Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

ทูตจีนย้อนเกล็ดสหรัฐ หนุนเอกราชไต้หวัน ลืมสัญญาปี 1978 แล้วหรือ ย้ำรบจีนยังไงก็ไม่ชนะ

(3 ม.ค. 68) จาง ฮานฮุย เอกอัครราชทูตจีนประจำรัสเซีย กล่าวผ่านสำนักข่าวสปุตนิกว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรหยุดใช้ 'ไต้หวัน' ในการสร้างวาทะกรรมที่ทำให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เกิดความไม่มั่นคง เพราเมื่อใดที่ไต้หวันเผชิญหน้ากับจีน ก็แพ้พลังของกองทัพจีนอยู่ดี

"การเล่นกับไฟจะทำให้เกิดการล้มเหลวในที่สุด ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ ควรหยุดใช้ 'ไต้หวัน' ซึ่งเป็นสิ่งที่มีแนวโน้มจะพ่ายแพ้" จางกล่าวในบทความที่เขียนสำหรับสปุตนิก

นายจางยังกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ "มองข้ามข้อเท็จจริงและแทนที่ด้วยคำโกหก" โดยสหรัฐให้การสนับสนุนการแยกตัวของไต้หวันอย่างเปิดเผย

"สหรัฐฯ เคยให้คำมั่นอย่างชัดเจนในแถลงการณ์ร่วมระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เมื่อปี 1978 เกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และในคำแถลงร่วมเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 1982 ว่าสหรัฐฯ 'ยอมรับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด' และ 'เข้าใจจุดยืนของจีนที่มีเพียงจีนเดียวในโลกและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน' ซึ่งเป็นหลักการที่ชัดเจนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้"

จางยังกล่าวว่า วอชิงตันสนับสนุนความทะเยอทะยานของนายไล่ชิงเต๋อผู้นำไต้หวัน ในการแยกตัว "แม้จะมีความเสี่ยงที่จะทำลายความสงบและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับคำมั่นทางการเมืองของพวกเขา"

"สิ่งนี้ยิ่งยืนยันว่า สหรัฐฯ มีแผนการที่ซับซ้อนในการเล่น 'การ์ดไต้หวัน' และใช้ 'แรงกดดันสูงสุด' ด้วยการละเมิดหลักการจีนเดียวอย่างต่อเนื่อง โดยหวังผลจากการสร้างความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันและปกปิดเจตนาที่จะใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือในการยับยั้งจีน ซึ่งที่แท้จริงแล้วคือต้องการขัดขวางการพัฒนาของจีนและรักษาความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ที่กำลังเลือนหายไป เมื่อเผชิญกับพลังอันเป็นหนึ่งเดียวของชาวจีน 1.4 พันล้านคน พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้" เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงมอสโกระบุ 

‘สมภพ’ ตีแผ่ระบบการศึกษา ‘ฟินแลนด์’ ที่ได้ชื่อว่าดีสุดในโลก สุดท้ายคุณภาพนักเรียนตกต่ำ แถมคนเก่งเผ่นหนีหาความเจริญ

(3 ม.ค.68) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ หัวข้อ ฟินแลนด์ – หายนะทางการศึกษา โดยระบุข้อความว่า

พวกเราคงได้ยินว่า การศึกษาของฟินแลนด์ดีที่สุดในโลก นักเรียนฟินแลนด์เป็นนักเรียนที่มีความสุขที่สุดในโลก กันบ่อย ๆ แล้ว

วันนี้ผมเอาข้อเท็จจริง ที่ตรงข้ามกับการยกย่อง สรรเสริญ เยินยอ มาฝาก 

ฟินแลนด์เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการศึกษาของตนครั้งใหญ่ในยุค 70s โดยเลิกชั้นประถมและมัธยม ปรับเปลี่ยนหลักสูตรจากที่เคยเรียนวิชาพื้นฐานเป็นระดับจากง่ายไปยาก เป็นเรียนตามหัวข้อ เรียนเป็นโปรเจกต์ หลังจากนั้นมีการ ยกระดับการศึกษาอาชีวะและวิชาชีพให้มีความสำคัญเท่าเทียมกับการศึกษาเพื่อเตรียมเรียนต่อในมหาวิทยาลัย นำเอาระบบที่ใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง เลิกการให้การบ้าน เลิกการสอบประจำปี จนเหลือแต่การสอบเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่เรียกว่า Matriculation ที่เป็นการสอบระดับชาติ 

โรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ก่อนที่เด็กนักเรียนไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องสอบ

