Saturday, 17 May 2025
TheStatesTimes

OR ปักธงครบ!! ขยายไลน์ธุรกิจ 'ออยล์-นอนออยล์' คลุมอาเซียน โฟกัส!! 'กัมพูชา' ผุดปั๊มเพิ่ม พ่วง 'ไลฟ์สไตล์-กาแฟ-สะดวกซื้อ'

ไม่นานมานี้ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยแนวโน้มผลดำเนินงานในปี 2567 ว่า เป็นปีที่ดีของธุรกิจ โดยมียอดขายน้ำมันเติบโตกว่าการขยายตัว GDP +1% จากปีนี้ที่ไทยมีการเติบโต GDP ราว 2.8-2.9% ยอดการขายน้ำมันจะโตประมาณ 4% รวมทั้งบริษัทเน้นการบริหารสต๊อกน้ำมันให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้มีปัญหาการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน แต่จะเห็นการมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน พร้อมนำเทคโนโลยี Dashboard มาใช้ทำให้รับรู้ผลกำไรขาดทุนได้ชัดเจนมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจขยายการลงทุนธุรกิจ Food and Beverage (F&B) และเร็ว ๆ นี้จะมีการลงนามบันทึกช่วยจำ (MOU) กับบริษัทเกาหลีและญี่ปุ่นในธุรกิจ Health & Wellness ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการลงทุนในไตรมาส 1/2567

สำหรับอีกเรื่องที่น่าสนใจของ OR คือ แผนกลยุทธ์ และทิศทางการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทฯ ต่อจากนี้ ซึ่งในเบื้องต้นนั้น จะมุ่งขยายธุรกิจไปยังประเทศที่ OR ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา ซึ่งทางบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ไว้ให้เป็นบ้านหลังที่ 2 โดยจะเพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงแสวงหาโอกาสร่วมกับพันธมิตรทั้งจากประเทศไทยและพันธมิตรในพื้นที่ รวมไปถึงการขยายธุรกิจไปในประเทศใหม่ ๆ

"กลุ่มธุรกิจ Global ของ OR วางงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2567-71) เอาไว้ที่ราว 8,007.4 ล้านบาทเพื่อขยายสถานีบริการ PTT Station และ Cafe Amazon และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่มีศักยภาพ โดยเน้นการลงทุนในประเทศกัมพูชาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก โดยมีการเติบโต GDP ที่ 5% มีค่าการตลาดเสรี รวมทั้งการเมืองมีเสถียรภาพ ส่วนเมียนมาคงต้องชะลอไปก่อนเนื่องจากมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ ส่วนลาว ก็มองโอกาสการทำธุรกิจใหม่ โดยวางเป้าเป็นแหล่งซัปพลายเม็ดกาแฟให้ประเทศต่าง ๆ ในอนาคต" นายดิษทัต กล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ OR ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชานั้น ทาง OR ได้เตรียมทุ่มงบลงทุนราว 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 พันล้านบาท เพื่อลงทุนขยายสถานีบริการ PTT Station ในกัมพูชาอีก 27 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 172 แห่ง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีเพิ่มเป็น 175 แห่ง มีมาร์เก็ตแชร์ 15% เป็นอันดับ 2 รองจากอันดับ 1 คือ Tela ที่มีแชร์เกือบ 30%

ส่วนการขยาย Cafe Amazon คาดขยายเพิ่มอีก 31 สาขา โดยปัจจุบันมีสาขา 231 สาขา ซึ่งหากมองมาร์เก็ตแชร์แล้วจะคิดเป็น 23% หรือเป็นอันดับ 1

ในส่วนของการสร้างคลัง LPG ในกัมพูชา ความจุ 2,200 ตัน ทาง OR จะใช้งบลงทุนรวม 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าต้นปีหน้าจะเริ่มเซ็นสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง และเปิดดำเนินการในปี 2568 และเบื้องต้นจะขาย LPG ให้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักก่อน

ไม่เพียงเท่านี้ OR ยังได้ร่วมทุนในบริษัทร่วมค้า (Joint Venture) ให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ณ สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จไตรมาส 3/2567 รวมถึงยังแสวงหาโอกาสธุรกิจพลังงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Battery Swapping และสถานีชาร์จไฟฟ้า EV station PluZ และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่มี Cafe Amazon, ร้านสะดวกซื้อ และร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry เป็นตัวชู

