Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

ส่อง 10 อันดับประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงสุดในโลก

(13 ม.ค. 68) อย่างที่เราทราบกันดีว่า ไทยเป็นประเทศ ที่มีรายได้ปานกลาง และพยายามจะก้าวข้ามกับดักนี้ ขึ้นมาเป็นประเทศรายได้สูงได้ แต่จากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ น่าจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี

ขณะที่ ประเทศร่ำรวยที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวสูงสุดในโลก 10 อันดับแรกในปัจจุบัน มีประเทศใดบ้าง ไปตามดูกันเลย

สันนิฐานพลุปีใหม่จุดชนวนไฟป่าเผาแอลเอ เจอลมแรงยิ่งโหมไฟลาม คร่าแล้ว 24 ราย

(13 ม.ค. 68) สถานการณ์ไฟป่าในนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พบยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุไฟป่าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 24 รายแล้ว โดย16 ศพถูกพบในไฟป่า อีตัน และอีก 8 คนในพื้นที่พาลิเสดส์ โดยยังมีผู้สูญหายอย่างน้อย 16 คน

สำหรับความเสียหายล่าสุดไฟป่าที่ใหญ่ที่สุดคือพาลิเสดส์ ซึ่งได้เผาผลาญพื้นที่กว่า58,000 ไร่ และควบคุมได้ 11% แล้ว ส่วนไฟป่าอีตัน ซึ่งเป็นไฟป่าที่ใหญ่เป็นอันดับ 2ได้เผาผลาญพื้นที่กว่า 35,400 ไร่ และควบคุมได้ 27% ส่วนไฟป่าเฮิร์ส ขยายตัวเป็นกว่า 2,000 ไร่ และเกือบจะควบคุมได้ทั้งหมด

หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยารัฐแคลิฟอร์เนียได้ออกคำเตือนว่า หลังจากสุดสัปดาห์ที่ลมค่อนข้างสงบ จนการดับเพลิงมีความคืบหน้ามากขึ้น ลมซานตาอานา ซึ่งเป็นลมร้อนและแห้งจากพื้นที่ทะเลทรายของแคลิฟอร์เนียจะพัดเข้าพื้นที่อีกครั้งตั้งแต่คืนวันอาทิตย์จนถึงวันพุธ โดยลมอาจมีความเร็วสูงสุดถึง96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะเป็นปัจจัยยิ่งโหมให้เพลิงทวีความรุนแรงมากขึ้นแม้ทีมดับเพลิงจะสามารถควบคุมไฟขนาดใหญ่ได้บางส่วน แต่เจ้าหน้าที่เตือนว่าลมที่กำลังมาอาจสร้างสภาวะลมที่อันตรายถึงขั้นวิกฤตทำให้ทั้งเขตลอสแอนเจลิสอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อไฟป่า

ขณะเดียวกันมีรายงานจาก  Washington Post ที่สันนิฐานว่า สาเหตุมหาภัยไฟไหม้ป่าในลอสแองเจลิส คาดว่าเกิดจากการลุกไหม้ของไฟที่เหลือจากไฟไหม้ครั้งก่อน ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากดอกไม้ไฟในวันปีใหม่ 

โดยจากการวิเคราะห์ของภาพถ่ายดาวเทียม วิทยุสื่อสาร วิดีโอ และการสัมภาษณ์ชาวบ้านในท้องถิ่นเชื่อว่า ไฟป่าพาลิเสดส์ เริ่มต้นในพื้นที่เดียวกับที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเคยดับไฟครั้งก่อน โดยในการรับมือกับไฟครั้งที่สองเจ้าหน้าที่ดับเพลิงตอบสนองช้า ประกอบกับกระแสลมที่โหมพัดกระหน่ำทำให้ไฟลุกลามจนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง 

ไมเคิล วาเลนไทน์  ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่กล่าวว่าเขาอยู่บ้านในช่วงที่เกิดเหตุไฟไหม้ทั้งสองครั้ง และกล่าวว่าการตอบสนองของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงระหว่างทั้งสองครั้งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วานเลนไทน์กล่าว่า การตอบสนองจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเมื่อเกิดไฟป่าพาลิเสดส์ในวันอังคารนั้นช้ากว่าครั้งแรกที่เกิดไฟในวันปีใหม่

