Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

อย่าตื่นตูม!! ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหด 'ไม่มีใครผิด-ไม่ใช่แค่ที่ไทย' เหตุภาวะศก.ไม่เป็นใจ แม้แต่คนจีนยังเน้นท่องเที่ยวในประเทศตัวเอง

(27 พ.ย.66) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อมูลที่สะท้อนถึงการท่องเที่ยวในต่างแดนของคนจีนที่เริ่มเบาบางลงในช่วงนี้ โดยระบุว่า...

จีน 🇨🇳 : จีนยกเลิกเที่ยวบิน 
เข้าไทย เดือน ธันวาคม - มกราคม ปี 2024 ประมาณ 39% ใน 10 สายการบิน

#สถิติ (ข้อมูลฐานเศรษฐกิจ)
**เดือนธันวาคม 2023
ยื่นขอทำการบิน 10,939 เที่ยวบิน ยืนยันบินจริง 5,858 เที่ยวบิน หายไป 5,081 เที่ยวบิน หรือ 46%

**มกราคม 2567 ขอทำการบิน 10,984 เที่ยวบิน ยืนยันทำการบิน 7,420 เที่ยวบิน หายไป 3,564 เที่ยวบิน หรือ 32%

**รวม 2 เดือนขอทำการบิน 21,923 เที่ยว ยืนยันการบิน 13,279 เที่ยวบิน หายไป 39% หรือกว่า 8,648 เที่ยวบิน 

>> เหตุผลการยกเลิก: เนื่องจากไม่มีดีมานด์จำนวนนักท่องเที่ยวมากพอ

**ในส่วนการบินสัญชาติไทย ยังบินเข้าจีน อาทิ...
- แอร์เอเชีย 74 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 
- การบินไทย 56 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 

#สถิติการเยือนนักท่องเทียวจีน
ขอเทียบปีสูงสุด เทียบปีปัจจุบัน

2018 หรือ 19 เทียบ 2023
🇯🇵 ญี่ปุ่น 9.5 ล้าน >> 1.2 ล้าน /8 เดือน
🇸🇬 สิงคโปร์ 3.6 ล้าน >> 1.005 ล้าน /9 เดือน
🇹🇭 ไทย 10.06 ล้าน >> 2.7 ล้าน /10 เดือน
 *ณ 22/10/2023

**จะเห็นได้ว่า เมืองสำคัญที่จีนนิยมเดินทางเข้า ญี่ปุ่น, ไทย ตัวเลขลดลงเกินครึ่ง ส่วนสิงคโปร์ เป็นฮับบินภูมิภาค มีเครื่องบินพร้อมตัวเลขก็ตกลงเช่นกัน จากสื่อสิงค์โปร์ แจ้งว่าต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นฟูการบินเข้าจีน

✍️ส่วนข่าวในจีนตอนนี้  
*มุมมองจากภายนอกมองว่าจีนมีปัญหาเศรษฐกิจภายในจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ เป็นวงกว้าง เจ้าใหญ่ ๆ ของประเทศ จากข่าวเอเวอร์แกรนด์ มาต่อด้วยคันทรี่การ์เด้น และล่าสุด จงจื่อธนาคารเงาของจีน 

**เอเวอร์แกรนด์
เวอร์แกรนด์มีหนี้สินประมาณ 305,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 10.7 ล้านล้านบาท

**คันทรี่การ์เด้น
มีหนี้สินอยู่ประมาณ 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.74 ล้านล้านบาท) 

**ข่าวใน 2-3 วันนี้ 
รัฐบาลจีนเริ่มสอบสวน จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ Zhongzhi Enterprise Group ยักษ์ใหญ่ธนาคารเงาอันดับต้นของจีน เสี่ยงล้มละลาย มีหนี้สินประมาณ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ /2.2 ล้านล้านบาท

#การท่องเที่ยวในจีน 
รัฐบาลจีนได้อนุมัติมาตรการทดลองวีซ่าฟรี เข้าประเทศ 15 วัน ให้กับพลเมือง 6 ประเทศ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน และมาเลเซียเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจีน

