Friday, 6 June 2025
TheStatesTimes

ศพทหารยูเครน 6,000 นายจ่อกลับบ้าน แต่รัฐบาล ‘เซเลนสกี’ อาจต้องจ่ายกว่า 7 หมื่นล้านบาท

(4 มิ.ย. 68) รัสเซียเตรียมส่งคืนศพทหารยูเครน 6,000 นายในสัปดาห์หน้า ตามการประกาศของวลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซียและหัวหน้าคณะเจรจาสันติภาพ การส่งศพจำนวนมากนี้เกิดขึ้นท่ามกลางภาวะสงครามที่ยังไม่สิ้นสุด และสร้างแรงกดดันใหม่ต่อรัฐบาลยูเครน

ตามกฎหมายของยูเครน รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตคนละ 15 ล้านฮรีฟเนีย (ราว 12 ล้านบาท) หากมีการชำระครบถ้วน การส่งศพครั้งนี้จะทำให้รัฐต้องจ่ายรวม 90,000 ล้านฮรีฟเนีย หรือประมาณ 70,200 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจเตือนว่า ยูเครนอาจไม่สามารถรับภาระทางการเงินได้ในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อสงครามยังดำเนินอยู่ และทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกจัดสรรไปยังงบประมาณด้านการทหาร อีกทั้งยังมีปัญหาทุจริตในระบบงานศพ ที่อาจทำให้การชดเชยไม่ถึงมือครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเหมาะสม

แม้รัฐบาลยูเครนจะเริ่มปฏิรูปเพื่อลดการคอร์รัปชัน แต่ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายยังเป็นคำถามสำคัญ ท่ามกลางแรงกดดันจากประชาชนที่ต้องการความโปร่งใส และจากพันธมิตรต่างชาติที่จับตามองการใช้งบประมาณอย่างใกล้ชิด

5 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทรงหว่านข้าวเพื่อเกษตรกรไทย ณ เกษตรกลางบางเขน

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงหว่านข้าว ณ แปลงนาสาธิตของสถานีทดลองเกษตรกลางบางเขน ซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมการเกษตรของชาติ อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนชาวไทย

การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อวงการเกษตรกรรม เนื่องจากเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่พระมหากษัตริย์ทรงลงมือหว่านข้าวด้วยพระองค์เอง นับเป็นสัญลักษณ์แห่งพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาและใส่พระทัยต่อปวงชนชาวนาอย่างแท้จริง

วันดังกล่าวจึงได้รับการยกย่องให้เป็น “วันรำลึกพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล” เพื่อรำลึกถึงพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่า และปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมพัฒนาการเกษตรของชาติ

ในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงจัดกิจกรรมรำลึกถึงพระองค์เป็นประจำทุกปี พร้อมสืบสานเจตนารมณ์ในการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย

6 มิถุนายน พ.ศ.2527 วันเปิดตัว ‘เตตริส’ เกมเรียงบล็อกธรรมดาจากรัสเซีย แต่ยอดขายถล่มทลาย สู่เกมระดับตำนาน ครองใจคนทั้งโลก

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) เกม 'เตตริส' (Tetris) ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวรัสเซียชื่อ อเล็กเซ ปาจิตนอฟ (Alexey Pajitnov) ซึ่งในขณะนั้นทำงานอยู่ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียต เกมดังกล่าวถูกออกแบบโดยมีแรงบันดาลใจจากเกมตัวต่อไม้ และมีกติกาง่าย ๆ คือ การจัดเรียงบล็อกรูปทรงต่าง ๆ ให้เต็มแถวในแนวนอนโดยไม่ให้ทับซ้อน

แม้จะเริ่มต้นจากการพัฒนาเล่นภายในกลุ่มนักวิจัย แต่เตตริสก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และถูกเผยแพร่สู่ประเทศตะวันตกในช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะเมื่อถูกนำไปวางจำหน่ายพร้อมเครื่องเล่นเกมพกพา Game Boy ของบริษัท Nintendo ในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ซึ่งทำให้เกมเตตริสกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เตตริสได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเกมที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์วิดีโอเกม ด้วยรูปแบบการเล่นที่เข้าใจง่ายแต่ท้าทาย สามารถเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ทำให้มียอดขายรวมทั่วโลกหลายร้อยล้านชุด และมีการสร้างสรรค์เวอร์ชันใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องในหลากหลายแพลตฟอร์ม

นอกจากความสำเร็จทางการตลาดแล้ว เตตริสยังได้รับการยอมรับในด้านจิตวิทยาและการศึกษา ว่าช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การวางแผน และการตัดสินใจอย่างมีระบบ จึงนับเป็นเกมที่มีคุณค่าและอิทธิพลยาวนานต่อทั้งวงการเกมและสังคมโลก

