Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

9 ธันวาคม ของทุกปี วันต่อต้านการทุจริตสากล ร่วมรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน

วันที่ 9 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันแห่งการต่อต้านการทุจริตสากล หรือ International Anti-Corruption Day ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่สมัชชาสหประชาชาติ (UN) มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC, 2003) อย่างเป็นเอกฉันท์ 

จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก UN 191ประเทศรวมถึงประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญา ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริดา ประเทศเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ UN จึงประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล

สำหรับ วันต่อต้านการทุจริตสากล มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ คือ เพื่อรณรงค์ต้านการทุจริต และสร้างความตระหนักรู้แก่ผู้คนในเรื่องการทุจริต ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังทำลายรากฐานของประชาธิปไตยอีกด้วย

วธ.ชวนประชาชนร่วมงานฉลองต้มยำกุ้ง - เคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมต่อยอดเศรษฐกิจวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  

ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 กระทรวงวัฒนธรรม ชวนพี่น้องชาวไทยร่วมงานฉลอง ต้มยำกุ้ง - เคบายา มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ชิมฟรีต้มยำกุ้ง ปรุงโดยเชฟตุ๊กตา และเชฟเมย์ เชฟกระทะเหล็ก  ร่วมด้วยนางสาวไทย (ดินสอสี) ปี 67 พร้อมรองอันดับ ๑ และ อันดับ ๒ เดินแฟชั่นโชว์ชุด เคบายา สวยงามประทับใจชาวไทยและต่างชาติ สร้างกระแสให้ทุกภาคส่วนร่วมสืบสานต่อยอดมรดกวัฒนธรรมให้ยั่งยืน

(วันที่ 6 ธันวาคม 2567 เวลา 18.00 น.) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัดพิธีเปิด งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ในโอกาสที่ ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน 'ต้มยำกุ้ง' (Tomyum Kung) และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 ในพิธีเปิดงาน นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธาน โดยมี นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมด้วย Ms. Soohyun Kim ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก กรุงเทพมหานคร เชฟชุมพล เชฟระดับมิชลิน และเป็นผู้ทำอาหารไทยเสิร์ฟในเวทีเอเปค 2022 (APEC 2022) พร้อมคณะทูตานุทูต 8 ประเทศ ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เมียนมา จีน สิงคโปร์ กัมพูชา และมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์

นางสาวสุดาวรรณ ประธานได้กล่าวแสดงความยินดี ในงานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา ว่า เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ณ เมืองอะซุนซิออง สาธารณรัฐปารากวัย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา  ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 และได้ดำเนินการร่วมกับชุมชนเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งปัจจุบัน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เป็นมรดกวัฒนธรรมฯ รวม 6 รายการ คือ “โขน” ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ “นวดไทย” ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ “โนรา” ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และ “สงกรานต์” ปี พ.ศ. ๒๕๖๖ และในปี 2567 คือ ต้มยำกุ้ง และ เคบายา

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ในวาระแห่งการฉลองการประกาศขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย ขอประกาศเจตนารมณ์ในการรักษาและสืบทอด รายการมรดกภูมิปัญญาฯ “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” โดย ๑.ประเทศไทย จะร่วมกันธำรงรักษา ถ่ายทอด และสร้างสรรค์มรดกภูมิปัญญา ให้มีการปฏิบัติและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยมาตรการส่งเสริมและรักษาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ความเคารพและยอมรับต่อวิถีปฏิบัติของทุกชุมชน ๒.จะส่งเสริมให้เกิดความตระหนักรู้ถึงคุณค่า และความสำคัญของมรดกภูมิปัญญา ในฐานะตัวแทนมรดกวัฒนธรรมฯ ซึ่งสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และบ่อเกิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ๓.จะเปิดโอกาสอย่างทั่วถึงแก่คนทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกภาษา และทุกศาสนา ให้ร่วมกันส่งเสริม รักษา และสืบทอดมรดกภูมิปัญญา ทั้ง 2 รายการ ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยเคารพต่อธรรมเนียมปฏิบัติของชุมชน ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 