เมื่อเขากับภรรยาของเขาติดต่อกับแผนกดับเพลิงลอสแองเจลิส (LAFD) ห่างกัน 30 นาทีในวันอังคารเพื่อรายงานการเกิดไฟป่าพาลิเสดส์ วาเลนไทน์กล่าวว่าเขาต้องรอเพราะสายโทรศัพท์ขัดข้อง

ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ LAFD กำลังรับมือกับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในส่วนอื่นของเมืองและวางแผนที่จะเจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ไปยังไฟป่าพาลิเสดส์เมื่อมีโอกาส ตามรายงานจาก Washington Post ขณะเดียวกัน เฮลิคอปเตอร์ที่บรรทุกน้ำซึ่งพยายามตอบสนองในช่วงแรกไม่สามารถทำการบินได้เนื่องจากกระแสลมแรง

"ผมไม่เห็นตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเลย ไม่ว่าจะบนพื้นดินหรือในอากาศ ผมผิดหวังเพราะไฟครั้งที่สองลุกลามเร็วมากและไม่มีใครอยู่ที่นั่น" วาเลนไทน์กล่าว เขาเล่าว่าต้องใช้เวลาถึง 45 นาทีจนกว่าเขาจะเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเหนือไฟแต่ก็ไม่สามารถดับไฟได้เพราะไม่มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ๆ

พื้นที่ลอสแองเจลิสได้รับคำเตือนเกี่ยวกับลมแรงและภัยแล้งในช่วงก่อนเกิดไฟป่า ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยหนุนในการทำให้จุดความร้อนใหม่ๆ ปะทุขึ้น

เรารู้ว่าไฟสามารถกลับมาประทุได้และเปลี่ยนจากการคุกรุ่นเป็นการลุกลาม มันเป็นไปได้มากที่บางอย่างจากไฟครั้งก่อนจะกลับมาลุกใหม่และก่อให้เกิดไฟ" ไมเคิล กอลเนอร์ ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลและนักวิทยาศาสตร์ไฟจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กลีย์ กล่าว

วอชิงตันโพสต์ยังเผยภาพถ่ายดาวเทียมที่ถูกถ่ายขึ้นประมาณ 20 นาทีหลังจากไฟป่าพาลิเสดส์ปะทุขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นภาพของควันที่ทับซ้อนกันกับรอยไฟไหม้เดิมในช่วงวันปีใหม่ที่เทมส์คาล ริดจ์ในเทือกเขาซานตาโมนิกา ซึ่งเป็นพื้นที่มีการแสดงพลุในคืนวันส่งท้ายปีเก่า

ไฟที่เกิดขึ้นในช่วงวันปีใหม่ได้ลุกลามเผาผลาญพื้นที่ราว 4 เอเคอร์อย่างช้าๆ แม้แทบจะไร้ลมพัด แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการควบคุม

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าเหตุไฟไหม้ป่าพาลิเสดส์ที่เกิดขึ้นในครั้งที่สองนั้น เกิดจากไฟไหม้ป่าที่มาจากพลุในคืนส่งท้ายปีเก่าหรือไม่ ทั้งเจ้าหน้าที่สืบสวนของรัฐและของรัฐบาลกลางได้ค้นหาต้นตอของไฟไหม้ป่าครั้งที่ 2 เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับสาเหตุถึงต้นเพลิงต่อไป

โฆษกรัฐบาลจีนปัดข่าวลือไวรัสปริศนา ยืนยันนักเดินทางมาเที่ยวยังปลอดภัย

(13 ม.ค. 68) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่าขนาดและระดับความรุนแรงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจโดยรวมในจีนนั้นต่ำกว่าปีที่แล้ว และฝ่ายจีนจะเดินหน้าดำเนินการตามจำเป็นเพื่อรับรองความสะดวกสบายและความปลอดภัยสำหรับนักเดินทางจีนและนักเดินทางต่างชาติในจีน

เมื่อไม่นานนี้ หลายฝ่ายให้ความสนใจอย่างมากต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (HMPV) ในจีน โดยนักเดินทางบางส่วนกังวลถึงความปลอดภัยในการเดินทางไปจีน และยังมีคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับ “ไวรัสปริศนาในจีน” แพร่อยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต

กัวเจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ออกมาปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าวในการแถลงข่าวประจำวัน โดยระบุว่าหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่กล่าวว่าเอชเอ็มพีวีไม่ใช่ไวรัสชนิดใหม่ แต่มีการแพร่ระบาดในมนุษย์มานานอย่างน้อย 60 ปีแล้ว และเป็นไวรัสทั่วไปที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน

กัวเผยว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเอชเอ็มพีวีนั้นสามารถหายได้เอง การเรียกไวรัสทั่วไปชนิดนี้ว่าเป็นไวรัสปริศนาจึงขัดกับหลักวิทยาศาสตร์พื้นฐานและเป็นการปลุกปั่นความกลัว

รัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนจีนและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจีน หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่และหน่วยงานด้านเทคนิคของจีนได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันต่างๆ และเผยแพร่ผลการเฝ้าระวังแล้ว

กัวเผยว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมโรคของจีนแจ้งให้สาธารณชนทราบหลายครั้งแล้วว่าควรใช้มาตรการป้องกันตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างไร นอกจากนี้ จีนและองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจอย่างทันท่วงที

จากคอลเซ็นเตอร์ ฟอเร็กซ์ 3d ดิไอคอน จนถึง “คนตื่นธรรม” ที่ทำคนไทยไม่น้อยหลับต่อความจริงสนิท จนยากที่จะฟื้นตื่น

(14 ม.ค. 68) ว่ากันว่า “คนที่มีนิสัยย้อนแย้ง” นำมาซึ่งหายนะต่อคน ๆ นั้นนับครั้งไม่ถ้วน คนเราถ้าขาดซึ่ง “ความชัดเจน” บนฐานรากของความถูกต้อง ก็จะเผยให้เห็นความคิด และการกระทำที่ผิดเพี้ยนตามมาในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้จะเปลือยภาพความไม่มั่นคง, ไม่น่าเชื่อถือ และเป็นอันตราย จึงไม่ต่างจากความชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยต่อสังคม จุดจบของคนเหล่านี้ถ้าไม่ติดคุก ก็ตายทั้งเป็นด้วยชื่อเสียงที่เน่าเหม็นยากจะมีใครกล้าเข้ามาคบค้าสมาคม 

เหล่ามิจฉาชีพ นักต้มตุ๋น นักลวงหลอกผู้คน มักมีคุณสมบัติคือ “ความย้อนแย้ง” เป็นส่วนประกอบหลัก ย้อนแย้งในคำพูด ย้อนแย้งในการกระทำ พูดจากลับไปกลับมา กลิ้งกลอกหลอกล่อผู้คนไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหวังทรัพย์สิน เงินทอง ความนับถือ โดยปราศจาก “แก่นแท้ทางธรรม” ให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสใด ๆ  

แต่ที่ยังคงลวงหลอกผู้คนให้ไป “ติดกับดัก” ได้มากมาย สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความรู้สึกชนิดที่ยากจะประเมินได้นั่นก็เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเรียนรู้อดีต ไม่ลงลึกเพื่อจดจำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือ “ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต” แต่ละวันโหยหาแต่ “สิ่งที่ถูกใจ” มากกว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็เลยกลายเป็น “เหยื่อคนคดโกง” ที่แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “ลีลาโจร” มา “ต้มตุ๋น” ซ้ำใหม่ได้ง่าย ๆ 

เพียงแต่ “คนมีบุญขนานแท้” เกาะติดกายใจไปทุกชั่วขณะก็จะ “อ่านโจร” ออก จึงรอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ ซึ่งยังโชคดีที่ว่ายังเป็น “คยไทยส่วนใหญ่” ของประเทศ แต่ใครที่คล้ายเป็น “คนไร้บุญไร้กุศล” ก็จะมืดบอดด้วยปัญญา ต่อให้ “โจรโง่แสนโง่” สักเท่าไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทางโจรวันยังค่ำ 

การที่สังคมไทยเกิด “อาชีพนักต้มตุ๋น” มากเป็นดอกเห็ด คงจะโทษใครไม่ได้ ต้องกลับไปที่เรื่องของ “ความละเอียดในการใช้ชีวิต” เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพศ การศึกษา หรือนามสกุลจะใหญ่โตหรือต่ำเตี้ยสักเพียงไหน เพราะถ้าโง่ ก็รอดยาก 

