Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ‘สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2’ เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้แทนพระองค์ในการต้อนรับ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 (Pope John Paul II) ประมุขแห่งวาติกัน ซึ่งเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง

โดยในระหว่างการเยือนไทยนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาได้เสด็จไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม และทรงรณรงค์เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น อีกทั้งยังทรงบริจาคเงินสดช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอินโดจีน เป็นจำนวน 1 ล้านบาท

ขณะที่ภาพที่ยังคงตราตรึงในความทรงจำอย่างมิรู้ลืมเลือน ก็คือ การก้มลงจูบผืนแผ่นดินไทยขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่ 2 และภายหลังจากเยือนประเทศไทย พระองค์ยังได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน อีกด้วย

จเรตำรวจแห่งชาติขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการปราบปรามการค้ามนุษย์ เดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง กำชับตำรวจทุกหน่วยให้ความสำคัญในการปฏิบัติ

(8 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ โดยมี ดร.รีเบ็คก้า มิลเลอร์ ผู้ประสานงานภูมิภาคของ UNODC , พล.ต.ต.สุรชัย สังขพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ผู้แทนหน่วยงานตำรวจที่เกี่ยวข้อง , ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) , กระทรวงมหาดไทย , กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , กระทรวงแรงงาน , กองบัญชาการกองทัพไทย , สำนักงานอัยการสูงสุด , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม , ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

การประชุมในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ของหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าฯ โดยการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนี้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกและมีประสิทธิภาพในการประสานงานไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ , การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศ , การสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ , การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ภายหลังจากการช่วยเหลือออกมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การส่งเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ และการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน (SOP) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการประสานงานระหว่างประเทศ 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลคือปัจจัยของความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การสืบสวนสอบสวน และการดำเนินคดี อาทิ สถานที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , ชาวต่างชาติต้องสงสัยที่เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การคัดกรองเหยื่อ/ผู้ประสงค์ไปทำงาน ซึ่งในส่วนของ UNODC จะให้การสนับสนุนการทำงานในด้านการช่วยกำหนดทิศทางการทำงานของหน่วยเฉพาะกิจฯ แพลตฟอร์มการประสานงานกับหน่วยงานนานาประเทศ และการฝึกอบรมในการคัดกรองและคัดแยกผู้เสียหายกับผู้กระทำผิด 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จากการทำงานที่ผ่านมา พูดได้ว่าหากเราไม่สามารถล้มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนได้ การแก้ปัญหาดังกล่าวยากที่จะหมดไป ในส่วนของประเทศไทยพบว่ากลุ่มแก๊งดังกล่าวมักใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการเดินทางไปทำงาน เนื่องจากเดินทางสะดวก ประกอบกับพบว่ามีคนไทยบางคนเกี่ยวข้องทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การสมัครใจเดินทางไปทำงาน หรือการให้บริการรถเช่า ที่พัก เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตำรวจจะต้องสืบสวนจับกุมดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมกำชับและขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบเข้มงวดเรื่องนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังชายแดนในทุกวิธีการ เพื่อเป็นการบล็อค ไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยต้องร่วมกันขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกันอย่างมีเอกภาพ

จากนั้น เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตคม.ตร.) โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. อาคาร 1 ชั้้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านระบบทางไกลอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับผลการปฏิบัติการปราบปรามการค้ามนุษย์ ของ ศคตม.ตร. ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2568  แบ่งเป็น การจับกุมความผิดเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ของกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 72 คดี , การจับกุมของชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต (TICAC) ดำเนินคดีรวม 24 คดี ช่วยเหลือเหยื่อ 22 ราย และผลการปฏิบัติของชุดปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ภาคประมง ตรวจแรงงาน การจับกุมเรือประมงผิดกฎหมาย และการจับกุมคดีค้ามนุษย์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 มีการตรวจเรือประมง 1,263 ลำ จับกุมตาม พ.ร.ก.ประมงฯ 22 คดี ผู้ต้องหา 23 คน

