Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

โค้ชเช ชัชชัย เช ผู้สร้างประวัติศาสตร์เทควันโดไทย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในการแข่งขันกีฬาเทควันโดรายการใหญ่ ๆ เรามักจะเห็นชายคนหนึ่งที่ทำทั้งหน้าที่โค้ช และทำหน้าที่ประท้วงกรรมการเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับนักกีฬาไทย ชายเกาหลีหัวใจไทย คนนั้นก็คือ โคชเช ชัชชัย เช หรือ ชื่อเดิม ชเว ย็อง-ซ็อก หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดไทย นั่นเอง

สำหรับโค้ชเช คือผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับเทควันโดของไทยอย่างแท้จริง ภายใต้การฝึกสอนของเขานั้น สามารถพา น้องเทนนิส - พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาได้ 2 สมัยติด และในฐานะผู้ฝึกสอนชาวไทย ยังได้พานักกีฬาไปแข่งโอลิมปิกมาแล้วถึง 5 สมัย

ตลอดระยะเวลาในการทำงานเป็นผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย โค้ชเช ได้ช่วยพัฒนานักกีฬาเทควันโดไทย จากที่เป็นอันดับท้ายๆของโลกก้าวมาสู่ 1-10 ของโลก พร้อมกับผลงานสำคัญบนเวทีโลก ทั้งในระดับโอลิมปิกเกมส์ เอเชียนเกมส์ และรายการชิงแชมป์โลก และสามารถกวดเหรียญรางวัลมาได้อย่างมากมาย 

โค้ชเชได้เข้ามาเป็นโค้ชให้นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 จวบถึงปัจจุบัน ได้สร้างผลงานโดดเด่น ได้แก่
- พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เหรียญทองโอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่น, โอลิมปิก 2024 ที่ฝรั่งเศส และเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2016 ที่บราซิล
- บุตรี เผือดผ่อง เหรียญเงินโอลิมปิก 2008 ที่จีน
- เทวินทร์ หาญปราบ เหรียญเงินโอลิมปิก 2016 ที่บราซิล
- เยาวภา บุรพลชัย เหรียญทองแดงโอลิมปิก 2004 ที่กรีซ
- ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญทองแดงโอลิมปิก 2012 ที่สหราชอาณาจักร และเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2010 ที่กว่างโจว ประเทศจีน
- สริตา ผ่องศรี และ ชัชวาล ขาวละออ เหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2010 ที่กว่างโจว ประเทศจีน

ผลงานยอดเยี่ยมด้วยการทำให้นักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยประสบความสำเร็จและเป็นแชมป์โลกได้ถึง 4 คน ได้แก่
- รังสิญา นิสัยสม แชมป์เทควันโดโลก รุ่นไม่เกิน 62 กก.หญิง ในปี 2011 ที่ประเทศเกาหลีใต้
- ชัชวาล ขาวละออ แชมป์เทควันโดโลก รุ่นไม่เกิน 54 กก.ชาย ในปี 2011 ที่ประเทศเกาหลีใต้
- ชนาธิป ซ้อนขำ แชมป์เทควันโดโลก รุ่นไม่เกิน 49 กก.หญิง ในปี 2013 ที่ประเทศเม็กซิโก
- พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ แชมป์เทควันโดโลก รุ่นไม่เกิน 46 กก.หญิง ในปี 2015 ที่ประเทศรัสเซีย

สำหรับ ชื่อ ชัชชัย เช ซึ่งแปลว่า "ชัยชนะที่มั่นคง" ได้รับการตั้งจาก สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กระทั่งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2565 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย จากเดิมที่มีหัวใจไทยก็กลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี งดงามทั้งใจและใบหน้า

ในห้วงวิกฤตต่าง ๆ ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในช่วงโควิด – 19 ระบา หรือ เหตุอุทกภัยใหญ่ ทุกคนจะได้เห็นผู้หญิงแกร่งที่งดงามทั้งจิตใจและใบหน้า อย่าง ‘บุ๋ม – ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ระธานมูลนิธิองค์กรทำดี ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ

สำหรับบุ๋ม ปนัดดา นั้นได้ชื่อว่านางฟ้าบนดินอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นนางงามที่มักทำความดีช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เป็นประจำตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นขาลุยที่พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลากหลายรูปแบบอยู่เสมอ อย่างในอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บุ๋ม ปนัดดา พร้อมทีมงานได้ลงช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่วันแรกๆ ที่เกิดเหตุน้ำท่วม และอยู่ร่วมฟื้นฟูหลังน้ำลดอีกนานนับเดือน จนกระทั่งสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ

ดังนั้น บุ๋ม ปนัดดา จึงถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลในวงการบันเทิงที่เป็นต้นแบบแห่งการทำความดี และไม่เพียงแต่การช่วยเหลือคนในห้วงเวลาที่ประสบภัยเท่านั้น แต่เธอยังเป็นอีกหนึ่งคนที่ออกตัวเพื่อชนกับปัญหาที่ผู้หญิงถูกทำร้ายและถูกข่มขืนมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใคร ๆ จะเรียกเธอว่า ‘นางฟ้าบนดิน’ ที่งดงามทั้งจิตใจและใบหน้ามาตลอดหลายปี

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

‘หมูเด้ง’ เกิดมาเพื่อเป็นซุปตาร์ดังไกลกระฉ่อนโลก

นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ‘หมูเด้ง’ ลูกฮิปโปแคระสุดน่ารัก จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในความสนใจและส่งต่อความน่ารัก เด้ง ดีด ไปทั่วโลก เรียกว่าสร้างกระแสฟีเวอร์ชนิดไม่มีแผ่วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

สำหรับ หมูเด้ง เป็นลูกฮิปโปแคระ เพศเมีย เกิดจากแม่ชื่อโจนา อายุ 25 ปี และพ่อชื่อโทนี่ อายุ 24 ปี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ในช่วงแรกที่หมูเด้งเกิดมา ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้มีการเปิดโหวตให้ประชาชนได้ช่วยกันตั้งชื่อให้ลูกฮิปโปแคระตัวนี้ โดยมี 3 ชื่อให้เลือก คือ หมูเด้ง หมูแดง และหมูสับ ซึ่งชื่อ “หมูเด้ง” ก็ได้รับการโหวตมากที่สุด ซึ่งเกิดจากการอยู่ไม่นิ่งและพร้อมจะสวบคนเลี้ยงตลอดเวลาของเจ้าฮิปโปตัวน้อยนั่นเอง

หลังจากน้องหมูเด้งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ก็ได้สร้างวีรกรรมแสนซนทั้งเด้ง ดีด สวบ วิ่งวุ่น กลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก ชนิดรันไปทุกวงการ หลาย ๆ คลิปและภาพความน่ารักของหมูเด้งถูกเผยแพร่ออกไปจนกลายเป็นไวรัล พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์ “หมูเด้งฟีเวอร์” มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเฝ้ารอชมความน่ารักที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอย่างเนืองแน่น

ไม่เพียงเท่านั้น สื่อดังจากตะวันตกไม่ว่าจะเป็น BBC, the Guardian, The Independent, TIME และรอยเตอร์ ต่างก็พร้อมใจกันนำเสนอเรื่องราวความน่ารักของฮิปโปแคระแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกันโดยพร้อมเพรียง 

นอกจากนี้ ยังมีคนดังจำนวนมากที่แวะเวียนมาเยี่ยมหมูเด้งที่สวนสัตว์อย่างไม่ขาดสาย และต้องยอมรับว่าผู้ที่มีกระแสฟีเวอร์มากที่สุดในปีนี้ คงหนีไม่พ้น ‘น้องหมูเด้ง’ ที่สร้างกระแสสุดปัง พร้อมเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนไทยและคนทั่วโลก

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งเข้าร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประจำปี 2567