#ภาพสถานะบิน สนามบินจีน  
ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น เวลาประมาณ 10.00 น.  27/11/2023 จะเห็นได้ว่า การบินออกสถานะบินน้อยมาก เมื่อเทียบในภูมิภาค 

จีนเน้นบิน ท่องเที่ยวในประเทศ

28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483  ฝรั่งเศส ทิ้งระเบิดถล่ม ‘นครพนม’  เปิดฉากสงคราม ‘กรณีพิพาทอินโดจีน’

วันนี้ เมื่อ 83 ปีก่อน ฝรั่งเศส ทิ้งระเบิดถล่ม ‘นครพนม’ เปิดฉากสงคราม ‘กรณีพิพาทอินโดจีน’

จากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ที่มหาอำนาจยุโรปแผ่อิทธิพลของลัทธิอาณานิคมเข้ามาในเอเชียตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศตกเป็น ‘รัฐอาณานิคม’ และเกิดกรณี ร.ศ.112 สำหรับประเทศไทย ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป และฝรั่งเศสมีสถานะที่อ่อนแอจนกระทั่งถูกเยอรมนียึดครอง (21 มิถุนายน 2483) เป็นการกระตุ้นให้รัฐบาลไทยขณะนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคารพต่อการแบ่งดินแดนในเอเชียของชาติมหาอำนาจอาณานิคมอย่างฝรั่งเศสอีกต่อไป

เมื่อฝรั่งเศสยอมแพ้เยอรมนีได้ขอทำให้รัฐบาลไทยให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตอบ (11 กันยายน พ.ศ. 2483) ที่จะให้สัตยาบันด้วยข้อแม้ 3 ข้อคือ

1. ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ

2. ขอไชยบุรีและจำปาสัก ซึ่งฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซ ให้ไทย โดยถือแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ

3. ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่าถ้าอินโดจีนเปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาวและกัมพูชาให้ไทย

รัฐบาลฝรั่งเศสตอบปฏิเสธ 2 ข้อหลัง

จอมพล ป. ให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวแก่หนังสือพิมพ์ กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมจนเกิดขบวนการเรียกร้องดินแดนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเดินขบวนของคณะนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (8 ตุลาคม พ.ศ. 2483)

ขณะที่จอมพล ป. เองก็ตัดสินใจใช้กำลังรบกับฝรั่งเศสอย่างฉับพลัน เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลญี่ปุ่นมีข้อตกลงระหว่างกันที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัพของตนเข้ามาตั้งในเวียดนามได้ แม้ญี่ปุ่นจะมีทีท่าเห็นใจไทยในการขอปรับปรุงดินแดนกับฝรั่งเศส แต่รัฐบาลไทยก็หวั่นว่าหากกองทัพญี่ปุ่นขยายเขตของตนจากเวียดนามเข้าสู่ลาวและกัมพูชาก็จะเป็นอุปสรรคต่อนโยบายของไทย

20 ตุลาคม พ.ศ. 2483 จอมพล ป. กล่าวขอบคุณนิสิตนักศึกประชาชนที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลทางวิทยุกระจายเสียง และปลุกความรู้สึกชาตินิยม เพลงปลุกใจออกเผยแพร่ เช่น เพลงข้ามโขง เพลงดอกฟ้าจำปาศักดิ์ เพลงเสียมราฐ ฯลฯ เริ่มมีออกเผยแพร่

และในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 รัฐบาลออกประกาศว่าเครื่องบินฝรั่งเศส 5 ลำ โจมตีทิ้งระเบิดจังหวัดนครพนมและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ รัฐบาลไทยประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่เกี่ยวข้อง 24 จังหวัด พร้อมกันนั้นกองทัพไทยเคลื่อนเข้าไปยึดครองดินแดนที่มีข้อพิพาทกัน มีการต่อสู้ทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเลที่เกาะช้าง จังหวัดตราด

