Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

BYD ยอดขายทั่วโลกใน Q4/67 พุ่ง คาดปี 2025 แซง Tesla ขึ้นแท่นค่ายรถอีวีขายดีสุด

วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า บีวายดี (BYD) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในไตรมาส 4 ของปี 2024 บีวายดีแซงหน้าเทสลา (Tesla) เป็นครั้งที่สอง

(3 ม.ค.68) จากรายงานระบุว่า บีวายดี ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดของจีน ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-Electric Vehicles) จำนวน 207,734 คันในเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 4 ปี 2024 บีวายดีส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรวมประมาณ 595,000 คัน มากกว่าเทสลาที่ส่งมอบได้ 496,000 คัน แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสถิติใหม่ของเทสลา แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 507,000 คัน

สำหรับยอดขายทั้งปี 2024 บีวายดีสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้รวม 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เทสลามียอดขายรวม 1.79 ล้านคัน ลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

รายงานของ WSJ สอดคล้องกับการเปิดเผยของเทสลา ที่ได้รายงานยอดการผลิตและส่งมอบรถยนต์ในไตรมาส 4 และตลอดปี 2024 โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี เทสลาส่งมอบรถยนต์รวม 495,570 คัน และมียอดผลิตรวม 459,445 คัน ขณะที่ยอดส่งมอบทั้งปีอยู่ที่ 1,789,226 คัน และยอดผลิตรวม 1,773,443 คัน นี่เป็นครั้งแรกที่ยอดส่งมอบรถยนต์ของเทสลาลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในปี 2023 เทสลาส่งมอบรถได้ทั้งหมด 1.81 ล้านคัน

ก่อนหน้านี้ เทสลาได้เตือนนักลงทุนถึงความเป็นไปได้ที่การเติบโตอาจลดลงในปี 2024 เนื่องจากบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2024 เทสลาได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยเลิกจ้างพนักงานกว่า 10% เพื่อลดต้นทุนและเน้นการพัฒนาแท็กซี่ไร้คนขับตามคำมั่นของ อีลอน มัสก์

ในช่วงครึ่งปีหลัง มัสก์กลายเป็นที่จับตามองอีกครั้ง จากบทบาทของเขาในการสนับสนุนแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ มัสก์ใช้เงินราว 277 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนทรัมป์และผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน พร้อมร่วมลงพื้นที่หาเสียงในหลายรัฐสำคัญ

แม้ว่าเทสลาจะยังคงเป็นผู้นำในด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าหากมองจากยอดขายรวมตลอดทั้งปี แต่ช่องว่างในการแข่งขันกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว โดย บีวายดี มีศักยภาพสามารถเพิ่มยอดขายรถยนต์ได้มากกว่า 41% ในปี 2024 เมื่อเทียบเป็นรายปี และมีโอกาสสูงที่จะแซงหน้าเทสลาในปี 2025

การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่ง รวมถึงการสนับสนุนจากตลาดในประเทศจีน ซึ่งมีการแข่งขันระหว่างแบรนด์ท้องถิ่นอย่างดุเดือด และยังได้รับแรงจูงใจจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลหลายประเทศ ที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

กว่า 90% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของบีวายดี มาจากตลาดจีน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บีวายดีเหนือแบรนด์ต่างชาติอย่างโฟล์คสวาเกน และโตโยต้า

การเติบโตของบีวายดีและผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ ของจีนกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในตะวันตก ฮอนด้า และ นิสสัน ได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่ากำลังเจรจาควบรวมกิจการ เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่เข้มข้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน

กฟผ. น้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ กรมสมเด็จพระเทพฯ เตรียมจัด '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ'

(3 ม.ค.68) กฟผ. น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดทำโครงการ '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ' มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในปี 2568 ถือเป็นปีมหามงคลที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2568 กฟผ. จึงจัดทำโครงการ '70 พรรษา 7 โครงการเฉลิมพระเกียรติ' เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ดังนี้

1) โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยจัดหาและปลูกรักษาพืชหายากสมุนไพรท้องถิ่น รวมถึงเพาะขยายพันธุ์แจกจ่ายกล้าไม้และเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่น เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพรอบเขื่อนและโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 17 แห่ง 

2) โครงการแว่นแก้วเฉลิมพระเกียรติ ออกหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา ประกอบแว่นตารวม 35,000 อัน 

3) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เบอร์ 5 กำลังผลิตรวม 70 กิโลวัตต์ ให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ในพื้นที่ห่างไกล 

4) โครงการเพิ่มคุณภาพอากาศในโรงพยาบาล โดยติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ (City Tree) ภายในโรงพยาบาล 7 แห่ง เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย 

5) โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงาน โดย กฟผ. จะดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานใน 3 ระบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และระบบทำความร้อนของมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และโรงพยาบาลภายใต้มูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล รวม 3 แห่ง 

6) โครงการสนับสนุนชุดนักเรียนเบอร์ 5 ให้แก่โรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ โรงเรียน ตชด. และโรงเรียนในโครงการด้วยรักและห่วงใย จำนวนทั้งสิ้น 7,000 ชุด 

7) กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เขื่อนสิรินธร ระหว่างวันที่ 28 – 30 มีนาคม 2568 

โครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้ง 7 โครงการ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ส่งเสริมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสนองพระราชปณิธานและถวายความจงรักภักดี 'เจ้าฟ้านักพัฒนา' ของปวงชนชาวไทย

ย้อนมองกรณี ‘สส.พรรคส้ม’ ขึ้นป้ายแซะสวดมนต์ข้ามปี สะท้อนความคิดขวางโลกเต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ

ป้ายคัทเอาท์ “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” เป็นของ สส. ผู้ทรงเกียรติ หรือเพียงของ “คนบาปเบาปัญญา”??