(28 ธ.ค. 67) เวลา 08.30 น. พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะและถวายราชสดุดี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประจำปี 2567 ณ บริเวณหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กองบังคับการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชจากพม่าให้แก่ประเทศไทย และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีพระนามเดิมว่า "สิน” พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 พระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ชื่อ "นายไหฮอง” ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ”นางนกเอี้ยง” ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (สมเด็จพระธรรมราชาธิราชที่ 3 ) ซึ่งเจ้าพระยาจักรีได้ขอไปอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ต่อมาเมื่ออายุครบ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำตัวเด็กชายสิน ไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครั้น พ.ศ. 2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 3 เดือนเศษ ก็ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเชษฐาธิราช "สมเด็จพระบรมราชาที่ 3” (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงาน เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ไปชำระความที่หัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งปฏิบัติราชการได้รับความดีความชอบมากจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองตาก ช่วยราชการพระยาตากครั้นพระยาตากถึงแก่กรรม ก็ทรงโปรดให้เลื่อนเป็น "พระยาตาก ปกครองเมืองตาก”

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ห้วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568

(28 ธ.ค. 67) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อม คุณอริสรา ยุวนางกูร ประธานชมรมภริยาหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจในห้วงเทศกาลปีใหม่และมอบนโยบายในการปฏิบัติงานบริการประชาชนตามจุดต่าง ๆ ของหน่วย การช่วยเหลือ หากประชาชนที่อาจจะประสบอุบัติเหตุในพื้นที่ใกล้เคียงหากพบเจอให้ดำเนินการช่วยเหลือโดยทันที และให้อำนวยความสะดวกต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เตรียมเครื่องดื่ม กาแฟ อาหารว่าง ไว้คอยบริการประชาชนที่เดินทางผ่านไว้ตามจุดบริการประชาชน ดังนี้ 

1. บริเวณหน้าประตูใหญ่หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 
2. บริเวณหน้ากองพันต่อสู้อากาศยานที่ 12 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 
3.จุดบริการตรวจสภาพรถ (ฟรีค่าแรง) บริเวณสถานีบริการน้ำมันบางจาก (กม.5) ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประชุมติดตามการดำเนินงานช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 กำชับการปฏิบัติดูแลรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

(29 ธ.ค. 67) เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมผู้แทนจากทุกหน่วยงาน ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. และประชุมทางไกล

ที่ประชุมได้สรุปปริมาณการจราจรขาเข้าและขาออกกรุงเทพมหานคร บนถนนหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ 11 เส้นทาง พบว่าวันที่ 28 ธันวาคม 2567 มีปริมาณรถเดินทางออกสูงสุด โดยมีจำนวน 700,126 คัน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ 26.4% และเพิ่มขึ้น 28.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดว่าวันนี้จะมีปริมาณรถขาออกลดลง ส่วนสภาพการจราจรหนาแน่นพบว่าอยู่ในช่วงสายอีสาน บริเวณ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และ ถ.มิตรภาพ ช่วงเนินกลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พบว่าปริมาณรถยังหนาแน่น แต่เคลื่อนตัวได้ ซึ่งทั้งสองจุดตำรวจทางหลวงเตรียมเปิดช่องทางพิเศษ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันปริมาณรถเบาบางลง คาดวันนี้ไม่เกินเวลา 12.00 น. วันนี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ส่วนเส้นทางขาออกสายเหนือ สายตะวันตก และสายตะวันออก รถเคลื่อนตัวได้ดีในทุกเส้นทาง นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีโครงการนำอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก (โดรน) เพื่อตรวจการจราจรทางอากาศ ซึ่งโดรนจะบินตรวจการจราจรในจุดต่างๆ และรายงานมายังศูนย์ฯ เพื่อรับทราบปัญหาแบบเรียลไทม์

สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านกำลังพลและอุปกรณ์งานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมพร้อมกำลังพลและชุดเคลื่อนที่เร็วทั่วประเทศกว่า 40,000 นาย มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัด รวม 4,068 จุดทั่วประเทศ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง ในส่วนของโครงการร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0) จำนวน 10,479 หลัง คืนบ้านแล้ว 108 หลัง คงเหลือ 10,371 หลัง พบว่าทุกหลังปกติและเรียบร้อยดี ส่วนสถานที่จัดงานเคาท์ดาวน์ขนาดใหญ่ 49 แห่งทั่วประเทศนั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 พร้อมหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรแล้วในทุกจุด โดยจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศกว่า 20,000 นาย ในการปฏิบัติ รวมเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติทุกมิติในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 60,000 นาย

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีข้อกำชับสั่งการไปยังหน่วยงานต่าง ๆ 
1. ให้ผู้บังคับบัญชา ผู้กำกับการ/หัวหน้าหน่วย ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทาง ปริมาณรถ ปรับแผนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับข้อมูลและแผนในภาพรวม โดยพิจารณาเส้นทางหลัก เส้นทางรอง การเกิดอุบัติเหตุ สภาพพื้นที่หรือการจัดงาน 

2. กำชับหน่วยต่างๆ ให้มีผลการปฏิบัติใน 10 ข้อหาหลัก อย่างต่อเนื่อง จริงจัง เน้นการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุ กำชับการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตามหลักยุทธวิธีและกฎหมาย ห้ามมิให้มีการเรียกรับ ยอมรับ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งใช้กิริยาวาจาที่สุภาพ และเป็นมิตรกับประชาชน 

3. โครงการร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0) ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 จัดกำลงสายตรวจให้เหมาะสม กำหนดวงรอบ และวางมาตรการป้องกันเหตุ ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบการปฏิบัติและวางแผนการปฏิบัติในภาพรวม เพื่อให้มีการตรวจตราอยางต่อเนื่อง

4. ให้ผู้บังคับบัญชา ผู้กำกับการ/หัวหน้าหน่วย ศปก.สน. บริหารจัดการพื้นที่ในการจัดงานเคาท์ดาวน์ให้เหมาะสม  มีการคัดกรองบุคคล เส้นทางฉุกเฉิน การเข้าระงับเหตุในพื้นที่ อย่าให้แออัด ปริมาณคนต้องเหมาะสมกับพื้นที่

5. ให้กำหนดมาตรการตรวจสอบสถานบริการ ร้านอาหาร สถานที่จัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนการตรวจสอบทางเข้า-ออก เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน และการตรวจสอบความผิดเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน

6. ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง และการขนยาเสพติดตามแนวชายแดน เส้นทางหลัก/รอง/เลี่ยง โดยเน้นการสืบสวนหาข่าว และการตั้งจุดตรวจ

7. ให้โรงพยาบาลตำรวจ , กองบินตำรวจ , สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ , ชุดปฏิบัติการพิเศษ EOD ฝ่ายสนับสนุนต่าง ๆ จะต้องเตรียมความพร้อมรองรับการปฏิบัติได้ทันที 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้มอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญผู้ใต้บังคับบัญชา และแนะนําการปฏิบัติให้ละเอียดมีความเข้าใจทุกนาย ตรวจสอบการแต่งกาย อุปกรณ์ เครื่องมือให้พร้อมปฏิบัติ โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัย การอำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องประชาชน ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายจงถือเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ที่จะได้กระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

'เทสลา ไซเบอร์ทรัก' ระเบิด ดับ 1 ราย มัสก์เชื่ออาจเป็นเหตุก่อการร้าย

(2 ม.ค. 68) เกิดเหตุรถกระบะไฟฟ้า 'ไซเบอร์ทรัก' (Tesla Cybertruck) ระเบิดที่ลานจอดรถด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทล (Trump International Hotel) เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันพุธที่ 1 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) กำลังเร่งตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว

ภาพจากกล้องวิดีโอแสดงให้เห็นว่า รถไซเบอร์ทรักคันดังกล่าวเกิดระเบิดและไฟลุกท่วมในขณะที่จอดอยู่ด้านนอกของโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล โฮเทล

