Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

ทรัมป์ลั่นดันกม.ประหารชีวิต เอาผิดนักโทษคดีข่มขืนและฆาตกรโหด

(26 ธ.ค. 67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศว่า หลังเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาจะมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมายเพื่อผลักดันโทษประหารชีวิตสำหรับผู้ข่มขืนและฆาตกรที่ใช้ความรุนแรง

“เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งในวันที่เข้าพิธีสาบานตน ผมจะสั่งให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันโทษประหารชีวิตเพื่อปกป้องครอบครัวและเด็กๆ ของชาวอเมริกันจากผู้ข่มขืน, ฆาตกร, และอาชญากรสุดโหด เราจะกลับมาเป็นประเทศที่มีระเบียบและกฎหมายอีกครั้ง!” ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ตอบโต้หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศอภัยโทษประหารชีวิตต่อฆาตกรที่ทำร้ายเด็กและฆาตรกต่อเนื่องหลายราย

“โจ ไบเดนเพิ่งลดโทษประหารชีวิตให้กับ 37 ฆาตกรที่โหดเหี้ยมที่สุดในประเทศของเรา เมื่อคุณได้ยินการกระทำของแต่ละคน คุณจะไม่เชื่อว่าเขาทำเช่นนี้ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ญาติและเพื่อนๆ ของพวกเขาถูกทำลายยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น!” ทรัมป์เขียนในโพสต์โดยวิจารณ์การตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46

ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มีโทษประหารชีวิตสำหรับผู้อพยพที่ฆ่าประชาชนชาวอเมริกันหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขายังกล่าวว่าโทษประหารชีวิตยังควรถูกใช้ต่อผู้ค้ายาเสพติดเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในสหรัฐด้วย

อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 37 นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่ไบเดน ไม่ได้ลดโทษให้คือ ดโจคาร์ ซาร์นาเอฟ ผู้ก่อเหตุระเบิดในงานมาราธอนบอสตันเมื่อเดือนเมษายน 2013 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน, ดายแลน รูฟ นักเหยียดผิวผู้ก่อเหตุยิงคนผิวสี 9 คนในโบสถ์ที่ชาร์ลสตันเมื่อเดือนมิถุนายน 2015, และโรเบิร์ต เบาเวอร์ส ผู้ก่อเหตุยิงที่โบสถ์ยิวในพิตต์สเบิร์กเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน

ยานพาร์กเกอร์ โซลาร์ โพรบ เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ระยะห่างเพียง 6.1 ล้านกิโลเมตร

(26 ธ.ค. 67) ยานอวกาศปาร์คเกอร์ โซลาร์ โพรบ (Parker Solar Probe) ของนาซา (NASA) ได้สร้างสถิติใหม่ในการเคลื่อนตัวเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระยะประชิดมากที่สุดเมื่อวันอังคาร (24 ธ.ค.) ที่ผ่านมา

นาซาระบุว่าปาร์คเกอร์ โซลาร์ โพรบ เคลื่อนตัวผ่านพื้นผิวดวงอาทิตย์ด้วยระยะห่าง 3.8 ล้านไมล์ (ราว 6.1 ล้านกิโลเมตร) เมื่อวันอังคาร (24 ธ.ค.) ซึ่งเป็นระยะใกล้กว่าทุกภารกิจก่อนหน้าที่เคยทำมาถึง 7 เท่า

อนึ่ง ปาร์คเกอร์ โซลาร์ โพรบ ที่ส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศตั้งแต่ปี 2018 ได้เคลื่อนตัวเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างภารกิจบินผ่านดวงอาทิตย์ 21 ครั้ง ซึ่งกำกับดูแลร่วมกันโดยนาซากับห้องปฏิบัติการฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยจอหน์ส ฮอปกินส์

ภารกิจบินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์นี้มุ่งเก็บภาพและข้อมูลชี้วัด เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของลมสุริยะ รวมถึงการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในอวกาศที่ส่งผลต่อชีวิตและเทคโนโลยีบนโลก

'เอกนัฏ' สั่งฟันโรงงานสายไฟลอบทำลายของกลาง จัดหนัก 2 ข้อหาอาญา หลังส่งทีมตรวจซ้ำพบของหายหมดคลัง

