รวม 12 บุคคลแห่งปี 2024
รวม 12 บุคคลแห่งปี 2024 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

รวม 12 บุคคลแห่งปี 2024 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน วัย 72 ปี คือผู้นำรัสเซียที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 200 ปีของรัสเซีย ภายหลังจากชนะการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นั่นจะทำให้ปูตินดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 5 และจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 6 ปี
ปูติน ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ด้วยคะแนนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 87% สูงกว่าชัยชนะครั้งก่อน ซึ่งได้คะแนนเสียง76.7% โดยได้ประกาศในสุนทรพจน์ว่า ชัยชนะของเขาจะทำให้รัสเซียรุ่งโรจน์ “แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพ” มากขึ้น
และแน่นอนว่า ชัยชนะของปูติน ที่จะทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งยาวนานต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในบรรดาผู้นำของโลกในปัจจุบัน และสามารถกุมอำนาจการบริหารประเทศไว้อย่างเบ็ดเสร็จ
ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำรัสเซียเท่านั้น แต่ปูติน ยังเป็นหนึ่งในผู้นำที่ร่วมก่อตั้งกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นอักษรย่อใช้เรียกกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ซึ่งกำลังท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีผู้นำอย่างสหรัฐ อเมริกา โดยตรง
สำหรับ วลาดิเมียร์ ปูติน มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วลาดิเมียร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1952 ปัจจุบันอายุ 72 ปี ปูติน เกิดในเลนินกราด (Leningrad) สมัยยังเป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ก่อนที่จะแตกในปี 1991 ออกเป็นทั้งหมด 15 ประเทศ โดยปูติน ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัสเซียครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ภายหลังจาก บอริส เยลต์ซิน ได้ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี
นั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจของปูติน ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงยืนหยัดท้าทายมหาอำนาจอย่างสหรัฐ อเมริกา และกลุ่มชาติพันธมิตร อย่างทระนง
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ผลพวงการพ้นจากอำนาจอย่างกะทันหันของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลคนใหม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และหลานอา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ จากตระกูลชินวัตรคนที่ 3 และนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของไทย
อีกทั้งยังครองตำแหน่งเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยวัยเพียง 37 ปี ในวันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหนงนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567
สำหรับ นางสาวแพทองธาร เริ่มก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย
ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ฯลฯ
และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง
จากนั้น ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อนางสาวแพทองธาร ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ
และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งตำแหน่ง ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา
กว่า 4 เดือนของการทำหน้าที่ ผู้นำรัฐบาล แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องภาวะผู้นำ และการปฏิบัติหน้าที่อยู่เนือง ๆ แต่นางสาวแพทองธาร ยังคงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของโพลต่าง ๆ รวมถึงนักการเมืองในฟากฝั่งรัฐบาลที่พร้อมให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นว่า จะแสดงความสามารถในบทบาทผู้นำได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
หากจะเอ่ยถึงนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่นและเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน อย่างแน่นอน
โดยวัดจากผลสำรวจในแต่ละรอบไม่ว่าจะสำนักโพลใดก็ตาม พีระพันธุ์ จะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง”
โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รองนายกฯ พีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจานี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน พร้อม ๆ กับกฎหมายปลดล้อกการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป
รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน
แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น