เข้าใจได้ว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกแขนงอาชีพมักจะได้คนทำงานที่ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' เข้ามาทำงานในองค์กรเป็นจำนวนที่สูงมากกว่าสมัยก่อน ซึ่งก็รวมทั้ง 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ด้วยเช่นกันที่อาจจะได้นักการเมืองน้ำดีและห่วยชนิดที่ยากจะนึกภาพออกว่า 'คุณภาพคนเลือก' ต้องต่ำขนาดไหน ถึงได้เลือก 'สส. สมองกลวง' เช่นนี้เข้าสภามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน 

คนที่เกิดมาเป็น สส. อาสามาเป็นคนทำงานเพื่อส่วนรวม สำคัญกว่าใด ๆ คือต้องมี 'Mindset' ในการใช้ชีวิต และการทำงานที่ต้องสะท้อนให้เห็นอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่สังคมรู้สึกพึ่งพาได้ ไม่กังขา ไม่สงสัยทั้งความคิด และการกระทำ เพื่อจะได้นำสิ่งที่มีดีติดตัวอันมากมายนั้นมาพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง

แต่ทันทีที่สังคมไทยได้เห็นป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ ติดรูปนักการเมืองไทยคนหนึ่ง เป็น สส. จากพรรคการเมืองที่ถนัดแต่ 'ล้มล้างการปกครอง' และแทบจะทั้งพรรคมี 'พฤติกรรมย้อนแย้ง' เป็นอาชีพ มีข้อความว่า “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” ผู้คนในสังคมที่พอจะมีสติปัญญาก็จะสรุปได้ในทันทีว่าช่างเป็นข้อความที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่จรรโลงสังคม เต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ กระแซะคนชาวพุทธที่ศรัทธาเรื่อง 'การสวดมนต์ข้ามปี' ที่มีมาแต่โบราณ 

นอกจากสร้างความเกลียดชังต่อผู้คนที่พบเห็น ความหมายบนป้ายโฆษณายังมี 'ความย้อนแย้ง' ไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน สส. ผู้ไร้ความจริงใจต่อสังคมคนนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่เรื่องโง่ ๆ เกิดขึ้นกับนักการเมืองที่เกลียดการไหว้, ชิงชังการเคารพนอบน้อม และคิดแต่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย 

ตอกย้ำแน่ชัดอยู่สองเรื่องหลัก ๆ ว่า หนึ่งเมื่อใดที่เราได้ สส. ที่ขาดความเคารพต่อสังคมชาติ และสถาบัน ก็ยากจะเคารพต่อขนบ วัฒนธรรม เรื่องที่สองคือคนในแบบเดียวกันก็จะถูกดึงรวมอยู่ใน 'คอกบาป' เดียวกัน เวลาทำเรื่องเลวร้ายใด ๆ ก็จะไม่มีใครห้ามปราม จะปล่อยกันให้ 'ตายทั้งเป็น' คาสังคม ด้วยคนที่คิดข้อความไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ แม้เพียงคิดในใจก็น่าอับอายไปถึงกระดูกแล้ว แต่หากคิดแล้วกลับอยากให้ผู้คนรับรู้ ก็เท่ากับว่าตั้งใจ 'ประกาศสันดาน' ต่อสังคมว่าตัวเองนั้นเป็นคนประเภทใด

ถ้าตอนคิดก่อนลงมือทำ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าผลจะออกมานั้นตนเองจะดูดี จะมีผู้คนชื่นชอบ ก็ต้องพูดว่าเป็น สส. ที่โง่เง่าเป็นทวีคูณ 

ยากจะหาบทสรุปอื่นได้เลย  

สมุทรปราการ- 'พระครูแจ้' ทำบุญปีใหม่!! มอบเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ รพ.บางพลี กว่า 500,000 บาท

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง มอบของขวัญต้อนรับปีใหม่ มอบเงินกว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบาพลี เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทุกคนในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568

วันที่ (2 ม.ค.68) ที่ผ่านมา เวลา 15.00 น. ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วย ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี พร้อมทั้งสื่อมวลชน ลงพื้นที่ภายในชุมชนคลองบางพลีเยี่ยมคุณยายแดง คุณยายอายุ 100 ปี พร้อมทั้งมอบกระเช้าและเงินจำนวน 5,000 บาท ให้กับคุณยายแดงและผู้ป่วยติดเตียงที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ อีกรายละ 3,000 บาท 