นายกฯ ชม ‘หาน จื้อเฉียง’ ทูตจีนก่อนอำลาตำแหน่ง ย้ำมิตรภาพแนบแน่นในทุกระดับและทุกมิติ

สายสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น! นายกฯ ชมบทบาทเอกอัครราชทูตจีนฯ ก่อนอำลาในโอกาสครบวาระ ย้ำมิตรภาพแนบแน่น "ร่วมทุกข์ ร่วมสุข"  พร้อมผลักดันความร่วมมือไทย-จีนทุกมิติ เสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคี-พหุภาคี สานความร่วมมือท่องเที่ยว-สินค้าเกษตร

(4 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหาน จื้อเฉียง  เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและชื่นชมเอกอัครราชทูตจีนฯ ที่มีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างแข็งขันตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-จีน ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกระดับและทุกมิติ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทำงานร่วมกับเอกอัครราชทูตจีนฯ คนใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นยิ่งขึ้นต่อไป

เอกอัครราชทูตจีนฯ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี 10 เดือน ของการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ได้เห็นความก้าวหน้าและความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือไทย-จีน ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีตลอดมา โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ไทย–จีนจะดำเนินไปด้วยดีแม้ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว จีนยังพร้อมส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยอย่างต่อเนื่องผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การแสดงทางวัฒนธรรม บัลเลต์จีน กายกรรมจีน คอนเสิร์ต โดยเอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวถึงงาน “สวัสดี หนีฮ่าว” ซึ่งมีผลตอบรับอย่างดี มีบริษัทจีนเข้าร่วมกว่า 350 แห่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมยืนยันว่าจะเร่งสื่อสารเชิงบวกให้มากขึ้น ทั้งด้านความปลอดภัย การลงทุน และภาพลักษณ์ประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านความร่วมมือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ฝ่ายจีนช่วยอำนวยความสะดวกการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนได้อย่างประสิทธิภาพ สามารถส่งไปยังจีนได้ภายในระยะเวลา 2 วัน จากเดิม 7-8 วัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจีนและหน่วยงานไทย ขณะที่ฝ่ายจีนได้ขึ้นบัญชีอนุญาตบริษัทไทยที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพให้ส่งออกทุเรียนโดยไม่ต้องตรวจซ้ำแล้วกว่า 240 แห่ง ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าระหว่างกันได้อีกมาก

ด้านความร่วมมือในกรอบแม่โขง–ล้านช้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยยินดีต้อนรับการเยือนของนายกรัฐมนตรีจีนในช่วงปลายปีนี้ เพื่อร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ครั้งที่ 5 โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคในทุกมิติ ขณะที่เอกอัครราชทูตจีนฯ เห็นพ้องและอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมกล่าวย้ำว่า “แม้สถานการณ์โลกจะผันผวน แต่ความสัมพันธ์ไทย–จีนจะแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เราต้องทำงานด้วยกันเพื่อที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ และสร้างพลังใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือต่อไป”

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีนฯ สำหรับความจริงใจและมิตรภาพที่มั่นคง พร้อมย้ำว่า มิตรภาพระหว่างบุคคลและระหว่างประเทศไม่ขึ้นกับตำแหน่งหน้าที่ แต่เกิดจากความเข้าใจและการประสานงานที่จริงใจ และขออวยพรให้เอกอัครราชทูตจีนฯ และภริยา ประสบความสำเร็จและมีความสุขในทุกภารกิจต่อไป

ตำรวจภาค 2 เดินหน้าฝึกยุทธวิธีขั้นสูง รับมือทุกสถานการณ์ เพิ่มทักษะ - เสริมความมั่นใจเพื่อประชาชน

(4 มิ.ย.68) ที่สนามยิงปืนบูรพา 491 กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะการยิงปืนภายใต้ภาวะกดดัน โดยมี 'อาจารย์หม่อม' พล.อ.ม.ล.ทศนวอมร เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธวิธีระดับประเทศ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงให้กับข้าราชการตำรวจ

โครงการฝึกอบรมในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ที่ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีศักยภาพและความทันสมัย รองรับสถานการณ์จริงที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 และกำลังพลผู้เข้ารับการฝึกจากพล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

การฝึกอบรมครั้งนี้เน้นทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจริง ครอบคลุมการใช้ปืนพกและปืนลูกซอง เพื่อยกระดับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ กล่าวว่า
“ภารกิจของตำรวจยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายและสถานการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมที่ซับซ้อน หรือเหตุการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำ การฝึกอบรมจึงต้องทันสมัย สอดคล้องกับความเป็นจริง เพื่อให้ตำรวจมีทักษะที่พร้อมใช้งานและสามารถดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับการอบรมในครั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมกว่า 160 นาย จากหลายหน่วยงานในสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากครูฝึกและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด กำหนดการฝึกอบรมจะดำเนินไประหว่างวันที่ 4 - 11 มิถุนายน 2568

โครงการนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เน้นยกระดับตำรวจไทยสู่ความเป็นมืออาชีพ พร้อมพิทักษ์ ปกป้องสถาบันหลักของชาติ และเน้นการให้บริการประชาชนด้วยมาตรฐานสูงสุด สร้างความเชื่อมั่นและความอุ่นใจให้กับสังคม

การพัฒนาตำรวจภูธรภาค 2 ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมทักษะเฉพาะทาง แต่ยังสะท้อนความตั้งใจในการยกระดับศักยภาพของเจ้าหน้าที่ให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในทุกมิติ

‘ทรัมป์’ เผยโทรคุย ‘ปูติน’ ยันรัสเซียเตรียมตอบโต้ยูเครน พร้อมจับตา ‘อิหร่าน’ ใกล้มีนิวเคลียร์ในไม่ช้า

(5 มิ.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียหลังการพูดคุยทางโทรศัพท์กับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย โดยระบุว่า ปูตินยืนยันชัดเจนว่า รัสเซียจะมีมาตรการตอบโต้ยูเครน กรณีการโจมตีสนามบินและระบบรถไฟในรัสเซีย ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของยูเครน

แม้ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการสนทนาอย่างเป็นทางการ แต่สื่อตะวันตกอย่าง Reuters และ BBC รายงานตรงกันว่า ทรัมป์แสดงท่าที 'เห็นใจ' ต่อท่าทีแข็งกร้าวของปูติน พร้อมระบุว่าการตอบโต้ดังกล่าวเป็น “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หากยูเครนยังคงเดินหน้าก่อวินาศกรรมในรัสเซียต่อไป

นอกจากประเด็นยูเครน ทรัมป์ยังกล่าวถึงภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยย้ำว่า “เวลาของโลกใกล้หมดแล้ว” หากยังปล่อยให้อิหร่านพัฒนาอาวุธอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสนอให้ปูตินมีบทบาทเป็นตัวกลางในการเจรจา เพื่อลดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

โดยปูตินแสดงความเปิดกว้างที่จะเข้าร่วมในการเจรจาใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่าตนและปูตินมีความเห็นตรงกันในประเด็นนี้

‘พีระพันธุ์’ ยัน ป.ป.ช. ยังไม่ได้ออกหมายเรียก หลังส่งคนตรวจสอบข่าวพบ 'ไม่เป็นความจริง'

จากกรณีที่มีรายงานข่าวออนไลน์ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือเรียกให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นั้น

นายพีระพันธุ์ ได้ส่งคนไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในช่วงเช้าวันที่ 4 เนื่องจากไม่ได้รับหนังสือใด ๆ จาก ป.ป.ช. โดยเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ได้ยืนยันว่า ป.ป.ช. ยังไม่ได้ออกหนังสือใด ๆ มายังนายพีระพันธุ์ ข่าวดังกล่าวจึง “ไม่เป็นความจริง”

การนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม สื่อมวลชนจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้รอบคอบและแน่ชัดก่อนเสนอข่าว

กองทัพอากาศ เล็งซื้อฝูงบิน Gripen รุ่นใหม่ ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท

กองทัพอากาศ เปิดแผนจัดซื้อ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 ทดแทน F-16 ล็อตแรก 4 ลำ มูลค่ารวม 19,500 ล้านบาท ย้ำโปร่งใส คุ้มค่า รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด

พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เปิดเผยว่า กองทัพอากาศ มีแผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่ 'Gripen E/F' ระยะที่ 1 เพื่อทดแทนฝูงบิน F-16 ที่ประจำการมายาวนานกว่า 37 ปี โดย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับสมรรถนะด้านการป้องกันประเทศ ด้วยคุณลักษณะที่เหนือกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความเหมาะสมในการบูรณาการระบบ (Commonality & Continuity) และความสามารถในการตอบสนองภัยคุกคามยุคใหม่

สำหรับเครื่องบินขับไล่แบบ Gripen E/F ที่ถูกคัดเลือกเป็นแบบที่ตรงตามเกณฑ์ความต้องการของกองทัพอากาศมากที่สุด พร้อมติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล “METEOR” และการปรับปรุงระบบเรดาร์แจ้งเตือนล่วงหน้า SAAB AEW&C โดยจัดอยู่ในแนวทางสำคัญของโครงการภายใต้ชื่อ MIDSR ประกอบด้วย Main Package: เครื่องบิน Gripen E/F จำนวน 12 ลำ โดยล็อตแรกจะมีจำนวน 4 ลำ มูลค่า 19,500 ล้านบาท พร้อมอาวุธและระบบสนับสนุน // Indirect Offset: โครงการชดเชยทางอ้อม 7 รายการ //Direct Offset: โครงการชดเชยทางตรง 7 รายการ // Synchronization: ความสอดคล้องประสานกันของโครงการในทั้ง 3 ระยะ // Risk: การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ โครงการยังสอดคล้องกับนโยบาย Defence Offset ของรัฐบาล ที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันว่าการจัดซื้อ Gripen E/F จะดำเนินการด้วยความโปร่งใส รอบคอบ และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเกิดความคุ้มค่าสูงสุด โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางอากาศ ปกป้องอธิปไตย และรักษาความสงบสุขของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ซีอีโอ NVIDIA ยอมรับ ‘หัวเว่ย’ ขึ้นแท่นผู้นำชิป AI ชี้เทียบชั้น H200 แถมระบบคลัสเตอร์เหนือกว่าคู่แข่งอเมริกัน