นายเควิน แมคมาฮิลล์ นายอำเภอเขตคล้ากเคาตี เปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ KSNV ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 08:40 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่รถคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณทางเข้าโรงแรม และเริ่มมีควันก่อนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตภายในรถ 1 ราย

สำนักงานตำรวจลาสเวกัสได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ระบุว่า “เรากำลังสอบสวนเหตุการณ์ระเบิดรถไซเบอร์ทรักที่ทางเข้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ส ขณะนี้เพลิงถูกควบคุมแล้ว ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว”

ตำรวจยืนยันว่า มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 7 ราย โดย 2 รายต้องถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่ในโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชันแนล ได้รับการย้ายไปยังโรงแรมใกล้เคียงคือ รีสอร์ท เวิลด์ ลาสเวกัส

แหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ที่ได้รับรายงานสรุปเหตุการณ์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ABC News ว่า รถไซเบอร์ทรักคันนี้บรรทุกดอกไม้ไฟชนิดกระสุนปืนครก (fireworks-style mortars) ซึ่งฝ่ายสืบสวนกำลังหาสาเหตุว่าการระเบิดเป็นอุบัติเหตุหรือจงใจ

“การสืบสวนกำลังพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมและการก่อการร้าย จนกว่าจะพบแรงจูงใจที่ชัดเจน” รายงานระบุ

ด้านนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ทีมผู้บริหารระดับสูงของเทสลากำลังสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เรายืนยันว่าเหตุการณ์เกิดจากดอกไม้ไฟขนาดใหญ่หรือระเบิดที่อยู่ในรถไซเบอร์ทรักที่เช่ามา และไม่เกี่ยวข้องกับระบบของรถเอง”

เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้พักอาศัยในพื้นที่และผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา ซึ่งยังคงต้องติดตามผลการสืบสวนต่อไป

สตม. เร่งตรวจสอบคนไทย 2 ราย บนเครื่องบิน “เซจู แอร์” หลังประสบอุบัติเหตุที่เกาหลีใต้

จากกรณี เครื่องบิน เซจู แอร์ ที่บินออกจากไทยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.67 เวลา 01.30 ตามเวลาประเทศไทย ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดที่เกาหลีใต้ ผู้โดยสาร 175 ราย เผยเสียชีวิตแล้ว 28 ราย ขณะนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง 

ล่าสุด วันนี้ (29 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกาหลีใต้ ทราบว่า สาเหตุที่เกิดจากระบบในการลงจอดขัดข้อง เป็นเหตุให้เครื่องบินกระแทกกับรันเวย์ แล้วลื่นไถลไปประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดระเบิดที่ตัวเครื่องขึ้น เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน

โฆษก สตม. กล่าวว่า เครื่องบิน เซจู แอร์ ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 175 คน เป็นชาวเกาหลีใต้ 173 คน โดยมีคนไทย จำนวน 2 คน และยังมีลูกเรืออีก 6 คน รวมเป็น 181 คน เบื้องต้นกำลังเร่งตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 28 คนเป็นใครบ้าง ทั้งนี้ ผบช.สตม.ได้สั่งการให้เร่งประสานข้อมูล โดยหากทราบข้อมูลแล้วจะรีบรายงานให้ทราบในทันที 

ตำรวจไซเบอร์จับผู้ต้องหาซิมม้าในห้างกลางกรุง ของกลาง 150 ซิมทุกเครือข่ายมือถือ เตรียมขยายผลจับกุมผู้จัดหาซิมและพาสปอร์ตเพื่อลงทะเบียน

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ บช.สอท.ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ 2568 ห้วงวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 ซึ่งทางด้านกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 (บก.สอท.3) นำโดย พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 สั่งการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด วันที่ 28 ธันวาคม 2567 พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 นำกำลังจับกุม น.ส.พิมพรฯ ผู้ต้องหา กระทำผิดฐาน “จัดเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” โดยจับกุมได้ที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์แห่งหนึ่ง ภายในห้างฟอร์จูนทาวน์ ถ.รัชดาภิเษก แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร พร้อมตรวจยึดของกลาง ซิมโทรศัพท์เครือข่ายต่าง ๆ รวมจำนวน 150 ซิม