นอกจากนี้ ท่านพระครูแจ้ ยังได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลบางพลี ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี สมุทรปราการ เยี่ยมผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล พร้อมทั้งถือโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568 มอบแบรนด์รังนกและเงินสดอีกคนละ 200 บาท แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างความปราบปรื้มให้แก่ผู้ป่วยและคณะแพทย์พยาบาลเป็นอย่างมาก

อีกทั้ง ท่านพระครูแจ้ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้เมตตามอบเงินเป็นของขวัญปีใหม่แก่บุคคลากรทางการแพท์และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลบางพลีทุกคน กว่า 700 คน อีกคนละ 300 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลบางพลีในช่วงเทศกาลปีใหม่ 

โดยมี นายแพทย์ประพัฒน์ ธรรมศร ผอ.โรงพยาบาลบางพลี และทีมแพทย์พยาบาลตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

‘รองนายกฯประเสริฐ’ เตรียมใช้เวที ‘ADGMIN’ ผลักดัน ‘อาเซียน’ จับมือปราม ‘ภัยออนไลน์’ ย้ำความพร้อม ‘ไทย’ เจ้าภาพประชุมใหญ่ ‘รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล’ ครั้งที่ 5 ระหว่าง 13-17 ม.ค.นี้ 

(3 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13-17 มกราคม 2568 ประเทศไทย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The 5th ADGMIN) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ และโรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร

สำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดต่อเนื่องกับการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGSOM) เพื่อเป็นเวทีสำหรับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านดิจิทัลของอาเซียน ได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่สำคัญ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาด้านดิจิทัลในอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือกับคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) รวมถึงการรับรองและรับทราบเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในกรอบอาเซียนด้านดิจิทัลในปีถัดไป

ทั้งนี้ การประชุม ADGMIN ในครั้งนี้ มีหัวข้อหลักคือ ‘Secure, Innovative, Inclusive: Shaping ASEAN's Digital Future’ หมายถึง การมุ่งเน้นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัย ตอบสนองและรับมือต่อภัยคุกคามและอาชญากรรมไซเบอร์ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่านแกนหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความมั่นคง นวัตกรรม และความครอบคลุม ที่จะเป็นเสาหลักที่จะพัฒนาอนาคตด้านดิจิทัลและนำอาเซียนไปสู่ความก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เลขาธิการอาเซียน คู่เจรจาของอาเซียน ผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศติมอร์ - เลสเต เข้าร่วมการประชุมฯ

โดยการประชุมครั้งนี้มีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ การหารือระดับรัฐมนตรีด้านดิจิทัล เพื่อแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าและการพัฒนาด้านดิจิทัล โดยเฉพาะพัฒนาการที่สอดคล้องกับหัวข้อหลักของการประชุม , การรายงานผลสำเร็จของโครงการปี 2567 ภายใต้การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (ADGSOM) และหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาม (ATRC) , การติดตามผลการดำเนินการตามแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan (ADM) 2025 , การอนุมัติงบประมาณจากกองทุน ASEAN ICT Fund สำหรับดำเนินการในปี 2568 , การรับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ อาทิ ร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) ร่างแถลงข่าวร่วมสำหรับการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (Joint Media Statement) ร่างเอกสารสำคัญที่เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านต่างๆ ของอาเซียน อาทิ ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ แผนปฏิบัติการสำหรับความเป็นส่วนตัวข้ามพรมแดนระดับสากล การพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล แนวปฏิบัติธรรมาภิบาลและจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) เป็นต้น 

“ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการจัดประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 โดยรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสนี้กระทรวงดีอี จะเสนอและผลักดันประเด็นสำคัญ คือ การดำเนินการของคณะทำงานอาเซียนด้านการป้องกันปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ (WG – AS) ซึ่งไทยทำหน้าที่ประธาน พร้อมผลักดันรายงานและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางเพื่อประสานงานและรับมือกับภัยออนไลน์ระหว่างอาเซียน โดยจะมีการรับรองเอกสารข้อแนะนำของอาเซียนในการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (ASEAN Recommendations on Anti – Online Scam) เพื่อจัดการกับปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ผ่านช่องทางดิจิทัลและโทรคมนาคม ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) โดยจะมีการรับรองในระหว่างการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

รู้จัก ‘Legats’ สำนักงานภาคสนามของ FBI นอกสหรัฐฯ หน่วยงานด้านกฎหมายที่ทรงอำนาจกระจายอยู่ทั่วโลก

เราท่านต่างพอรู้และเข้าใจว่า FBI (Federal Bureau of Investigation) หรือ สำนักงานสอบสวนกลาง เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายภายใต้กระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีภารกิจคือ การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านข่าวกรอง และอาชญากรรมร้ายแรงในประเทศ มีขอบเขตอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า 200 หมวดหมู่ รายงานต่อทั้งอัยการสูงสุดสหรัฐฯ (United States Attorney General) ซึ่งก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence : DNI) หากจะเปรียบเทียบกับบ้านเราให้เข้าใจอย่างง่ายคือ งานของ FBI จะคล้ายกับงานที่ของ 3 หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยรวมกันได้แก่ กองบัญชาการสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม 

