Sunday, 18 May 2025
TheStatesTimes

Stella Terra รถไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลก ทดลองวิ่งบนระยะทางกว่า 1,000 กม. ได้สำเร็จ

เข้าใจดีว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า EV คงเป็นทางเลือกใหม่ของวงการยานยนต์ในปัจจุบัน ที่ช่วยลดมลพิษ และไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง ๆ 

แต่ปัญหาของรถยนต์ EV ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของสถานีชาร์จ ที่แม้จะเริ่มมีการพัฒนาสถานีและหัวจ่ายให้ครอบคลุมขึ้น แต่ก็อาจจะยังไม่เพียงพอ

แนวคิดรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งคู่ขนานกับรถ EV โดยไม่นานมานี้ก็มีการเปิดเผยถึงรถพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลกที่ทดลองวิ่งแล้ว โดยเดินทางจากประเทศโมร็อกโกสู่ทะเลทรายซาฮาราระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรได้สำเร็จแบบไม่ต้องง้อสถานีชาร์จ

หลังจากทีมนักศึกษา Solar Team Eindhoven จาก Eindhoven University of Technology (TU/e) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ร่วมกันพัฒนาและเปิดตัว Stella Terra ในฐานะรถยนต์ออฟโรดพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลกไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดในเดือนตุลาคม Stella Terra ได้ทดลองวิ่งจากตอนเหนือของประเทศโมร็อกโกสู่ทะเลทรายซาฮารา ฝ่าภูมิประเทศหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลำธารแห้งขอด ป่าไม้ เส้นทางภูเขาสูงชัน หรือแม้กระทั่งทะเลทราย รวมเป็นระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ซึ่งทั้งหมดนี้อาศัยเพียงพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น

ชิ้นส่วนสำคัญของ Stella Terra คือแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งกินพื้นที่ด้านบนของตัวรถเกือบทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาไปจนถึงฝากระโปรง โดยแผงโซลาร์เซลล์นี้สามารถกางออกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพการชาร์จหรือใช้เป็นที่บังแดดได้ ภายในตัวรถยังมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อให้รถสามารถวิ่งระยะทางใกล้ ๆ ได้แม้แดดอ่อน และเนื่องจาก Stella Terra มีความสามารถในการชาร์จไฟขณะวิ่ง จึงไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเพียง 1,200 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเบากว่ารถ SUV ทั่วไปที่มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 1,500 ถึง 2,700 กิโลกรัม

ทีมงานเผยว่า Stella Terra วิ่งได้เร็วสูงสุดที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในกรณีที่มีแดด รถคันนี้จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 710 กิโลเมตร แต่หากขับขี่บนทางวิบากอาจวิ่งได้ประมาณ 550 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับพื้นผิวถนน นอกจากนี้ จากการทดลองยังพบว่า Stella Terra ใช้พลังงานน้อยกว่าที่คาดไว้ถึง 30% อีกด้วย

Stella Terra เป็นหนึ่งตัวอย่างของนวัตกรรมที่ช่วยปูทางให้อุตสาหกรรมยานยนต์เข้าใกล้เป้าหมายความยั่งยืนมากขึ้น และอีกไม่นานเกินรอ เราอาจสามารถเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียนได้อย่างแท้จริง

'พีระพันธุ์' โพสต์ยินดี 'ลุงตู่' ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เชื่อ!! ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของชาติ

(30 พ.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความยินดีกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรีวานนี้ (29 พ.ย.2566) โดยระบุว่า…

เมื่อคืนผมดีใจมากพอทราบข่าวพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ให้เป็นองคมนตรี ผมรีบติดต่อท่านทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่และภารกิจใหม่อันมีเกียรติยศและมีความสำคัญยิ่งทั้งต่อตัวท่านเอง ต่อประเทศ และต่อสถาบันหลักของชาติ

ผมดีใจมากเพราะมีคนดีอีกคนหนึ่งได้รับโอกาสนี้ โดยเฉพาะเมื่อท่านไม่ใช่เพียงเป็นแค่คนดีจริงๆเท่านั้น แต่เป็นคนดีที่มีความสามารถมีความรอบรู้ในการบริหารและการพัฒนาบ้านเมืองเป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญที่สุดคือเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต

ผมเชื่อมั่นและมั่นใจว่าท่านจะเป็นกำลังสำคัญของสถาบันสูงสุดของประเทศในการสร้างความมั่นคงและนำพาบ้านเมืองไปสู่ความร่มเย็นและความเจริญมากยิ่งขึ้น ผมขอแสดงความยินดีกับท่านเป็นที่สุดครับ ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’

นอกจากนี้ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ก็ได้แสดงความยินดี กับพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน โดยนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เพราะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมานาน สร้างคุณูปการให้กับสังคม และประชาชนไว้อย่างมากมาย

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยทำงานร่วมกับพรรคมาระยะหนึ่ง พวกเราได้เห็นความตั้งใจจริงในการเข้ามาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เมื่อวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้พ้นจากการเมืองไปแล้ว พร้อมทั้งได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำงานสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งองคมนตรีต่อไป

‘กทม.-มูฟมี’ เปิดหลักสูตร ‘พนง.ขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้า’ รุกพัฒนาทักษะ - หวังผลิตแรงงานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

(30 พ.ย. 66) ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงข่าวเปิดตัวหลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ ระหว่าง กทม.กับ บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ ระหว่าง บริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด กับ กทม. โดยมีผู้บริหารสำนักพัฒนาสังคม ผู้บริหารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ร่วมลงนาม

นายศานนท์ กล่าวว่า กทม.มีโรงเรียนฝึกอาชีพ และศูนย์ฝึกอาชีพ รวมแล้วกว่า 20 แห่ง มีความตั้งใจที่จะ Re skills, Up skills ปัจจุบันแรงงานขาดตลาด แต่โรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ กทม.ยังเป็นหลักสูตรเดิมๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุมาเรียนเป็นงานอดิเรก ก็ต้องมาดูบทบาทของโรงเรียนฝึกอาชีพเราว่าจะเป็นอย่างไร

นายศานนท์ กล่าวว่า การร่วมมือกับมูฟมี เป็นความตั้งใจเอาอุตสาหกรรมที่ขาดแรงงานมาเป็นโจทย์ ให้กับโรงเรียนและศูนย์ฝึกอาชีพ ที่ผ่านมา กทม.ได้ร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย อบรมหลักสูตรพนักงานโรงแรม เพื่อป้อนเข้าสู่โรงแรมที่ขาดแรงงาน ต่อมา กทม.ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และโรงพยาบาลรามาธิบดี อบรมหลักสูตรผู้บริบาลผู้สูงอายุ (Caregiver)

นายศานนท์ กล่าวว่า ทางมูฟมียังขาดคนขับจำนวนมากกว่า 1,000 คน ถ้าสามารถเทรนคนเข้าสู่ระบบได้ก็จะดีมาก จึงได้เกิดความร่วมมือนี้ขึ้น ตนมองว่ามีอีก 2 เรื่องสำคัญของมูฟมี คือ เป็นทางออกของอนาคต เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอน และการดำรงอัตลักษณ์ของประเทศเราไว้ ซึ่งเป็นรูปแบบรถตุ๊กๆ เชื่อว่าจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา

“วันนี้เป็นอีกหนึ่งการต่อยอด ทางมูฟมีได้ทำในหลายเขตเป็นรถ Feeder ช่วยการเดินทางเส้นเลือดฝอย แก้ปัญหาการขนส่งสาธารณะในเมือง อย่างที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติเคยพูดไว้ว่าเส้นเลือดใหญ่รถไฟฟ้าดีแล้ว แต่พอจะเข้าบ้านยังต้องใช้การเดิน การขี่จักรยาน นั่งวินมอเตอร์ไซต์” นายศานนท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลักสูตร ‘พนักงานขับรถยนต์สามล้อไฟฟ้าในสำนักงานและบริการสาธารณะ’ มีผู้เชี่ยวชาญจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรมการขนส่งทางบก และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำหลักสูตร เป็นหลักสูตร 30 ชั่วโมง โดยเรียนที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง 1) จำนวน 2 วัน (12 ชั่วโมง) และฝึกภาคปฏิบัติที่มูฟมี จำนวน 3 วัน (18 ชั่วโมง) เมื่อเรียนจบแล้วจะได้รับใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนฝึกอาชีพ กทม. และมูฟมี

