Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

‘ปารีณา’ ถอนฟ้อง ‘เพนกวิน’ คดีหมิ่นประมาท ‘บิ๊กตู่’ ยัน!! ไม่ใช่ไม่รัก แต่สุดทน เจอตำรวจโทรจิกไม่หยุด

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีแจ้งยุติไม่ประสงค์ดำเนินคดีกับ ‘นายเพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์’ ข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมฯ กรณีกล่าวหาสถาบันฯ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ความว่า…

“#ปารีณาถอนแจ้งความเพนกวิน เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา รอง ผกก. สน.ทองหล่อ เกิดขยันโทรมารัวๆๆๆๆๆๆ (โทรมายิ่งกว่าเจ้าหนี้ปารีณานัดชำระเงิน เกือบด่า คุกคาม น่ารำคาญ) เพื่อขอสอบเพิ่มกรณีไปแจ้งความดำเนินคดีเพนกวิ้นเมื่อ ประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อว่า ‘พลเอกประยุทธ์’ สบฏ และอื่นๆ

ขณะให้การปารีณา แจ้งกับรอง ผกก.ว่า การให้การต่อเจ้าพนักงานต้องไม่มีการจูงใจ ให้ตอบตามความต้องการของเจ้าหน้าที่นะคะ และปารีณาได้แจ้งขอยุติไม่ประสงค์ดำเนินคดีกับเพนกวิน

ปารีณาเห็นศาลลงโทษไม่รอลงอาญาหลายคดี เกี่ยวข้องพลเอกประยุทธและครอบครัวหลายคดีแล้ว ซึ่งการลงโทษรุนแรงมาก เป็นการลงโทษที่เป็นไปตามตัวบทกฏหมายของประเทศเรา

การถอนแจ้งความครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่รักพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้แปลว่าไม่รักสถาบันฯ ปารีณายังรัก เทิดทูนทุกท่านสุดขั้วหัวใจ แต่ต้องการให้โอกาสเยาวชน เมื่อคุณด่าพ่อฉัน ฉันย่อมปวดร้าวและร้องไห้ แต่…. #all non violence crime should not be put in jail”

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 ณ วัดเขากง ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ร่วมสืบทอดประเพณีทางพระพุทธศาสนา

พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย คุณบงกช กาญจนแก้ว ประธานพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 6 และ พลเอก มณี  จันทร์ทิพย์ เลขาธิการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้/ นายกสมาคมเพื่อความมั่นคงพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมเป็นประธานทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2566 จัดขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ส่งเสริมความรักความสามัคคีของประชาชนในพื้นที่ และเพื่อให้พระภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสได้รับอานิสงส์ของกฐินตามพระธรรมวินัย ตลอดจนรวบรวมปัจจัยก่อสร้างวิหารครอบองค์ พระบรมอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ป้องกันการชำรุดจากสภาพอากาศ และปรับปรุงเสนาสนะให้มีสภาพสมบูรณ์ โดยมี พระธรรมวัชรจริยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 และ พระโสภณคุณาธาร เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย คณะผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง โดยปัจจัยที่ได้จากบริวารกฐินมียอดรวม ทั้งสิ้น 1,371,972 บาท

โดย แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า “ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมบุญกันในวันนี้  ถึงแม้สภาพอากาศไม่เป็นใจแต่ทุกคนก็ตั้งใจมา เห็นความสามัคคีของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส  ซึ่งแม่ทัพฯ ได้ร่วมทอดกฐินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน เป็นต้นมาเกือบทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีพี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธเดินทางมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก บางวัดจะเห็นพี่น้องชาวมุสลิมมาช่วยเหลือเช่นกัน ได้เห็นการอยู่ร่วมกันของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และร่วมกันการอนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม” 

ทั้งนี้ พระบรมอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ถูกจัดสร้าง และประดิษฐานขึ้น ณ วัดเขากง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2564  โดย คุณบงกช กาญจนแก้ว ประธานพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 6 ร่วมกับสายธารบุญ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และระลึกถึงพระกิตติคุณ วีรกรรมของพระองค์ท่านที่ทรงกอบกู้อิสรภาพ และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย ปัจจุบันพระบรมอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อสร้างในที่แจ้ง ไม่มีวิหารคลุม จึงทำให้อนุสาวรีย์เกิดการชำรุดจากสภาพอากาศ ทางวัด และคณะกรรมการวัดเขากง จึงได้มีมติให้ก่อสร้างวิหารขึ้น เพื่อป้องกันการชำรุดดังกล่าว  