คนไม่โง่ หรือโง่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในระยะยาว 

คนที่ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือหลงแสดงความชื่นชม “นักต้มตุ๋น” คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็น “ผู้ตื่นธรรม” โดยแท้จริง 

ทิ้งไว้ให้คิด ปริศนาธรรมจากคนที่ตื่นต่อความจริง 

สอน. หวังทุบสถิติรับอ้อยสด 90% สูงสุดในประวัติศาสตร์ ชี้!! หาก รง.น้ำตาล งดรับอ้อยเผาจะช่วยคุมฝุ่น PM 2.5 ถาวร

(13 ม.ค. 68) นายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (ลอน.) เปิดเผยสถิติการรับอ้อยเผารายวันของโรงงานน้ำตาล 58 แห่งทั่วประเทศ ณ วันที่ 11 มกราคม 2568 พบว่า โรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่ให้ ความร่วมมือในการรับอ้อยเผาน้อยกว่า 10% จำนวน 22 แห่ง โรงงานน้ำตาลรับอ้อยเผาเกิน 10-25% จำนวน 32 แห่ง และยังมีโรงงานน้ำตาลที่ไม่ให้ความร่วมมือ ที่ยังคงรับอ้อยเผาเกิน 25% จำนวน 4 แห่ง เฉลี่ยการรับอ้อยเผารายวันทั่วประเทศ คิดเป็น 14.89% ของปริมาณการรับอ้อยเข้าหีบทั้งหมด

โดยภาพรวมเฉลี่ยโรงงานน้ำตาลรับอ้อยเผาสะสมตั้งแต่เปิดหีบอ้อยจนถึงปัจจุบันคิดเป็น 19.57% ซึ่งสะท้อนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือร่วมกับโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศงดรับอ้อยเผาเข้าหีบในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2568 จวบจนถึงวันเด็กแห่งชาตินี้ มีประสิทธิผลและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยตัวเลขสถิติรับอ้อยเผาเข้าหีบในปัจจุบันที่ลดต่ำลงกว่า 20% ส่งผลให้ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index หรือ AQI) ในหลายพื้นที่ดีขึ้นตามลำดับ 

นายใบน้อยฯ กล่าวว่า แม้ว่าปริมาณการรับอ้อยเผาเข้าหีบจะลดลงทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น แต่ยังพบว่า มีโรงงานน้ำตาลใน จ.อุดรธานี และพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ให้ความร่วมมือ และยังคงมีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสูงเกิน 25% มาตั้งแต่วันเปิดหีบ ทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมยังไม่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สอน. จึงย้ำมายังผู้บริหารและเจ้าของโรงงานน้ำตาลใน จ.อุดรธานีและพื้นที่ใกล้เคียง ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างจริงจัง เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชนให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างปลอดภัย ตลอดจนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ รวมถึงภาคการผลิตภายในประเทศให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงักจากสภาวะฝุ่นพิษเกินเกณฑ์มาตรฐาน

นายใบน้อยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของ สอน. พบว่า ถ้าโรงงานน้ำตาลรับอ้อยสดเข้าหีบได้กว่า 90% หรือสามารถลดการรับอ้อยเผาเฉลี่ยทั่วประเทศให้ไม่เกิน 10% ของปริมาณการรับอ้อยเข้าหีบทั้งหมดตลอดฤดูการผลิต 2567/68 จะทำให้สามารถลดการเผาอ้อยจากฤดูกาลผลิตที่แล้วลงได้กว่า 22 ล้านตัน หรือเทียบเท่าลดการเผาป่ากว่า 2.2 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังลดการปลดปล่อย PM2.5 ได้อีกกว่า 5,500 ตัน เมื่อเทียบปีก่อน ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพอากาศทั่วประเทศดีขึ้นเป็นอย่างมาก

ดังนั้น ในฤดูการผลิตปี 2567/68 หากโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศให้ความร่วมมือในการรักษาระดับการรับอ้อยเผาเข้าหีบให้ไม่เกิน 10% ซึ่งเทียบเท่ากับการเผาไร่อ้อยไม่เกิน 10,000 ไร่ต่อวัน จะส่งผลให้ค่า AQI ของอากาศในภาคกลางภาคตะวันออกภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกรุงเทพมหานคร อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ไม่ส่งกระทบกับสุขภาพคนไทย ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ในช่วงฤดูหีบอ้อย 4 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคมของทุกปีได้อย่างแท้จริง และจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศบริสุทธิ์ อย่างที่ควรจะเป็น