แม้ว่าบทบาทหน้าที่หลายอย่างของ FBI จะมีลักษณะเฉพาะ แต่ภารกิจด้านความมั่นคงของชาตินั้นเทียบได้กับ MI5 และ NCA ของอังกฤษ GCSB ของนิวซีแลนด์ และ FSB ของรัสเซีย ซึ่งแตกต่างจากหน่วยข่าวกรองกลาง (CIA) ซึ่งไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและมุ่งเน้นการรวบรวมข่าวกรองในต่างประเทศ ด้วย FBI เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติการในประเทศเป็นหลัก โดยมีสำนักงานภาคสนาม 56 แห่งในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกา และหน่วยงานขนาดเล็กประจำอีกมากกว่า 400 แห่งในเมืองเล็ก ๆ และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยสำนักงานภาคสนามของ FBI เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FBI ของสำนักงานภาคสนามจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (DNI) ในเวลาเดียวกัน

แม้ว่า ขอบเขตอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของ FBI จะจำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ เองก็เป็นหนึ่งประเทศในโลกที่มีอาชญากรรมร้ายแรงมากที่สุด มีเครือข่ายของบรรดากลุ่มผิดกฎหมายทั้งในและนอกประเทศ FBI จึงต้องมีสำนักงานภาคสนามในการดำเนินงานระดับนานาชาติที่สำคัญ โดยเป็นสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมาย (Legal Attaché Office : Legats) อยู่ 63 แห่งและสำนักงานย่อยอีก 27 แห่งประจำอยู่ในสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลก และมีเจ้าหน้าที่พิเศษและเจ้าหน้าที่สนับสนุนประมาณ 250 นายประจำการอยู่สำนักงานต่างประเทศเหล่านั้น Legats ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์หลักในการประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยด้านความมั่นคงของประเทศที่ประจำ และโดยปกติจะไม่ดำเนินการฝ่ายเดียวในประเทศนั้น ๆ แต่บางครั้ง FBI ก็ปฏิบัติการในภารกิจลับในต่างประเทศ Legats (Legal Attaché ) คือเจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำสถานทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ ในต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก ระหว่าง FBI กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานความมั่นคงของต่างประเทศหน้าที่ของพวกเขาคืออำนวยความสะดวกในการร่วมมือระหว่างประเทศในการสืบสวนคดีอาญา การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ และภัยคุกคามข้ามชาติอื่น ๆ เช่นเดียวกับ CIA ที่ภารกิจในประเทศก็ถูกจำกัด ซึ่งภารกิจเหล่านี้โดยทั่วไปต้องอาศัยการประสานงานระหว่างหน่วยงานของรัฐของประเทศนั้น ๆ ด้วย

สำนักงาน Legats เกิดขึ้นในปี 1940 ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในชื่อว่า ‘หน่วยข่าวกรองพิเศษ’ ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1941 ในเวลานั้น ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุนช่วยเหลือในความพยายามเพื่อรวบรวมข่าวกรองตามภัยคุกคามที่เกิดจากฝ่ายอักษะ ดังนั้น FBI จึงตอบสนองต่อคำสั่งนั้น และเริ่มส่งเจ้าหน้าที่พิเศษไปประจำการทั่วละตินอเมริกาและอเมริกากลาง และพัฒนาหรือก่อตั้งหน่วยข่าวกรองพิเศษ หน้าที่แรกของหน่วยนี้คือ ในปี 1941 ที่กรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมายของ FBI ในเวลานั้น FBI แบ่งปันข้อมูลกับประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเกี่ยวกับภัยคุกคามจากนาซี เยอรมัน ซึ่งสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นปฏิบัติการระหว่างประเทศของ FBI ในปัจจุบันจึงแตกต่างไปจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก แต่ภารกิจนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนทุกวันนี้

ดังที่ Robert Swan Mueller III อดีตผู้อำนวยการ FBI ได้กล่าวไว้ว่า “การก่ออาชญากรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย การค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ สินค้าผิดกฎหมาย และผู้คน หรืออาชญากรรมทางไซเบอร์ ล้วนต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก และนั่นหมายถึงการที่เจ้าหน้าที่ของเราจะต้องทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศโดยตรงในคดีที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เพียงแต่เพื่อแก้ไขอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพื่อป้องกันอาชญากรรมและการก่อการร้ายด้วยการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์” ในอดีต การบังคับใช้กฎหมายเน้นไปที่อาชญากรรมที่ได้รับผลกระทบหรือเกิดขึ้นภายในดินแดนของแต่ละประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ แนวคิดดังกล่าวไม่สามารถใช้ต่อไปได้อีกแล้ว เนื่องจากโลกาภิวัฒน์ที่ผนวกรวมกับความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อในด้านเทคโนโลยี การเดินทาง การค้า และที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารได้ทำลายกำแพงเหล่านั้นและพรมแดนลง ส่งผลให้ภัยคุกคามกลายเป็นเรื่องทั่วโลกมากขึ้น และความจำเป็นในการร่วมมือกัน การแบ่งปันข้อมูล และการมีส่วนร่วมที่ดีขึ้นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานและประเทศต่างๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามระดับโลกเหล่านี้ได้ดีขึ้น เหล่านี้จึงทำให้เกิดสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมาย (Legal Attaché Office : Legats) 63 แห่ง และสำนักงานย่อย 27 แห่งในสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐทั่วโลก