(5 มิ.ย. 68) เจนเซน หวง ซีอีโอของ NVIDIA เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า เทคโนโลยีชิป AI และระบบคลัสเตอร์ของหัวเว่ย (Huawei) มีศักยภาพเทียบเท่ากับ H200 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปประมวลผล AI รุ่นไฮเอนด์ของ NVIDIA โดยถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทออกมายอมรับความก้าวหน้าของคู่แข่งรายนี้อย่างชัดเจน

ซีอีโอ NVIDIA ระบุว่าหัวเว่ยมีพัฒนาการที่รวดเร็ว โดยเฉพาะระบบ AI แบบคลัสเตอร์ 'CloudMatrix' ที่ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่กว่าระบบ 'Grace Blackwell' ของ NVIDIA เสียอีก โดยเวอร์ชันล่าสุด 'CloudMatrix 384' ใช้ชิป AI จำนวน 384 ตัว เชื่อมต่อแบบครบวงจร ส่งผลให้สามารถประมวลผลได้ถึง 300 PFLOPs (BF16) ซึ่งเกือบเป็น 2 เท่าของระบบ GB200 NVL72 ของ NVIDIA

เจนเซน หวง ยังย้ำว่าหัวเว่ยเป็นบริษัทที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป และยอมรับว่าเป็นคู่แข่งที่มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่เขามักใช้ถ้อยคำระมัดระวังในการประเมินศักยภาพของหัวเว่ย

ทั้งนี้ การยอมรับของ NVIDIA สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ แต่หัวเว่ยยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเวทีโลกแล้วในเวลานี้

‘ฮุน มาเนต’ ยันจะไม่คุย 2 ฝ่ายกับไทย ขอไปพึ่งศาลโลก ชี้ กลไก JBC ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

‘ฮุน มาเนต’ ออกแถลงการณ์ ย้ำจุดยืน เตรียมส่ง 4 พื้นที่ ช่องบก -ปราสาทตาเมือนธม -ปราสาทตาเมือนโต๊ด -ปราสาทตาควาย เข้าสู่ศาลโลก พร้อมปฏิเสธการเข้าร่วมประชุม JBC กับไทย 14 มิ.ย.นี้ ชี้ ไม่สามารถชี้ขาดพิพาทชายแดนได้

วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า พนมเปญ – สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่คลี่คลาย เมื่อล่าสุด พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลของเขาจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ณ กรุงพนมเปญ พร้อมประกาศขอใช้ช่องทางทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยการยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) แทนการเจรจาทวิภาคีกับไทย

ฮุน มาเนต ระบุว่าท่าทีนี้สอดคล้องกับแนวทางของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีคนก่อน และยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง โดยระบุชัดว่า กัมพูชาจะไม่ประนีประนอมในพื้นที่พิพาทสำคัญ ๆ อาทิ ช่องบกในเขตชายแดนอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ไปจนถึงกลุ่มปราสาทโบราณสำคัญ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งทอดยาวตามแนวชายแดนกว่า 200 กิโลเมตร

ในทางกลับกัน ฝั่งรัฐบาลไทยโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าไทยยังยึดหลักเจรจาอย่างสันติ และจะไม่ขยายกรอบการหารือไปยังพื้นที่อื่นโดยไม่จำเป็น

"เราไม่ได้เสียอธิปไตยไป และเรายังเชื่อในพลังของการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย…ไทยจะไม่ไล่ตามไปทุกประเด็นที่กัมพูชาขยายออกมา เราขอพูดเฉพาะจุดที่เกิดเหตุจริงๆ เท่านั้น"นายภูมิธรรมกล่าว

สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้นถือเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโบราณสถาน เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเคยเป็นกรณีฟ้องร้องต่อศาลโลกในอดีต และยังคงทิ้งบาดแผลทางประวัติศาสตร์และอธิปไตยไว้ทั้งสองฝ่าย

การที่กัมพูชาตัดสินใจไม่เข้าร่วม JBC ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณของความตึงเครียดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และอาจส่งผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจบริเวณชายแดนในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top