และถึงแม้ว่า การทำงานที่ตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาต ชนิดไม่เกรงใจนายทุน ได้สร้างความไม่พอใจกับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่ม ถึงขั้นมีกระแสข่าวจะเขี่ยรองนายกฯ พีระพันธุ์ ออกจากตำแหน่ง แต่เจ้าตัวก็ไม่หวั่นเกรง แต่ยังคงยึดมั่นในปนิธานทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป แม้จะถูกตั้งฉายาจากสื่อมวลชนว่า “พีระพัง” แต่สิ่งที่รองนายกฯ พีระพันธุ์ ทำมาตลอดนั้น คือ พังทุกอุปสรรคและปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทยที่หมักหมมมาอย่างยาวนานนั่นเอง
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ภายหลังจากพ้นโทษอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 บิดาของนายกฯ คนปัจจุบัน ก็กลับมาโลดแล่นในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของคนพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ด้วยบทบาทที่แตกต่างออกไปจากเดิม นั่นคือการเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับตัวแทนพรรคเพื่อไทย ที่ลงชิงตำแหน่งเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ ทักษิณ ชินวัตร หวนคืนสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ในการไปช่วยหาเสียงให้ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่ลงสมัครชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ถัดจากนั้น ในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 ก็ได้ขึ้นปราศรัยช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยอีกครั้งที่ จ.อุบลราชธานี
และแน่นอนว่า ทั้ง 2 สนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย สามารถคว้าเก้าอี้ไว้ได้ทั้ง 2 จังหวัด
จากนั้น เมื่อวันที่ วันที่ 23-24 ธ.ค. 2567 ได้เดินสายช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. เชียงใหม่ หาเสียงอีกครั้ง และต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า ทักษิณ จะไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดใดต่อไป และผลการเลือกตั้งจะชนะเหมือนกับ 2 จังหวัดที่ผ่านมาหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การได้รับเชิญให้ไปบรรยาย รวมถึงในการปราศรัยทุกเวทีของ ทักษิณ นั้น เริ่มเป็นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตัวเขานั้นยังคงเป็นผู้นำทางความคิดของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแฟนคลับของพรรคอย่างคนเสื้อแดงอย่างปฏิเสธไม่ได้
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
แม้จะถูกสื่อมวลชนสายการเมืองตั้งฉายาว่า “รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ” แต่หากสแกนดูผลงานโดยรวมของรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลผสมหลายพรรคที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘เลขาขิง’ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) คือหนึ่งในรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง
สำหรับ เลขาขิง นับเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ในรัฐบาลชุดนี้ และอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีที่อายุน้อย ซึ่งมีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น
เพียงวันแรกของการเดินทางเข้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 เลขาขิง ก็ได้ประกาศทันที่ว่า "ผมจะทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะทำให้สำเร็จ"
คำพูดที่กล่าวออกมานั้น ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเอาเท่เท่านั้น แต่เลขาขิง ได้ดำเนินการทำตามคำพูดอย่างจริงจังตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือน บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยมีผลงานเด่น ๆ ที่ฝากไว้ในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา อาทิ 1) ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขออนุญาตใบอนุญาตโรงงาน 4 ทำให้สามารถติดตั้งได้ง่ายสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น 2) ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา แจ้งมาจับจริง ไม่กลัวอิทธิพล ปราบโรงงานไร้ความรับผิดชอบ กากของเสีย สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ได้ดำเนินการไปแล้วถึง 13 จังหวัด
3) เซฟยานยนต์ไทย เนื่องจากจากสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่น ทางเลขาขิงจึงได้เดินทางโรดโชว์คุยระดับทวิภาคีกับ 6 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และได้รับสัญญานบวกในการรักษาฐานการผลิตยานยนต์ในไทยและการลงทุนเพิ่ม ต่อยอด ด้วยเม็ดเงินกว่า 1.2 แสนล้าน
4) จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ 525 ล้านบาท ดูแลชุมชนรอบเหมือง 5) เติมเงินทุน SME ฮาลาล เติมแรงกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่