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ เป้าหมายยกระดับสู่ Tier 1 ในการจัดระดับในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) อย่างเข้มงวด กำชับอย่าให้มีการใช้กระบวนการ NRM ฟอกขาว อ้างตัวเป็นเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมดำเนินคดี และได้สั่่งการแนวทางและมาตรการในการขับเคลื่อน ศคตม.ตร. ในห้วงถัดไป ย้ำว่าหัวใจอยู่ที่การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะมาตรการ 7 ขั้นตอน ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ทุกหน่วยต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด

ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568

(8 พ.ค.68) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยมี พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การรับรอง ณ สนามฝึกยิงอาวุธ เขาลำปี - ท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา

การฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX) ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติจริงของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อทดสอบความพร้อมขององค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ทดสอบความพร้อมและขีดความสามารถในการฝึกยิงอาวุธประจำหน่วย ในการป้องกันฝั่งและการป้องกันภัยทางอากาศ ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำที่ รวมถึง เป็นการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธีด้วยปืนใหญ่รักษาฝั่ง ปืนต่อสู้อากาศยาน และ อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S สนับสนุนด้วยการตรวจการณ์จากอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และการตรวจการทางเรือ ตลอดจนทดสอบขีดความสามารถในการติดตามภาพสถานการณ์ของหน่วยควบคุมบังคับ รวมถึงความพร้อมในการเตรียมการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK - 3 สำหรับการโจมตีเป้าหมายทางอากาศ  ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ โดยจำลองสถานการณ์ฝึก เป็นการรับมือ ป้องกัน และโจมตี ฝ่ายข้าศึกที่เข้ามารุกล้ำอธิปไตยของชาติทางทะเล และน่านฟ้า ผลการฝึกยิงอาวุธ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  

สำหรับยุทโธปกรณ์ที่นำมาใช้ในการฝึกยิงทางยุทธวิธีนี้ประกอบด้วย ปืนใหญ่กลางกระสุนวิธีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร ปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/70 มิลลิเมตร  อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S โดยทำการยิงจากรถ จำนวน 2 ลูก จากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ATMG จากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

ในส่วนของอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S เป็นอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ มีหลักการจับเป้าหมายโดยอาศัยการตรวจจับ และรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของตัวอากาศยาน อาวุธจะล็อคเป้าหมาย และพร้อมให้พลยิงปล่อยตัวจรวดออกมา เพื่อติดตามทำลายเป้าหมาย และเมื่อจรวดแล่นออกจากท่อยิง การทำงานจะเป็นไปในลักษณะ Fire and Forget  โดยเป้าที่ใช้ในการยิงอาวุธครั้งนี้เป็นเป้าฝึก Drone แบบปีกนิ่ง ที่พัฒนาโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ

ด้าน อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK-3   เป็นระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลาง-ไกล ที่สามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศทั้งกลางวัน และกลางคืน ถูกออกแบบมาให้สกัดกั้นเครื่องบินรบ, เครื่องบินปีกตรึง, อากาศยานปีกหมุน รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ, อากาศยานไร้คนขับ, จรวดร่อน, ขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ รวมไปถึงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น สามารถทำงานเป็นระบบ Stand alone เข้าประจำการในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง  