“รัฐบาลและประชาชนไทย จะร่วมกันดำเนินการในทุกวิถีทางอย่างเต็มความสามารถ ให้เจตนารมณ์ทั้ง ๓ ข้อ บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อสนับสนุนให้มรดกภูมิปัญญา “ต้มยำกุ้ง” และ “เคบายา” ดึงดูดให้ผู้คนจากทุกมุมโลกเข้ามาในประเทศ  ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชนในการให้บริการ ด้วยการพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมอาชีพ กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน และส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนวัฒนธรรม” รมว.วธ.กล่าว 

รมว.วธ.กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนในการส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม จะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่างๆ  และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย และในส่วน ภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนโดยมุ้งเน้นบูรการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย ด้วยการเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา พร้อมถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชนอีกด้วย

ทั้งนี้ บรรยากาศในพิธีเปิดงานฉลองฯ เริ่มด้วยการแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงแฟชั่นโชว์ ชุดเคบายา โดย นางสาวพนิดา เขื่อนจินดา (ดินสอสี) นางสาวไทย ปี ๒๕๖๗ พร้อมด้วยรองนางสาวไทย อันดับ ๑ และ อันดับ ๒ และผู้แสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์  จากนั้น ประธานกล่าวแสดงความยินดี และได้สาธิตสาธิตการทำต้มยำกุ้ง    พร้อมให้ผู้เข้าร่วมพิธีเปิดได้ชิมฟรี  ทั้งนี้ ภายในงานมี นิทรรศการ นำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “ต้มยำกุ้ง และเคบายา” สาธิตการปรุง/ประกอบอาหารต้มยำกุ้ง ให้ประชาชนชิมฟรี โดยเชฟตุ๊กตา (ร้านบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก ในวันที่ 6 ธ.ค. และพบเชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก 7-8 ธ.ค. นี้  นอกจากนี้ ยังมีการสาธิตการปักและจัดทำชุดเคบายา พร้อมซุ้มอาหารและจำหน่ายเครื่องแต่งกายเคบายา จากจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และสตูล  ผู้ที่มาเที่ยวงานยังได้อิ่มอร่อยกับร้านอาหารที่ได้รับการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ระดับชาติ อีก 20 บูธ ตลอดทั้ง 3 วัน 

ภายในงานยังมีนิทรรศการให้ความรู้รายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก (UNESCO) จำนวน 4 รายการ ได้แก่ โขน (2561) นวดไทย (2562) โนรา (2564) และสงกรานต์ (2566) รวมด้วยการแสดงทางวัฒนธรรม สร้างสีสัน ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรฝั่งแพลตฟอร์มเดลิเวอรี แกร็บ ประเทศไทย ในการร่วมฉลองต้มยำกุ้งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ผ่านการมอบโค้ดส่วนลดเมื่อสั่งเมนูต้มยำกุ้งผ่านแกร็บฟู้ด เพียงใส่โค้ด 'TOMYUM' รับส่วนลดสูงสุด 30 บาท เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 6 - 25 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ร้านค้าที่เข้าร่วมในแคมเปญ ประมาณ 24,000 ร้าน’

พาณิชย์ลุยสางปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม สร้างความเป็นธรรมผู้ประกอบการไทย เตรียมเรียกประชุมใหญ่ 9 ธ.ค.นี้

 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ในประเทศไทย โดยส่วนหนึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ หลอกลวงภาคธุรกิจและประชาชน ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งตนได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ขึ้นมา 2 คณะ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (NOMINEE) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศโดยมีท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เป็นประธาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยในวันที่ 9 ธันวาคม จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 2/2567 เพื่อเร่งออกมาตรการที่จะส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

รมว. พาณิชย์ กล่าวว่า ล่าสุด 2 หน่วยงาน คือ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท ทุนจดทะเบียนรวม 1,189 ล้านบาท ความเสียหายรวมกว่า 3,600 ล้านบาทโดยผู้กระทำความผิดได้ร่วมกันจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจต่างๆ อาทิ ร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจนำเที่ยว โกดัง/คลังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ/เงินดิจิทัล และถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย และหลายนิติบุคคลไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง และมีการจดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อเปิดบัญชีม้านิติบุคคล รับโอนเงินจากแก๊งมิจฉาชีพในคดีอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ และการฟอกเงิน 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ CIB ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การป้องกันและปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) เชื่อมต่อระบบข้อมูลนิติบุคคลกับระบบข้อมูลกลางของตำรวจสอบสวนกลาง (Big Data) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันปราบปรามนิติบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) และเปิดใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อมุ่งปราบปรามปัญหา ‘นอมินี’ และ ‘บัญชีม้านิติบุคคล’ ให้หมดสิ้นไปตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งการปฏิบัติการข้างต้นเป็นผลมาจากการลงนามฯ และร่วมกันดำเนินการจนเห็นผลเป็นรูปธรรม