เมื่อได้ใบประกาศนียบัตรแล้วสามารถเข้าทำงานกับบริษัท มูฟมี ฮีโร่ จำกัด หากมีคุณสมบัติครบตามที่บริษัทกำหนด ทั้งแบบประจำ รายได้ 19,000 - 22,000 บาท/เดือน ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองทันที รับสิทธิประกันสังคม หรือพาร์ทไทม์ รายได้เฉลี่ย 27,000 บาท/เดือน

ผู้สนใจสมัครผ่านระบบ Google Form ได้ถึงวันที่ 14 ธ.ค.66 รายงานตัวสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ธ.ค. 66 เวลา 09.00 น. เปิดการเรียนการสอน วันที่ 18 - 22 ธ.ค. 66 เรียนวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-247-9496 ปัจจุบันมีผู้สมัครเรียนแล้ว 161 คน

'สุวัจน์' เคลียร์ปม 'กรณ์' ทิ้งชาติพัฒนากล้า ชี้!! เป็นความตั้งใจเดิม ไม่เกี่ยวอ้าแขนรับ 'สส.แจ้'

(30 พ.ย. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี เขต 2 ที่โดนขับออกจากพรรคก้าวไกลจากกรณีปัญหาคุกคามทางเพศ ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า ทางพรรคฯ โดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ และได้รับเข้าเป็นสมาชิกพรรคฯ ก็ได้แจ้ง กกต. และได้แจ้งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรให้รับทราบ

ส่วนเหตุที่รับเข้ามาก็มีการติดต่อและสมัครมาที่พรรคฯ และเราก็ดูในเรื่องคุณสมบัติโดยนายทะเบียนพรรคฯ ก็ได้ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติถูกต้องและคิดว่ารัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดเอาไว้ให้หาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ฉะนั้นตนก็คิดว่าก็เป็นโอกาสของนายวุฒิพงศ์ฯ ในการที่จะมาทำงานที่พรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อพิสูจน์ผลงานให้กับพี่น้องประชาชนได้เห็นและทำงานตามแนวทาง นโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนา

ส่วนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และกลัวประเด็นดรามาของแฟนคลับพรรคชาติพัฒนากล้าก็มีจำนวนมากนั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ได้พูดคุยและได้รับทราบว่านายวุฒิพงศ์เองก็ได้ชี้แจงต่อสาธารณะไปแล้ว และสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นนั้นก็เกิดมาก่อนที่จะมาอยู่กับพรรคชาติพัฒนา และในส่วนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันกับพรรคชาติพัฒนาแต่อย่างใด ฉะนั้นก็คิดว่าเป็นโอกาสที่นายวุฒิพงศ์จะได้พิสูจน์ตนเองในการทำงานให้พี่น้องประชาชนเห็น และก็ทำงานตามแนวนโยบายต่าง ๆ ของพรรคชาติพัฒนาต่อไป

ส่วนจะมีมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น หรืออาจจะมีตามมาอีกด้วยนั้น ตนเองไม่ทราบ ตอนนี้ไม่มีมาเพิ่ม ตอนนี้มีแค่นี้ ส่วนจะมีหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่เหตุการณ์วันข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ก็มีที่ต้องหาสังกัดพรรคอยู่ 2 คนเห็นว่าได้ครบหมดแล้ว จากนี้ไปก็ไม่มีกรณีไหนแล้ว ซึ่งทำให้ตอนนี้พรรคชาติพัฒนามี สส.รวมเป็น 3 คน ส่วนจะมีเรื่องตำแหน่งจะมีหรือไม่หรือต่อรองอะไรนั้น ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องอะไรทั้งสิ้นก็เพียงแต่ว่า เมื่อมาสมัครที่พรรคแล้วตรวจสอบคุณสมบัติตามข้อบังคับพรรคที่เกี่ยวข้องก็ถือว่าเมื่อนายทะเบียนยืนยันว่าการตรวจสอบคุณสมบัติทุกอย่างถูกต้องก็เท่านั้น ไม่ได้ไปมีมุมอื่น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงนายกรณ์ จาติกวนิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคฯ ไปแล้วนั้น จะมีการเคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า จริง ๆ นายกรณ์พอเลือกตั้งเสร็จ ตอนเลือกตั้งนายกรณ์เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พอเลือกตั้งเสร็จเราได้กัน 2 เสียงและหลังเลือกตั้งนายกรณ์ก็มาแจ้งกับตนว่า จะขอลาออกจากหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค โดยตอนนั้นจะออกทั้ง 2 ตำแหน่งเลย ตนเลยได้บอกกับท่านว่า เพิ่งเลือกตั้งเสร็จ อยากให้ท่านอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน เหมือนกับเป็นขวัญเป็นกำลังใจ เราก็ทำงานร่วมกันมา ตนก็ขอท่านไว้ ถ้าจะออกก็ออกจากหัวหน้าพรรคตำแหน่งเดียวก่อน สมาชิกพรรคเอาไว้อีกสักระยะหนึ่งแล้วกัน แล้วท่านอยากจะออกอะไรไม่มีปัญหา ซึ่งท่านก็ได้อยู่เป็นสมาชิกพรรคอีกต่อมา 2-3 เดือน