'เอกนัฏ' ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตรวจซ้ำโรงงานสายไฟในสมุทรสาคร ที่เคยถูกดำเนินคดีแล้ว พบลอบทำลายของกลางสายไฟฟ้าไร้คุณภาพ สั่งฟัน 2 คดีอาญาทันที ย้ำ โรงงานสายไฟฟ้าต้องผลิตให้ได้มาตรฐานปลอดภัย ตรวจพบดำเนินคดีเด็ดขาด

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามมาตรการเข้มงวดโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย จึงได้ส่งชุดตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว. อุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผอ.กองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และเจ้าหน้าที่ สมอ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ จ.สมุทรสาคร เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ถูกดำเนินคดีโทษฐานผลิตสายไฟฟ้าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ได้สั่งยึดอายัดสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานไว้เกือบ 2,677 ม้วน มูลค่ากว่า 2.1 ล้านบาท 

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นโดยทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ของกลางสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานที่ยึดอายัดไว้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หายไปจากคลังสินค้าทั้งหมด ซึ่งผู้บริหารโรงงานอ้างว่าได้นำของกลางที่ถูกยึดอายัดไปทำลายหมดแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง มีเจตนาต้องการทำลายหลักฐานที่ต้องใช้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนทางกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งผู้บริหารโรงงาน ขึงเทปพร้อมติดคำสั่งประกาศห้ามเคลื่อนย้ายสินค้าของกลางที่ถูกอายัดทั้งหมด จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลไว้ด้วย

”เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินคดีเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 141  และมาตรา 142 ฐานทำลายซ่อนเร้นหลักฐานทางคดีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ“ รมว.อุตสาหกรรม ระบุ

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า ขอแจ้งเตือนโรงงานผู้ผลิตสายไฟฟ้าทุกรายต้องผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ สมอ.จะสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับ มอก. มีความปลอดภัย และหากพบโรงงานใดมีเจตนาผลิตสายไฟฟ้าต่ำกว่ามาตรฐานจะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและติดตามอย่างต่อเนื่อง

เชียงใหม่-เปิดปฏิบัติการทะลายรังผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนส่งขายออนไลน์

ตำรวจภูธรภาค 5 ,ศปอส.ภ.5, บก.สส.ภ.5 เปิดปฏิบัติการทะลายรังผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนส่งขายออนไลน์ 2 จุด รวบ 2 ผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดชิ้นส่วนอาวุธปืนและเครื่องมือการผลิตกว่า 100 รายการ

โดยการอำนวยการ : พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,พล.ต.ต.ดเรศ  กัลยา ผบก.ภ.จว.น่าน, พ.ต.อ.จิตรพิสุทธิ์ อิ่มสงวน รอง ผบก.สส.ภ.5  และ พ.ต.อ.วชิรศักดิ์ ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม ตำรวจภูธรภาค 5

โดย เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5) ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.5เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปัว จว.น่าน, สภ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่,ผู้ต้องหา รวมจำนวน 2 ราย นายสนธยา สงวนนามสกุล อายุ 52 ปี ที่อยู่ ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน นายอัศวิน สงวนนามสกุล อายุ 35 ปี ที่อยู่ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่

ฐานความผิด “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” (ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่) สถานที่จับกุม บริเวณบ้านพัก ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน และ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ ทำการตรวจยึด อุปกรณ์การผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนกว่า 100 รายการ พฤติการณ์แห่งการจับกุม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ภาค 5 และ บก.สส.ภ.5  ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นร่วมจับกุมแหล่งผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนในพื้นที่ 2 จังหวัด 

จุดที่ 1 สามารถจับกุม  นายสนธยา (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ในพื้นที่  ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง ,ชุดลั่นไก จำนวน 3 ชิ้น, เสื้อปืน จำนวน 5 ชิ้น ,แม็กกาซีนปืนสีดำ ใช้กับกระสุนปืนขนาด .22 มม.จำนวน 5 ชิ้น และกล่องส่งพัสดุสำหรับรับ-ส่งสินค้า จำนวน 1 ชิ้น และจุดที่ 2 สามารถจับกุม นายอัศวิน (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี  ในพื้นที่  ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ 