จากการสอบสวน น.ส.พิมพรฯ ให้การว่า ได้รับการติดต่อจากแอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ "K" ซึ่งเป็นคนติดต่อกับลูกค้า  ว่ามีลูกค้าต้องการซื้อซิมการ์ดพร้อมลงทะเบียน ซึ่ง "K" จะเป็นคนจัดหาหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต ส่งมาให้ น.ส.พิมพร ฯ ผ่านช่องทางแอปลิเคชันไลน์ เพื่อลงทะเบียนให้ลูกค้า โดยล่าสุด "K" ได้เป็นคนติดต่อกับลูกค้าให้มารับซิมจำนวน 150 ซิม ที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์แห่งหนึ่ง ภายในห้างฟอร์จูนทาวน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.1 บก.สอท.3 จึงทำการจับกุม น.ส.พิมพรฯ ส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้ขยายผลติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการ ผู้จัดหาซิมและพาสปอร์ต มาดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน และนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่าน พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบควบคุมสั่งการ บช.สอท. และ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

‘อ.อุ๋ย’ เห็นต่าง ปมตบรางวัลตำรวจปล่อย นทท. กระชากคอเสื้อ ชี้! เป็นดาบสองคม ทำกฎหมายไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์

(2 ม.ค. 68) อาจารย์อุ๋ย ปชป. ชี้!  มอบรางวัลตำรวจไม่ตอบโต้นักท่องเที่ยวกระชากคอเสื้อ เป็นดาบสองคม สร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว ทำกฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์ ตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่ยากขึ้น ย้ำ! การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยว 

เมื่อวันที่ (1 ม.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “จากกรณีที่ มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอยสีแดง บริเวณถนนคชสาร ซอย 3 ใกล้กับประตูท่าแพ โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากห้อมล้อม และเชียร์กันอย่างสนุกสนาน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปห้ามปราม จนมีการกระชากคอเสื้อของตำรวจ นั้น

แม้สุดท้ายเหตุการณ์จะจบลงด้วยดี จนมีการมอบรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีความอดทนอดกลั้น ซึ่งผมก็เคารพในการตัดสินใจของตำรวจผู้ปฏิบัติงานและผู้มอบรางวัล อย่างไรก็ดี ผมมีข้อกังวลว่าการมอบรางวัลให้กับการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะนี้ คือการไม่ตอบโต้กับผู้ที่พยายามใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ และไม่ดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอย จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่า การไม่ใช้อำนาจจับกุมผู้กระทำผิด กับการไม่บังคับใช้กฎหมายในเวลาที่ต้องใช้ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าหน้าตำรวจทุกนายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง งั้นหรือ ? แบบนี้ต่อไปใครจะกระชากคอเสื้อตำรวจก็ได้ สุดท้ายขอโทษแล้วจบ งั้นหรือ ? 

ซึ่งผมเชื่อว่าหากเหตุการณในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและยึดถือสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นเอง หากมีผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ จะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยสามถึงห้าคนเข้ามารุมล้อมและจับใส่กุญแจมือและส่งเข้ารถคุมขังทันที ซึ่งหากทำอย่างถูกต้องตามหลักการการจับกุม ผู้ถูกจับกุมจะไม่เกิดการบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด และจะต้องถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว เพราะทำให้เกิดความวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย 

นักท่องเที่ยวปกติ (ขอเรียกว่านักท่องเที่ยว “สีขาว”) เขาจะนิยมเที่ยวประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขาและครอบครัวสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้อกังวลกับโจรผู้ร้าย ในขณะที่นักท่องเที่ยวสีเทาหรือสีดำ จะชอบไปท่องเที่ยวประเทศที่การบังคับใช้อ่อนแอ หละหลวม สามารถใช้เงินและอิทธิพลเหนือกฎหมายได้ ผมจึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา ว่าอยากได้นักท่องเที่ยวแบบไหน และขอย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยความปรารถนาดี” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top