ที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานตลอด 4 เดือนเท่านั้น แน่นอนว่า ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เชื่อว่า ในปี 2568 คงจะได้เห็นการทำงานของ ‘เลขาขิง’ ที่รวดเร็วฉับไว สไตล์เชิงรุกแบบ ‘สุดซอย’ อีกอย่างแน่นอน
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา บอร์ด ปตท. ได้อนุมัติแต่งตั้ง ‘คงกระพัน อินทรแจ้ง’ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และประธานกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอ บมจ.ปตท. นับเป็นซีอีโอ คนที่ 11 ของปตท. ต่อจาก อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ไปเมื่อเดือน พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับ ปตท. คือกลุ่มบริษัทด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน แน่นอนว่า โจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย ‘คงกระพัน’ คือการสร้างการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของอุตสาหกรรมพลังงานที่ผันผวน จากสถานการณ์เศรษฐกิจและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก
แต่ถึงกระนั้น ปตท. ภายใต้การนำของ ‘คงกระพัน’ ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งยังได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13
สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย
Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจาก ผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก
สำหรับ คงกระพัน อินทรแจ้ง จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อจนจบ Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Chemical Engineering, University of Houston, U.S.A. และมีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการบริหารบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการกลั่นปิโตรเลียมแบบครบวงจร รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์กร การพัฒนาธุรกิจ การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ การวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนาโครงการลงทุนที่สำคัญ การควบรวมกิจการระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการกิจการร่วมค้า อีกด้วย
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราจึงเห็นภาพการบริจาคสิ่งของเงินทองเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากในสถานการณ์ต่างๆ แต่หากจะกล่าวถึงผู้ใหญ่ใจดี หรือ เศรษฐีใจบุญ ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ต้องมีชื่อของ ‘โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรองเท้าแอโร่ซอฟต์ (Aerosoft) ติดอยู่ในทำเนียบนี้อย่างแน่นอน
สำหรับ โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนักธุรกิจที่คอนข้างโลว์โปรไฟล์ไม่ค่อยจะเป็นข่าวในหน้าสื่อมากนัก แต่หากใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอดก็จะทราบว่า คุณโกมล เป็นพี่ชายของ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และยังเป็นอาแท้ ๆ ของนักการเมืองฝีปากกล้า ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานคณะก้าวหน้า อีกด้วย
แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณโกมล ได้บริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด แต่ได้เริ่มปรากฏชื่อผ่านสื่อเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2564 โดยได้บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วย อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ในการรักษา ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย
ต่อมาในปีเดียวกันนั้น คุณโกมล ได้ทุ่มเงินราว 300 ล้านบาท เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 เพื่อมาให้คนไทยได้ดูฟรี ๆ ในช่วงวิกฤตโควิด และคนไทยบางส่วนต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงพักครึ่งการแข่งขัน ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เจ้าของธุรกิจรายย่อย ๆ นำสินค้าของตนเองมาโปรโมทแบบฟรี ๆ อีกด้วย
และเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา คุณโกมล ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน จำนวนกว่า 4,000 โรงเรียน มูลค่ากว่า 103 ล้านบาท ในโครงการ “Aerosoft Give Scholarships มอบทุน 100 ล้าน สานฝันให้เด็กไทย” เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา ลคความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเด็กไทย ซึ่งคุณโกมล มองว่า เด็กนักเรียนอนาคตของประเทศไทย และต้องการให้เด็กนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาไปนั้น จะนำไปต่อยอดและเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป
และล่าสุด คุณโกมล ยังได้ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร 2024 มาให้คนไทยได้ดูฟรี ๆ อีกครั้ง ถึงแม้ว่าในครั้งนี้ จะไม่เปิดเผยยอดเงินในการซื้อลิขสิทธิ์ดังกล่าว แต่ก็คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญคือการได้สร้างความสุขให้กับคนไทยได้อีกครั้งนั่นเอง
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
นับตั้งแต่ก้าวย่างเข้าสู่วงการบันเทิงผ่านการแข่งขันรายการเดอะสตาร์ 6 ‘โตโน่ – ภาคิน คำวิลัยศักดิ์’ เป็นหนึ่งในนักร้องนักแสดง ที่มีดรามามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความรัก หรือการทำงาน
จะว่าไปแล้ว โตโน่ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบทบาท ทั้งเป็นนักร้อง นักแสดง นักฟุตบอล และ ปัจจุบันเป็นรักษาการประธานสโมสรเกษตรศาสตร์ ไม่ว่าจะก้าวย่างหรือทำอะไร มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นดรามาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่า เจ้าตัวนั้น เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง และหากตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วมักจะเดินหน้าไม่ถอย
ยกตัวอย่าง เมื่อครั้งที่โตโน่ จัดกิจกรรมที่ชื่อว่า ONE MAN AND THE RIVER หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ ว่ายน้ำตามลำน้ำโขง ข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว เพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้โรงพยาบาลนครพนม ประเทศไทย และโรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาว ก็มีกระแสดราม่าถาโถมเข้ามารบกวนมากมาย แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติภารกิจสำเร็จอย่างงดงาม พร้อมกับเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง
จากผลความดีในครั้งนั้น ทางท่านทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป.ลาว ได้มอบเหรียญชัย ชั้นที่1 เหรียญเชิดชูเกียรติสูงสุดของ สปป.ลาว ให้กับโตโน่ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งเป็นการตอบแทนคุณความดีในการระดมเงินทุนช่วยเหลืออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลแขวงคำม่วน และการมอบเหรียญเชิดชูเกียรติประดับชัยชั้นหนึ่งในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูผู้ทำคุณประโยชน์สูงสุด และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม
และล่าสุดในบทบาท รักษาการประธานสโมสรฟุตบอลเกษตรศาสตร์ เอฟซี ทีมในศึกเมืองไทยลีก (ไทยลีก 2) ที่โตโน่ ต้องเข้ามารับเผือกร้อนแบบไม่ทันตั้งตัว และในช่วงที่โตโน่ เข้ามารับตำแหน่งนั้น ทางสโมสรมีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ติดค้างเงินดือนนักเตะหลายเดือน จนเกือบจะต้องยุบทีม
แต่ทว่า โตโน่ คือ ผู้ที่อาสาที่จะหาเงินและนำพาสโมสรสู้ต่อ ทำให้จากเดิมมีเงินติดบัญชีหลักร้อย ก็มีเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ และแฟนบอลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับนักเตะได้ ไม่เพียงเท่านั้นผลงานในสนามของทีมเกษตรศาสตร์ยังกระเตื้องขึ้นอย่างมาก จนขยับขึ้นมาอยู่ในโซนหัวตารางและยังคงมีลุ้นขึ้นชั้นสู่ไทยลีก 1 อีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ โตโน่ ผู้ที่ไม่ยอมแพ้และในวันที่สโมสรต้องการคนเข้ามากอบกู้ ‘เขา’ ก็พร้อมที่สู้ไปกับทุกคน โดยไม่ทิ้งไปไน
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
แม้ว่าจะได้เพียงเหรียญเงิน ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่ผ่านมา สำหรับ ‘วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ นักแบดมินตันชายเดี่ยว ทีมชาติไทย แต่ก็ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของแบดมินตันไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกเป็นครั้งแรก
และยังถือเป็นปีทองของวิว กุลวุฒิ อย่างแท้จริง หลังจากก่อนหน้านี้เจ้าตัวสามารถคว้าแชมป์โลกมาได้เมื่อปี 2023 ก่อนจะผ่านเข้าสู่โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 เพื่อสร้างผลงานต่อ และก็เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านรอบแรกไปได้แบบฉลุย แม้ว่าในรอบน็อกเอาต์ จะต้องเจอด่านหินทั้ง นิชิโมโตะ จากญี่ปุ่น รวมถึง รอบก่อนรอง ยังปราบเอาชนะ ฉี ยู่ ฉี มือวางอันดับ 1 ของโลก จากจีนไปแบบทำเอาแฟนชาวไทยเฮกันสุดเสียง 2-0 เกม และรอบรองฯ เอาชนะ ลี ซี เจี่ย จากมาแลซีย 2-0 เกม
ถึงแม้รอบชิงชนะเลิศ วิว กุลวุฒิ จะพ่ายให้กับ วิคเตอร์ อเซลเว่น แชมป์เก่าจากเดนมาร์ก 0-2 เกม ไม่สามารถคว้าเหรียญทองได้ตามที่ตั้งใจ แต่ก็นับได้ว่าเป็นผลงานที่สุดยอดอย่างยิ่ง และทำให้กลายเป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทยที่คว้าเหรียญได้ นับตั้งแต่กีฬาบรรจุมาครั้งแรกในปี 1992
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”