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

‘อนุทิน’ นำ ‘ทีมหมอ’ บินด่วน ‘สกลนคร’ ผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ พร้อมขอบคุณญาติที่บริจาคอวัยวะ ช่วยต่อลมหายใจอีกหลายคน

(26 พ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้นำ นพ.พัชร อ่องจริต แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และทีมแพทย์ เดินทางไปยังโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อผ่าตัดนำอวัยวะออกจากร่างผู้เสียชีวิต หรืออยู่ใน ‘ภาวะสมองตาย’ แล้วลงนามยินยอมบริจาคอวัยวะ เพื่อนำไปปลูกถ่ายช่วยชีวิตผู้ป่วยรายอื่น เรียกว่า ‘ภารกิจหัวใจติดปีก’ การเดินทางในครั้งนี้ ได้อวัยวะกลับไป ประกอบไปด้วย หัวใจ ไต และตา

ทั้งนี้ ระหว่างรอผ่าตัด นายอนุทิน ได้เข้าพบกับญาติผู้เสียชีวิต เพื่อให้กำลังใจต่อการสูญเสีย พร้อมกับยกมือไหว้ แสดงความขอบคุณผู้เสียชีวิต ที่ยินยอมบริจาคอวัยวะ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป

‘นายกฯ’ ลุยสงขลา เร่งหารือทางการค้า ‘นายกฯ มาเลเซีย’ ส่องความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย

(26 พ.ย. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ในวันที่ 27 พ.ย. เพื่อสำรวจความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย และมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับ ‘ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม’ (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อผลักดันในประเด็นที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้

โดยนายกฯ จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และไปถึงด่านสะเดาแห่งใหม่ เวลา 11.00 น. เพื่อให้การต้อนรับนายกฯมาเลเซีย พร้อมหารือทวิภาคี และรับฟังความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย และสถานการณ์การค้าและการท่องเที่ยวบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ผู้นำไทย-มาเลเซีย จะร่วมกันสำรวจเส้นทางเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่โรงแรม Vista

นายชัย กล่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย สืบเนื่องมาจากการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้นำไทยและมาเลเซีย เห็นพ้องในการผลักดันการค้าชายแดน การแก้ปัญหาความแออัดของด่านสะเดา รวมถึงการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของมาเลเซีย และประเด็นความร่วมมืออื่น ให้มีผลคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

นายชัย กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือในทุกด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุน และความสัมพันธ์ระดับประชาชน ซึ่งมาเลเซียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย และเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียน โดยตั้งเป้าจะเพิ่มมูลค่าการค้าให้บรรลุเป้าหมายที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30 billion USD) ภายในปี 2568 โดยการค้าระหว่างกันส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดนและผ่านแดน โดยการค้าชายแดนไทย - มาเลเซีย ในปี 2565 มีมูลค่า 336,125 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.76 ของมูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่วนใหญ่ผ่านด่านศุลกากรสะเดา ปาดังเบซาร์ เบตงและสุไหงโก-ลก ตามลำดับ นอกจากนี้ ในปี 2565 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ทั้งปีมากกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นลำดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ทำให้มาเลเซียนับเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญและมีความสัมพันธ์หลากหลายมิติกับไทย
 
“การพบหารือของนายกฯและมาเลเซีย สะท้อนความตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองในการให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทยและมาเลเซีย เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความเชื่อมโยงในการเดินทาง รวมถึงการค้าขายบริเวณชายแดนระหว่างกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลเพื่อประโยชน์โดยตรงของประชาชนไทยและมาเลเซีย ทั้งการค้า ลงทุน การท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจ และทางด้านสังคม การไปมาหาสู่ระหว่างกัน” นายชัย กล่าว