ในสงครามครั้งนี้ญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท (25 มกราคม พ.ศ. 2484) ตกลงให้มีการหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 และมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียว 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 เป็นผลให้ไทยได้ดินแดนไชยบุรี, จำปาสัก, เสียมราฐ และพระตะบอง (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ลานช้าง, จำปาศักดิ์, พิบูลสงคราม และพระตะบอง ตามลำดับ) เรื่อยมาจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 2488 และต่อมาได้มีการสร้างอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงทหารไทยที่เสียชีวิตไปในการรบครั้งนี้เรียกว่า ‘อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ’

เปิดแนวทางแก้หนี้ครัวเรือนไทย ‘ระยะยาว’ ก่อน ‘นายกฯ เศรษฐา’ คิกออฟแผนแก้หนี้ครั้งใหญ่!!

‘หนี้ครัวเรือน’ ปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ที่ถูกพยายามแก้มาแล้วหลายครั้งในหลาย ๆ รัฐบาล ปัจจุบันนี้ ถึงคิวของ ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ที่จะเข้ามาจัดการปัญหานี้ให้หมดไป แต่ก่อนที่ท่านนายกฯ จะประกาศแผนแก้หนี้ ‘ฉบับเศรษฐา’ ลองมาดูแผนแก้หนี้ที่ทาง THE STATES TIMES สรุปย่อยมาให้ไปพลาง ๆ ก่อน พร้อมแล้ว ไปดูเล้ยย…

เชื่อมต่อรถไฟฟ้า 'สีม่วง-แดง' 20 บาทตลอดสาย  ดีเดย์ 30 พ.ย.นี้ เบื้องต้นใช้ผ่านระบบบัตร EMV

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.66) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) พร้อมร่วมขับเคลื่อนนโยบาย ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ผู้โดยสารที่เดินทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ของ รฟม. และรถไฟฟ้าชานเมือง สายนครวิถี (สายสีแดง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะได้รับสิทธิชำระค่าโดยสารร่วม 2 สาย สูงสุดไม่เกิน 20 บาทเท่านั้น เมื่อใช้บัตรโดยสาร EMV Contactless ใบเดียวกัน และเปลี่ยนถ่ายระบบ ณ สถานีบางซ่อน ภายในระยะเวลา 30 นาที

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 นี้ จะลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทดลองใช้ระบบ EMV Contactless เดินทางข้ามสาย ระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง พร้อมๆ กับประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อติดตามตรวจสอบความเรียบร้อยในการให้บริการด้านการเดินทางแก่ประชาชน โดยนโยบาย ‘รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย’ เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win ของรัฐบาล ในด้าน “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เร่งผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนในด้านการเดินทาง และการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง

ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้กำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดที่ดำเนินงานด้านระบบรางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนของ รฟม.และ รฟท. ที่เป็น 2 หน่วยงานนำร่องนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท มาใช้ในการให้บริการรถไฟฟ้าของภาครัฐ ตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ให้มีการติดตามประเมินความคุ้มค่าด้านจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมาในระบบเปรียบเทียบกับรายได้ เพื่อรายงานให้กระทรวงคมนาคมทราบเป็นระยะ พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เป็นเจ้าภาพร่วมกับหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในการศึกษาแนวทางและจัดทำข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายที่เหมาะสมสำหรับการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในระยะต่อๆ ไป ที่สามารถสานต่อนโยบายดังกล่าวได้ และต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เป็นภาระทางการเงินของหน่วยงานภาครัฐในอนาคตด้วย ควบคู่ไปกับการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้เพิ่มเติมของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. เปิดเผยว่า ในระยะ 1 เดือนกว่าๆ ที่รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ได้เริ่มให้บริการด้วยอัตราค่าโดยสาร สูงสุดไม่เกิน 20 บาท ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารในวันทำงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4,274 คน-เที่ยวต่อวัน คิดเป็น 6.07% และในวันหยุดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4,789 คน-เที่ยวต่อวัน คิดเป็น 13.33% และ รฟม.คาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จะเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้อัตราค่าโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และรถไฟชานเมือง สายสีแดง สูงสุดไม่เกิน 20 บาท ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป รวมถึงการที่รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (MRT สายสีชมพู) จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ และผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนถ่ายระบบได้โดยสะดวกที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ในอนาคตอันใกล้นี้