ภารกิจของสำนักงาน Legats ประกอบด้วย :

- การประสานงานการสืบสวน: ช่วยเหลือในการปฏิบัติการร่วม แบ่งปันข่าวกรอง และประสานงานกับพันธมิตรต่างประเทศในคดีที่ FBI รับผิดชอบแต่มีขอบเขตเกินกว่าขอบเขตของสหรัฐฯ

- การส่งผู้ร้ายข้ามแดนและกระบวนการทางกฎหมาย: อำนวยความสะดวกในการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน การรวบรวมหลักฐานจากเขตอำนาจศาลต่างประเทศ และการทำให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ทางกฎหมายของสหรัฐฯ ได้รับการเป็นตัวแทนในต่างประเทศ

- การแบ่งปันข้อมูล: การแลกเปลี่ยนข่าวกรองและข้อมูลอาชญากรรมเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย อาชญากรรมที่เป็นองค์กร การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์

- การตอบสนองต่อเหตุวิกฤต: การช่วยเหลือพลเมืองสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายหรืออาชญากรรมร้ายแรงในต่างประเทศ และมีส่วนสนับสนุนการจัดการวิกฤตระหว่างประเทศ

- การประสานงานคำร้องขอความช่วยเหลือระหว่าง FBI กับประเทศที่สำนักงาน Legats รับผิดชอบ

- ดำเนินการสอบสวนร่วมกับรัฐบาลประเทศที่สำนักงาน Legats รับผิดชอบ

- การแบ่งปันข้อมูลและแนวทางการสืบสวน

- ประสานงานหลักสูตรการฝึกอบรม FBI ให้กับตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมทางไซเบอร์ ไปจนถึงเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์ การค้ามนุษย์ และสิทธิมนุษยชน

- บรรยายสรุปแก่หน่วยงานอื่น ๆ ของสถานทูต รวมถึงหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและเอกอัครรัฐทูต

- การจัดการการขออนุมัติปฏิบัติในประเทศที่รับผิดชอบ

- การรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับพิธีการทางวัฒนธรรม

- การประเมินสภาพแวดล้อมทางการเมืองและความมั่นคง

- การประสานงานช่วยเหลือเหยื่อและด้านมนุษยธรรม

สำนักงาน Legats ในต่างประเทศอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานปฏิบัติการระหว่างประเทศ สำนักงานใหญ่ FBI ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สำนักงานนี้มีการติดต่อประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐบาลกลางอื่น ๆ ตำรวจสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างประเทศที่มีสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และชุมชนบังคับใช้กฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับบ้านเราแล้ว FBI มีสำนักงาน egats ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มาตั้งแต่ ปี 1990 (พ.ศ. 2533) แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เข้ามาปฏิบัติการในบ้านเราก่อนหน้านั้นก็คือ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (the Drug Enforcement Administration : DEA) อันเนื่องมาจากยาเสพติดประเภทเฮโรอีนและกัญชาได้แพร่ระบาดเข้าในสหรัฐฯ อย่างมากมายตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม โดย DEA สนับสนุนการปราบปรามยาเสพติดให้กับหน่วยงานของไทยที่รับผิดชอบ อาทิ เงินทุนสนับสนุน การฝึกอบรม อุปกรณ์เทคโนโลยีที่สำคัญและจำเป็น แม้กระทั่งเงินที่ใช้สำหรับใช้ในการล่อซื้อยาเสพติด ฯลฯ โดย DEA มีสำนักงานย่อยในจังหวัดใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนและมีการค้ายาเสพติดในปริมาณมาก เช่น เชียงใหม่ ปัจจุบันสำนักงานของ DEA ในไทยยังเป็นสำนักงานภูมิภาคของ DEA ประจำทวีปเอเชียด้วย 

FBI โดยสำนักงาน Legats ประจำประเทศไทยและอีกหลายหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น ผู้ก่อการร้าย ผู้ค้ามนุษย์ ผู้กระทำความผิดทางไซเบอร์ที่ประสงค์ร้าย และอาชญากรและศัตรูอื่น ๆ จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและชุมชนทั่วโลกเพื่อก่ออันตรายได้ง่ายดายขนาดนี้ ตัวอย่างเช่น กลุ่มอาชญากร MS-13 และ 18th Street ไม่ได้ปฏิบัติการเพียงแต่ในเมืองหรือภูมิภาคเดียวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นกลุ่มที่ปรากฏตัวอยู่ทั่วโลก ยาเสพติดผิดกฎหมาย เช่น เฟนทานิล (Fentanyl) ไม่จำเป็นต้องหาซื้อด้วยตนเองอีกต่อไป เนื่องจากสามารถหาซื้อได้ง่ายบนเว็บมืด ดังนั้น สิ่งต่าง ๆ เช่นนั้น อาทิ การค้ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับเด็ก จึงกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลก และต้องมีการตอบสนองหรือแนวทางในระดับโลก นอกจากการปราบปรามอาชญากรรมแล้ว FBI และรัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล โดย FBI มีหน่วยปฏิบัติการที่จะสนับสนุนภารกิจในการต่อต้านการก่อการร้าย อาทิ หน่วยกู้ระเบิด (Bomb Technician) หน่วยตอบสนองต่อวัตถุพยานอันตราย (Hazardous Evidence Response Team) หน่วยตอบสนองต่อวิกฤต (Crisis Response Team) หน่วยเจรจาต่อรอง (Negotiation Team) หรือแม้แต่หน่วยสืบค้นใต้น้ำ (Underwater Search Team) จากทุกสิ่งตั้งแต่ การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อขึ้นเป็นองค์กร ความพยายามของ FBI ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าในปัจจุบันและดำเนินต่อไปในอนาคตอย่างไม่ลดละและหยุดยั้ง