นายพิชัย เสริมว่า ตนได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดด้านการจดทะเบียนธุรกิจอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาบัญชีม้านิติบุคคลที่อาจจะเกิดขึ้นและปิดโอกาสไม่ให้มิจฉาชีพนำความน่าเชื่อถือจากการจดทะเบียนนิติบุคคลไปใช้หลอกลวงประชาชน รวมถึงติดตามตรวจสอบนิติบุคคลที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงในการเป็นนอมินี และร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้อย่างทันท่วงที ลดปัญหาทางสังคม และลดการทำลายเศรษฐกิจในประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร 4 จังหวัด มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะแก่ผู้พิการด้อยโอกาสในส่วนภูมิภาค จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์

ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า  ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์พร้อมค่าพาหนะ คนละ 500 บาท แก่ผู้พิการด้อยโอกาสในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช รวมจำนวน 400 คัน ในโครงการ ป่อเต็กตึ๊ง สงเคราะห์สังคม รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 1,160,000 บาท เพื่อบรรเทาความยากลำบากในการดำรงชีวิต และเพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และในโอกาสเดียวกันนี้ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มูลนิธิฯ ยังได้มอบจักรยานใน “โครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร” ให้กับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ รวม 5 แห่ง รวมจักรยานจำนวน 100 คัน อุปกรณ์กีฬา จำนวน 5 ชุด หน้ากากอนามัย 2,500 ชิ้น 

พร้อมค่าพาหนะโรงเรียนละ 2,000 บาท คิดเป็นมูลค่า 165,950 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาการเดินทางมาโรงเรียน แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร การแบ่งปัน และการดูแลสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินงานทั้งสองโครงการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,325,950 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันเก้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน)โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ /สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต'

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และเฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

สมุทรปราการ-แน่นวัด!! แต่งตั้ง 'พระครูจาบ' เจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 คณะศิษย์ยานุศิษย์ถวายมุทิตาสักการะ

เมื่อวันที่ (6 ธ.ค.67) ที่ผ่านมา ทางคณะพระภิกษุสงฆ์วัดหนามแดง พร้อมด้วย คณะกรรมการไวยาวัจกร อุบาสก อุบาสิกา คณะศิษย์ยานุศิษย์ คณะครู เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ข้าราชการตำรวจ คณะเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการตลอดจนพี่น้องประชาชนจำนวนมาก 

ร่วมในพิธีแห่และร่วมถวายมุทิตาสักการะแด่ท่าน พระครูวิทูรกิจจาทร (บุญเลิศ ปญฺญาธโร แก้วน้ำค้าง ) (พระครูจาบ) น.ธ.เอก ป.บส. พธ.บ. พธ.ม. โดยได้รับตราตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 โดยคณะสงฆ์วัดหนามแดงได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานเพื่อน้อมอุทิศให้แด่อดีตเจ้าอาวาส ณ.อุโบสถวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี สมุทรปราการ 

โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระเทพวชิโรดม เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย คณะสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา อาทิ พระวชิรธรรมวิธาน เจ้าคณะอำเภอบางบ่อ เจ้าอาวาสวัดสุคันธาวาส พระมงคลธรรมธัช เจ้าคณะอำเภอบางเสาธง เจ้าอาวาสวัดศิริเสาธง พระศรีรัตนเมธี เจ้าคณะอำเภอบางพลี เจ้าอาวาสวัดกิ่งแก้ว พระวชิรกิจสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นต้น

ทั้งนี้ภายในพิธีถวายมุทิตาสักการะมี นายวันชัย คงเกษม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส เป็นผู้อ่านสารตราตั้งเจ้าอาวาส ในการดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนามแดง มีนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแก้ว สภ.บางพลี คณะครู นักเรียนโรงเรียนในเขตพื้นที่วัดหนามแดง และใกล้เคียง คณะศิษยานุศิษย์ และคณะสงฆ์วัดหนามแดง ร่วมเป็นสักขีพยานในการประกาศแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหนามแดง รูปที่ 8 คือท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) เจ้าอาวาสวัดหนามแดงองค์ปัจจุบัน