“พวกเรา อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลจะร่วมกัน คืน “ฟ้าใส ไร้ฝุ่น PM 2.5” ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ ยกระดับศักยภาพการผลิตสู่การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายตลอดห่วงโซ่อุปทานให้สอดรับกับกติกาสากล ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ได้อย่างยั่งยืน” นายใบน้อยฯ กล่าวทิ้งท้าย

หลายพื้นที่อุณหภูมิเลขตัวเดียว น้ำค้างแข็งโผล่ทั่วแขวงหัวพันและเชียงขวาง

(13 ม.ค. 68) สภาพอากาศหนาวเย็นที่ประเทศไทยกำลังเผชิญในช่วงนี้ ยังส่งผลกระทบถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ซึ่งกำลังประสบกับอากาศหนาวจัดในรอบหลายปีเช่นกัน โดยในหลายพื้นที่ของลาว อุณหภูมิลดลงจนเหลือเพียงเลขตัวเดียว

เพจข่าว ກະເເສຂ່າວ (กระแสข่าว) รายงานสภาพอากาศประจำวันที่ 13 มกราคม ระบุว่า แขวงหัวพันมีอุณหภูมิต่ำสุดเพียง 3 องศา ขณะที่แขวงหลวงน้ำทา แขวงหลวงพระบาง และแขวงบอลิคำไซ มีอุณหภูมิอยู่ที่ 8 องศา ส่วนแขวงสะหวันนะเขดวัดได้ 11 องศา และแขวงอัตตาปืออยู่ที่ 12 องศา ส่วนนครหลวงเวียงจันทน์อุณหภูมิลดลงเหลือ 10 องศา

ในแขวงเชียงขวาง เพจข่าวท้องถิ่นรายงานว่า คืนวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา อุณหภูมิลดต่ำสุดถึง 2 องศา ส่งผลให้ชาวบ้านต้องนำผ้าห่มมาคลุมวัวควายเพื่อช่วยคลายความหนาว

ขณะเดียวกัน เพจ TARGET Magazine รายงานว่าที่ซำเหนือ เมืองเอกของแขวงหัวพัน น้ำค้างแข็งได้ปกคลุมทุ่งหญ้าเป็นบริเวณกว้าง

นอกจากผลกระทบต่อคนและสัตว์เลี้ยงแล้ว อากาศเย็นจัดยังสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเกษตรกรในแขวงจำปาสัก เพจ ຂ່າວເສດຖະກິດ-ການຄ້າ Lao Economic Daily ระบุว่าสวนกาแฟของเกษตรกรในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ต้นกาแฟนับพันต้นแห้งตายจากสภาพอากาศหนาวเย็น

OPPO-Realme ยอมรับไม่ได้ขออนุญาต ธปท. ปมติดตั้ง “แอปเงินกู้” อ้างเพิ่มความสะดวกระบบแตะจ่ายอัตโนมัติ

OPPO-Realme เผย “แอปเงินกู้” ถูกติดตั้งในเครื่องตั้งแต่โรงงาน เพิ่มความสะดวกในการใช้งานระบบแตะจ่ายอัตโนมัติ (NFC) ไม่ได้ขออนุญาต ธปท.

(13 ม.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดย นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เชิญ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ OPPO และ บริษัท โปรทา จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Realme เข้าชี้แจงปมแอปเงินกู้ที่ในตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ ซึ่งโดยมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Office of the Personal Data Protection Commission – PDPC) และตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เข้าร่วมรับฟัง

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยภายหลังการหารือกับ OPPO และ Realme ว่า วันนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาด้วย ได้แก่ กสทช.ตรวจอุปกรณ์โทรศัพท์ว่าคลื่นความถี่ที่แพร่สัญญาออกมาจากตัวเครื่องเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และกำลังไฟในเครื่องปลอดภัยต่อประชาชนหรือไม่ ในส่วนของแอปพลิเคชัน กำลังพูดคุยกับ สคส. และ สกมช. ว่ามาตรฐานของการใช้แอปฯ ใครควรจะเป็นผู้ดูแล ซึ่งในวันนี้ได้ข้อมูลไปเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปฯ Fineasy ซึ่งทางคณะกรรมการสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคส่วนบุคคลได้ขอให้ OPPO และ Realme ส่งข้อมูลภายในวันที่ 16 ม.ค.68 ว่าข้อมูลที่ได้ไปมีทั้งหมดเท่าใด และนำไปใช้อย่างไรบ้าง และ OPPO และ Realme ยืนยันว่าในโทรศัพท์รุ่นถัดไปจะไม่มีการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวแล้ว