พร้อมของตรวจยึดอุปกรณ์ผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืน ได้แก่ท่อนเหล็ก 5 เส้น, ตู้เชื่อมไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง,โต๊ะเลื่อยฉลุ จำนวน 1 เครื่อง ,เครื่องเชื่อมไฟฟ้า  จำนวน 1 เครื่อง , สว่านไฟฟ้า จำนวน 2 เครื่อง , สว่านไขควงไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง ,หินเจีย จำนวน 1 เครื่อง , อุปกรณ์เครื่องมืออื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืน รวมกว่า 100 ชิ้น โดยบุคคลทั้ง 2 ราย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานความผิด “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 (PCT ภาค 5) ได้ทำการสืบสวนกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมจำหน่ายอาวุธปืนหรือส่วนประกอบอาวุธปืนเถื่อนรายใหญ่ ในพื้นที่  จว.น่าน และ จว.เชียงใหม่  จนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองได้ใช้บ้านพักของตนเป็นที่ตั้งและผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อน ได้แก่ชุดลั่นไกปืน, ชุดลูกเลื่อน เสื้อปืน, แม็กกาซีนปืน ฯลฯ โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน และ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ 

โดยนำไปโพสต์ขายออนไลน์ จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบที่ตั้งและแหล่งผลิตทั้ง 2 จุด และรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับบุคคลทั้งสอง ในเวลาต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับ และได้ศาลอนุมัติหมายค้นในเวลาต่อมาจึงได้ทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ ชิ้นส่วนอาวุธปืน และอุปกรณ์การผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนกว่า 100 รายการ รับมีรายได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน 

จากการขยายผลพบว่า นายสนธยาฯ ได้ผลิตชุดลั่นไก ชุดลูกเลื่อน เพื่อประกอบเป็นอาวุธปืนโดยมีเครื่องมือการผลิตอยู่ที่บ้านพักแล้วโพสต์ประกาศขายในเฟซบุ๊กจำนวน 6 กลุ่ม ซึ่งมีสมาชิกติดตามกว่า  30,000 คน จากการตรวจสอบข้อมูลการซื้อขาย พบว่ามีรายได้กว่า 40,000 บาท ต่อเดือน โดยทำมาแล้วประมาณเกือบ 2 ปี  ส่วนนายอัศวินฯ ได้ผลิตชุดลั่นไก เพื่อประกอบเป็นอาวุธปืนโดยมีเครื่องมือการผลิตอยู่ที่บ้านพักแล้วโพสต์ประกาศขายในเฟซบุ๊กจำนวน 3 กลุ่ม มีสมาชิกติดตามกว่า 30,000 คน จากการตรวจสอบข้อมูลการซื้อขาย พบว่ามีรายได้กว่า 10,000 บาท ต่อเดือน โดยทำมาแล้วประมาณ 4 เดือน ซึ่งมีลูกค้าที่ซื้อชิ้นส่วนอาวุธปืนจากผู้ถูกจับทั้งสองไปแล้วกว่า 500 ราย ซี่งชุดจับกุมอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอแจ้งเตือนประชาชน กรณีการซื้ออาวุธปืน ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้ซื้ออาวุธปืน หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้องจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 การซื้อ ขายการครอบครองชิ้นส่วนอาวุธปืน อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธปืน ล้วนเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น  

จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าใจและคอยสอดส่องดูแลทำความเข้าใจโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ถึงโทษตามความผิดทางกฎหมาย และอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้มีการศึกษาหรือฝึกฝนและอยู่ในการควบคุมดูแลที่ถูกต้อง

(สุรินทร์) พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองกำลังสุรนารีและอำนวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค. 67) พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังป้องกันชายแดน และอำนวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพลที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติ ณ กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยมี พลตรี นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 พลตรี สมภพ ภาระเวช  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลตรี ไชยนคร  กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง/หน่วยขึ้นควบคุมทางยุทธการ และกำลังพลของกองกำลังสุรนารี ร่วมให้การต้อนรับ  