"สำหรับประเทศอื่น ๆ OR ยังคงมองโอกาสอย่างต่อเนื่อง เช่น เมียนมา แต่ก็คงต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ ส่วนลาว ก็มองโอกาสการทำธุรกิจใหม่ โดยวางเป้าเป็นแหล่งซัปพลายเมล็ดกาแฟให้ประเทศต่าง ๆ ในอนาคต ส่วนเวียดนาม OR จับมือกับเซ็นทรัล กรุ๊ปเข้าสู่ธุรกิจ Food and Beverage เนื่องจากเวียดนามยังไม่เปิดให้ต่างชาติลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมัน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ยังคงเดินหน้าจำหน่ายน้ำมันเครื่องบิน และขายให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่อไป" นายดิษทัต ทิ้งท้าย

นราธิวาส-ผบ.พล.ร.15 เยี่ยมน้องทหารใหม่ หน่วยฝึกทหารใหม่ เน้นย้ำต้องดูทหารใหม่เสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ หน่วยฝึกทหารใหม่ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 151 ค่ายกรมนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบล มะรือโบออก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 เดินทางมาเพื่อตรวจเยี่ยมดูความพร้อมของหน่วยฝึกทหารใหม่ เมื่อทหารกองประจำการ หรือน้องทหารใหม่ เข้าไปอยู่ในหน่วยฝึกทหารจะต้องได้รับการดูแลทั้งในเรื่องของหลักสูตรการฝึก และเรื่องของคุณภาพชีวิต ซึ่งต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีเริ่มตั้งแต่การเข้านอนยันตื่นนอน การรับประทานอาหาร และการฝึก และยังรวมไปถึงการส่งเสริมในเรื่องของการต่อยอดด้านการศึกษา น้องทหารใหม่จะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกด้านเมื่อก้าวเข้าสู่รั้วทหาร พร้อมเน้นย้ำผู้บังคับหน่วยฝึก ผู้ฝึก รวมถึงครูทหารใหม่ ให้ยึดรูปแบบการฝึกตามระเบียบจากกรมยุทธศึกษาทหารบก และมาตรการการควบคุมโรคจากกระทรวงสาธารณสุข ต้องดูแลเอาใจใส่ทหารใหม่ในทุกนาย เสมือนดูแลคนในครอบครัว เพราะทหารกองประจำการ เมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วทหาร เปรียบเสมือนเป็นน้องคนเล็ก ของกองทัพบก พร้อมทั้งเน้นย้ำในเรื่องมาตรการป้องกันโรคลมร้อน (Heat Stroke) โดยให้ครูฝึกต้องเป็นตัวอย่างที่ดี รวมถึงเรื่องสิทธิกำลังพลที่น้องทหารใหม่พึงได้ พร้อมทั้งการประชาสัมพันธ์การเข้าสู่การเป็นทหารอาชีพ 

โดย พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชากองพลทหารราบที่ 15 กล่าวว่า "การฝึกทหารใหม่ ต้องคิดว่าน้องๆ ที่เข้ามาเป็นพลทหารกองประจำการ เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา เปรียบเสมือนเป็นน้องคนเล็ก เรามีหน้าที่ดูแล บ่มเพาะ และปลูกฝังให้มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบในความเป็นทหาร และสุภาพบุรุษ เปลี่ยนทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจของน้องๆ เปลี่ยนความคิดจากการเป็นพลเรือน ให้มีจิตใจเป็นทหารอย่างเต็มภาคภูมิ รักในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สำหรับวิธีการฝึกนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานบนความถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบการฝึก ทั้งนี้ขอให้ผู้ปกครองได้มีความมั่นใจในกระบวนการฝึกของกองทัพบก ว่าจะทำให้บุตรหลานของทุกท่านเป็นผู้ที่มีศักยภาพ เป็นบุคลากรที่ดีของกองทัพบก และประเทศชาติต่อไป

