Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ - รร.สตรีวัดระฆัง - 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมมือ!! นำเยาวชน เรียนรู้ ประชาธิปไตย เข้าใจรากฐานของ ‘รัฐธรรมนูญ’

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค. 67) พรรครวมไทยสร้างชาติ จัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการและเผยแพร่ความรู้ ‘เบื้องแรกประชาธิปไตย: พัฒนาการปกครอง การปฏิรูปสยาม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมสู่การมีรัฐธรรมนูญด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7’ โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ มอบหมายให้นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวสวัตติ์ กลิ่นขจร เลขานุการผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ
ดำเนินการโครงการในครั้งนี้

เป้าหมายในการจัดโครงการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้สร้างความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ โดยมีนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน ซึ่งมีกิจกรรมดังต่อไปนี้

การรับชมภาพยนตร์ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ สร้างแง่คิดให้คนรุ่นหลังได้อย่างน่าสนใจ ร่วมกับนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ฯ 

ร่วมรับฟังบรรยายพร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนำเสนอประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านการปกครองของไทยจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 ในการวางรากฐานสู่รัฐธรรมนูญไทย 

และเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไทย องค์กรสำคัญตามรัฐธรรมนูญไทย ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงาน และได้ฟังบรรยายถึงบทบาทของรัฐสภา ที่มีผลต่อการปกครองบ้านเมืองและการบริหารประเทศในหลายด้าน

'ผู้ช่วยฯสิรภพ' ลงพื้นที่ ช่วยน้ำท่วมใต้ ออกมาตรการฟื้นฟูซ่อมบ้านเรือนระบบไฟฟ้า พร้อมมอบถุงยังชีพในพื้นที่ จ.ปัตตานี

(4 ธ.ค.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในการนี้ นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายพิเชษฐ์  ทองพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน  พร้อมด้วย นายศักดินาถ  สนธิศักดิ์โยธิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมลงพื้นที่ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ โดย นายสิรภพ  และคณะ ได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 4 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 โรงเรียนบ้านบาโงมูลง หมู่ที่ 6 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด จุดที่ 2. ศูนย์พักพิงโรงเรียนบ้านหัวคลอง หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านนอก อำเภอปะนาเระ มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด จุดที่ 3. ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเปาะ อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด และ จุดที่ 4 หมู่ที่ 4 ตำบลดอนรัก อำเภอหนองจิก มอบถุงยังชีพ จำนวน 100 ชุด รวมจำนวน ทั้งสิ้น 500 ชุด  

นายสิรภพ กล่าวว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพมาช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยได้ปักหลักอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 - 7 ธันวาคมนี้ ในส่วนของมาตรการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ของกระทรวงแรงงานนั้น ประกอบด้วย การลดอัตราเงินสมทบและขยายระยะเวลาการส่งเงินสมทบแก่ลูกจ้างผู้ประกันตนลูกจ้างผู้ประกันตนที่สถานประกอบการถูกน้ำท่วมทำให้ต้องหยุดงานไม่สามารถไปทำงานได้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย การขึ้นทะเบียนประกันการว่างงาน ผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน กรณีที่อยู่อาศัยของลูกจ้างได้รับผลกระทบเป็นเหตุให้ไปทำงานไม่ได้หรือเข้าทำงานสาย ขอความร่วมมือนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา รวมถึงฟื้นฟูในพื้นที่หลังน้ำลด ซึ่งขณะนี้บางพื้นที่เริ่มคลี่คลายลงแล้ว กระทรวงแรงงานก็จะจัดทีมช่างจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงงาน เข้าไปซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำงาน บ้านเรือน รถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร รวมถึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อนำโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยการจ้างงานภายหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

“กระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องภาคใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยหลังจากนี้ในช่วงน้ำเริ่มลดลง เราจะนำรูปแบบ “เชียงรายโมเดล” เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้กลับมาทำงานประกอบอาชีพได้ตามปกติ หรือติดต่อสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 ” นายสิรภพ กล่าว

ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ในห้วงวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 12 อำเภอ ได้รับความเสียหาย 147,002  ครัวเรือน จำนวนประชาชน 428,223 คน และมีผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย  มีข้าราชการ/เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปัตตานี  ได้รับความเสียหาย  81 คน บัณฑิตแรงงาน 64 คน และอาสาสมัครแรงงาน  64 คน ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ได้มอบเงินเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องครอบครัวแรงงาน และเครือข่ายด้านแรงงานในจังหวัดปัตตานีแล้ว จำนวน 21 ราย เป็นเงิน 52,500 บาท

สอท. ร่วมกับ กสทช. จับคอลเซ็นเตอร์จีนเทาตลอบฝังตัวเช่ารีสอร์ทหรูเชียงใหม่ ตั้งฐานหลอกลวงเหยื่อ

วันนี้ (4 ธ.ค. 67) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รักษาการ เลขาธิการ กสทช., พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ  รักษาราชการแทน ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. และ เจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมแถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวลอบตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงคนไทย หลังตำรวจร่วมมือกับ กสทช. ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตในหลายพื้นที่ ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้ามายังประเทศไทยเพื่อใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและเสถียรกว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านโทรหลอกลวงเหยื่อคนไทย การจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนหาข่าว กระทั่งพบรีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ใน อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งได้ปิดการให้บริการไปในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับมีการให้เช่ารีสอร์ททั้งรีสอร์ท  โดยไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าพัก และมีคนต่างชาติเข้าออกสถานที่ดังกล่าวอย่างผิดสังเกต ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษ พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก อาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้ขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าตรวจค้น ผลจากการตรวจค้นสามารถจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมด้วยของกลางเป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ในห้วงหลายเดือนที่ผ่าน กสทช. ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขันจับกุม ซิม เสาสัญญาณ, สถานีโทรคมนาคม และสายเคเบิลข้ามแดนผิดกฎหมาย ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจำเป็นต้องย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศไทย การจับกุมนี้ครั้ง ถือเป็นทำงานร่วมกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควบคู่กับการปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้ถือ เป็นความผิดฐานรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุโทรคมนาคม อันเป็นความผิด ตาม ม.26 แห่ง พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

พล.ต.ท.ไตรรงค์ฯ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายปราบปรามแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. 4 ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ได้สืบสวนการกระผิดในพื้นที่ จนกระทั่งพบรีสอร์ทเป้าหมายใน ต.บ้านปง อ.หางดง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเคยปิดให้บริการช่วงโควิด ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าพัก แต่มีชาวต่างชาติเข้าออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดปกติ ชุดสืบสวนจึงเฝ้าติดตามพฤติกรรม และประสานเจ้าหน้าที่ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตด้วยเครื่องมือพิเศษของ กสทช. พบว่ามีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณสูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าพัก คาดว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชา และขอหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าทำการตรวจค้น โดยพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนแอบลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟข้างๆ ปิดบังการใช้สัญญาณของคอลเซ็นเตอร์ เชื่อมโยงกับแก็งค์ที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา โดยพบคนต่างชาติ สัญชาติจีน 9 คน ตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตได้เป็นจำนวนมาก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี โดยจะได้ขยายผลถึงผู้บงการเพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชนว่า หากพบเห็นสถานที่แห่งใด มีความผิดปกติ เช่นเคยร้างไป แต่กลับมีคนเข้าออกอย่างผิดปกติ หรือมีการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า หรือขอใช้อินเทอร์เน็ตมากผิดปกติ  สามารถแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โทร.191 หรือ กสทช. 1200 ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าตรวจสอบ ป้องกันมิให้คนร้ายเข้ามาตั้งฐานหลอกลวงคนไทยต่อไป