ทั้งนี้ รฟม.พร้อมสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสายอย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดทดแทน ในระยะยาวย่อมจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลลงได้ โดย รฟม.มีความพร้อมที่จะดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยไม่จำกัดการดำเนินงานเฉพาะในรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงเท่านั้น แต่จะศึกษาแนวทางที่เหมาะสมร่วมกับ ขร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถต่อยอดนโยบายนี้ไปใช้กับการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ในความรับผิดชอบของ รฟม.ได้อีกด้วย

ประกอบกับ รฟม.ได้พัฒนาระบบรับการชำระค่าโดยสารด้วยบัตร EMV Contactless ไว้รองรับการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้า MRT ทุกสาย กับระบบขนส่งอื่นๆ อย่างครบครันแล้ว จึงมีความมั่นใจว่า หากมีแนวทางการกำหนดอัตราค่าโดยสารแบบใหม่ในอนาคต รฟม.จะสามารถให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป

กระบี่-เจ้าสัวสมชัย เอไอเอส advance info service จำกัด พร้อมสาธุชน ร่วมบุญกฐินสมทบทุนสร้างพระธาตุมหาเจดีย์วัดคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ยอดกฐิน 5 ล้านกว่าบาท

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ณ วัดคลองท่อม ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ มีการจัดทอดกฐินสามัคคี เพื่อสร้างพระธาตุวัดคลองท่อม พระครูสถิตนราธิการ เจ้าคณะตำบลคลองท่อมใต้ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อม ฝ่ายสงฆ์ ประธานกฐินโดย คุณ สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานกรรมการ การบริหาร บริษัทแอดวานซ์อินโฟเซอร์วิสจำกัด(มหาชน) พร้อมด้วยคุณอังศวี สิทธิโชคสุขสกุล และครอบครัว คุณโกสินทร์ อัศววิริยะกิจและครอบครัว คุณอนุวัฒน์ บุษรานิพรรณ์และครอบครัว คุณชนิสรา อัครหิรัญกุลและครอบครัว เป็นประธานกฐินร่วม นายพิริยะศรีสุขสมวงศ์นายกเทศมนตรีตำบลคลองท่อมใต้ ข้าราชการตำรวจทหาร ท้องถิ่นอบต. พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธา หลั่งไหลมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น แม้ในช่วงเช้าจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักแต่พุทธศาสนิกชนและผู้มีจิตศรัทธาก็ยังคงมาร่วมบุญกันอย่างหนาแน่น 

มีการจัดตั้งโรงทานสำหรับผู้ที่มาร่วมบุญกฐิน พุทธศาสนิกชนที่นำปัจจัยและองค์กฐินมาร่วมแห่รอบพระอุโบสถครบ 3 รอบพร้อมขบวนฟ้อนรำและกลองยาวโดยมีพระครูสถิตนราธิการเจ้าคณะตำบลคลองท่อมใต้เจ้าอาวาสวัดคลองท่อมพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ร่วมรับองค์กฐินและปรับประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนทั้งนอกและในพื้นที่เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยทั้งสิ้นเป็นเงิน 5,154,105 บาท  ซึ่งการทอดกฐินครั้งนี้เพื่อสมทบทุนสร้างพระธาตุเจดีย์วัดคลองท่อม ต่อไป

ทั้งนี้พิธีทอดกฐินหรือทำบุญกฐินเป็นประเพณีทำบุญของชาวคลองท่อมที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติหรืองานบุญประจำปีหลังเทศกาลการออกพรรษาโดยจะมีชาวบ้านร่วมทำบุญบริจาคปัจจัยเปิดโรงทานทำอาหารคาวหวานเลี้ยงสาธุชนเป็นจำนวนมากเพื่อรองรับสาธุชนที่มาร่วมบุญในครั้งนี้และได้สืบสานทำนุบำรุงศาสนสถานและสืบทอดบริวารพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาประจำท้องถิ่น ต่อไป