‘ทรัมป์’ จวกรัฐบาลเดโมแครตอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ เปิดชายแดนจนประเทศล้มเหลว ย้ำพบกัน 20 ม.ค. จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

เมื่อวันที่ (2 ม.ค.68)โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล หลังการเกิดเหตุคนร้ายขับรถพุ่งชนใส่ฝูงชนในเมืองนิวออร์ลีน รัฐฐลุยเซียนา โดยว่าที่ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า  ประเทศของเราตกอยู่ในหายนะ เป็นที่ขบขันของทั่วโลก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเปิดชายแดน ด้วยความเป็นผู้นำที่ไม่มีอยู่จริง อ่อนแอ และไร้ประสิทธิภาพ กระทรวงยุติธรรม (DOJ) สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และอัยการรัฐและท้องถิ่นเดโมแครต ต่างไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ไร้สมรรถนะ และทุจริต ใช้เวลาทำงานทั้งหมดไปกับการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย คือผมเอง แทนที่จะมุ่งปกป้องชาวอเมริกัน จากคนเลวจากทั้งในและนอกประเทศที่ใช้ความรุนแรงและแทรกซึมอยู่ในทุกภาคส่วนของรัฐบาลและชาติของเรา"

ทรัมป์ ระบุอีกว่า "เดโมแครตควรละอายแก่ตนที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับประเทศของเรา สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องตอนนี้ ก่อนจะสายไป สหรัฐอเมริกากำลังแหลกสลาย ความปลอดภัย ความมั่นคงแห่งชาติ และประชาธิปไตย กำลังถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลายอย่างรุนแรงทั่วทั้งชาติ ความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและทรงพลังเท่านั้นที่จะหยุดยั้งได้ แล้วพบกันวันที่ 20 มกราคม ผมจะทำให้อเมริกากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง"

คำกล่าวของทรัมป์สะท้อนเสียงวิจารณ์ของชาวอเมริกันบางกลุ่มที่มองว่ากรณีเหตุที่นิวออร์ลีน จุดชนวนข้อถกเถียงขึ้นเกี่ยวกับนโยบายคนเข้าเมืองภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดนว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก็ตาม ทำให้บุคคลสำคัญฝั่งขวาหลายคนรีบเชื่อมโยงโศกนาฏกรรมครั้งนี้เข้ากับนโยบายคนเข้าเมืองของประธานาธิบดีโจ ไบเดน  

นทท.ข้ามแดนผ่านด่านยูนนานพุ่ง 3 แสน เพิ่มขึ้น 136% เมื่อเทียบปีที่แล้ว

(3 ม.ค. 68) สถานีตรวจสอบการผ่านแดนขาเข้า-ขาออกตำบลโม๋ฮัน มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน รายงานว่า ด่านรถไฟโม๋ฮันได้รองรับการเดินทางข้ามพรมแดนของประชาชนจากราว 100 ประเทศและภูมิภาค จำนวนมากกว่า 301,000 คนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 136 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ด่านรถไฟโม๋ฮันได้รองรับการเดินทางโดยรถไฟข้ามพรมแดนในปี 2024 มากกว่า 7,900 เที่ยว ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความนิยมของการเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดให้บริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน เนื่องจากมีราคาถูกและสะดวกสบาย

'ท่องเที่ยวจีน' เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจสูงในขณะนี้ หลังจากจีนขยายโครงการฟรีวีซ่ากับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงการผ่อนปรนนโยบายเดินทางผ่าน (transit) แบบฟรีวีซ่า ซึ่งขยายระยะเวลาพำนักที่ได้รับอนุญาตสำหรับนักเดินทางชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จากเดิม 72 และ 144 ชั่วโมง เป็น 240 ชั่วโมง

เจ้าหน้าที่สถานีฯ กล่าวว่า การเปิดให้บริการรถไฟโดยสารข้ามพรมแดนจีน-ลาว เส้นทางสิบสองปันนา-หลวงพระบาง เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2024 ได้เพิ่มการเดินทางข้ามพรมแดนจาก 300 คนต่อวันเป็นมากกว่า 800 คนต่อวัน โดยตัวเลขสูงสุดในหนึ่งวันอยู่ที่มากกว่า 1,200 คน