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

(4 ธ.ค.67) เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมหาดวาสุกรี ชั้น 4 อาคาร 3 ศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วยกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการทางทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้ประชุมร่วมกับนายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เพื่อรับฟังผลการดำเนินงานขับเคลื่อนฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี และธรรมนูญโรงเรียน 9 ดีในห้วงที่ผ่านมา รวมถึงการขยายผลในห้วงถัดไป ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการขับเคลื่อนฮูกุมปากัต หรือ 'กฎสังคม' ที่ได้รับความเห็นชอบจาก 'เสาหลักชุมชน 4 ฝ่าย' คือ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และผู้นำทางธรรมชาติ เรียกว่า 'ผู้นำ 4 เสาหลัก'ประกอบด้วย ดีที่ 1 การเป็นคนดี ดีที่ 2 มีปัญญา ดีที่ 3 รายได้สมดุล ดีที่ 4 สุขภาพแข็งแรง ดีที่ 5 สิ่งแวดล้อมสมบูรณ์ ดีที่ 6 สังคมอบอุ่น ดีที่ 7 หลุดพ้นอาชญากรรม ดีที่ 8 จัดตั้งกองทุนพึ่งตนเอง และดีที่ 9 กรรมการหมู่บ้านเข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันการกระทำที่ผิดหลักศาสนา และป้องกันการบิดเบือนคำสอนทางศาสนา เพื่อให้หน่วยงานส่วนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้นำไปขยายผลเพื่อใช้กับหมู่บ้านอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อมูลและข้อคิดเห็นต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไป

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย 

พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กห. ได้กล่าวว่า ในวันพุธที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ นาง Rukhsana Afzaal (รุคซานา อัฟซอล) เอคอัคราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย (ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย) ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม 

โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้พบปะหารือกันและชื่นชมทั้งสองประเทศ ที่ได้ดำเนินความสัมพันธ์ฉันมิตรมาอย่างยาวนาน โดยกองทัพไทย กับกองทัพปากีสถาน มีประวัติศาสตร์ความร่วมมือที่ใกล้ชิด และเคยเป็นสมาชิกของภาคีองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Treaty Organization: SEATO) 

รวมทั้ง มีความร่วมมือในหลายมิติ อาทิ การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษา การประชุมในระดับต่าง ๆ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการป้องกันประเทศ ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เมื่อ 5 มี.ค.64 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการผลักดันความร่วมมือระหว่างกัน

โดยออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย ได้ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้การต้อนรับ รวมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ รวมทั้งยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองประเทศ จะได้พัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน และจะยินดีเป็นอย่างยิ่งมาก หากปากีสถาน ได้เข้าร่วมการฝึก Cobra Gold กับประเทศไทย

ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวว่า การที่จะเข้ามาขอร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าภาพร่วมคือไทยและสหรัฐฯ และเห็นชอบด้วยกับการที่จะเน้นการฝึกและสังเกตการณ์การฝึกให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และบรรเทาภัยพิบัติ (H A D R) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อการแก้ปัญหาภัยธรรมชาติ ยาเสพติด และปัญหาไซเบอร์

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมยินดีสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ ของง ออท.สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน/ไทย อย่างเต็มความสามารถ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถสานต่อการดำเนินงาน ระหว่างกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ยินดีอย่างยิ่งที่ได้หารือกับ เอกอัครราชทูต ในวันนี้เกี่ยวกับความไม่สงบในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ไทยต้องการเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่มีความสงบสุขให้เกิดเสถียรภาพ ซึ่งจุดยืนของประเทศไทย คืออยากเห็นการเจรจาด้วยความอดทนอดกลั้นการหารือ ด้วยวิธีสันติและปรารถนาให้ทุกประเทศได้ส่งเสริมให้มีความสงบสุขพร้อมดูแลประชาชนของทุกฝ่าย ให้เกิดความปลอดภัยทั้งในประเทศและภูมิภาค

‘จีซู BLACKPINK’ คว้าตำแหน่ง!! ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน

(5 ธ.ค. 67) Nubia Magazine นิตยสารชื่อดังสัญชาติอังกฤษ ได้เผยผลการจัดอันดับ 10 ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024 และแน่นอนว่าอันดับ 1 ก็ยังคงเป็น จีซู หรือ คิมจีซู (Kim Jisoo) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK วัย 29 ปี

การสำรวจดังกล่าวจัดขึ้นเป็นเวลา 5 เดือน และสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีหญิงคนดังกว่า 40 คน จากทั่วโลก ถูกเสนอชื่อเข้าชิง โดยมีผู้เข้าร่วมโหวตกว่า 900,000 คน จาก 126 ประเทศ อาทิ เม็กซิโก จีน เปรู โคลอมเบีย อียิปต์ อาร์เจนตินา บราซิล แอลจีเรีย ไทย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สเปน และ เกาหลีใต้