“เมื่อวานผมก็ได้พูดคุยกันแล้วก็รับทราบ ก็เป็นไปตามเรื่องเดิม เพราะเรื่องเดิมก็แสดงวัตถุประสงค์แล้ว และไม่ได้เกี่ยวกับการรับสมาชิกมาเพิ่ม เพราะได้คุยกันไว้แล้ว ตอนนั้นท่านบอกว่าเมื่อผลการเลือกตั้งเสร็จและผลการเลือกตั้งได้มา 2 เสียงท่านก็คิดว่าอยากที่จะยุติบทบาทการทำงานหน้าที่ทางการเมืองไว้ชั่วขณะหนึ่งก่อนและท่านขอคิดอะไรอีกสักหน่อยหนึ่งทำนองนั้น ก็ได้พูดคุยกันแล้วและก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องอื่น ๆ” นายสุวัจน์

"พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ" เป็นผู้แทนหลวงปู่ทุย มอบรถยนต์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง แก่ ผบ.ตร. เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลตำรวจ สำหรับดูแลพี่น้องประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ

พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ (30 พ.ย.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีมอบรถยนต์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง (มาตรฐานความปลอดภัย 10G) ณ ห้องพรมนอก อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.โสภณรัตน์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมพิธี

ทั้งนี้ หลวงปู่ปรีดา (หลวงปู่ทุย) ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ  ได้มีเมตตาบริจาครถยนต์พยาบาล พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง (มาตรฐานความปลอดภัย 10G) จำนวน 4  คัน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,040,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดยแบ่งมอบให้หน่วยต่างๆ ในสังกัดโรงพยาบาลตำรวจ ได้แก่ กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 2 คัน , โรงพยาบาลดารารัศมี จำนวน 1 คัน และโรงพยาบาลยะลาสิริรัตนรักษ์ จำนวน 1 คัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการดูแลพี่น้องประชาชนต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวันนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. เป็นผู้แทนหลวงปู่ปรีดา ส่งมอบรถยนต์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง ให้กับ ผบ.ตร.

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ กล่าวว่า ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอกราบนมัสการหลวงปู่ ด้วยความเคารพ และขอขอบคุณ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นผู้กราบนมัสการเรียนหลวงปู่ปรีดา ว่าโรงพยาบาลตำรวจยังขาดแคลน และมีความต้องการรถยนต์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง จึงทำให้พระเดชพระคุณหลวงปู่  พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ มีเมตตาบริจาครถยนต์พยาบาลพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นสูง ตลอดจนขอขอบคุณคณะศรัทธาสามัคคี มา ณ โอกาสนี้

นราธิวาส-มทภ.4 ”โครงการ “แว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้" กอ.รมน.ภาค 4  ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลประจำตำบลสะโลว์ (รพ.สต.) อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

ภายใต้อำนวยการ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 ผอ.รมน.ภาค 4  สั่งการให้ พ.อ.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม ผบ.ทพ.ฉก.45 พร้อมด้วย นายรพี มามะ คณะทำงาน แม่ทัพภาค 4   ร่วมมอบแว่นสายตา และพบปะกับ ประชาชน กลุ่มเป้าหมาย ตามโครงการแว่นสายตาที่มีคุณภาพ เพื่อประชาชน..ในการนี้มี คุณมารีสา อับดุลเลาะ  รักษาการ รพ.สต.สะโลว์ ร่วมต้อนรับ