ในโอกาสนี้ ได้พบปะกำลังพล อวยพรปีใหม่ และมอบของขวัญปีใหม่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติตามแนวชายแดน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ และได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนทุกคน สุดท้าย ได้อ่านสารอวยพรปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ความว่า “เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ผมขอส่งความปรารถนาดี และความห่วงใยมายังเพื่อนทหารและตำรวจตระเวนชายแดนทุกท่าน ที่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์ และปฏิบัติการกิจหลักในการป้องกันประเทศได้อย่างดียิ่ง การปฏิบัติการกิจในรอบปีที่ผ่านมาทุกท่านเป็นกำลังสำคัญที่ได้ทุ่มเท เสียสละ  แรงกาย แรงใจ ปกป้องเอกราช อธิปไตย และรักษาดำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนสนับสนุนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา และแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศชาติ ทำให้ภารกิจทุกด้านสำเร็จลุล่วงเป็นผลดีต่อส่วนรวม อีกทั้งสามารถเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการยอมรับเชื่อมั่น ศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพบกที่พร้อมเป็นหลักด้านความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ผมขอชื่นชม และขอขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ 

สำหรับในปีพุทธศักราช 2568 กองทัพบกจะต้องเตรียมการทุกด้าน เพื่อให้พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต ในการเป็นกองทัพบกที่มีศักยภาพ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน และเป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค 

โดยการเตรียมกำลังและการใช้กำลังอย่างประสานสอดคล้องเสริมสร้างความรู้ และทักษะ ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ให้มีความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติงานทั้งมิติด้านความมั่นคง และมิติด้านการพัฒนา พร้อมกับปรับปรุงแผนปฏิบัติทางทหารให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม มีการพัฒนาด้านการข่าว การเฝ้าตรวจ และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน 

โดยบูรณาการร่วมกับมิตรประเทศ เหล่าทัพ และทุกภาคส่วน เพื่อรองรับภัยคุกคาม  และสถานการณ์ด้านความมั่นคงทุกรูปแบบ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเข้มแข็งควบคู่กับการสร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน โดยน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มายึดถือปฏิบัติพร้อมแก้ไขในสิ่งผิด และพัฒนาตนเองให้เป็นทหารอาชีพที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย และจิตใจ มีระเบียบ วินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต ดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาทและคำนึงความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจนยึดมั่นในอุดมการณ์ และจุดยืนของกองทัพบก ที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป

'พล.ต.อ.กรไชยฯ' เยี่ยมตำรวจ 2 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหายิงภรรยาเสียชีวิต

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.67) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากเหตุการณ์ปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา จำนวน 2 นาย ได้แก่ ด.ต.วิสุทธิ์ชัย ฉวีเวช และ ด.ต.กิตติศักดิ์ สุขประเสริฐ ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.สส.ภ.1

จากกรณีนางจิตรา อายุ 46 ปี ถูกนายวสันต์ อายุ 51 ปี สามี ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตภายในบ้าน ต.โคกข้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา สาเหตุมาจากความหึงหวง หลังก่อเหตุนายวสันต์ได้หลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนสอบสวน สภ.บางไทร ได้ขอศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกหมายจับนายวสันต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเบาะแสที่คาดว่านายวสันต์หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง หมู่ 3 ต.โคกช้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 600 เมตร พล.ต.ต.โชติวัตน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. บางไทร , สภ.ช้าง และชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กว่า 50 นาย ปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่านายวสันต์ ได้ชักปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเกิดการยิงโต้ตอบ สุดท้ายนายวสันต์ ถูกยิงเสียชีวิต และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย คือ ด.ต.วิสุทธิ์ชัยฯ และ ด.ต.กิตติศักดิ์ฯ ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลบางไทร และส่งต่อมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ได้กำชับให้ดูแลข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บทั้ง 2 นาย และดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาจัดสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ ที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันอันตรายแก่ชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติทางยุทธวิธี ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลประชาชนที่มีประสิทธิภาพต่อไป 

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 5 โครงการเพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว 

(26 ธ.ค.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้การต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีจเรตำรวจแห่งชาติ , รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมต้อนรับ 

ทั้งนี้ ของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ Cyber Check : เป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยคัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรปริศนาที่โทรเข้ามา รวมทั้งใช้ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลโดยตรงจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

2. โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police : แอปพลิเคชันแนะนำข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อตำรวจท่องเที่ยว แจ้งเหตุฉุกเฉิน และแชร์โลเคชันแบบออนไลน์ เพื่อรับความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที

3. โครงการบูรณาการระบบบริหารรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 1155 และศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ : เมื่อนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน สามารถประสานผ่านตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 1155 พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการดูแลและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว การปฏิบัติการฉุกเฉิน 

4. โครงการส่วนลดพิเศษสำหรับที่พัก The Cop Hotel and Villa Pattaya : สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีที่พักติดทะเล ริมถนนใหญ่ในพื้นที่ ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเปิดให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าพักได้ ในราคาพิเศษ

5. โครงการห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง 205 แห่ง ทั่วประเทศ : ตำรวจทางหลวงมีการให้บริการสำหรับผู้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ สามารถพักผ่อนระหว่างการเดินทางไกลอย่างปลอดภัย ณ 205 หน่วยบริการตำรวจทางหลวง เข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 ถึง 10 มกราคม 2568 รวมทั้งมีจุดกางเต็นท์สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยบริการฟรีทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน และขอบคุณเจ้าหน้าที่และตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันทำงานขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา ขอให้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ ตรวจตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยและการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อไป

เชียงใหม่-กองบิน 41 จัดตั้งหน่วยบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568

(26 ธ.ค.67) นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีเปิดหน่วยบริการประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568 โดยมีหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กองบิน 41 ร่วมพิธี ณ สถานีบริการเชื้อเพลิงสวัสดิการ กองบิน 41

ทั้งนี้ กองบิน 41 ได้จัดตั้งจุดบริการประชาชน ภายใต้ชื่อ 'ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ' ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และช่วงเวลาในการเดินทางของประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินงานตั้งจุดบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน 

โดยมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ ได้แก่ การช่วยกวดขันความพร้อมของผู้ขับขี่ การตรวจสภาพความปลอดภัยของยานพาหนะ การบริการเครื่องดื่ม การบริการทางการแพทย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัย เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและมีความปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาล

'พิชัย' มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 ให้กับ 41 สุดยอดผู้ส่งออกไทย ขอบคุณสร้างเงินเข้าประเทศเพื่อคนไทยร่วม 43,000 ล้านบาท ในปี 67

(26 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 หรือ รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่นประจำปี 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผู้ประกอบการส่งออกไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 32 ภายใต้แนวคิด “Forward and Beyond, The Power of Perfection: ก้าวล้ำสู่สากล สร้างพลังสู่ความสำเร็จ” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการไทยในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่ระดับสากล  ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดระดับประเทศสำหรับผู้ประกอบการส่งออกของไทย โดยปีนี้ มีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 41 รางวัล จาก 7 สาขา ครอบคลุม 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการส่งออก โดยดำเนินนโยบายเชิงรุกในการขยายตลาดการค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ อาทิ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ควบคู่ไปกับการรักษาและพัฒนาตลาดเดิม รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น สำหรับรางวัล PM’s Export Award  ถือเป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการทั้งสินค้าและบริการประเภทต่างๆ รางวัลนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ ให้มีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ด้านนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 32 นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นรางวัลสำหรับผู้ประกอบการส่งออกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำภาพลักษณ์สินค้าและบริการไทยที่มีความโดดเด่นในมิติต่างๆควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กรและการตลาด พัฒนากระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล ให้เกิดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศต่อสินค้าและบริการที่มาจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลนี้และยังคงดำเนินธุรกิจถึง 333 บริษัท รวม 879 รางวัล

โดยในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการในประเภทรางวัลต่างๆ รวมทั้งสิ้น 150 ราย ผ่านการพิจารณาคัดเลือกและตัดสินให้เข้ารับรางวัลทั้ง 7 สาขา รวม 41 รางวัล 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย
 
1. รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม Best Exporter จำนวน 9 รางวัล 
2. รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม Best Thai Brand จำนวน 5 รางวัล 
3. รางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน (Best Green & Sustainable Exporter) จำนวน 9 รางวัล 
4. รางวัลออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) จำนวน 8 รางวัล 
5. รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise) ประกอบด้วย สาขาโรงพยาบาล/ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกเฉพาะทาง (Health & Wellness) สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟท์แวร์ (Digital Content & Software) และสาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (Printing and Packaging) รวมจำนวน 3 รางวัล
6. รางวัลสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) จำนวน 3 รางวัล 
7. รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) รวมจำนวน 4 รางวัล 

“ท่านนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งออก ประเทศเราต้องพึ่งส่งออกแต่ทำอย่างไรจะส่งออกได้มากขึ้น การไปสู้กับคนทั้งโลกไม่ง่าย พวกท่านมีความกล้าหาญ มีความสามารถมาก และปีนี้การส่งออกไทยดีมาก เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัว 8.2% เดือนตุลาคมขยาย 14.6% โดย 11 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกไทยขยายตัว 5.1% เราไม่เห็นตัวเลข 5% มาเป็น 10 ปีแล้ว ดีใจที่เราสามารถขยายตลาดส่งออกได้ จากที่โตแค่ 1.9% มาเป็น 10 ปี 

กระทรวงพาณิชย์เรามีหน้าที่ส่งเสริมพวกท่าน ผมได้ให้นโยบาย 80:20 นั่นคือ 80% ในการส่งเสริมพวกท่านผู้ส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขัน ให้ส่งออกได้มากขึ้น และอีก 20% จะคอยตรวจสอบดูว่ามีสินค้าไม่มีคุณภาพ มีนอมินีไหม ก่อนหน้านี้ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่นก็มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในไทย และญี่ปุ่นมีแผนลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ถึง 10 ล้านล้านเยน หรือ 2.2 ล้านล้านบาท และได้หารือกับนักการเมืองระดับสูงของญี่ปุ่น หวังว่าไทยจะเป็นซัพพลายเชนให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จากญี่ปุ่น 

และเรื่องการเจรจา FTA ล่าสุดเรากำลังจะได้ลงนาม FTA กับเอฟตา ที่เมืองดาววอส สวิตเซอร์แลนด์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของยุโรป ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงมาก ถัดจากนี้กำลังดำเนินการกับอีกหลายประเทศ อาทิ  อียู เกาหลีใต้ ยูเออี และยูเค เป็นต้น เพื่อให้พวกท่านส่งออกสินค้าได้ง่ายขึ้น มีอาวุธเพิ่มเติมแข่งขันได้ และผมจะเดินทางไปอเมริกา เพื่อไปเจรจาไม่ให้ขึ้นกำแพงภาษีกับเรา รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เราทำงานกันเชิงรุก จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพใช้ Thailand brand by….(ชื่อบริษัท) ช่วยการันตีให้ผู้ซื้อ ซื้อของได้อย่างสบายใจ ถ้าพวกท่านประสบความสำเร็จประเทศชาติก็สำเร็จไปด้วย“ นายพิชัย กล่าว

โดยผู้ที่ได้รับรางวัล Prime Minister’s Export Award ประจำปี 2567 นับว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศ โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - ตุลาคม) มีมูลค่าการส่งออกรวมประมาณ 43,207 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของรางวัล Prime Minister’s Export Award ในการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศผ่านสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล และมีส่วนเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานในประเทศไม่น้อยกว่า 22,700 ราย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถค้นหาข้อมูลช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ pmaward.ditp.go.th หรือ โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2136 5226, 0 2507 8260

'เฉลิมชัย' ย้ำ ปชป. ขึ้นปีที่ 79 อุดมการณ์ยังมั่นคง เทใจให้สื่อร่วมกันทำงาน 'เดชอิศม์' ยันพรรคเติบโตปีเดียวสมาชิกตลอดชีพเพิ่ม 2 หมื่นคน

เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (24 ธ.ค. 67) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับสื่อมวลชน ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าอาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สำนักงานใหญ่ของพรรค ถือว่าเป็นงานประเพณีของพรรคที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับในปีนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น โดยมี กรรมการบริหาร สส. ไปจนถึงอดีต สส. เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง 