จีซู ได้รับคะแนนโหวตล้นหลามกว่า 300,000 โหวต จาก 106 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแฟน ๆ ชาวเม็กซิโก โคลอมเบีย และเปรู และความสวยที่แสนประจักษ์ของ ‘จีซู’ ส่งผลให้เธอคว้าอันดับที่ 1 มาครองได้นานถึง 3 สมัยติดต่อกันแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจในเหตุผล เพราะเธอทั้งสวยทั้งน่ารักมาตั้งแต่ก่อนเดบิวต์เสียอีก

นอกจากอันดับหนึ่งอย่าง จีซู แล้ว ก็ยังมีไอดอล K-Pop คนอื่น ๆ ที่ติดอันดับเช่นกัน ได้แก่ ‘โจว จื่อวี’ จากวง TWICE เจ้าของอันดับที่ 2 และ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกวงแบล็คพิงค์ อันดับที่ 3

อย่างไรก็ดี ทางนิตยสาร Nubia Magazine ได้ติดต่อไปยัง YG Entertainment ต้นสังกัดของจีซู เพื่อมอบประกาศนียบัตรให้กับเธออย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญ ที่แสดงให้เห็นว่าจีซูสามารถคว้าตำแหน่ง งผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก’ ได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.67) เวลา 13.30 นาฬิกา ณ โรงครัวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ณ บริเวณที่ทำการศาลากลางจังหวัดปัตตานี นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา คนที่หนึ่ง พร้อมด้วกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการทางทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม โดยนายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นำคณะตรวจเยี่ยมโรงครัวดังกล่าวด้วย 

ในการนี้ ผู้แทนคณะกรรมาธิการการทหารนำโดยนายสมบูรณ์ หนูนวล นางนวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบสำหรับการจัดปรุงอาหารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบอุทกภัยของโรงครัวฯ จังหวัดปัตตานีด้วยส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ผ่านพ้นเหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้

'อลงกรณ์' ขับเคลื่อน 'เอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์' ร่วมประธานหอการค้าไทยผนึก '5ภาคีไทย-อาเซียน' เปิดเวทีสัมมนาองค์ความรู้เทคโนโลยีใหม่

'อลงกรณ์' ขับเคลื่อน 'เอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์' ร่วม 'สนั่น อังอุบลกุล' ประธานหอการค้าไทยผนึก '5ภาคีไทย-อาเซียน' เปิดเวทีสัมมนาองค์ความรู้เทคโนโลยีใหม่พร้อมจับคู่ธุรกิจส่งเสริมนวัตกรรมและธุรกิจเพื่อสังคม ผู้ช่วยรัฐมนตรี 'นราพัฒน์' เปิดงาน 7 ธ.ค.ภายใต้ธีมการคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030 'FKII - ASSEAN GO : INTEGRATION & INNOVATION'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา (TVA Institute) และผู้อำนวยการ FKII Thailand กำหนดจัดงาน 'FKII - ASSEAN GO : INTEGRATION & INNOVATION' ในวันที่ 7 ธันวาคม 2567 เวลา 9.30 – 13.30 น. ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์กรุงเทพมหานคร โดยงานดังกล่าวเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง5ภาคีไทย-อาเซียนได้แก่ FKII Thailand สถาบันทิวา (TVA Institute) องค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน (Senator JCI ASSEAN) องค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) และมูลนิธิยุวไทยสากล (Thai Senate JCI Foundation) 

โดยกิจกรรมในงานประกอบไปด้วยการแนะนำองค์กรที่เข้าร่วมงาน กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Lunch Networking) การบรรยายในหัวข้อที่น่าสนใจด้านการประกอบธุรกิจเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อม และนวัตกรรม รวมไปถึงพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง FKII Thailand และองค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) แห่ง ASSEAN (Social Enterprise and Entrepreneurship Development (SEED) of ASSEAN) “มีหัวข้อบรรยายที่น่าสนใจเช่น เทคโนโลยีน้ำเพื่อชีวิต ,เทคโนโลยีคาร์บอน – เทคโนโลยีป่าไม้, เอไอสำหรับธุรกิจเพื่อสังคม, ปฏิวัติประสิทธิภาพพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและรักษาโลก, โครงการกรีนกราฟีนทรายแมวและการคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030“นายอลงกรณ์กล่าว