'สมศักดิ์' สั่งการ สธ. รับ4 ลูกเรือประมงไทยกลับคืนสู่มาตุภูมิ จัดทีมแพทย์ พยาบาลพร้อมอุปกรณ์พร้อมตรวจสุขภาพทันทีเมื่อถูกส่งตัวมาถึงฝั่งไทย

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความยินดีต่อครอบครัวและประชาชนชาวไทยที่ลูกเรือประมงไทย 4 คน ได้รับการปล่อยตัวจากทางการประเทศเมียนม่าแล้วเมื่อเย็นวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนที่เรือประมงไทยถูกเมียนม่าจับกุมทั้งลูกเรือ และยึดเรือประมงไปด้วยนั้น รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมตรีและผู้รับผิดชอบในหน่วยงานทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่ที่เกิดเหตุได้พยายามติดต่อประสานงานกับทางฝั่งเมียนม่าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เมียนม่าปล่อยตัวลูกเรือประมงไทยโดยเร็วที่สุด ในส่วนของนายสมศักดิ์และทรวงสาธารณสุขนั้นมีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของลูกเรือประมงว่ามีโรคภัยอะไรหรือไม่ 

“หลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานงาน ให้จัดแพทย์และพยาบาลเพื่อเตรียมพร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย  กระทรวง สธ.ก็ดำเนินการโดยมีความพร้อมทั้งบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขอให้ความมั่นใจว่าในการตรวจสุขภาพทั้งทางกายและสุขภาพจิต สธ.จะทำอย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องดูแลและปกป้องคุ้มครองอย่างดีที่สุด”

โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ธันวาคม ลูกเรือประมงทั้ง 4 คนได้พักรอที่เกาะสอง จังหวัดระนอง มีการส่งมอบข้ามมายังจังหวัดระนองในวันที่ 6 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม ได้เตรียมพาหนะพร้อมแล้ว ทั้งกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางไปรับที่เกาะสอง หรือรอรับที่ท่าเรือระนอง โดยยึดถือหลักความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมการจัดแพทย์และพยาบาลไว้พร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และทีมสุขภาพจิตของ รพ.ระนอง ได้ทราบข้อมูลพื้นฐานของทั้ง 4 ครอบครัว และได้เตรียมพร้อมให้การประเมินและดูแลทั้ง 4 ครอบครัวแล้ว

กองเรือยุทธการ ร่วมภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม ตามรอยพ่อ สืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน 5 ธันวาคม

เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.67)  พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการ กองเรือยุทธการ เป็นประธาน ในการจัดกิจกรรม 'ตามรอยพ่อสืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน' ณ ลานอุทยานประวัติศาสตร์ เรือของพ่อ ต.91 

ประกอบด้วย กิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติ มีกำลังพลจากหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน พี่น้องประชาชนในพื้นที่สัตหีบ คณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง นักเรียนของโรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ ร่วมกันจัดกิจกรรมร้องเพลงชาติ กล่าวน้อมรำลึก ฯ การมอบรางวัลการประกวดวาดภาพ และการประกวดการเขียนเรียงความ 

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินไทย ผู้ทรงปกครองแผ่นดินด้วยหลักธรรม พระสติปัญญา เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทย ทรงดำเนินงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เพื่อพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งโครงการต่อเรือชุดเรือ ต.91 จำนวน 9  ลำ ประกอบด้วยเรือ ต.91 ถึง เรือ ต.99 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเรือชุดดังกล่าว ในประเทศไทยทั้ง 9 ลำ ถือว่าเป็นการสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการในพระราชดำริ ให้ดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

คุมกำเนิดเด็กแว้น! รรท.ผบช.ภ.2 แถลง ตำรวจสระแก้ว เปิดปฏิบัติการ 'เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง' ยึดรถแต่งซิ่ง 160 คัน