หลังจากนั้นก็เสื่อมถอยตกตํ่าลงไปเรื่อยไปจนปัจจุบันไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอะไรน่าชื่นชม นอกจากเรียนง่าย ๆ สบาย ๆ ซึ่งถูกจริตในหมู่คนที่ต้องการบั่นทอนบ่อนทำลายชาติ หรือโง่เง่า หรือขี้เกียจสันหลังยาวในบ้านเรา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีกีบ ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกที่ไหน ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกครึ่งหรือควบครึ่งลูก

ภาพด้านซ้ายมือ คือ ผลการสอบ ด้านวิชาการ (PISA) ของนักเรียนมัธยมปลายของประเทศต่าง ๆ

คะแนนสอบการอ่านของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2000 มากถึง 56 คะแนน

ส่วนคะแนนสอบคณิตศาสตร์ของนักเรียนฟินแลนด์ในปี 2022 ลดลงจากปี 2003 มากถึง 79 คะแนน

การศึกษาที่ห่วยลงย่อมส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนที่เรียนจบ ฟินแลนด์มีปัญหาเศรษฐกิจชะงักงัน ปีนี้จีดีพีติดลบ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งติดลบกว่า 3% เมื่อเทียบกับ 2022 และตั้งแต่ 2008 แทบจะไม่มีการเติบโตของเศรษฐกิจเลย ซึ่งเป็นผลให้ประเทศยากจนลง มีหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามกราฟในภาพกลาง และคุณภาพชีวิตของคนฟินแลนด์ลดลง

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฟินแลนด์โดยนักเลือกตั้งที่ผ่านการศึกษาฟินแลนด์เปิดรับผู้อพยพนับหมื่น ๆ คนต่อปี โดยคิดไม่ได้หรือไม่ได้คิดว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ทำให้เกิดปัญหาสังคมและเศรษฐกิจตามมาเพิ่มเติมด้วย

ผลลัพธ์คือ คนหนุ่มสาวชาวฟินแลนด์อายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ จำนวนมากขึ้นๆอพยพออกจากฟินแลนด์ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า ตามภาพขวาสุด

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการจัดเก็บภาษีในรัฐสวัสดิการแห่งนี้อย่างรุนแรงต่อไป

ทั้งหมดนี้ เป็นวงจรอุบาทว์ที่เริ่มจากการทำลายการศึกษา ทำลายโรงเรียน ด้วยความหวังดีโง่ ๆ ที่อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนสบาย ๆ 

และหากในอนาคต มีใครเห่าหอนอวยว่าโรงเรียนและการศึกษาของฟินแลนด์ดีงามแค่ไหน เราสามารถแน่ใจได้ว่า ไอ้หรืออีนั่น ไม่รู้ห่านอะไรเลยแม้แต่น้อย

เปิดประวัติ 'ชอลซู' หุ่นสังหารตัวใหม่จาก 'Squid Game' แรงบันดาลใจจากตัวละครในแบบเรียนเกาหลี

(3 ม.ค. 68) หลังจากที่ Netflix เปิดตัวซีรีส์เรื่องดัง Squid Game ซีซั่น 2 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2024  ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความสำเร็จด้วยยอดผู้ชมรวมถึง 68 ล้านวิวภายในวันที่ 1 มกราคม 2025 แต่ยังครองอันดับหนึ่งในหมวดคอนเทนต์ยอดนิยมใน 92 ประเทศทั่วโลก

แม้เรื่องราวของซีซั่น 2 จะปิดฉากลง แต่ก็มีการเปิดตัวอย่างความเข้มข้นของ ซีซั่น 3 ที่วางแผนฉายในปี 2025 โดยหนึ่งในจุดเด่นที่มีการพูดถึงคือการเปิดตัวตุ๊กตาสังหารตัวใหม่ อย่าง 'ชอลซู' ที่มาเป็นคู่หูของ 'ยองฮี' หรือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในชุดสีเหลืองที่คนไทยรู้จักในชื่อ 'โกโกวา' จากเกม AEIOU

สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างชอลซูและยองฮี มาจากตัวละครในแบบเรียนประถมของเกาหลีใต้  โดยตัวละครนี้ปรากฏครั้งแรกในปี 1948 ผ่านฝีมือของ คิมแทฮยอง หนึ่งในผู้จัดทำตำราเรียนแห่งชาติ ชอลซูและยองฮีเปรียบเสมือนตัวแทนความทรงจำวัยเด็กของชาวเกาหลีใต้ คล้ายกับ 'มานะ-มานี' จากแบบเรียนภาษาไทยระดับประถมศึกษาปีที่ 1–6 บเรียนภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 1–6 รวม 12 เล่ม (ภาคเรียนละ 1 เล่ม) ซึ่งใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2521–2537 