งานดังกล่าว นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็น ผู้แทนดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดงาน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยให้เกียรติกล่าวปาฐกถา รวมด้วยผู้นำองค์กรพันธมิตรได้แก่ Dr. Denny W.M. Tumiwa, SE., MA. ประธานองค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน (President of ASSEAN), Mdm. Sakinolin Mohamad ประธานองค์การพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมและการประกอบการ (SEED) แห่ง ASSEAN, นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ประธานมูลนิธิยุวไทยสากล (Thai Senate JCI Foundation) และนายกสมาคมธุรกิจไม้ (Thai Timber Association) และ Mr. Benjamin Lo ประธานคณะกรรมการธุรกิจอาเซียน (ASSEAN Business Committee Chairman (ABC)) ในส่วนการบรรยายด้านวิชาการและองค์ความรู้ ประกอบไปด้วย

1.การคว้าโอกาสในอาเซียน: วิสัยทัศน์ 2030 เพื่อปลดล็อกศักยภาพบุคลากรที่มีพรสวรรค์ข้ามพรมแดน (Capturing ASEAN Opportunities: Vision 2030 to Unlock Cross-Boarder Talent Potential) โดย คุณแคสเปอร์ ธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน ผู้ก่อตั้งและประธาน SEA Bridge
2.เทคโนโลยีคาร์บอน – เทคโนโลยีป่าไม้ : มาโกงเวลาจากธรรมชาติกันเถอะ (Carbon Tech – Forest Tech / Let’s Cheat Time from Nature) โดย นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและเครดิตคาร์บอน (CCC)
3.โครงการกรีนกราฟีนทรายแมว (The Green Graphene Cat Litter Project) โดย ดร.ศรวิษฐ์ ด้วงศรีพัฒน์ บริษัท กรีน พาว อินโนเวชั่น จำกัด
4.เทคโนโลยีน้ำเพื่อชีวิต (Water Technology for Life) โดย Mr.Chris Hampel, ผู้อำนวยการ อันดามัน กูร์เมต์
5.เอไอสำหรับธุรกิจเพื่อสังคม (AI for Social Enterprise) โดย คุณเกรียงไกร พิพัฒน์วิไลกุล CEO ครอส เวิร์ค เอเซีย
6.ปฏิวัติประสิทธิภาพพลังงานเพื่อประหยัดต้นทุนและรักษาโลก (Revolutionise Energy Efficiency to save Cost and Planet) โดย คุณศศิพิมพ์ อินทวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (BCDO) - BBP

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ (Lunch Networking) ในช่วงท้ายของงานที่มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและทำความรู้จักกันให้มากขึ้นและส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงธุรกิจต่อไป จึงขอเชิญท่านที่สนใจมาร่วมงานดังกล่าว

ผู้สนใจเข้าร่วมงานลงทะเบียนได้ที่ LineOA @fkii_thailand: https://lin.ee/BgPCPvd 

ติดต่อสอบถาม 
คุณวรวุฒิ ชิระนุรังสี 091-1805459 
สถานที่จัดงานสวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร
📌https://maps.app.goo.gl/YxVYudCo6RNZuUbA9?g_st=il 
#FKIIThailand #FKII #TVA #ASSEAN #SEED #สวนเสียงไผ่ #สถาบันทิวา

หมายเหตุ:
>SEED  ย่อมาจาก social enterprise and entrepreneurial development. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของASSEAN ที่มุ่งหวังพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยีเทคโนโลยีการเกษตร หรือการป่าไม้ ด้าน biotechnologyโดยผ่านผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
>ABC คือ assean business committee เป็นคณะกรรมการภายใต้ assean เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจและสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาความร่วมมือต่างๆ
>TVA: Transformation Valley 
>FKII: Field for Knowledge Integration and Innovation 
>Senator JCI ASSEAN
องค์การสมาชิกสภาอาวุโสเจซีไอแห่งอาเซียน