มาตรการระยะเร่งด่วนที่ทำได้ทันที เครื่องใหม่ที่จำหน่ายในท้องตลาด ถ้ามีแอปฯ Fineasy หรือสินเชื่อมีสุข จะงดจำหน่ายทั้งหมด ถ้าพบว่ายังมีการจำหน่าย เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์จะที่จะแจ้งให้ลบทิ้ง ถือว่าเป็นการเก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยผิดวัตถุประสงค์โทรศัพท์มือถือ เพราะโทรศัพท์มือถือไม่มีมีวัตถุประสงค์กู้เงินหรืออะไรต่างๆ และสามารถร้องเรียนมาที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีโทษปรับทางปกครองไม่เกิน 3 ล้านบาท

สำหรับการเรียกชี้แจงข้อมูลภายในวันที่ 16 มกราคม 2568 นั้น สืบเนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในการจำหน่ายโทรศัพท์อาจจะมีข้อบกพร่อง คือ

1. ในการจำหน่ายโทรศัพท์ถือว่าเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า ดังนั้นหน้าที่แรกจะต้องขอความยินยอมในการที่จะดูรายละเอียดในโทรศัพท์ให้ลูกค้าทราบ ทาง กสทช.จึงแจ้งให้ OPPO-Realme ได้ชี้แจงว่าที่ผ่านมาได้ทำหรือไม่ อย่างไร

2. เมื่อลูกค้านำโทรศัพท์ไปใช้แล้ว เห็นว่ามีแอปพลิเคชันหรืออะไรที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ก็มีสิทธิ์ที่จะแจ้งให้ลบหรือทำลายได้ ในประเด็นนี้ในการประชุมได้ข้อสรุปว่าทาง OPPO-Realme จะจัดทำช่องทางที่ให้ลูกค้าใช้สิทธิ์เข้ามาได้เลย โดยกำหนดระยะเวลาไว้ไม่เกิน 1 เดือน ทาง กสทช. เห็นว่านานเกินไป จึงให้บริษัททั้งสองกลับไปทบทวนว่าสามารถดำเนินการได้เมื่อใด

3. เครื่องยังไม่ได้จำหน่ายแต่มีแอปฯนี้ติดตั้งแล้ว ทาง กสทช.แจ้งให้ทั้งสองบริษัททราบแล้วว่าถ้าจำหน่ายไปถือว่าผิดวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูล ซึ่งเจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ที่จะแจ้งให้ลบ ซึ่งทางด้านทั้งสองบริษัทแจ้งว่าจะไม่มีการจำหน่าย เพราะหากมีการจำหน่ายจะไม่สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ไม่แน่ใจว่าการเก็บรวบรวมใช้หรือเปิดเผยข้อมูลผ่านแอปฯ ที่ดำเนินการไปแล้ว เกิดความเสี่ยงหรือผลกระทบอะไรบ้าง ให้ทั้งสองบริษัทรายงานข้อมูลโดยละเอียดทั้ง 2 แอปฯ

เมื่อทั้งสองบริษัทมีการรายงานข้อมูลมาแล้ว สำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะตรวจสอบ ถ้ามีประเด็นที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หากสามารถแก้ไขเยียวยาได้ จะแจ้งให้ดำเนินการทันที แต่ถ้าเป็นความผิดและมีความเสียหาย มีผู้ร้องเรียน จะรายงานต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะพิจารณาโทษทางปกครองต่อไป