‘ธนกร’ เห็นด้วย ‘ชัยธวัช’ คุยฝ่ายเห็นต่างนำไปสู่ความปรองดอง แต่ กม.นิรโทษกรรม ต้องไม่เหมารวม คดี ม.112 ลั่น!! ค้านถึงที่สุด

(26 พ.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินสายไปพบและรับฟังความเห็น ฝ่ายต่างๆ ทั้งคนเสื้อแดง กลุ่มพันธมิตรฯ กปปส. ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่นายชัยธวัช ไปรับฟังทุกฝ่าย ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ระหว่างรอเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งจะทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีทางการเมืองดีมากขึ้น หากมีวัตถุประสงต์หวังให้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดกระบวนการปรองดองทางการเมือง จะต้องเป็นการดำเนินการเพื่อคนทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ไม่ใช่มีผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มตัวเองแอบแฝง ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล จะมุ่งปลดล็อกคดีมาตรา 112 นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวหากจะสร้างความปรองดองแก่ทุกฝ่ายทางการเมือง ที่เห็นต่างถือว่ายอมรับได้ แต่ต้องไม่ใช่ความผิดจากการกระทำที่ความรุนแรง และต้องไม่ละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งรัฐ โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีไว้เพื่อปกป้องประมุขแห่งรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมือง ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหากจะมีการนิรโทษความผิดในมาตรา112

“หากพรรคก้าวไกลจะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อช่วยกลุ่มผู้สนับสนุนให้พ้นความผิดในมาตรา112 นั้น ผมขอคัดค้าน เพราะเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งชาติที่รัก เทิดทูนสถาบันฯ การเดินสายรับฟังความเห็นคนทุกสีเสื้อ ทุกกลุ่มของก้าวไกล แต่จะนำมาอ้างว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยคงไม่ใช่ ผมเชื่อว่า สภาก็จะไม่เห็นด้วย จึงขอให้พรรคก้าวไกลพูดให้ชัดในเรื่องนี้ หากรวมคดีม.112 ด้วย ผมรับไม่ได้และขอคัดค้านแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘รามคำแหง’ มหาวิทยาลัยประชาชน ที่เป็นมากกว่าห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่คือแหล่งบ่มเพาะความรู้ ที่ให้โอกาสและสร้างบัณฑิตสู่สังคมตลอด 52 ปี

“รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ” คือประโยคแรกที่พบเห็นในวันที่ก้าวย่างเข้าสู่รั้ว ‘รามคำแหง’

‘รามคำแหง’ คือ ‘มหาวิทยาลัยประชาชน’ เป็นตลาดวิชา แหล่งศึกษาเรียนรู้ของลูกคนยากคนจน ที่ถูกระบบการศึกษาแบบ ‘แพ้คัดออก’ ถีบส่งมา

ในเดือนพฤษภาคมของปี 2523 ผมหอบสังขาร พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปในรั้วรามคำแหงด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น มาหาความหมายของชีวิต เป้าหมายคือ ‘หอบใบปริญญาไปฝากพ่อแม่’

ในวันนั้น รามคำแหงคราคร่ำไปด้วยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่พลาดหวังกับการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัยเปิด พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่ ที่มานั่งคอยแนะนำ คอยบอกในการกรอกใบสมัครเข้าเป็นนักศึกษา

ไม่เพียงแค่นั้น รุ่นพี่ยังคอยแนะนำ-ชักนำให้เข้าร่วมการทำกิจกรรมกับกลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษา บอกเล่าถึงปัญหาของสังคมที่เรา ในฐานะลูกหลานประชาชนจะต้องเข้าร่วมเพื่อการสะท้อนปัญหา หรือแก้ไขปัญหา

ผมไม่รู้จักรามคำแหงมาก่อนเลย ก่อนจะมาสมัครเป็นนักศึกษา รู้แค่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ที่สอนต่อจากระดับมัธยมเท่านั้น กลุ่ม ชมรม พรรคนักศึกษาอะไร ผมไม่รู้จัก ก็ต้องสอบถาม และรับรู้จากรุ่นพี่ที่มาคอยแนะนำ บอกเล่า

ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ตามรุ่นพี่เล่าให้ฟัง คือ ‘จบง่าย’ แต่ผมคิดอยู่นิดเดียวว่า ต้องเรียนอังกฤษถึง 4 เล่ม ซึ่งเป็นวิชาที่ผมสอบตก ต้องแก้มาตลอด แต่ไม่น่าจะมีคณะอื่นที่เหมาะสำหรับเรา เอาล่ะ… ไม่ลองก็ไม่รู้

เทอมแรกของลูกหลานประชาชน ลงทะเบียนเรียนไป 18 หน่วยกิต รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษด้วย สมัครเสร็จหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้ากลับที่พัก ไปนอนค้างหอพักเพื่อนในซอยเทพลีลา

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว…”

กระดาษแผ่นเดียวอันเป็นสัญญลักษณ์ของการเรียนจบ เป็นใบเบิกทางชีวิต แต่จริงๆ แล้ว 6 ปีในรั่วรามคำแหง เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมากมาย ได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่มีสอนในตำรา ต้องไขว่คว้าหาเอาเอง ซึ่งมีแหล่งศึกษาเรียนรู้มากมาย

6 ปีที่เราถูกเคี้ยวจนข้น ก่อนเดินออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยประชาชนที่เราภาคภูมิใจยิ่ง ก้าวเดินออกมาอย่างมาดมั่นว่า เราเข้มแข็งพอ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีพอที่จะสู้กับใครก็ได้ ในภาวะสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

“จบรามฯ” เรากล้าบอกกับใครก็ได้ อย่างไม่รู้สึกด้อยกว่า พร้อมที่จะเดินเชิดหน้าสู้ในสังคมเส็งเคร็ง และที่ผ่านมา เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘ลูกพ่อขุน’ ไม่แพ้ใคร ทุกแวดวงวิชาชีพจึงเต็มไปด้วย ‘บัณฑิตรามคำแหง’

‘52 ปี รามคำแหง’ ได้สร้างคน สร้างบัณฑิตมาแล้วกว่า 1 ล้านคน และยังมีนักศึกษาในระบบอีกร่วมแสนคน

รามคำแหงจึงไม่ใช่แค่ตึก ไม่ใช่แค่ห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่เป็นแหล่งบ่มเพาะ แหล่งศึกษา แหล่งเรียนรู้ ทั้งในระบบ และนอกระบบ เพื่อนมากมายก็เจอในรั้วรามคำแหง

ที่ไหนมีคน ที่นั้นมีปัญหา รามคำแหงได้ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหามามากมาย ทุกประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง รามคำแหงจะต้องถูกบันทึกไว้ถึงการมีส่วนร่วม

“มีรามฯ ถึงมีเรา” ถ้าไม่มีรามฯ ก็ไม่มีเราในวันนี้ เพราะรามคำแหง คือ ‘เปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง’

‘สนามบินลาซา’ ใน ‘ทิเบต’ เผย ยอดผู้โดยสารปีนี้ทะลุ 5 ล้านคน เสริมความเด่นระบบขนส่ง-ชูเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมทั่ว ‘จีน’

เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ลาซา รายงานข่าว ปริมาณผู้โดยสารหมุนเวียนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติลาซา ก้งก๋า ในนครลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่ในปีนี้ได้สูงเกิน 5 ล้านคนแล้ว ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

รายงานระบุว่าท่าอากาศยานฯ เริ่มต้นดำเนินงานในปี 1965 และมีบทบาทโดดเด่นเพิ่มขึ้นในระบบขนส่งของทิเบต โดยมีการสร้างเครือข่ายทางอากาศครอบคลุมเมืองขนาดกลาง และใหญ่ทั่วจีนตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สำนักบริหารการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ส่วนภูมิภาคทิเบต เผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานฯ ได้เปิดเส้นทางบิน 135 เส้นทาง เชื่อมต่อกับ 68 จุดหมาย รวมถึงหนึ่งจุดหมายในต่างประเทศ

ท่าอากาศยานฯ ได้เพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ แก่ นครลาซา ซึ่งรับรองนักท่องเที่ยวจากในประเทศและต่างประเทศรวม 34.2 ล้านคน และทำรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 4.24 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.12 แสนล้านบาท) ในช่วงสามไตรมาสแรก (มกราคม-กันยายน) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.3 และร้อยละ 46.7 เมื่อเทียบปีต่อปี