การทารุณกรรมและย่ำยี ‘สตรีญี่ปุ่น’ ของ ทหารสหรัฐฯ-ออสเตรเลีย โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสูบนแผ่นดินญี่ปุ่น ที่ถูก ‘ห้ามกล่าวถึง’

หลังจากฮิโรชิมาและนางาซากิ : โศกนาฏกรรมและความอัปยศอดสู
การทารุณกรรมสตรีญี่ปุ่นของทหารสหรัฐฯ และออสเตรเลีย บนแผ่นดินญี่ปุ่น

พฤติการณ์และพฤติกรรมของทหารสังกัดกองกำลังสัมพันธมิตร ในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่นโดยกองทัพสหรัฐฯ และสัมพันธมิตร หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้แตกต่างไปจากทหารสังกัดกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ด้านมืดของการยึดครองญี่ปุ่นอันเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือชาติอื่น ๆ ก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนในเดือนสิงหาคม 1945 ก็เริ่มเกิดการข่มขืนหมู่โดยทหารของกองกำลังยึดครอง (แม้จะมีซ่องโสเภณีมากมายก็ตาม) อาชญากรรมดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องปกติ และหลายคดีโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต โดยศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ ‘Eiji Takemae’ ได้เขียนเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมของทหารอเมริกันในขณะที่ยึดครองญี่ปุ่นว่า…

“เรา… กองทหารรวมตัวกันเหมือนผู้พิชิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสัปดาห์และเดือนแรก ๆ ของการยึดครอง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมีตั้งแต่การลักลอบค้าขายสินค้าในตลาดมืด การลักเล็กขโมยน้อย การขับรถโดยประมาท พฤติกรรมที่ไม่มีวินัย ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สิน การทำร้ายร่างกาย การลอบวางเพลิง การฆาตกรรม และการข่มขืน ความรุนแรงส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่สตรีญี่ปุ่น

เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการยกพลขึ้นบกของกองกำลังสัมพันธมิตร ในเมืองโยโกฮามา และประเทศจีน รวมถึงที่อื่น ๆ ทหารสัมพันธมิตรทั้งทหารบกและทหารเรือฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่ต้องรับโทษ และเกิดเหตุการณ์การปล้น การข่มขืน และการฆาตกรรม หลายครั้งหลายคราวก็มีการรายงานอย่างกว้างขวางในสื่อ (ซึ่งยังไม่ได้เซ็นเซอร์โดยกองทัพอเมริกัน) เมื่อพลร่มของสหรัฐฯ เข้าพื้นที่เมืองซัปโปโร เกิดการปล้นสะดม การข่มขืน และการทะเลาะวิวาทกันอย่างมากมายขึ้น”

พลโท ‘Robert L. Eichelberger’

การข่มขืนหมู่และการทารุณกรรมทางเพศอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ศาลทหารของกองทัพสัมพันธมิตรได้ลงโทษทหารที่ถูกจับกุมเพียงแค่ไม่กี่ราย ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกตัดสินลงโทษสถานเบา และแทบจะไม่มีการชดใช้ค่าเสียหายให้กับบรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเลย

ความพยายามของชาวญี่ปุ่นในการป้องกันตัวเองนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง เช่น กรณีที่พลโท ‘Robert L. Eichelberger’ บันทึกไว้ในบทบันทึกความทรงจำของเขาว่า “เมื่อชาวบ้านญี่ปุ่นในท้องถิ่นจัดตั้งกลุ่มศาลเตี้ย และตอบโต้ต่อทหารอเมริกัน กองทัพที่แปดจึงสั่งการให้หน่วยรถถังทำการปิดถนนและจับกุมหัวโจกผู้นำ ซึ่งต่อมาได้รับโทษจำคุกอย่างยาวนาน”

กองทัพอเมริกันและออสเตรเลียไม่ได้รักษาหลักนิติธรรมเลย เมื่อมีการละเมิดผู้หญิงญี่ปุ่นด้วยฝีมือทหารสังกัดกองกำลังของตนเอง อีกทั้งประชากรญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้รับอนุญาตต่อสู้ปกป้องตัวเองด้วย แต่กองกำลังยึดครองกลับสามารถปล้นสะดมและข่มขืนหญิงสาวชาวญี่ปุ่นได้ตามต้องการ โดยทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

หนึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1946 เมื่อทหารอเมริกันราว 50 นายเดินทางด้วยรถบรรทุก 3 คัน บุกเข้าไปยังโรงพยาบาลนากามูระ ในเขตโอโมริ และได้ข่มขืนผู้ป่วยหญิงกว่า 40 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่หญิงอีก 37 คน มีหญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนทั้งที่เพิ่งคลอดบุตรได้เพียง 2 วัน และลูกของเธอถูกโยนลงบนพื้นจนเสียชีวิต ผู้ป่วยชายที่พยายามปกป้องผู้หญิงก็ถูกสังหารด้วย สัปดาห์ต่อมา ทหารสหรัฐฯ หลายสิบคนได้ตัดสายโทรศัพท์ไปที่ตึกหนึ่งในเมืองนาโกย่า และข่มขืนผู้หญิงทุกคนที่พวกเขาสามารถจับได้ที่นั่น ซึ่งมีทั้งเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 10 ขวบ ตลอดจนถึงผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 55 ปี

กองกำลังออสเตรเลียในญี่ปุ่น

พฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะเฉพาะสำหรับทหารอเมริกัน แม้แต่กองกำลังออสเตรเลียก็ปฏิบัติตนในลักษณะเดียวกัน ในระหว่างที่ประจำการในญี่ปุ่น ดังที่พยานชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ให้การไว้ว่า “ทันทีที่กองทหารออสเตรเลียมาถึงคูเระ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัดฮิโรชิมะ เมื่อต้นปี 1946 พวกเขาได้ลากหญิงสาวขึ้นรถจี๊ปไปบนภูเขา และทำการข่มขืน ฉันได้ยินพวกเธอกรีดร้องขอความช่วยเหลือเกือบทุกคืน” พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ แต่ข่าวอาชญากรรมจากกองกำลังยึดครองก็ถูกระงับการเผยแพร่อย่างรวดเร็ว

‘Allan Clifton’ นายทหารออสเตรเลียได้เล่าถึงประสบการณ์ของเขา เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศโดยทหารออสเตรเลียที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นว่า “ผมยืนอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาล บนเตียงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนสลบอยู่ ผมยาวสีดำพันอยู่ในหมอนอย่างยุ่งเหยิง แพทย์และพยาบาลสองคนกำลังทำงานเพื่อช่วยชีวิตเธอ หนึ่งชั่วโมงก่อนที่เธอจะถูกทหารออสเตรเลีย 20 นาย รุมข่มขืน เราพบเธอในที่ที่พวกเขาทิ้งเธอไว้บนผืนดินรกร้าง โรงพยาบาลอยู่ในฮิโรชิมา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น ทหารเป็นพวกออสเตรเลีย เสียงครวญครางและคร่ำครวญได้หยุดลงแล้ว และตอนนี้เสียงเธอก็เงียบลงแล้ว ความตึงเครียดอันทรมานบนใบหน้าของเธอคลี่คลายลง และผิวสีน้ำตาลอ่อนที่เรียบเนียนไร้ริ้วรอย เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ราวกับใบหน้าของเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหลับไป เมื่อมีการตรวจสอบก็พบว่า ทหารออสเตรเลียที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวในญี่ปุ่น จะได้รับโทษจำคุกในสถานเบามาก และต่อมาทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่มักได้รับการบรรเทาโทษหรืออภัยโทษ โดยศาลออสเตรเลียในภายหลัง”

Clifton ได้เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยตัวของเขาเองว่า เมื่อศาลออสเตรเลียยกเลิกคำตัดสินของศาลทหาร โดยอ้างว่า “หลักฐานไม่เพียงพอ” แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะมีพยานหลายคนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าศาลที่ดูแลกองกำลังยึดครองของฝั่งตะวันตก ได้ใช้มาตรการเพื่อปกป้องตนเองจากอาชญากรรมที่กระทำต่อชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ผู้ยึดครองชาวตะวันตกส่วนใหญ่ มองว่าเป็นเพียงการเข้าถึง ‘ความเสียหายของสงคราม’ ในขณะนั้น

เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงสงคราม โดยมีการรายงานการข่มขืนในยามสงบน้อยเกินไป เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องรู้สึกความอับอายต่อสังคมดั้งเดิม รวมถึงการไม่ทำอะไรเลยของเจ้าหน้าที่ (การข่มขืนในทั้ง 2 กรณีเกิดขึ้น เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรมีอำนาจ) จึงทำให้ตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่สบายต่ออาชีพของตนมากขึ้น กองทัพสหรัฐฯ จึงดำเนินการเซ็นเซอร์สื่ออย่างเข้มงวด ส่งผลให้การกล่าวถึงอาชญากรรมที่ทหารสัมพันธมิตรกระทำต่อพลเรือนญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด

‘ทหาร Gurkha’ แห่งกองทัพอังกฤษในกองกำลังยึดครองญี่ปุ่น

กองกำลังยึดครอง ออกสื่อและรหัสล่วงหน้า เซ็นเซอร์ห้ามการตีพิมพ์รายงานและสถิติทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า “ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการยึดครอง” ไม่กี่สัปดาห์แรกในการยึดครอง สื่อมวลชนญี่ปุ่นกล่าวถึงการข่มขืน และการปล้นสะดมอย่างกว้างขวางโดยทหารอเมริกัน กองกำลังที่ยึดครองตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการเซ็นเซอร์สื่อทั้งหมด และใช้นโยบายต่อต้านการรายงานอาชญากรรมดังกล่าวเป็นศูนย์ ไม่เพียงแต่อาชญากรรมที่กระทำโดยกองกำลังตะวันตกเท่านั้น แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ประเทศสัมพันธมิตรฝั่งตะวันตกใด ๆ ก็ตาม ถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัดในช่วงการยึดครองเป็นเวลานานกว่าหกปี

สิ่งนี้ทำให้กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ ลอยตัวอยู่เหนือความรับผิดชอบในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งสถานีอำนวยความสะดวก และการสนับสนุนผู้หญิงกลุ่มเปราะบางให้เข้าสู่การค้าบริการทางเพศ การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับตลาดมืด ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับกับความอดอยากของประชากร หรือแม้แต่การอ้างอิงถึงผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจตะวันตก การต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมทั่วเอเชีย และความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในสงครามเย็น ล้วนถูกห้ามเผยแพร่ทั้งสิ้น

หลังจากอ่านบทความทั้งหมดแล้ว
นักแปลอาวุโสจะแปลเรื่องที่ต้องเซ็นเซอร์เป็นภาษาอังกฤษและส่งต่อ

สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเซ็นเซอร์ที่กำหนดขึ้น ภายใต้การยึดครองของอเมริกัน คือ มันมีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของมันเอง ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงแต่บางเรื่องจะถูกจำกัดอย่างเข้มงวดเท่านั้น แต่ยังห้ามกล่าวถึงการเซ็นเซอร์อีกด้วย

ดังที่ศาสตราจารย์ ‘Donald Keene’ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่า “การเซ็นเซอร์ของกองทัพอเมริกันระหว่างการยึดครองนั้น น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าการเซ็นเซอร์ของกองทัพญี่ปุ่นเสียอีก เพราะเป็นการยืนยันว่า มีการปกปิดร่องรอยของการเซ็นเซอร์ทั้งหมด” ซึ่งหมายความว่า บทความจะต้องเขียนใหม่ทั้งหมด แทนที่จะส่ง XXs สำหรับวลีที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น

สำหรับกองทัพอเมริกันไม่เพียงแต่จะต้องควบคุมข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องสร้าง ‘ภาพลวงตา’ ของสื่อเสรี เมื่อมีสื่ออยู่ด้วย ในความเป็นจริง มีข้อจำกัดมากกว่าที่เคยเป็นในช่วงสงครามภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ

การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ของกองเซ็นเซอร์พลเรือน (Civil Censorship Detachment : CCD) 