วธ.เผย ยูเนสโก ประกาศรับรอง ‘เคบายา’ มรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The nineteenth session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage: IGC-ICH) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา ประมาณ 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) สาธารณรัฐปารากวัย หรือตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลาประมาณ 20.40 น. (เวลาประเทศไทย) ยูเนสโก มีมติรับรองให้ Kebaya : knowledge, skills, tradition and practices หรือ เคบายา : ความรู้ ทักษะ ประเพณี และการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการเสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity: RL) ประจำปี 2567 อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ “เคบายา” เครื่องแต่งกายอันสง่างามของทางใต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในปีเดียวกันต่อจาก “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นรายการมรดกวัฒนธรรมฯ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทย ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนรา สงกรานต์ และต้มยำกุ้ง

รมว.วธ. กล่าวว่า ในการเสนอ เคบายา รายการมรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากแนวคิดนำโดยประเทศมาเลเซีย ได้มีการประสานงานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2565 กับประเทศบรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียน โดยได้รับความยินยอมจากชุมชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งชุมชนผู้ปฏิบัติและผู้แทนจากประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ณ พอร์ตดิกสัน รัฐเนกรีเซมบีลัน ประเทศมาเลเซีย โดยได้แลกเปลี่ยนและเสนอมาตรการส่งเสริมและรักษา จัดทำและสนับสนุนข้อมูลตามเอกสารแบบฟอร์มขอขึ้นทะเบียน หลังจากนั้น ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ณ กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย และการประชุมออนไลน์ โดยประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ เพื่อร่วมกันจัดทำเอกสารขอขึ้นทะเบียนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนยื่นเสนอต่อยูเนสโกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เพื่อเข้าวาระการพิจารณาปี 2567

รมว.วธ. กล่าวอีกว่า เคบายา เป็นเสื้อผ่าหน้า มีลักษณะเด่นคือการประดับด้วยงานปักและลูกไม้ที่ประณีตและสวมด้วยตัวยึด สามารถสวมใส่คู่กับโสร่งหรือผ้าท่อนล่างที่เข้าชุดกัน เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน ในโอกาสทั่วไป รวมถึงในโอกาสที่เป็นทางการและงานเทศกาลต่าง ๆ ความรู้ ทักษะ ประเพณีและการปฏิบัติเกี่ยวกับเคบายา มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงทุกวัย ทุกพื้นที่ และทุกศาสนาจากชุมชนต่าง ๆ ในหลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และภาคใต้ของประเทศไทย เคบายา จึงสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และประเพณีที่มีร่วมกันของภูมิภาค ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีส่วนสนับสนุนในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การศึกษาที่มีคุณภาพ ความเสมอภาคทางเพศ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม รวมทั้งสันติภาพและความสมานฉันท์ในสังคม เคบายา ยังเป็นรายการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมและชุมชนที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน และมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านต่าง ๆ 

รมว.วธ. ยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ พิจารณาของยูเนสโก ในครั้งนี้ ยังได้แสดงการชมเชยรัฐภาคีในการจัดเตรียมเอกสารและวิดีโอนำเสนอมาอย่างดี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเสนอรายการมรดกร่วม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในการสร้างสันติภาพและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างชุมชน กลุ่มคน และปัจเจกบุคคลจากแต่ละรัฐภาคี การขึ้นทะเบียนมรดกร่วมนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความภาคภูมิใจแล้ว ยังนำมาซึ่งความสามัคคี ความรับผิดชอบร่วมกัน และความมุ่งมั่นในการร่วมมือที่จะส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค 

และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จทางประวัติศาสตร์นี้ ประเทศผู้เสนอรายการทั้ง 5 ประเทศ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ นิทรรศการและการแสดงแฟชั่นชุด เคบายา ในช่วงระหว่างการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลฯ ครั้งที่ 19 นี้ ณ นครอซุนซิออน สาธารณัฐปารากวัย ซึ่งจะช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับมรดกร่วมและความเกี่ยวข้องกับสังคมร่วมสมัยให้กับประชาชนทั่วไป ยังเป็นโอกาสให้เกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่าง ๆ และร่วมกันพยายามส่งเสริม รักษาและสืบทอด เคบายา ให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป 