‘นายกฯ’ แจ้งข่าวดี!! ‘ฮามาส’ ปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 2 แล้ว เผย มีคนไทย 4 ราย เบื้องต้นทุกคนปลอดภัย-สุขภาพดี

(26 พ.ย. 66) ความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ตัวประกันของกลุ่มฮามาส ล่าสุด กลุ่มฮามาสยอมปล่อยตัวประกันกลุ่มที่ 2 ออกจากกาซาแล้วในช่วงกลางดึกวานนี้ (25 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความแจ้งข่าวดีผ่านแอปพลิเคชัน X (ทวิตเตอร์) Srettha Thavisin (@Thavisin) โดยระบุว่า…

“ดีใจด้วยครับ เมื่อ วันที่ 25 พ.ย. เวลา 23:50 (เวลาท้องถิ่น) ตัวประกันไทยได้รับการปล่อยตัว มีรายชื่อดังนี้

1.) อนุชา อ่างแก้ว
2.) นัฐพร อ่อนแก้ว
3. คมกฤษ ชมบัว
4.) มณี จิระชาติ

จากการตรวจร่างกายในเบื้องต้น
- ทุกคนสุขภาพดี ไม่มีใครต้องการการรักษาพยาบาลเร่งด่วน
- ทุกคนพูดคุยและเดินได้ปกติ
- ทุกคนดีใจที่ได้รับการปล่อยตัว โดยรวมสุขภาพจิตยังดีอยู่ พูดคุยได้ปกติ ต้องการอาบน้ำ และติดต่อกลับหาญาติ

ขณะนี้อยู่ระหว่างเดินทางไปที่ รพ. Shamir Medical Center (Assaf Harofe) 
ขอขอบคุณ กระทรวงต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคงครับ”

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า ได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่ามีคนไทยชุดที่สองได้รับการปล่อยตัวอีก 4 ราย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการนำตัวไปที่โรงพยาบาล ที่ฝ่ายอิสราเอลจัดไว้เพื่อตรวจสุขภาพตามขั้นตอน โดยเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ไปช่วยเหลืออำนวยความสะดวก และประสานการติดต่อกับครอบครัวที่โรงพยาบาลแล้ว

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับครอบครัวของพี่น้องคนไทยทั้ง 4 ราย ที่ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ รวมถึงขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้มีบทบาทสำคัญในการเจรจาให้มีการปล่อยตัวประกันในชุดที่ 2 นี้

อนึ่ง สถานเอกอัครราชทูตฯ แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ทางการอิสราเอลได้ยืนยันจำนวนคนไทยที่ถูกควบคุมตัว เพิ่มขึ้นอีก 2 ราย ทำให้ภายหลังการปล่อยตัวคนไทยชุดที่ 2 แล้ว คาดว่ายังมีคนไทยที่ถูกควบคุมตัวอีกจำนวน 18 ราย ซึ่งรัฐบาลไทยจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยที่เหลือ ให้ได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ โดยที่มีตัวประกันเริ่มทยอยได้รับการปล่อยตัว และมีโอกาสได้พูดคุยกับญาติพี่น้องในประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนที่อาจ สัมภาษณ์ญาติของตัวประกัน มิให้ซักถามหรือเผยแพร่ ข้อมูลระหว่างการถูกควบคุมตัว ซึ่งอาจมีความอ่อนไหว และส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของตัวประกันที่ยังอยู่ในความควบคุมได้

ขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการประสานกับ ฝ่ายอิสราเอลเกี่ยวกับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะนำพี่น้องคนไทยทั้ง 14 รายที่ได้รับการปล่อยตัวและผ่านกระบวนการเยียวยาเบื้องต้นในอิสราเอลแล้ว กลับสู่ประเทศไทยและครอบครัวโดยเร็วต่อไป

‘พัชรวาท’ สั่ง!! เร่งระดมสมองแก้ฝุ่นพิษ หลังค่า ‘PM2.5’ พุ่ง  ชงใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาเร่งด่วน เปิดกว้างเอกชนเสนอเทคโนโลยี