‘เทศบาลตำบลบางเมือง’ จัดประกวด ‘นางนพมาศผู้สูงอายุ' ‘สร้างสีสัน-คืนความสุขให้สูงวัย’ ในวันลอยกระทงเต็มเปี่ยม

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.66) ที่สำนักงานเทศบาลตำบลบางเมือง ได้จัดงานประเพณีลอยกระทง 2566 อย่างยิ่งใหญ่ โดยมี นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง เป็นประธานเปิดงานประเพณีลอยกระทง เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย ที่มีมายาวนาน ให้คงอยู่สืบไป โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ บนเวทีสร้างความสามัคคีและสร้างสีสันให้กับงาน 

ภายในงานได้มีการประกวดกระทงสวยงาม และการประกวดนางนพมาศ โดยปีนี้ได้รับสมัครผู้เข้าประกวดนางนพมาศที่มีอายุระหว่าง 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลตำบลบางเมือง ซึ่งจะมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาตัดสินการประกวด โดยจะพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา ความสวยงาม ความประทับใจในบุคลิกภาพ คะแนน 40 คะแนน กิริยามารยาท ท่วงท่าในการตัดสินใจและความมั่นใจ 30 คะแนน และการแต่งกายสวยงามเหมาะสมอีก 30 คะแนน

ซึ่งการประกวดดังกล่าวสร้างความสนใจให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก โดยมีกองเชียร์ส่งเสียงลุ้นระทึกให้กับผู้สมัครนางนพมาศของตัวเองที่เข้าประกวดทำให้บรรยากาศภายในงานมีสีสัน สร้างความสนุกสนานให้กับผู้เข้าร่วมงาน โดยประชาชนต่างทยอยไปลอยกระทงที่ท่าน้ำที่ทางเทศบาลได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกดูแลเรื่องความปลอดภัย 

'พิมพ์ภัทรา' ต้อนรับ 'ฉางอาน' บิ๊กอีวียักษ์ใหญ่จากจีน ปักธงสร้างฐานผลิตพวงมาลัยขวาในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เป็นประธานในกิจกรรมการเปิดตัว 'ฉางอาน' ยานยนต์ อีวี หรือรถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์ชื่อดังจากสาธารณรัฐประชาชนจีน อีกทั้งยังเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังผลิตออกสู่ตลาดชั้นนำของโลกอย่างต่อเนื่อง โดย รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ถือเป็นสัญญาณดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยในขณะนี้ กำลังเป็นดาวรุ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์อีวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นฐานการผลิตแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ภายใต้ค่ายผู้ผลิตชั้นนำมากมายที่ต่างสนใจเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะกับค่ายผู้ผลิตในประเทศจีน ถือเป็นผู้เล่นที่ก้าวหน้าล้ำสมัยอย่างมาก ภายใต้ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์อื่น ๆ ทั่วโลก จนส่งผลให้ตลาดอีวีขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกใช้ยานยนต์ชนิดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวเสริมว่า สำหรับประเทศไทยในเวลานี้นั้น มุ่งให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในแง่ของการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานใหม่ให้เดินหน้าไปด้วยกันได้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมที่ยังมีอยู่

"ในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ นั้นจะมีความเกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศต่าง ๆ มากมาย จนเกิดเป็นเม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่หมุนเวียนอยู่ในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การขนส่ง, การผลิต, ทรัพยากร, วัตถุดิบ, แรงงาน และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เฉกเช่นเดียวกันกับประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์และยานยนต์ลำดับ 10 ของโลก ก็ต้องเดินหน้าขับเคลื่อนให้ระบบนิเวศของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ในไทยเกิดการหมุน ซึ่งถือเป็นอีกเรื่องที่ท้าทาย แต่กระทรวงอุตสาหกรรมก็มีความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมที่กำลังเป็นอนาคตของโลก"

ในโอกาสนี้ ทาง รมว.พิมพ์ภัทรา ยังได้กล่าวขอบคุณทางผู้บริหารของ 'ฉางอาน' ด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมต้องขอชื่นชมและขอบคุณการตัดสินใจของคุณจู หัวหรง และคณะ ผู้บริหาร บริษัท ฉางอาน ออโต้โมบิล จำกัด ที่ได้ใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ลงทุน ภายใต้มูลค่าการลงทุนกว่า 8,860 ล้าน และยังทราบว่าต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรองรับความต้องการในภูมิภาค และส่งไปยังอีกหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศใช้รถพวงมาลัยขวา...