พ.อ.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม ผบ.ทพ.ฉก.45 ได้กล่าวว่า ทหารเคียงข้างประชาชน และพร้อมช่วยเหลือประชาชนเสมอ ตามนโยบาย แม่ทัพภาค 4 ผอ.รมน.ภาค 4 โครงการตาแว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ เน้นช่วยเหลือประชาชน ที่มีปัญหาทางสายตาสั้นและสายตายาว เพื่อให้มีแว่นตาที่มีคุณภาพ ใช้อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อื่นๆ ที่ต้องใช้สายตา ในการประกอบอาชีพในกิจวัตรประจำวัน อนึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้ยากไร้ ที่อยากจะได้แว่นหรือต้องใช้แว่น แต่ขาดทุนทรัพย์ด้วย ในส่วนทางปฎิบัติหลัก ทหารมีหน้าที่ รักษาความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินให้กับประชาชน  และยังมีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน หากได้รับความเดือดร้อน อุทกภัย วาตภัย หรืออื่นๆ ที่จำเป็นให้แจ้งทหารได้ตลอด 24 ชม.ทหารพร้อมเสมอ ที่จะช่วยประชาชน
ด้านนายรพี มามะ คณะทำงานฯ กล่าวว่า ประชาชนทุกคนทุกศาสนา ในพื้นที่ล้วนมีบทบาทหน้าที่ การเป็นพลเมืองของประเทศ และทุกคนก็รักพื้นที่ ฉะนั้นทุกคนมีหน้าที่ ในการแสวงหาสันติสุข สันติภาพ และการมีส่วนร่วม เพื่อไม่ให้พื้นที่เกิดความรุนแรง ไม่เฉพาะแค่เจ้าหน้าที่เท่านั้น  แต่ประชาชนเป็นหัวในสำคัญ ที่ต้องร่วมมือร่วมใจ ส่งเสริมสนับสนุน การแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เกิดความมั่น และยั่งยืน เพื่อให้พื้นที่เกิดการพัฒนา สังคมและครอบครัว จะเข้มแข็ง ต่อไป

สำหรับโครงการ “แว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้" กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ทำบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ บริษัทร่วมเจริญพัฒนา จำกัด ( ห้างแว่นท็อปเจริญ ) จัดโครงการฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2566 - 2570 รวม 5 ปีเต็ม เป็นการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกหมู่เหล่า ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและเป็นผู้ประสบปัญหาทางสายตาที่ยากไร้และขาดแคลน ให้สามารถเข้าถึงบริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นใหม่ฟรี นอกจากประชาชนจะได้มีสุขภาพดวงตาที่ดีขึ้นมองเห็นชัดเจนแล้ว ยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประสบปัญหาทางสายตาได้มีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูแลตนเองและครอบครัวได้ ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และบริษัทร่วมเจริญพัฒนา จำกัด ( ห้างแว่นท็อปเจริญ )ได้เดินหน้าสานต่อภารกิจสำคัญ แว่นท็อปเจริญได้ยกขบวนทีมผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ พร้อมด้วยอุปกรณ์และเครื่องมืออันครบครัน เพื่อลงพื้นที่ตรวจวัดสายตาประกอบแว่นใหม่ฟรี ให้แก่พี่น้องชาว 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ครบทุกพื้นที่ รวมประชาชนเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือจากโครงการฯ ทั้งสิ้น 10,000 ราย

ข่าว.แวดาโอ๊ะ​ หะไร​ จ.นราธิวาส

กอ.รมน.ภาค 4 สน. ต้อนรับคณะสื่อมวลชน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ในโอกาสเยือนพื้นที่ จชต. พร้อมรับฟังนโยบายและวิสัยทัศน์การแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ 

วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลตรี กรกฎ ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และคณะฯ ต้อนรับ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย พร้อมคณะสื่อมวลชน,ผู้ประกอบการท่องเที่ยว จากประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซีย เข้าพบปะและรับฟังนโยบายและวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ในโอกาสเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสื่อพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยได้ดำเนินงานสร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนของประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซียมาอย่างยาวนาน ทางสมาคมฯ จึงได้จัดโครงการ "สานสัมพันธ์สื่อมวลชนและผู้ประกอบการท่องเที่ยวคาบสมุทรมลายู ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2566 เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเขตพัฒนาเศรษฐกิจ IMTGT เชื่อมสัมพันธ์และกระชับมิตรระหว่างสื่อมวลชนมาเลเซีย อินโดนีเซียและสื่อมวลชนไทยในพื้นที่ จชต. และแลกเปลี่ยนแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 3 ประเทศ และเพื่อเปิดมุมมองหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ต่อการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ 