ทั้งนึ้การฝึกกองทัพเรือประจำปี ถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ โดยใช้แนวความคิดในการฝึกว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกป้องกันประเทศโดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤตไปถึงขั้นป้องกันประเทศซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการหลักนิยมไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภทโดยส่วนต่างๆของกองทัพเรือทั้งในกองอำนวยการฝึกและหน่วยรับการฝึกทุกหน่วยได้มีการเตรียมการ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถโดยนำวัตถุประสงค์การฝึกและหัวข้อการทดสอบที่กองทัพเรือกำหนดไปกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ ตามภารกิจของหน่วยและนำไปทดสอบในการฝึกปัญหาที่บังคับการ (CPX) และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายคำสั่งและวัตถุประสงค์การฝึกที่ได้กำหนดไว้ โดยผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการฝึกในครั้งนี้ นอกจากกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกจากหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ จะได้ใช้ยุทธวิธีหลักนิยมในการรบร่วม และทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือให้เป็นไปตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญเพิ่มขึ้นจากการฝึกจริงแล้ว ยังทำให้กองทัพเรือได้รับทราบถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกำลังพลในปัจจุบัน รวมทั้งการปฏิบัติการร่วมกันกับหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถสำหรับการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะในการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ปี 68 เพื่อรำลึกและสดุดี มิสฟลอเรนช์ ไนติงเกล สุภาพสตรี แห่งดวงประทีป ผู้ก่อกำเนิดวิชาชีพพยาบาล 

(8 พ.ค.68) พลเรือตรีพัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นประธานเปิดการจัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมคลองไผ่ หอประชุม รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดย นาวาเอกหญิง อรัญญา เชยดี รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล รพ. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ และในนามคณะกรรมการจัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ประจำปี 2568 นำคณะฝ่ายการพยาบาลและข้าราชการพยาบาลฯ ร่วมให้การต้อนรับ โดยมีรองผู้อำนวยการ รพ.ฯ พลเรือตรีหญิง อำไพวัลย์ สวยสม และนาวาเอกหญิง เรืองรอง วิยาภรณ์ อดีตข้าราชการพยาบาล รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ ร่วมในพิธี 

นาวาเอกหญิง อรัญญา เชยดี กล่าวรายงานถึงความเป็นมาว่า ตามที่ สภาพยาบาลระหว่างประเทศ ได้กำหนดให้ วันที่ 12 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันพยาบาลสากล และเป็นวันเกิดของ มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ผู้ก่อกำเนิดวิชาชีพการพยาบาล และเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ตั้งใจบำเพ็ญ สาธารณประโยชน์ เพื่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง จนได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ฝ่ายการพยาบาลฯ จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อรำลึกและสดุดีคุณงามความดี อีกทั้งเพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติและยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีของพยาบาล ภายใต้คำขวัญวันพยาบาลสากล ปี 2568 ที่ว่า "พยาบาลคืออนาคต ใส่ใจพยาบาล พัฒนาสุขภาพสู่เศรษฐกิจ" หรือ "Our Nurses. Our Future. Care for nurses strengthens economies" ขึ้น ในวันนี้ 8 พ.ค.68 รวมทั้งมอบโล่รางวัลและช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับพยาบาล ผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณต่างๆ สร้างชื่อเสียงให้กับองค์กรพยาบาล และโรงพยาบาลฯ ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน 

พล.ร.ต.พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ กล่าวว่า ตามที่ สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ประกาศเป้าหมายรณรงค์ "พยาบาลคืออนาคต ใส่ใจพยาบาล พัฒนาสุขภาพสู่เศรษฐกิจ" ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของพยาบาล ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ 

ในทุกๆ วัน พยาบาล เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพของประชาชน ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่รักษาโรค แต่ยังมีส่วนในการสนับสนุนให้ชุมชนมีสุขภาวะที่ดี ตลอดจนเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ความใส่ใจต่อพยาบาลนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบัน ที่พยาบาลต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการแพทย์และสาธารณสุข การสนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพยาบาล จึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากพวกเขาคือ บุคลากรที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างอนาคตและระบบสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลที่มีความสุขและมีสุขภาพที่ดี จะสามารถให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้แล้ว ยังได้จัดประชุมวิชาการ เรื่อง กฎหมายและจริยธรรมทางการพยาบาล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายและจริยธรรม ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของพยาบาล รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจในการปฏิบัติงานตามหลักจริยธรรมทางการพยาบาล เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในระบบสุขภาพ ให้มีประสิทธิภาพ

โดยได้รับเกียรติจาก วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านกฎหมายและ จริยธรรมด้านการพยาบาล มาร่วมแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและจริยธรรม ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top