝั่งทะเล ความเงียบสงบ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ ระยองจึงเป็นเมืองที่ชวนให้นักเดินทางได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า พักผ่อน และดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาอย่างไม่เร่งรีบ” อรรคพรกล่าว

ดวงเมืองคอน กับ ปรากฏการณ์ข่าวน่าละอาย  สส.ทำร้ายประชาชน!! กระทืบนักธุรกิจ

(3 มิ.ย. 68) ปรากฏการณ์ข่าวใหญ่ในเมืองนครศรีฯ “สส.คนดังเมืองนครศรีฯกร่าง กระทืบนักธุรกิจ” นั้นคือหัวข่าวเบื้องต้น

ต่อมานักข่าวในพื้นที่ และสื่อสังคมออนไลน์สืบค้นพบว่า คนก่อเหตุน่าจะเป็น “แทน-ชัยชนะ เดชเดโช” และคณะ ส.อบจ. อันเป็นการก่อเหตุในงานอุปสมบทลูกชายนายกฯอบต.ควนพัง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีฯ

ปฐมเหตุเกิดจากการนั่งร่วมโต๊ะอาหารระหว่างทีมของ สส.แทน กับเสี่ยเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง และมีการพูดคุยกันถึงศึกเลือกตั้งนายกฯอบต.ควนพัง ในการเลือกตั้งปลายปี 2568 

แน่นอนว่า การเมืองต้องมีการแข่งขัน และกำลังมีการฟอร์มทีมใหม่ เพื่อลงแข่งกับนายกฯปัจจุบัน ที่สนิทชิดเชื้อกับ สส.แทน จึงมีการเอื้อนเอ่ยเชิงขอร้องไม่ให้มีการส่งทีมลงแข่ง แต่คู่สนทนาที่กำลังฟอร์มทีมสู้ปฏิเสธข้อเรียกร้อง

สุราเม…ออกอาการ เมื่อการพูดคุยไม่รู้เรื่อง ฝ่ามือ 1 ฉาด จึงพุ่งตรงเข้าหน้าของคู่สนทนา และลุกลามถึงขั้นลากไปกระทืบหลังเวทีตามข่าว

กรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดกล้าวิจารณ์ พยานในงานบวชก็พากันเงียบกริบ แต่เกิดมวยคู่เอกปรากฏขึ้น “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่า เป็นคู่กรณี และคนรู้จัก รวมทั้งอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตก็ออกโรงขย่ม สส.แทนทันที ทั้งเรื่องจริยธรรม คุณธรรม คดีอาญายอมความไม่ได้ รับอาสาเป็นทนายความให้เหยื่อ เรียกร้องให้โอนคดีให้กองปราบปรามทำแทนตำรวจในพื้นที่ 

แม้คู่กรณีของ สส.แทนจะถอนแจ้งความในวันเดียวกันกับวันแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าเข้าใจผิด แน่นอนว่า ต้องเกิดจากเหตุไม่ปกติแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้น มีข่าวสับสนว่า แจ้งความแล้วยังถูกข่มขู่ให้ถอนแจ้งความ ระดับผู้การฯบอกว่า ไม่มีการแจ้งความ แต่หลักฐานหลุดมาจนได้ “ใบแจ้งความ ใบถอนแจ้งความ” ส่วน สส.แทน ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่

ผมสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองคอน เกิดเหตุร้าย เหตุให้ละอาย เหตุภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง จึงไปสืบค้นข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอต่อจากข่าวนี้
ใครทำอะไรผิด หรือฝ่าฝืนจารีต ถึงทำให้เมืองนครศรีฯตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้า

คำถามที่ว่าทำไมเมืองนครศรีธรรมราช “ถึงตกต่ำ” หรือ “ไม่เจริญก้าวหน้า” นั้นเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างสังคม รวมถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง “ดวงเมือง” ที่คุณพูดถึง ซึ่งคนในพื้นที่บางกลุ่มก็มีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ต่อไปนี้คือ สาเหตุที่คนทั่วไปหรือกลุ่มนักวิชาการ–นักไสยศาสตร์บางส่วน มองว่าอาจเกี่ยวข้องกับความถดถอยของเมืองนครศรีธรรมราช