มัคคุเทศก์แซ่หวังจากมณฑลอวิ๋นหนานกล่าวว่า การเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวนั้นทั้งสะดวกและรวดเร็ว พร้อมทั้งสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดทาง ทำให้ผู้เดินทางเลือกใช้บริการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม

ริตชี เดวิด สจ๊วร์ต นักท่องเที่ยวชาวสหราชอาณาจักร ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวจีนครั้งแรกพร้อมภรรยา กล่าวว่า การเดินทางด้วยรถไฟจีน-ลาวนั้นให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าการเดินทางโดยเครื่องบิน ทั้งสะดวกสบายและคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมทั้งสามารถเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยที่สถานีรถไฟในคุนหมิงอีกด้วย

‘โก๊ะตี๋’ ประกาศแยกทางภรรยา ‘กวาง’ หลังเพิ่งแต่งได้ปีเดียว ปิดฉากรัก 12 ปี

‘โก๊ะตี๋’ ประกาศแยกทางภรรยา ‘กวาง’ ยุติรัก 12 ปี หลังเพิ่งแต่งได้ปีเดียว ยันไม่มีมือที่ 3 ขอโทษทุกฝ่ายที่ทำให้ผิดหวัง 

(3 ม.ค. 68) เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์ไปเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา สำหรับตลกชื่อดัง โก๋ตี๋ อารามบอย และ กวาง แฟนสาว 

ล่าสุดโก๊ะตี๋ เปิดเผยถึงการยุติความสัมพันธ์ 12 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผ่านบัญชี Instagram โดยระบุเป็นข้อความ ดังนี้

“ก่อนอื่นหนูต้องกราบขอโทษทุก ๆ คนที่หนูต้องขอแจ้งมาตรงนี้นะครับ… เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมาหนูได้ตัดสินใจคุยกับน้องกวาง… ถึงอนาคตและวิธีคิดต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตคู่ด้วยกันต่อไป… แต่ด้วยตัวตนของหนู วิธีคิดของหนู หรือการกระทำของหนู รวมถึงอีกหลายอย่างที่อยู่รอบตัวหนู มันทำให้ความฝันของหนูและกวางคงเป็นไปได้ยากครับ… ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างที่หนูแบกรับมันมานานแสนนานและมันกดดันคนข้าง ๆ หนูและตัวหนูเองตลอดเวลา จึงทำให้หนูเผลอพูดคำแรง ๆ ออกไป ซึ่งผู้หญิงน้อยคนจะรับได้… ซึ่งหนูรู้ตัวเองว่าหนูเปลี่ยนมันไม่ได้ เมื่อใดที่หนูตกอยู่ภายใต้ความกดดันแบบนี้ หนูก็จะทำและเป็นแบบนี้อีก… หนูจึงบอกกับกวางว่าเราคงไม่ใช่คนที่จะเดินทางร่วมกันและสร้างความฝันที่ตั้งใจกันไว้ได้สำเร็จ… หนูขอพูดตรงนี้นะครับว่า การที่เราทั้งคู่ตัดสินใจแบบนี้ไม่มีมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งกวางและหนูครับ… มันคือทัศนคติล้วน ๆ ครับ… ปี๊ขอบคุณกวางที่รักผู้ชายคนนี้และเดินทางร่วมกันมา 12 ปี ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา… เราต่างก็เจ็บปวดนะเพราะเราต้องแยกย้ายกัน ทั้งที่ยังรักกัน ขอบคุณความรักของกวางที่มีให้ผู้ชายบ้าน ๆ คนนี้เสมอมา

“ปี๊ขอบคุณกวางจริง ๆ ปี๊รักกวางนะ” โกเคยบอกกับหนูว่าทะเลาะกันอย่าโพสต์ลงโซเชียลหนูต้องกราบขอโทษโกด้วยครับ ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นการทะเลาะกันเลยครับ… หนูขอบคุณผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายที่พยายามทำให้รักของเรา2คนไปกันต่อได้ แต่ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องของคน2คนจริง ๆ ครับ… หนูขอโทษอาต๋อย (ซึ่งเปรียบเหมือนพ่อคนที่ 2 ของหนู) หนูขอโทษพี่ยุทธที่หนูทำให้พี่ผิดหวัง และกราบขอโทษผู้ใหญ่ของทางกวาง ทั้งโกน้อง ทั้งแม่ พี่ชายกวางอีก 5 คนอาเจ็ก อาซิม และญาติของกวางทุก ๆ คน…ขอบคุณที่รักและเมตตาหนูมาโดยตลอด 12 ปี ก่อนหน้านี้หนูพยายามทำให้มันดีที่สุดเพราะไม่อยากให้ทุก ๆ คนต้องผิดหวังและเสียใจกับคู่ของหนูและกวางครับ… หนูยังรักและเคารพทุก ๆ ท่านเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ด้วยเหตุผลของเรา 2 คนเดินร่วมทางกันต่อไม่ได้… มันผิดที่หนูคนเดียวครับ เพราะนี่คือการตัดสินใจของหนูเองตั้งแต่ต้นครับ