ด้านตัวแทนทั้งสองบริษัท กล่าวว่า แอปพลิเคชัน Fineasy ถูกติดตั้งมาในเครื่องตั้งแต่โรงงานก่อนผ่านการอนุมัติมาตรฐานมือถือจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานระบบแตะจ่ายอัตโนมัติ (NFC) และช่วยยกระดับการใช้งานของมือถือ ให้สามารถรองรับฟังก์ชันนี้ได้ดียิ่งขึ้น คล้ายกับแอปพลิเคชัน True Wallet โดยยอมรับว่าไม่ได้ขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำหรับการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าว อย่างไรก็ตามบริษัทต้องการตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง

เปิดแผนลับเพนตากอน แม้ทรัมป์พลาดซื้อกรีนแลนด์ แต่เล็งส่งยามฝั่งคุม หวังปิดทางรัสเซียสู่อาร์กติก

(13 ม.ค. 68) การที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ สร้างความตะลึงไปทั่วโลกด้วยการป่าวประกาศว่าจะซื้อดินแดนกรีนแลนด์จากเดนมาร์กนั้น หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง แนวคิดของทรัมป์แทบไม่ได้ต่างอะไรกับกลยุทธ์ของผู้นำสหรัฐคนก่อนหน้านี้ที่ให้ความสนใจในดินแดนกรีนแลนด์อยู่แล้ว

อิรินา สเตรลนิโควา นักวิเคราะห์ด้านการต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งมอสโก กล่าวกับ Sputnik ตามแนวทางกลยุทธ์อาร์กติกที่เพนตากอนเผยแพร่กลางปี 2024 ระบุถึงบทบาทสำคัญของกรีนแลนด์ในแผนการของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ โดยการออกมาประกาศความสนใจซื้อดินแดนของทรัมป์ต่างเพียงบางจุดจากแผนการของเพนตากอนเพียงเท่านั้น

“กลยุทธ์ใหม่นี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการขยายศักยภาพของสหรัฐฯ สำหรับการดำเนินการในเขตอาร์กติก โดยเฉพาะด้านการสื่อสาร การข่าว การสอดแนม และความร่วมมือกับพันธมิตรและหุ้นส่วน” เธอกล่าว  

สำหรับแผนของทรัมป์นั้น “ถ้าพิจารณาว่าแผนนี้เป็นอะไรที่ใหม่หรือไม่คาดคิด คำตอบคือไม่ นี่เป็นเพียงวิธีการแสดงออกที่มีเอกลักษณ์ในแแบบเฉพาะตัวของทรัมป์เท่านั้น” สเตรลนิโควาอธิบาย  
 
นักเคราะห์จากมอสโกยังกล่าวว่า เหตุผลหลักเนื่องจากกรีนแลนด์เป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ซึ่งเป็นไปตามที่ระบุในแผนกลยุทธ์แอตแลนติกเหนือที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเผยแพร่เมื่อช่วงกลางปี 2024 โดยเพนตากอนมีแผนจะปรับปรุงยกระดับฐานทัพ Thule Air Base อย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม รัสเซียรับรู้ถึงแผนของสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนที่ทรัมป์จะมีบทบาท ซึ่งมอสโกได้เตรียมมาตรการเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว

สเตรลนิโควาเชื่อว่าทรัมป์ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในการซื้อกรีนแลนด์ แต่หากสำเร็จ สิ่งที่รัสเซียต้องกังวลอย่างยิ่งคือการลาดตระเวนของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ในพื้นที่ใกล้เคียงกรีนแลนด์ซึ่งจะทวีความถี่บ่อยขึ้น

“การส่งกำลังของสหรัฐฯ เพิ่มเติมในกรีนแลนด์จะลดศักยภาพการปฏิบัติการของกองเรือเหนือของรัสเซีย (Northern Fleet) และทำให้ฐานทัพเรือในเขตอาร์กติกของรัสเซียมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่เราพร้อมรับมือ อย่างไรก็ตามที่สำคัญคือ จะไม่มีใครยอมขายกรีนแลนด์” เธอกล่าว  

สเตรลนิโควาชี้ว่า “หากสหรัฐไม่สามารถซื้อกรีนแลนด์ได้สำเร็จ สหรัฐจะใช่วิธีการส่งหน่วยยามฝั่ง (United States Coast Guard) เข้ามาลาดตระเวนในพื้นที่่แทน ซึ่งการกระทำนี้จะเป็นตัวกระตุ้นความตึงเครียดหลัก เพราะจากประสบการณ์และการกระทำของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้และเอเชียตะวันออก หน่วยยามฝั่งเป็นเครื่องมือกดดันที่ถูกใช้งานบ่อยกว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ และมีความก้าวร้าวในการสร้าง ‘พื้นที่สีเทาทางทะเล’ มากกว่า เนื่องจากมีต่อการเผชิญหน้าน้อยกว่า 