ในช่วงหนึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (รมว. ทส.) กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความผูกพันกับสื่อมวลชนมาเป็นเวลานานมาก บางท่านเรารู้จักกันมานานถึง 10-20 ปีแล้ว วันนี้จึงอยากให้สื่อมวลชนได้มาเห็นว่าประชาธิปัตย์ของเราเปิดพื้นที่จริงๆ ไม่ได้เปิดแต่ปาก พร้อมกับปรับเปลี่ยนการทำงานทั้งหมด 

“ประชาธิปัตย์คนเดิมมีอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง คนใหม่ที่เข้ามาคือปรับการทำงาน จุดยืน อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมจะไม่ยอมเป็นหัวหน้าพรรคที่เปลี่ยนแปลงจุดยืนและอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์เด็ดขาด แต่ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยน หรือผมไม่กล้าเปลี่ยน ประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ 100% ผมอยากให้ประชาธิปัตย์เดินต่อ มาเดินข้างผม มาเดินไปพร้อมๆ กับผม เชื่อเถอะครับว่า อนุรักษ์นิยมทันสมัย ยังอยู่ได้ในประเทศไทย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว 

พร้อมกับได้อวยพรสื่อมวลชน ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านให้ความเคารพนับถือ พระแม่ธรณีบีบมวยผมที่เป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ พระบารมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้โปรดประทานพรให้พี่น้องและเพื่อนสื่อมวลชน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  สส. สมาชิกพรรคทุกท่านให้โชคดี คิดสิ่งใดขอให้สำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง เดินทางไปไหนให้แคล้วคลาดปลอดภัย 

จากนั้น นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับกล่าวว่า หลายคนบ่นกับตนว่าเมื่อก่อน นายกชายเข้าง่าย สัมผัสง่าย โดยเฉพาะช่วงก่อนร่วมรัฐบาล พวกเราขยี้นายกชาย ได้อย่างเต็มที่ แต่พอไปเป็นรัฐมนตรี 3 เดือน แทบจะหาตัวไม่ได้เลย เรื่องนี้ขอชี้แจงว่า 

1. ตนยังเป็น สส. เขตอยู่ เมื่อเสร็จงานที่กรุงเทพฯ ก็กลับไปอยู่ในเขตของตัวเอง และเพิ่งไปเห็นว่า จนท. พรรค ไปแค่ 3 วัน ก็มีประชาชน มีแกนนำมาสมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 4,000 กว่าคนแล้ว แบบนี้จะบอกว่ากระแสประชาธิปัตย์ตกต่ำได้อย่างไร 

2. ตนยังทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ร่วมกับหัวหน้า และเพื่อนชาวประชาธิปัตย์ ฟื้นฟูพรรคให้ได้ เมื่อไปดูตัวเลขสมาชิกพรรค ตั้งแต่ ดร.เฉลิมชัย มาเป็นหัวหน้าพรรค จนถึงวันนี้ มียอดผู้สมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ เกิน 20,000 คน แล้วประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ได้อย่างไร

“หลายคนดูถูกว่าเฉลิมชัย ศรีอ่อนมาเป็นหัวหน้าพรรค ทำให้พรรคตกต่ำอยู่แล้วยิ่งตกต่ำเข้าไปอีก พูดถึงขนาดว่าประชาธิปัตย์ต้องสูญพันธุ์ แล้วไปดูสิครับ วันนี้ จนท. พรรค คีย์รับสมัครไม่ทันเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่สูญพันธุ์แน่นอน ประชาธิปัตย์เริ่มเชิดหัวขึ้นแล้ว” 

3. ตนได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาธิปัตย์ ให้ไปทำหน้าที่เป็น รมช. สธ. ผมดูแล 2 กรมเล็กๆ คือกรมแพทย์ทางเลือกฯ และกรมอนามัย กับอีก 5 สถาบัน แม้จะเป็นกรมเล็กๆ แต่มีผลต่อสุขภาพของคนไทย 

“ขอถือโอกาสนี้อำนวยอวยพรให้พี่น้องสื่อมวลชน ข้อ 1 ต้องมีสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรง ข้อ 2 ให้มีความก้าวหน้าในการงานของท่าน ข้อ 3 ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยทุกคน ข้อ 4 ขอให้ลูกหลานของทุกท่านประสบความสำเร็จด้วย” เลขาธิการพรรค กล่าว 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top