รมว.กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีแผนในการส่งเสริมและต่อยอดมรดกวัฒนธรรม หลังจากยูเนสโก ขึ้นทะเบียน ต้มยำกุ้ง - เคบายา แล้ว ด้วยการขับเคลื่อน Soft power ด้านอาหาร และ ด้านแฟชั่น ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม จะนำเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร เกม รายการโทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ ให้สอดแทรกเนื้อหา ต้มยำกุ้ง เพื่อสร้างกระแสความนิยมในวงกว้าง และบูรณาการกับภาคธุรกิจ-การท่องเที่ยว ในการนำ ต้มยำกุ้ง เป็นเมนูหลัก เมนูอาหารต้องชิม เมื่อมาเที่ยวเมืองไทย บรรจุลงในโปรแกรมการท่องเที่ยว และเป็นเมนูอาหารที่ต้องระบุไว้ในรายการอาหารขึ้นโต๊ะผู้นำ รวมทั้งผู้เข้าร่วมในการประชุมที่จัดในประเทศไทย หรือที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเชิญชวนให้ผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวและการบริการ เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง รวมถึงยอดขายวัตถุดิบต่างๆ  และยังเป็นการสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าและสาระของเมนูต้มยำกุ้งไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอีกด้วย และในส่วน ภาคชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนโดยมุ้งเน้นบูรการร่วมกับหอการค้า สมาคม ชุมชน เครือข่ายในพื้นที่ ที่มีวัฒนธรรมการแต่งกายเคบายา ร่วมจัดแคมเปญพิเศษในการส่งเสริมการขาย ด้วยการเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติสวมใส่ ชุดเคบายา พร้อมถ่ายรูปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ของชุมชนอีกด้วย

ในโอกาสที่น่ายินดีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมกิจกรรม งานฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ระหว่างที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ ระหว่าง 10.00-21.00 น. *โดยในวันที่ 6 ธันวาคม เวลา 18.00 น. จะมีพิธีเปิดงานโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเปิดงานอย่างเป็นทางการ ภายในงานวันที่ 6 ธ.ค. 67 พบกับ การสาธิตการทำต้มยำกุ้งพร้อมให้ชิมฟรี โดยเชฟตุ๊กตา (ครัวบ้านยี่สาร) เชฟกระทะเหล็ก ส่วนวันที่ 7-8 ธ.ค. ปรุงต้มยำกุ้งโดยเชฟเมย์ พัทรนันท์ ธงทอง เชฟกระทะเหล็ก พร้อมให้ชิมต้มยำกุ้งฟรี รวมถึงการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดเคบายา นำโดยนางสาวไทยและรองนางสาวไทย และร่วมชมนิทรรศการ “ต้มยำกุ้ง” และนิทรรศการ/สาธิตการปักชุด-เครื่องประดับ “เคบายา” และอาหารเปอรานากัน จากจังหวัดภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรังและสตูล อิ่มอร่อยกับอาหารที่ขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว 20 รายการ และยังได้เพลิดเพลินกับการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรมให้รับชมตลอดงาน โดยติดตามรายละเอียดได้ที่ www.culture.go.th และเฟสบุ๊คกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

‘กลุ่มเต้นแอโรบิก’ เปิดเพลงสุดมัน!! เสียงดังรบกวน ลั่น!! สนามกีฬากลาง คือ ‘พื้นที่ส่วนรวม’ ควรเกรงใจ

(5 ธ.ค. 67) สายรักสุขภาพ คนชอบออกกำลังกาย อาจจะคุ้นชินกับบรรยากาศการ ‘เต้นแอโรบิก’ ในสนามกีฬาสาธารณะ ซึ่งก็จะมีการเปิดเพลงประกอบจังหวะ ทำให้สามารถเต้นได้อย่างพร้อมเพรียงและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ทว่า ล่าสุดก็กลายเป็นประเด็นถกสนั่นในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชี X : @Mr_Whathapened ออกมาแชร์คลิปจากผู้ร้องเรียนรายหนึ่ง โวยกลุ่มคนกำลังเต้นแอโรบิก พร้อมข้อความเขียนในคลิปว่า 

สนามกีฬากลางไม่ใช่สนามกีฬาส่วนตัว ใช่ว่าทุกคนจะอยากฟังเสียงเพลงแอโรบิก ซึ่งพวกคุณเปิดดังมาก ไม่มีความเกรงใจคนที่เขามาใช้สนามกีฬาเลย

โดย บัญชี X : @Mr_Whathapened ก็ได้เขียนแคปชันชวนชาวเน็ตมาถกเถียงเสนอความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ระบุว่า 