(6 ธ.ค.67) ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ บุญญานุสนธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว (ผบก.ภ.จว.สระแก้ว) แถลงผลปฏิบัติการ “เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง” กวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่ง ต้นเหตุก่อความเดือดร้อนรำคาญ ก่ออุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ จว.สระแก้ว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค 2 จึงกำชับปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ดัดแปลง แต่งซิ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน และความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกที่เกี่ยวข้อง และสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วสั่งการไปยังกองกำกับการสืบสวน และสถานีตำรวจทุกแห่ง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย ยึดของกลางได้ ดังนี้ 

1. รถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย 160 คัน 
2. ท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน 95 ชิ้น 
3. อาวุธปืน 13 กระบอก กระสุน 7 นัด 

นอกจากนี้ ในระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างรถแต่งซิ่ง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ตำรวจ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว ได้กุมแก๊งขโมยสายไฟ คุมตัวผู้ต้องหา 3 คน ขณะกำลังปีนรั้วเข้าไปในบ้านอดีตนักการเมืองเพื่อขโมยสายไฟ จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางรถยนต์ที่ใช้ในการตระเวนลักทรัพย์ พร้อมสายไฟ 7 ม้วน ยาวประมาณ 270 เมตร ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

อย่างไรก็ตามตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการระดมกวาดล้างห้วงก่อนเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 25 พ.ย. - 4 ธค 67 มีผลการปฏิบัติสามารถจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 391 หมาย หมายจับคดียาเสพติด 13 หมาย หมายจับคดีอาญาทั่วไป 154 หมายและหมายศาล 224 หมาย ซึ่งมีผลการจับกุมเป็นอันดับ 2 ของตำรวจภูธรภาค 2

ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ หลังจากนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกัน แต่จะเป็นการ ปฏิบัติการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรม รูปแบบต่าง ๆ และอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและประชาชน โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ "เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน"

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่ภาคใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-ช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานเร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด เผย ‘นายกรัฐมนตรี’ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบ 

(6 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย , ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) , พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) , นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดยะลา  โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหาพร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ อาคารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา ก่อนเดินทางต่อไปยังอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา เพื่อพบปะประชาชนและมอบถุงยังชีพให้ผู้แทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายแห่งของพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนผ่านอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีความเสี่ยงฝนตกหนักและฝนตกหนักมากบางแห่ง รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อคลี่คลายโดยเร็วที่สุด 

นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้ได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบจังหวัด ศอ.บต. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ให้พร้อมต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และมอบ สทนช. ประสานกรมชลประทาน จังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย เพื่อแก้ไขสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมกันนี้ สทนช. จังหวัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ต้องประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 และป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง และการจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง และเมื่อมีผลกระทบกับประชาชน ต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

“นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับ สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัด ประชาสัมพันธ์สถานการณ์อุทกภัยและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ประสานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และจะดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อทุกครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 7 อำเภอ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ จังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชน โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ปริมาณฝนจะลดลง รวมทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่าจะกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในช่วงวันที่ 13 – 16 ธ.ค. 67 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากนั้นแนวโน้มฝนจะลดลงตามลำดับ สำหรับเขื่อนบางลางจะยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งจะต้องมีการติดตามประเมินสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายให้เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับน้ำทะเลด้วย 

โดยขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนบางลางยังไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำบริเวณหน้าเขื่อนปัตตานี โดยเขื่อนปัตตานีได้มีการหน่วงน้ำไว้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 67 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพะเขตตัวเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และในการบริหารจัดการน้ำ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยของเขื่อนทุกแห่ง ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ส่วนหน้าจะบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่และระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร. 9 วันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และวันดินโลก 5 ธันวาคม 2567

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค1) กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุน กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เทศบาลตำบลบางเสร่ เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว คณะครู และนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกใน พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ ทรงปกครองประชาราษฏร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อขจัดความทุกข์ยากแก่พสกนิกร ก่อให้เกิดคุณอเนกอนันต์แก่ ประเทศชาติ และกิจกรรมนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ความรักสามัคคี ระหว่าง กองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยกิจกรรม ประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ การตัดหญ้า กวาดใบไม้ เก็บขยะ และปลูกพืชผักผลไม้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง               

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเลี้ยงไอศกรีมให้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาลของโรงเรียนเกล็ดแก้ว สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับเด็กนักเรียนและผู้เข้าร่วมกิจกรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top