หน้าที่หลักของรัสเซียคือป้องกันไม่ให้หน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความตึงเครียดหลัก เข้าใกล้กรีนแลนด์ 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ จะมีศักยภาพในการเข้ามาในพื้นที่อาร์กติกได้เมื่อใด เนื่องจากโครงการต่อเรือตัดน้ำแข็งของหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ นั้นประสบปัญหาล่าช้ามาตลอด จึงทำให้หน่วยยามฝั่งฯ ยังไม่มีเรือที่พร้อมจะเข้ามายังพื้นที่ตอนในของกรีนแลนด์ได้

‘รองนายกประเสริฐ’ สั่งการ ‘สคส.’ ตรวจสอบสมาร์ทโฟนยี่ห้อดัง ผัง ‘แอปเงินกู้’ ในมือมือถือ - ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ พร้อมเรียกตัวแทนบริษัทมือถือชี้แจง ‘13 ม.ค.’ นี้ทันที 

(12 ม.ค. 68) นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวสมาร์ทโฟน OPPO และ REALME ได้ติดตั้งแอพพลิเคชันเงินกู้ ‘สินเชื่อความสุข’ และ ‘Fineasy’ มาในระบบ System App โดยไม่สามารถลบออกได้แล้วยังเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ว่า กรณีนี้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งการให้ สคส.เร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว อีกทั้งตนยังได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ประสานงานกับ สกมช.และ กสทช. เพื่อแจ้งผู้แทนบริษัทมือถือและแอปดังกล่าวตรวจสอบและเข้าชี้แจงกรณีดังกล่าวโดยทันที ในวันที่ 13 มกราคม2568 ณ กสทช. เนื่องจากอาจเป็นการเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้โดยมิได้รับความยินยอมและอาจสร้างความเสียหายได้ เพื่อพิจารณาถึงมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของประชาชนเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัดต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากมีประชาชนเจ้าของข้อมูลได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าว สามารถใช้สิทธิร้องเรียนมายัง PDPC ผ่านทางเว็บไซต์ pdpc.or.th หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน สคส. โทร. 02-1118800 กด 2

14 มกราคม พ.ศ. 2430 รัชกาลที่ 5 สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามบรมราชกุมาร

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 7 แรม 12 ค่ำ ปีขาล สัมฤทธิศก จ.ศ. 1240 ตรงกับวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2421

พระองค์ทรงมีพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดา ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จเจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา, สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จเจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาคือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกในรัชกาลที่ 9)

ภายหลังการเสด็จทิวงคตของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เมื่อพ.ศ. 2428 ไม่มีการสถาปนาผู้ใดขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลอีก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลไม่เหมาะสมกับกาลสมัย และอาจทำให้ชาวต่างประเทศเข้าใจสับสน

และมีพระราชดำริว่า พระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งเรียกว่า “สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า” ที่ตั้งขึ้นไว้ตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เป็นตำแหน่งสอดคล้องตามแบบอย่างการสืบสันตติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ในนานาอารยประเทศที่มีราชประเพณี แต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นมกุฎราชกุมารดำรงตำแหน่งรัชทายาท

ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาพิไชยมงคลลงสรงสนานเฉลิมพระปรมาภิไธยสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2429 ( นับตามปีปฏิทินปัจจุบัน พ.ศ. 2430)

มีพระนามตามจารึกสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ อดิศวรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรสมมติเทพยวรางกูร บรมมกุฎนเรนทรสูริย์ขัตติยสันตติวงศ์ อุกฤษฐพงศ์วโรภโตสุชาต ธัญญลักษณวิลาสวิบุลยสวัสดิ์สิริวัฒนราชกุมาร

นับเป็นครั้งแรกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร เป็นตำแหน่งรัชทายาท แทนตำแหน่งพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ประชวรด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เสด็จสวรรคตเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 9 ค่ำ ปีมะเมียฉศก จ.ศ. 1256 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437

ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา 6 เดือน กับ 7 วัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top