ประเด็นนี้น่าถกว่า สนามกีฬากลางที่มีการเต้นแอโรบิกแล้วใช้เครื่องเสียงซึ่งดังมาก จนไปรบกวนการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ เหมาะสมหรือไม่ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ

ฝั่งเต้นแอโรบิกก็บอกว่า แค่ชั่วโมงเดียวเองจะอะไรนักหนา ไม่ได้เต้นทั้งวัน หรือ ไปบอกให้เบาเสียงก็ได้ แต่คนถ่ายคลิปบอกกูเคยเดินไปบอกแล้ว สรุปคือเปิดดังกว่าเดิม 

งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันสนั่น โดยเสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยว่าพื้นที่ส่วนกลางควรลดเสียงและเกรงใจผู้ใช้สนามรายอื่น กับฝ่ายที่มองว่า เป็นเรื่องปกติ และการเต้นแอโรบิกก็ใช้เวลาไม่นาน ควรแบ่งปัน

ความคิดเห็นนั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น

คนไทยจำนวนมากติดเสียงดังเกินความจำเป็นอะ ตามงานวัด งานโอท็อป กาชาด หมอลำ ฯลฯ จะเจอเปิดเพลงดังเยอะมาก แบบไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น แล้วก็อ้างสารพัดว่าปีละครั้ง หรือ แค่แป๊ปเดียว ประเด็นคือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่แป๊ปเดียวก็ไม่ควรทำป่ะ เปิดเสียงเบาลงแล้วจะเต้นไม่ได้เหรอ?

เอาแค่ให้คนที่เต้นได้ยินก็พอ ไม่ต้องสาระแนเผื่อแผ่ชาวบ้าน บีทดนตรีมันไม่ได้ชิวค่ะ มันหนวกหู แล้วมันอยู่ติดบ้านคนด้วยมั้ยล่ะ ถ้าติดด้วยนี่ควรโดนด่าเลย ไม่มีมารยาท

หลังบ้านเป็นอนามัยเมื่อก่อนมีกลุ่มแม่บ้านมาซ้อมรำทุกเย็นเปิดเพลงดังมากกกก จนเด็กที่กำลังจะอ่านหนังสือสอบอ่านไม่ได้เลยพี่เราเลยไปแจ้งเทศบาล เค้าก็เปิดเบาลงนะ คือสมัยนี้คนไทยก็ได้เรียนหนังสือกันแล้วก็น่าจะคุยกันได้นะ (ถ้ามีจิตสำนึกบ้าง)

ส่วนมากที่เจอ เสียงดังจริงค่ะ แต่ก็คิดว่าเขาเต้นไม่นานหรอก แต่เราแค่คนผ่านมาไง เราไม่ใช่คนใช้ชีวิตตรงนั้น ไม่ได้มาฟังทุกวันๆ ก็น่าเห็นใจคนที่บ้านอยู่แถวนั้นนะคะ ถ้าเบาได้ก็ช่วยเบาลงหน่อยน่าจะดี

เปิดเสียงในระดับที่ร้านคาเฟ่เขาเปิดกันก็พอแล้วมั้ย มากไปก็เป็นมลพิษทางเสียง
เปิดปกติ มันก็เต้นได้ ไม่เข้าใจจะเปิดดังๆทำไม เบียดเบียนคนอื่น เอาจริงๆ ไม่ควรเปิดเสียงรบกวนคนอื่นในที่สาธารณะเลย คนอื่นเค้าไม่ได้อยากฟังด้วย กทม. มาทำไรหน่อย

ไม่ได้รู้สึกว่าดังอะไรเลย สนามกีฬาก็ฟีลประมาณนี้อยู่แล้ว แล้วที่ว่ารบกวนกีฬาชนิดอื่น คืออะไร หมากรุก? เตะบอลก็ต้องมีเสียงเฮ ตะกร้อลอดห่วงก็ต้องมีเสียงเอ้วๆ แม้แต่อาม่ารำไทเก็กเช้าก็ยังเปิดเพลงจีน

ไม่ต้องเปิดเผื่อคนอื่นก็ได้ หนวกหู!!

งานนี้ก็คงต้องรอดูว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันหรือไม่ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top