นอกจากถูกใช้เป็นตัวละครในเรื่อง Squid Game ชอลซูและยองฮียังเป็นแรงบันดาลใจให้มีการสร้างสติ๊กเกอร์เซ็ตที่ใช้ในแอปพลิเคชัน  Kakao ด้วย

การปรากฏตัวของชอลซู ในซีรีส์ทำให้แฟน ๆ หลายคนจับตามองว่าจะมีการนำหุ่ชอลซูมาใช้ในเกมใด เพราะในซีรีส์ทั้งภาค 1 และ 2 ผู้สร้างมีการนำการละเล่นในวัยเด็กของชาวเกาหลีมานำเสนอในซีรีส์ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เกมตีกระดาษ (ตั๊กจี) เกมแกะน้ำตาล (ดัลโกนา) และหมากเก็บ (กงกี)

Squid Game จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นสื่อกลางที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมและความเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้สู่สายตาชาวโลกอีกด้วย

‘ปราชญ์ สามสี’ แกะรอย 'เพนกวิน' โผล่เรียนที่สหรัฐฯ สุดกังขา ใครอยู่เบื้องหลังเส้นทางหลบหนีคดี 112

( 3 ม.ค. 68) - เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เปิดประเด็นการหลบหนีคดีมาตรา 112 ของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ไปต่างประเทศ ว่ามีกลุ่มใดอยู่เบื้องหลัง โดยระบุว่า เอ๊ะ จิ๊กซอว์ ต่อลงพอดีเลยแหะ?!? "เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ หลบหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ดัน 'บังเอิญ' ไปโผล่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล สอนอยู่! อาจารย์ผู้มีจุดยืนกระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างเปิดเผย

นี่คือโชคชะตาหรือขบวนการที่วางแผนมาแล้วอย่างแยบยล? จิ๊กซอว์นี้ต่อออกมาแล้วจะเห็นภาพอะไรกันแน่—แค่บังเอิญ หรือเรื่องที่มี 'อะไร' ซ่อนอยู่มากกว่านั้น?"

ปราชญ์ สามสี ระบุว่า จรัล ดิษฐาอภิชัย ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ว่าได้เดินทางไปเยี่ยม 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ที่สหรัฐอเมริกา โดยระบุถึงการพบปะกับ Paul Handley ผู้เขียนหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ไทยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นอกจากนี้ จรัลยังกล่าวถึงการใช้เวลาร่วมกันในบริบทที่ดูเหมือนจะบ่งชี้ถึงสถานที่ของเพนกวินในอเมริกาอย่างชัดเจน

การโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยในแง่มุมของการหลบหนีของเพนกวิน ซึ่งเคยประกาศว่าจะยืนหยัดในประเทศไทยและไม่ลี้ภัยออกนอกประเทศ ทว่าการเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจผ่านโพสต์นี้ชี้ให้เห็นถึงที่อยู่ของเขาในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน พร้อมเชื่อมโยงถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและเครือข่ายในวงการที่มีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง

ข้อผิดพลาดในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้การหลบซ่อนตัวของเพนกวินกลายเป็นที่จับตามอง ยังอาจนำมาซึ่งคำถามทางการเมืองและสังคมเกี่ยวกับการสนับสนุนที่เขาได้รับในต่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงการช่วยเหลือพิเศษหรือการประสานงานในระดับนานาชาติ

แกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมือง 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ได้โพสต์ข้อความยอมรับถึงการสูญเสียจุดยืนทางการเมืองของตนเองในกรณีมาตรา 112 โดยเขาเคยยืนยันว่าจะไม่หลบหนีออกนอกประเทศหรือขอลี้ภัยทางการเมือง แต่ท้ายที่สุดกลับจำใจต้องหลบหนี ซึ่งเขาได้ยอมรับว่าเป็นการละเมิดจุดยืนที่เคยตั้งไว้ โดยการกระทำนี้เกิดขึ้นหลังเขาต้องเผชิญคดีการยุยงปลุกปั่นและใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พร้อมกับการปล่อยให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ

ข้อความที่เขาโพสต์เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ไม่เพียงสะท้อนถึงความย้อนแย้งในจุดยืนของตัวเอง แต่ยังมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเขาขณะยืนอยู่หน้าภาพโมเสคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหากตรวจสอบลึกลงไปพบว่าภาพดังกล่าวถ่ายในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ UW-Madison Letters & Science (L&S) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดใน University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) ประเทศสหรัฐอเมริกา

วิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของหลายสาขาวิชาที่ครอบคลุมทั้ง ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์กายภาพ สังคมศาสตร์ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์และข้อมูล

ทั้งนี้เริ่มมีข้อสงสัยหนาหูว่า เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้รับการช่วยเหลือพิเศษจากทางการทูตของสหรัฐอเมริกาในการจัดการให้เขาสามารถไปศึกษาอยู่ที่ University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) แบบเป็นกรณีพิเศษหรือไม่

ซึ่งบางคนมองว่านี่อาจเป็นตัวอย่างของการใช้เส้นสายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลในสถานการณ์ที่ควรจะเผชิญหน้ากับความจริงในคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112

คำถามนี้สะท้อนความไม่พอใจในสังคมว่าการได้รับโอกาสในลักษณะนี้ อาจทำให้หลายคนมองว่าเป็นการใช้สิทธิพิเศษเกินควร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ ในขณะที่ตัวเขาเองสามารถหลบหนีและได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาต่อในต่างประเทศจากสหรัฐ

เรื่องนี้จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามและตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มีข้อเท็จจริงหรือเบื้องหลังใดที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศหรือไม่ และความยุติธรรมของกระบวนการเหล่านี้จะสามารถอธิบายให้สังคมยอมรับได้อย่างไร

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 : ต้องมีปัญญาก่อนไหมถึงจะเข้าใจธรรมะ?

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ต้องมีปัญญาก่อนไหมถึงจะเข้าใจธรรมะ?’

จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : ต้องมีปัญญาก่อนไหมถึงจะเข้าใจธรรมะ?

พระศรีวัชรวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท) : ในทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าเริ่มต้นที่ศรัทธา แล้วสรุปตอนท้าย คือ ปัญญา

ดังนั้น ในที่ใดก็ตาม ถ้าเกี่ยวเนื่องด้วยศรัทธา จะมีปัญญามากำกับในตอนท้าย

ถ้าคนไม่มีการยอมรับ ไม่มีความเชื่อมั่น หรือ ไม่มีศรัทธา ก็จะไม่มีการกระทำ หรือ ทำตามคำสอน

ซึ่งพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้เอาปัญญานำหน้า แต่สอนให้เอาศรัทธานำหน้า ในขณะเดียวกันก็อย่าทิ้งปัญญา อย่าขาดปัญญา

6 มกราคม พ.ศ. 2481 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จฯ ทรงเปิดโรงพยาบาลอานันทมหิดล จ.ลพบุรี

วันนี้เมื่อ 87 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลอานันทมหิดล จ.ลพบุรี

โรงพยาบาลอานันทมหิดล (อังกฤษ: Ananda Mahidol Hospital) กรมแพทย์ทหารบก ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของกองทัพบกไทย ให้บริการทั้งข้าราชการทหารและพลเรือนรวมถึงประชาชนทั่วไป และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่สามรองจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และโรงพยาบาลค่ายสุรนารี

โรงพยาบาลอานันทมหิดลก็ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2480 และแล้วเสร็จในปีถัดมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จฯ มากระทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2481 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันเปิดค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

5 มกราคม พ.ศ. 2516 ในหลวง ร.9 เสด็จฯหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลั๊วะ อ.แม่สะเรียง เยี่ยมราษฎรพร้อมส่งเสริมการปลูกกาแฟและการเลี้ยงไหม

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ หมู่บ้านป่าแป๋ ต.แม่สะเรียง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลั๊วะ ทรงพระราชทาน ห่าน สิ่งของและยารักษาโรค พระองค์ทรงให้ส่งเสริมการปลูกต้นกาแฟและพระราชทานเงินให้หญิงชาวเขาเข้าเรียนการเลี้ยงไหมและกลับมาสอนให้ชาวเขาภายในครอบครัวต่อไป

และในวันเดียวกันนัน ยังได้เสด็จองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย (อกท.) หน่วยแม่โจ้ครั้งแรก ณ อาคารแผ่พืชน์ วิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ พร้อมทั้งทรงมีพระบรมราโชวาทสำคัญตอนหนึ่งความว่า 

"แม่โจ้นั้นรักสามัคคีกันมาก และหากพลังแห่งสามัคคี ถ้าไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ที่ดี ที่สร้างสรรค์ จะนำไปสู่ความเจริญ ไปสู่ความดี และผู้ปฏิบัติจะได้รับผลดีคือ ความยกย่องของชุมชน และความยกย่องของประชาชนทั้งประเทศ..."