(26 พ.ย. 66) ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้รับรายงานสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเขต กทม.และปริมณฑล ซึ่งพบว่าในช่วงที่ผ่านมามีค่าเกินมาตรฐาน จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.อภิรัต นิยมการ รองเลขาธิการ นรม. เรียกประชุมด่วนเพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ใน กทม.และปริมณฑลอย่างใกล้ชิด และแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง

ร.อ.รชฏกล่าวถึงการประชุมวันนี้ว่า พล.ต.ท.อภิรัต เป็นประธานการประชุม โดยมีนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ, นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย ได้หารือถึงสภาพปัญหาโดยเฉพาะพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ประชุมได้สะท้อนปัญหาว่าช่วงนี้เป็นช่วงอากาศปิด ทำให้ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ประกอบกับสภาพการจรจรที่มีปริมาณการใช้รถใช้ถนนจำนวนมาก สำหรับปัญหาควันจากการเผา จะขอความร่วมมือในพื้นที่ปริมณฑลไม่ให้มีการเผาในพื้นที่โล่ง และขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เสนอให้มีการใช้นวัตกรรมร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น เช่น การติดตั้งพัดลมยักษ์ตามจุดต่างๆ ในพื้นที่ของกลุ่มเปราะบาง และตามสถานศึกษา เพื่อให้เป็นเซฟโซน ทำให้เกิดอากาศหมุนเวียน พร้อมกันนี้ยังได้เปิดรับฟังข้อเสนอของภาคเอกชน เชิญชวนให้มาร่วมนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถบรรเทา และแก้ปัญหาได้ และยังเป็นการระดมสมอง เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาระดับชาติต่อไป และได้นำเรียนผลการประชุมรายงาน พล.ต.อ.พัชรวาทแล้ว

“ท่านรองนายกฯ และ รมว.ทส.ห่วงใยสุขภาพของประชาชนอย่างมาก ได้เร่งรัดให้ทุกฝ่ายแก้ไขปัญหาให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนเกิดความสบายใจ ไม่ให้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เร็วๆ นี้ ผมจะลงพื้นที่ติดตามจุดที่พบว่าเป็นต้นกำเนิดฝุ่น ตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาทสั่งการ เพื่อหามาตรการแก้ไขเพิ่มเติมทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยาวต่อไป” ร.อ.รชฏ กล่าว

27 พฤศจิกายน ของทุกปี  ถือเป็น ‘วันสาธารณสุขแห่งชาติ’  สืบเนื่อง ร.6 ทรงก่อตั้ง ‘กรมสาธารณสุข’

วันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นแทนกรมประชาภิบาล จึงถือเอาวันนี้เป็น ‘วันสาธารณสุขแห่งชาติ’

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นในกระทรวงมหาดไทย แทนกรมประชาภิบาล โดยให้รวมกองบัญชาการ กองสุขศึกษา กองสาธารณสุข กองยาเสพติดให้โทษ กองโอสถศาลารัฐบาล กองบุราภิบาล เข้าด้วยกัน แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น กรมสาธารณสุข เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทรเป็นอธิบดีกรมสาธารณสุข องค์แรก นับเป็นวาระแรกที่มีการใช้คำว่า 'สาธารณสุข' จึงถือว่า วันที่ 27 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็น 'วันสถาปนาการสาธารณสุข'

เดิมทีในสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยยังคงมีกิจการ ทางด้านการแพทย์ แบ่งออกเป็นหลายฝ่าย เช่น กองบัญชาการ กองสุขศึกษา กองสาธารณสุข กองยาเสพติดให้โทษ กองโอสถศาลารัฐบาล กองบุราภิบาล ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทรวงมหาดไทยมีความประสงค์ที่จะปรับปรุง กิจการของกรมพยาบาล ให้กว้างขวาง โดยการขอพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนจากกรมประชาภิบาล มาเป็นกรมสาธารณสุข ซึ่งพระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้สามารถจัดตั้งได้ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมมหาวิทยาลัย เป็นอธิบดีกรมสาธารณสุข อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2485 จึงได้มีการสถาปนากรมสาธารณสุขขึ้น เป็นกระทรวงสาธารณสุข โดยถือเอาวันที่ 10 มีนาคม เป็นวันสถาปนา 'กระทรวงสาธารณสุข'


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top