โอกาสนี้ พลตรี กรกฎ ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทางคณะฯ ได้มาพบปะพูดคุยกันในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างความร่วมมือกันระหว่างสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย, สื่อมวลชน และผู้ประกอบการ จากประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้ง สื่อมวลชนในท้องถิ่นและศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่อกันอย่างแนบแน่น รวมทั้ง ได้มีการนําข่าวสารสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชนในประเทศของตนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหลากหลาย ความเท่าเทียม ทั้งทางวัฒนธรรม และความเป็นสังคมที่ให้ความสําคัญกับเอกลักษณ์ของทุกเชื้อชาติ ศาสนา ภายใต้การเคารพความแตกต่างของกันและกัน ที่สําคัญยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญอีกมากมายที่สวยงามโดดเด่น มีเอกลักษณ์ พร้อมที่จะเป็นทางเลือกและรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมที่จะดูแลพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

เปิดภารกิจ ‘ILINK’ ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อม ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ผลักดันไฟฟ้าทั่วถึง อีกหนึ่งแรงหนุนพัฒนาพิกัดท่องเที่ยวระดับโลก

ภายหลังจากกลุ่ม INTERLINK Consortium ได้เซ็นสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือนนั้น 
.ล่าสุด (30 พ.ย. 66) นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า ทาง EGAT ได้ให้เกียรติ ส่งทีมวิศวกร กว่า 15 ท่าน ไปเยี่ยมชมวิธีการติดตั้งสายไฟฟ้าเคเบิลใต้น้ำ ของ INTERLINK ซึ่งฝังสายจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่าของ PEA มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เพื่อเตรียมการจะวางสายไฟฟ้าเคเบิลใต้น้ำของตัวเอง จากแผ่นดินใหญ่ไปจ่ายในเกาะสมุย ด้วยงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันผ่านขั้นตอนการอนุมัติของ ครม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับความคืบหน้าในปัจจุบันกับภารกิจการลากสาย Submarine Cable จากเกาะพะงันไปยังเกาะเต่า ดำเนินไปได้อย่างลุล่วง สามารถผลักดันให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ อันจะช่วยส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพะงัน จนเป็นเพชรเม็ดงามด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไปในอนาคต 

‘แม็คโคร’ ยัน!! รับซื้อหมูถูกต้อง ตรวจสอบย้อนหลังได้ 100% พร้อมจ่อเอาผิดสื่อรายงานข่าวคลาดเคลื่อน เหตุทำเสื่อมเสีย

(30 พ.ย. 66) รายงานข่าวจาก บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ออกแถลงการณ์เรื่องหมูเถื่อนว่า บริษัทขอยืนยันถึงจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่สนับสนุนและประณามการซื้อ-ขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย กรณีข่าวที่ปรากฎในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอเข้าตรวจสอบเอกสารการซื้อ-ขาย บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจสอบด้วยความโปร่งใส ทั้งที่สำนักงานใหญ่และคลังสินค้าทุกแห่ง มิได้เป็นการเข้าจับกุม ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในบางสื่อแต่อย่างใด

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่า การรับซื้อสินค้ามีกระบวนการที่รัดกุม โดยการตรวจสอบเอกสารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคู่ค้าต้องนำมาแสดงเมื่อนำส่งสินค้าทุกครั้ง จึงมั่นใจได้ว่าเป็นการรับซื้อโดยเปิดเผย ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าเถื่อนแต่อย่างใด

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีขั้นตอนการคัดเลือกและประเมินคู่ค้า การตรวจสอบคุณภาพก่อนการรับสินค้า รวมถึงการมีมาตรการในการหยุดรับซื้อและยกเลิกสัญญา หากพบว่าสินค้าไม่ได้คุณภาพ ที่สำคัญ บริษัทฯ ยึดมั่นในการสนับสนุนเกษตรกรไทย และให้ความสำคัญกับการรับซื้อสินค้าที่ผลิตจากเกษตรกรในประเทศ ดังนั้นจะเห็นได้จากปริมาณสินค้ากลุ่มเครื่องในสุกรแช่แข็งนำเข้า เป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้ากลุ่มเนื้อสุกรและเครื่องในสุกรโดยรวมที่บริษัทมีการจัดจำหน่าย