‘เอกนัฏ’ ซัด พวกไม่หวังดีปูดข่าวแตกคอ ‘พีระพันธุ์’ เคลียร์ชัด! ยังคุยกันดี พร้อมจับมือร่วมทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อวันที่ (2 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกับรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ทางสถานีโทรทัศน์ท็อป นิวส์ ถึงกรณีที่ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยถึงการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยย้ำว่า สาเหตุของการร่วมรัฐบาลเพื่อไทยก็คือ เพื่อทำตามนโยบายของพรรคในเรื่องการป้องกันการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาม.112, การป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และ 2 และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ 

ดังนั้นตราบใดที่ตนเองและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังทำงานในรัฐบาล นายพีระพันธุ์ ตนเองและพรรคก็พร้อมจะเดินหน้าทำงานตามนโยบายที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนและรักษาซึ่งอุดมการณ์ที่มีอย่างเต็มที่เพื่อประเทศและคนไทย โดยไม่ขอสนใจการเล่นการเมืองหรือความที่ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามแต่ โดยเฉพาะการเมืองแบบเก่า ๆ และหากการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนเดิมหรือทำให้ใครไม่พอใจ ตนเองก็ต้องขอโทษด้วย แต่ถึงวันนี้ยังยืนยันว่า อุดมการณ์ของตนไม่เคยเปลี่ยน และทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุมีผลและทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้

“ไม่ได้ทำการเมือง เพื่อให้ตนเองหรือนายพีระพันธุ์ ต้องเป็นหัวหน้าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องรักษาศรัทธาของประชาชนเอาไว้และยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แค่เท่านั้นเอง” นายเอกนัฏ ระบุ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า เป็นเรื่องไร้สาระกับข่าวที่ว่าพรรคกำลังแยกกันเดินออกเป็น 2 สาย คือ สายของตนเองและสายของนายพีระพันธุ์ โดยข่าวดังกล่าวเกิดจากผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้พรรคแตกแยกกัน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะทุกวันนี้ตนและนายพีระพันธุ์ ยังคุยกันดี ปรึกษากันทุกเรื่องและจับมือเดินหน้าทำงานไปด้วยกัน ส่วนกรณีที่มีรูปถ่ายใกล้ชิดกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้นเกิดจากการที่ตนได้พานายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องการลงทุนของบริษัท โตโยต้า ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตนเองคาดหวังให้โตโยต้าลงทุนในไทยด้วยเม็ดเงินราว 100,000 ล้านบาท(หนึ่งแสนล้านบาท) แต่เบื้องต้นโตโยต้าได้ตอบตกลงที่จะลงทุนในไทยเพิ่มอีกอย่างน้อย 55,000 ล้านบาท(ห้าหมื่นห้าพันล้านบาท) และเตรียมที่จะส่งคนมาสำรวจวิจัยการลงทุนในไทยเพิ่มเติมตามที่ตนได้ร้องขอ

นายเอกนัฏ ยังระบุถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือร่างพรบ.โซลาร์ โดยยืนยันว่า หากร่างพระราชบัญญัตินี้ผ่านสภา มีผลบังคับใช้ คนไทยจะได้ใช้ไฟในราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน ทั้งยังสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เอง โดยไม่ต้องขออนุญาตเหมือนเช่นในอดีต ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานมาช่วยอุดหนุนควบคู่ไปกับการผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งระบบโซลาร์แบบครบชุดในราคาที่ถูก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับใช้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ในราคาที่ย่อมเยาด้วย โดยตนเองมั่นใจด้วยว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมคาดการณ์กรอบเวลาที่จะมีผลบังคับใช้ได้เร็วที่สุด คือ ภายในไม่เกิน 1 ปีนับจากนี้

การสนับสนุนให้ภาคประชาชนสามารถติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ง่าย นอกจากส่งผลต่อบ้านเรือนที่ติดตั้งแล้ว ในภาพรวมยังสามารถลดค่าไฟฟ้าที่ทั้งประเทศจะต้องร่วมกันจ่ายได้ด้วย จากที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลงเพราะมีการผลิตในภาคครัวเรือน ทำให้การตั้งกำลังไฟสำรองก็น้อยลงตามไปด้วย 

สำหรับการทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมเป้าหมายของตนชัดเจนคือการทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นกลับมาเข้มแข็ง เพื่อที่จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านการจัดระบบ ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดี ๆ ในประเทศ ควบคู่กับการเดินหน้าจัดการกับโรงงานและอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ไม่มาตรฐาน รวมถึงการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของไทยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ 

“ไม่ได้บอกว่าตนไม่เคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิต แต่ตนเป็นคนที่เตือนสติตัวเองอยู่ทุกวันทั้งก่อนนอนและตื่นนอน ด้วยความกลัวว่าจะเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนที่จะอ่อนข้อให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งผมมั่นใจว่าผมชนะมารในตัวผมได้ มั่นใจได้ว่าขิงยังเป็นขิงคนเดิม” นายเอกนัฏกล่าวในตอนท้าย

รับชมรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ฉบับเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tZJpugth0No


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top