"ดิฉันในฐานะเจ้ากระทรวงฯ ขอกล่าวคำขอบคุณและขอต้อนรับอย่างเป็นทางการ ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อมของไทย โดยหนึ่งในย่างก้าวสำคัญนี้จากฉางอานจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประเทศไทยก้าวไปสู่หมายเลข 1 ของภูมิภาคในด้านการผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงทะยานสู่เป้าหมายการเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรมนี้ในโลกต่อไป" รมว.พิมพ์ภัทรา ทิ้งท้าย

‘อีลอน’ รู้งาน!! บอก!! ‘อิสราเอล’ ต้องขุดรากถอนโคนฮามาส หลังแฟลตฟอร์ม ‘เอ็กซ์’ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ต่อต้านยิว’

“อิสราเอลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำลาย ‘ฮามาส’” ‘อีลอน มัสก์’ กล่าวเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 หลังพบปะกับนายกรัฐมนตรี ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ ในเยรูซาเลม ทั้งนี้ เจ้าของแฟลตฟอร์ม ‘เอ็กซ์’ เดินทางไปตะวันออกกลาง หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาต่อต้านยิว

เนทันยาฮู พา มัสก์ เดินทางทัวร์เคฟาร์ อะซา นิคมเกษตร หรือ ‘คิบบุตซ์’ ทางใต้ของอิสราเอล ที่ถูกฮามาสเล่นงานระหว่างการจู่โจมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา และฉายภาพยนตร์ความยาว 44 นาทีให้ผู้มาเยือนได้รับชม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงคำกล่าวอ้างความโหดร้ายป่าเถื่อนของกลุ่มนักรบปาเลสไตน์

หลังการเดินทางเยือน เนทันยาฮู ได้กระจายเสียงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ที่เขาพูดคุยกับ มัสก์ เกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลอิสราเอลกำลังทำ และให้คำจำกัดความฮามาสว่าเป็น ‘ลัทธิแห่งความตาย’ ที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังพลเรือนในกาซา ระหว่างการออกอากาศ มัสก์ เห็นพ้องกับคำกล่าวอ้างของ เนทันยาฮู เป็นส่วนใหญ่

“ถ้าคุณต้องการความมั่นคง สันติภาพ และชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับชาวกาซา เมื่อนั้นคุณจำเป็นต้องทำลายฮามาส อย่างแรกเลยคุณจำเป็นต้องกำจัดระบอบปกครองที่ร้ายกาจเสียก่อน แบบเดียวกับที่ทำในเยอรมนีและญี่ปุ่น” เนทันยาฮู กล่าว

มัสก์ ตอบว่า “ไม่มีทางเลือก คุณจำเป็นต้องแน่วแน่และกำจัดพวกก่อการร้าย และพวกที่มีเจตนาเข่นฆ่า ขณะเดียวกัน ก็ช่วยพวกที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเยอรมนีและญี่ปุ่น”

การเดินทางเยือนอิสราเอลของมัสก์ในครั้งนี้ ถูกแถลงโดยประธานาธิบดี ‘ไอแซค เฮอร์ซอก’ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยที่ทำเนียบประธานาธิบดีบอกว่า มหาเศรษฐีชาวอเมริกาจะได้รับการบอกกล่าวเกี่ยว กับความจำเป็นที่ต้องต่อสู้ในการต่อต้านยิวที่เพิ่มมากขึ้นในโลกออนไลน์