‘ยุทธศาสตร์พลังงาน’ ของ ‘ลุงตู่’ ที่ไม่ได้หยุดอยู่ แค่การพึ่งพาน้ำมัน วิสัยทัศน์แบบ ‘นกอินทรี’ ที่ ‘อีกา’ ไม่มีวันเข้าถึง มองไกล เห็นอนาคต

ใครจะคิดว่าการบริหารงาน 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านพลังงานของประเทศไทยไปชนิดที่โลกต้องจับตามอง!! วิสัยทัศน์แบบนกอินทรีที่โผบินเหนือเมฆพายุ มองเห็นทิศทางอนาคตได้ไกลจนอีกาอย่างฝ่ายค้านไม่มีวันตามทัน ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่นั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่การพึ่งพาน้ำมัน แต่ได้วางหมากสำหรับอนาคตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและการเปิดศักราชใหม่ของพลังงานทดแทน

หนึ่งในตัวเปลี่ยนเกมสำคัญคือ ‘พระอาทิตย์เทียม’ หรือ Tokamak ที่ไทยได้รับเทคโนโลยีจากจีนในโครงการ Thailand Tokamak-1 ซึ่งทำให้เราเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานฟิวชันระดับโลก! ไม่ใช่เพียงแค่การได้ของเล่นไฮเทค แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน การผลักดันเรื่องนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ของ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นจริง

การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมันไปสู่พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม และพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของลุงตู่ที่ไม่ได้แค่สวยในเอกสาร แต่มองเห็นได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าทดแทนทั่วประเทศ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP2018) ที่ถูกวางไว้ช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการสร้างบุคลากรที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ ไทยได้จัดตั้งโรงเรียนฟิสิกส์แห่งอาเซียน เพื่อผลิต ‘นักคิด-นักสร้าง’ ที่จะนำประเทศเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดได้อย่างสง่างาม เพราะเทคโนโลยีจะไร้ค่า หากปราศจากคนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้งาน

ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่ไม่ได้เป็นแค่การตอบโจทย์วันนี้ แต่คือการปูทางให้ไทยพร้อมในสมรภูมิพลังงานโลก แม้บางฝ่ายจะวิจารณ์ว่าไทยเคลื่อนไหวช้า แต่แท้จริงแล้ว ลุงตู่เลือกจะ ‘รอให้พร้อม’ เพื่อก้าวไปสู่ยุคฟิวชันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

คำถามสำคัญคือ อีกาพร้อมจะเข้าใจการมองการณ์ไกลแบบนกอินทรีแล้วหรือยัง? หรือจะบินต่ำต่อไปในเงาแห่งอดีต ขณะที่ลุงตู่นำประเทศไทยเข้าสู่เกมพลังงานแห่งอนาคตอย่างชาญฉลาด

'เผ่าภูมิ' ปลื้ม 'EXIM Bank' ปี 67 สินเชื่อโต หนี้เสียลด กำไรพุ่ง พอร์ตสีเขียวอันดับ 1 ชี้ปี 68 ยกระดับช่วย ปชช.

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เป็นเครื่องมือรัฐบาลในการสนับสนุนการส่งออก-นำเข้า และขยายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในปี 2567 มีผลการดำเนินการที่น่าประทับใจ ดังนี้

1. สินเชื่อรวมภาระผูกพันอยู่ที่ 189,781 ล้านบาท เติบโตกว่า 6.66% (ในขณะสินเชื่อทั้งระบบติดลบ) บ่งชี้ถึงการเข้าสนับสนุนผู้ประกอบเพื่อการส่งออกและนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ
2. NPL ลดลงจาก 4.65% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 3.44% ณ สิ้นปี 2567 บ่งชี้ถึงการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยอดสินเชื่อเพิ่ม
3. Insurance Turnover สูงถึง 192,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.92%
4. Coverage Ratio ที่แข็งแกร่งถึง 260% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 191%
5. กำไรจากการดำเนินงาน 3,452 ล้านบาท และเป็นกำไรสุทธิกว่า 1,030 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้ากว่า 2 เท่าตัว
6. สัดส่วนสินเชื่ออุตสาหกรรมสีเขียว (Green Portfolio) คิดเป็นสัดส่วน 39.95% คิดเป็นเม็ดเงิน 75,816 ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และสูงสุดหากเทียบกับทุกสถาบันการเงินในประเทศไทย

โดยสรุป ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม ช่วยเหลือประชาชนเพิ่ม ในขณะที่หนี้เสียลด บริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี ตัวบ่งชี้ต่างๆบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของธนาคาร และในปี 2568 ถือเป็นปีที่สถานการณ์การส่งออกและการเข้า การค้าระหว่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ฉะนั้น EXIM Bank จะยกระดับ เข้าสนับสนุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top