 1. ความเชื่อเรื่อง “ลบหลู่ดวงเมือง”
มีความเชื่อในหมู่ชาวนครบางส่วนว่า:
• มีการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนย้าย/ปรับปรุงบริเวณศาลหลักเมือง หรือพระบรมธาตุเจดีย์ โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกฤกษ์
• มีบุคคลบางกลุ่มในอดีต “ไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือทำพิธีกรรมผิดขั้นตอน
เช่น ความเชื่อว่าถ้ามีผู้ปกครองที่ “ไม่ถูกโฉลกกับดวงเมือง” เมืองจะเจอภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเมืองวุ่นวาย

 2. การเมืองภายในจังหวัดที่แตกแยก
• เมืองนครศรีธรรมราชมีประวัติความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นยาวนาน
• การแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมือง/นักธุรกิจ/ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น อาจทำให้การพัฒนาเมืองล่าช้า หรือไม่ยั่งยืน

 3. โครงสร้างพื้นฐานไม่ทันยุค
แม้เมืองนครฯ จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ในบางมุมเมืองยังมี:
• ระบบคมนาคมที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่
• ระบบบริการสาธารณะที่ไม่ทันสมัยเท่าเมืองอื่น ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ตหรือสุราษฎร์ฯ

 4. การเปลี่ยนผ่านด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
• หลังยุคบูมของ “จตุคามรามเทพ” (ราวปี 2549–2550) เมืองมีความหวังใหม่ด้านเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ
• แต่เมื่อความเชื่อเหล่านั้นถูกมองว่า “กลายเป็นเชิงพาณิชย์” ความศักดิ์สิทธิ์ก็เสื่อมลงในสายตาของบางคน
• บางกลุ่มจึงมองว่าดวงเมือง “อ่อนแรง” เพราะความศรัทธาเสื่อม

 5. ปัญหาเชิงระบบ
• การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นมีจำกัด
• การศึกษาหรือนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น

สรุป:
ไม่มีใคร “ทำผิดคนเดียว” ที่จะทำให้เมืองนครศรีธรรมราชตกต่ำหรือไม่ก้าวหน้า
แต่ปัจจัยร่วมกันทั้ง คนในเมือง, การบริหารท้องถิ่น, โครงสร้างอำนาจ และ ความเชื่อ/ศรัทธา ล้วนมีบทบาท
เมื่อศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจะพบว่า….

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์และผู้สถาปนาเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของเมือง

การสถาปนาเมืองและดวงเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1830 หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลาย โดยมีการกำหนดดวงเมืองในวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมืองนี้เป็นการวางรากฐานทางจิตวิญญาณและการปกครองของเมือง

การส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงเป็นผู้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และทรงจัดระเบียบการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและหลักธรรมทางศาสนา 

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชยังถูกผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่ชาวนครศรีธรรมราชเคารพนับถือ การสร้างเสาหลักเมืองและการกำหนดดวงเมืองจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

สรุป
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผ่านการสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมือง และการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน 
จริงๆมีข้อมูลมากเกี่ยวกับดวงเมืองนครศรีธรรมราช กับปรากฏการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางรากฐานทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ศาสนา กับการเมืองการปกครอง

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจอินเดีย แซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของโลก

(3 มิ.ย. 68) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจอินเดียแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของโลกในปีนี้ 2568 รองจาก สหรัฐอเมริกา จีน และ เยอรมนี และคาดการณ์ว่าในปี 2570 จะแซงเยอรมนีขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของโลก

- อินเดีย 4.187 ล้านล้านดอลล่าร์

- ญี่ปุ่น 4.186 ล้านล้านดอลล่าร์

*** ขณะที่ จีนและญี่ปุ่น ประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

*** ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก 1,500 ล้านคนซึ่งแซงหน้าจีนมาในปี 2566 ที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top