ระหว่างการพบปะกัน เฮอร์ซอก บอกกับ มัสก์ ว่า “ภายใต้แพลตฟอร์มที่คุณเป็นผู้นำ เคราะห์ร้ายที่มันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของความเกลียดชังเก่าๆ มากมาย ซึ่งก็คือ ‘การเกลียดชังยิว’ ซึ่งก็คือการต่อต้านยิว” ตามรายงานของไทม์สออฟอิสราเอล

ในการพูดถึงภาพยนตร์ที่เนทันยาฮูฉายให้ดู มัสก์ให้คำจำกัดความฮามาส ว่าเป็นคนที่ถูกป้อนความเท็จตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็ก ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าการฆาตกรรมพวกผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดี “โฆษณาชวนเชื่อสามารถส่งผลกระทบต่อความคิดของประชาชนได้มากมายขนาดนี้” เขากล่าว

มัสก์ ปฏิเสธคำกล่าวหาที่ว่าแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ให้สิทธิหรืออดทนกับการต่อต้านยิว โดยชี้ว่า เขาได้แบนกลุ่มที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ว่ากลุ่มไหนๆ และแสดงความชัดเจนว่าการใช้ถ้อยคำต่างๆ อย่างเช่น ‘การปลดปล่อยอาณานิคม’ และ ‘จากแม่น้ำสู่ทะเล’ ซึ่งถูกใช้บ่อยครั้ง โดยพวกนักเคลื่อนไหวสนับสนุนปาเลสไตน์ มีความหมายโดยนัยคือ การสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว สามารถเป็นเหตุผลสำหรับการแบนทั้งหมด

'โฆษก รทสช.' ขอบคุณ 'นายกฯ' สานต่อนโยบาย 'ลุงตู่' อนุมัติช่วยชาวนาไร่ละ 1 พัน เชื่อ!! ช่วยลดภาระได้มาก

เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อราย จะมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (28 พ.ย.66) ว่า ขอขอบคุณรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แทนชาวนาทั้งประเทศ ที่รัฐบาลเห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา 

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่ดี ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับชาวนา เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตสูงมาก ไม่ว่าจะเป็น ปุ๋ย หรือยาฆ่าหญ้า 

ดังนั้น การที่รัฐบาลจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา 1,000 บาท ต่อไร่ จึงถือเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับชาวนาคลายความเดือดร้อนได้บางส่วน แม้จะเป็นเงินจำนวนน้อยก็ตาม แต่ในปีต่อไปก็อยากจะให้เดินหน้าโครงการนี้ต่อช่วยเหลือชาวนาให้ได้มากกว่าไร่ละ 1,000 บาท ขอเป็นไร่ละ 2,000 บาท ถือเป็นสิ่งที่ชาวนาเรียกร้องมา จากการที่ตนได้ลงพื้นที่มีเสียงสะท้อนกลับมาขอไร่ละ 2,000 บาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสม ในการช่วยเหลือชาวนา เพื่อลดภาระให้กับเกษตรกร

สำหรับนโยบายดังกล่าวนี้ ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 14 พ.ย.66 ภายหลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือชาวนาค่าเก็บเกี่ยวข้าว ว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในฐานะที่ตนรับผิดชอบ โดยเรื่องข้าวทางคณะกรรมการนโยบายข้าวได้ประชุมและให้ส่วนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หลังคุยได้สรุปและนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในวันเดียวกัน โดยเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท จำนวนทั้งหมดไม่เกิน 20 ไร่ ต่อครัวเรือน ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วให้ดำเนินการนับตั้งแต่มติ ครม.ออก รอเพียงให้ ธ.ก.ส.เคลียร์รายละเอียดประชุมบอร์ด จากนั้นเกษตรกรก็จะได้รับเงินตรงนี้ต่อเนื่องไป

เปิดมาตรฐาน 'นักการเมืองส้ม' ผิดเท่าไร ก็ไม่ต้องแคร์ ขอแค่ 14 ล้านแฟนพันธุ์แท้ ยังรัก ยังเชียร์ แบบไม่ลืมหูลืมตา