การก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการเซ็นเซอร์ แม้กระทั่งการกล่าวถึงการเซ็นเซอร์ สหรัฐฯ สามารถอ้างสิทธิ์ในการยืนหยัดเพื่อเสรีภาพในการทำสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก ด้วยการ ‘ควบคุมสื่อ’ กองทัพอเมริกันสามารถพยายามส่งเสริมไมตรีจิตในหมู่ชาวญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันการก่ออาชญากรรมโดยทหารอเมริกันและพันธมิตร ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกโดดเดี่ยว ละเลย จนเลือนหายไปในที่สุด

แม้ว่า ความโหดร้ายของกองทัพอเมริกันและออสเตรเลียต่อพลเรือนญี่ปุ่น จะเห็นได้อย่างชัดเจนในระหว่างการยึดครองญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดผลที่ตามมาในทันที โดยเฉพาะในโอกินาวา ที่มีคดีฆ่า-ข่มขืน โดยทหารสัมพันธมิตร 76 รายใน 5 ปีแรก หลังจากการถูกยึดครอง แต่ก็ไม่ได้จบลงแค่หลังจากการยกเลิกการยึดครองเท่านั้น ตัวเลขประมาณการว่า ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา มีหญิงสาวชาวโอกินาวาถูกข่มขืนไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย

และด้วยทุกวันนี้สหรัฐฯ ยังคงมีบทบาททางทหารในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา และอาชญากรรมต่าง ๆ รวมถึงความรุนแรงทางเพศ ตลอดจนการฆาตกรรมพลเรือนชาวญี่ปุ่นโดยทหารอเมริกัน ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ต่อไป จนกว่าในที่สุดจะไม่มีฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นเหลืออยู่อีกเลย

https://worldhistoryandevents.blogspot.com/2023/10/after-hiroshima-and-nagasaki-tragedy.html?m=1 และ https://en.wikipedia.org/wiki/Rape_during_the_occupation_of_Japan

‘ปอ อรรณพ’ เล่านาทีชีวิต เครื่องบิน ‘ไฟลุก’ กลางอากาศ ทำให้ใช้งานไม่ได้ตอนอยู่บนฟ้า ลั่น!! คนเป็นลมเกือบยกลำ

เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.66) ความคืบหน้าหลังจาก ‘ปอ อรรณพ ทองบริสุทธิ์’ หรือ ‘ปอ AF7’ เปิดเผยนาทีชีวิตผ่านไอจีสตอรี่ อธิบายเหตุการณ์ว่า “ทุกคนน เกือบตายยย เครื่องบินระเบิด ไฟลุกกลางอากาศ ตอนนี้กัปตันพาลงที่สนามบินดอนเมืองละครับ เครื่องด้านขวาระเบิด ใช้งานไม่ได้ ตอนอยู่บนฟ้า เป็นลมกันเกือบทั้งลำ”

อย่างไรก็ดี ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพบว่า ‘ปอ’ โดนแท็กไอจีสตอรี่อยู่ร้านอาหารแล้ว ก่อนที่ ‘ปอ’ จะเล่านาทีระทึกเพิ่มเติมว่า

“ยังไม่ได้หลับสนิท ตอนเครื่องขึ้นไปประมาณ 10 กว่านาที มีเสียงดัง ‘ตึ้ง’ คิดว่าฝันเหรอ หรืออะไร”

อย่างไรก็ดี สมาชิก TikTok @ben_benga ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โดยสารลำดังกล่าว ได้โพสต์คลิปขณะกัปตันและลูกเรือของสายการบิน เข้ามาพูดคุยกับผู้โดยสาร พร้อมสันนิษฐานถึงสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ให้ฟัง

เธอระบุข้อความว่า เครื่องออกจากดอนเมืองเวลา 11.10 น. วนกลับมาดอนเมือง แลนดิ้งเวลา 12.05 น. เกิดเหตุขัดข้องที่เครื่องยนต์ด้านขวา ผู้โดยสารแจ้งลูกเรือว่ามีประกายไฟเกิดขึ้นที่เครื่องยนต์ด้านขวา เครื่องดับ กัปตันประกาศไม่สามารถบินต่อได้ ต้องประคองเครื่องกลับมาลงดอนเมือง ต่อมา กัปตันมาคุยกับผู้โดยสารที่แจ้งเหตุ และต้องสืบหาสาเหตุต่อไป คนอ้วกไปแล้วครึ่งลำ ดมยาดม เป็นลมกันตามๆ กัน หลังแลนดิ้งทุกคนปรบมือกรีดร้องด้วยความดีใจ