อย่างไรก็ตาม การที่มีการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงจากบางสื่อ ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบ และความเสียหายต่อชื่อเสียง ภาพลักษณ์องค์กร ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดจากสาธารณชนและนักลงทุน บริษัทจึงขอชี้แจงและจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทฯ

ทั้งนี้ เรายึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการตรวจสอบอย่างเต็มที่

พร้อมกันนี้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยหนังสือฉบับดังกล่าวลงนามโดยนางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานบัญชีและการเงิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้แม็คโครได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องหมูเถื่อนมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 โดยระบุใจความสำคัญว่า “แม็คโคร ร่วมประณามการนำเข้าหมูเถื่อนทำลายเกษตรกร ย้ำความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ 100% พร้อมสนับสนุนภาครัฐเต็มที่”

และถัดมาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2566 ออกแถลงการณ์โดยระบุว่า “แม็คโครให้ความร่วมมือ DSI เข้าตรวจหลังหน่วยงานภาครัฐเข้าตรวจคลังสินค้า พบการรับซื้อสินค้าถูกต้อง ยืนยันไร้หมูเถื่อน ขั้นตอนมีมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้ 100%”

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมดัน ‘ลอยกระทง’ ขึ้นทะเบียนยูเนสโก ต่อยอดเป็น ‘World Class Festival’ สร้างรายได้ให้ประเทศ

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาเป็นวันลอยกระทง ซึ่งต้องบอกเลยว่า ลอยกระทงปีนี้คึกคักมากขึ้นหลังจากโควิด-19 ซา หลายพื้นที่จัดกิจกรรมกันสนุกสนาน แม่ค้าพ่อค้าขายของได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

และหากพูดถึงประเพณีไทย ก็มีอยู่หลากหลาย ซึ่งทุกประเพณีล้วนแต่เป็นประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจวบจนถึงปัจจุบัน และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสวยงามและบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของความเป็นไทย 

ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามประชาสัมพันธ์และต่อยอดประเพณีไทยอยู่เนือง ๆ โดยมีการผลักดันวัฒนธรรมไทยไปสู่สายตาประชาคมโลก ยกตัวอย่างเช่น การนำ ‘โนรา’ หรือ ‘Nora, Dance Drama in Southern Thailand’ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity - บัญชี RL) ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 (2003 Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก 

นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในบัญชี RL แล้ว 3 รายการ ได้แก่ โขน (ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2561) นวดไทย (ขึ้นทะเบียนเมื่อปี 2562) และโนรา (ขึ้นทะเบียนในปี 2564)

ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง มีแนวคิดที่จะนำประเพณี ‘ลอยกระทง’ ต่อยอดเป็น World Class Festival ทั้งนี้ จะเป็นโจทย์หลักให้กับทางกระทรวงวัฒนธรรม และคณะกรรมการ Soft Power เพื่อไปคิดกันว่าเราจะทำยังไงให้เทศกาลนี้ทั้ง Celebrative, Festive และ Environmental Friendly มากขึ้นอย่างไร 

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามรักษาประเพณีไทยได้ดำรงอยู่กับแผ่นดินไทยไว้เป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่หลงประเด็นปล่อยให้ประเพณีถูกทำลายไป เพียงเพราะเหตุผลเรื่องการบริหารจัดการไม่ดี ซึ่งมันเป็นคนละประเด็นกัน

ประเพณีและวัฒนธรรมเป็น Intangible Assets หรือ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน ที่สร้างขึ้นได้ยากแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างในบางพื้นที่ เช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ถือเป็น Peak Season ของจังหวัดที่รายได้เข้ามาในพื้นที่มากในเทศกาลนี้ ในภาพ Promote ท่องเที่ยวไทยนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีภาพประเพณีลอยกระทงเป็น Highlight เสมอ ๆ ซึ่งนายกฯ ทำถูกแล้ว ไม่หลงประเด็น.

ท้ายนี้หวังว่าประเพณี ‘ลอยกระทง’ จะเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นแบบอย่างที่ดี ในการนำประเพณีหรือวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม นำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวไทย และสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top