สมัยก่อน เวลาที่นักการเมืองไทยสักคนถูกจับได้ว่าโกหก หรือทำผิดพลาดอะไรสักอย่าง ก็ถือว่าน้อยถึงน้อยมากอยู่แล้วที่จะมีสักคนกล้าหาญออกมายอมรับผิด พูดขอโทษประชาชน แล้วลาออกจากตำแหน่ง โดยไม่ต้องรอให้สังคมกดดัน ซึ่งผิดกับบางประเทศเช่น เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ในความผิดที่น้อยกว่าก็ยังแสดงสปิริตด้วยการลาออกให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง การแสดงความรับผิดชอบของนักการเมืองบ้านเขา ได้สร้างมาตรฐานของ 'คนอาชีพนักการเมือง' ไว้ค่อนข้างสูงส่ง มีเกียรติ น่าเชื่อถือ และดูสง่างาม

แต่กับ 'นักการเมืองไทย' น่ะหรือ? อย่าให้ผมเซดเลย

ไม่ต้องไป 'วัดรอยสำนึก' กับมาตรฐานของนักการเมืองชาติใครเขาหรอก วัดกันแค่มาตรฐานของไทยเราเองก็เลวร้ายกว่านักการเมืองรุ่นก่อน ๆ ของเราอย่างเห็นได้ชัด นักการเมืองยุคนี้ถือเป็น 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' คือมีความหน้าด้าน ไร้ยางอายเป็นเท่าทวี พูดจาโกหกมดเท็จรายวัน จับได้ไล่ทันก็หันไปพูดเรื่องใหม่ พูดจาหลอกต้มคนโง่ในเรื่องใหม่ ๆ ต่อไป โดยจะทำเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น ไม่ให้ความสำคัญกับคำพูด หรือ 'สัจจะมนุษย์' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่ไม่ใช่แค่การเป็น 'นักการเมือง' แต่คือ 'ความเป็นคน'

อย่างกรณีที่ 'เจ้าของพรรคล้มสถาบันตัวจริง' บินไปประเทศใกล้ ๆ เพื่อพบ 'อดีตนักโทษหนีคดี' ขนาดเด็ก ม.ปลาย ที่อ่อนวิชาการเมืองยังดูรู้เลยว่าจริง แต่ลิ่วล้อสองสามตัวกลับเสนอหน้ามาโป้ปดกับประชาชนหน้าตาเฉย เมื่อความจริงปรากฏ แต่ละตัวก็หันไปสายลมแสงแดด ไม่มีสักตัวที่จะออกมาพูดถึงพฤติกรรมไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง และกล้าหาญแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเลยแม้แต่น้อย 

นี่คือ 'มาตรฐานใหม่' ของนักการเมืองไทย 'สายพันธุ์ด้าน' แม้จะเรียกขานว่าตัวเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' แต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นนอกจากเก่าแล้วก็ยังต่ำ สกปรก โสโครก มักง่าย เน่าเหม็นทั้งกายใจ คอยเหยียบย่ำน้ำใจของประชาชนโดยไม่ไยดี 

ถือเป็นการกระทำที่ดูแคลนว่าประชาชนคนไทยคงโง่เขลาเบาปัญญา และหลอกง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ทั้งที่จริงกลุ่มคนที่โดนโกหกยังไงก็ยังเชื่อ ยังหลง ยังรัก ยังชียร์ และยังสนับสนุนชนิดไม่ลืมหูลืมตาไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และถ้าจะนับจาก 'คนหลงส้มเน่า' ที่มีมากถึง 14 ล้านเสียง ถึงวันนี้ผมก็มั่นใจว่าได้หายศีรษะไปมากพอสมควรแล้ว 

ใครจะยังกล้าหาญประกาศตัวเป็น 'ประชาชนสายพันธุ์โง่' ที่คอยอยู่เชียร์ 'นักการเมืองสายพันธุ์ด้าน' อีก ก็ให้สังคมมันรู้กันไปว่าประเทศไทยมีคนไทยประเภทนี้หลงเหลืออีกกี่คน?  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top