ภายในคลิปได้ยินเสียง ‘ผู้โดยสาร’ สนทนากับ ‘กัปตัน’ ซึ่ง ‘กัปตัน’ อธิบายว่า มี 2 สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น อาจมีนกเข้าไป เพราะบินผ่านนกข้างขวา แต่คนละทีกัน ตอนเกิดเรื่องประมาณ 6 พันฟุต แต่ผ่านไปประมาณ 4-5 พันฟุต นกผ่านไปแล้ว 2-3 ตัว นกตัวใหญ่ แต่หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่งมันถึงเกิดเรื่อง ผมเลยไม่แน่ใจ

‘กัปตัน’ ระบุว่า พอเครื่องมันจะเสีย แต่เนื่องจากมันจะมีแรงอยู่ เหมือนกับเร่งแล้วก็หยุดๆ มันเป็นของมันเอง หลังจากรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจึงต้องดับเครื่อง แล้วก็มีไฟออกมาช่วงนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ดี ‘กัปตัน’ ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตนต้องโดนสอบสวนด้วย 

'บอย-อิทธิพัทธ์' คลาย 5 ข้อสงสัย Landbridge 'ระนอง-ชุมพร' ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ที่ 'สิ่งแวดล้อม-วิถีชีวิต' ไม่สะเทือน

(25 พ.ย.66) คุณบอย อิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่มีกลุ่มไอ้โม่งนำชาวบ้านไปคัดค้านการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ โดยไขข้อสงสัยสำคัญ 5 ข้อดังนี้ ว่า...

1. ความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชนที่จะสูญเสีย รวมถึงผลกระทบจากการเวนคืนที่ดิน 

ตอบ : ทางรัฐบาล ได้ทำการประชาพิจารณ์ทุกหมู่บ้านและผู้เข้าร่วมเห็นด้วยกับโครงการ Landbridge แต่อาจจะมีบางคนที่ไม่ได้เข้าร่วมจึงอาจจะยังไม่เข้าใจจึงมีการตั้งคำถามกันขึ้นมา ส่วนค่าเวนคืนทางกระทรวงคมนาคมเวนคืนตามหลักของกฎหมายการเวนคืนซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้กันทั่วไปในทุกพื้นที่ของประเทศไทยไม่ได้มีการเอารัดเอาเปรียบแต่อย่างใดและสามารถ อุทธรณ์เรื่องค่าเวนคืนหากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมได้

2. ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เช่น ผู้ประกอบการรายย่อยจะได้รับผลพลอยได้ด้วยหรือไม่ มีอุตสาหกรรมอะไรใหม่ๆ หรือจะมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์อะไรเกิดขึ้นเพิ่มเติมบ้าง

ตอบ : โครงการ Land bridge เป็น Mega Project ทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น ช่วยให้พัฒนาเศรษฐกิจในหลายๆ ด้าน เม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท จากภาคเอกชนที่ประมูลได้จะมาลงทุนทำท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 จังหวัด สร้างมอเตอร์เวย์ สร้างทางรถไฟ และทำท่อส่งน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ ซึ่งเมื่อสำเร็จอุตสาหกรรมหลังท่าที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเน้นเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้นและจะไม่สร้างโรงกลั่นน้ำมันมาแข่งกับทาง EEC และจะเพิ่มอัตราการจ้างงานมากกว่า 200,000 อัตรา ยกระดับคุณแรงงานและความเป็นอยู่ของคนภาคใต้ และสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน พลิกโฉมภาคใต้และประเทศไทยแน่นอน 

3. มีผลกระทบต่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลก จะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านวิชาการและการเงินจากยูเนสโก อาจกระทบต่อการท่องเที่ยว การกระจายรายได้ถึงชุมชน รวมถึงป่าชายเลนซึ่งเป็นระบบนิเวศที่กักเก็บก๊าซคาร์บอน

ตอบ : รัฐบาลไม่หยุดเตรียมคำขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างแน่นอน และจะใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการจัดการพื้นที่รอบท่าเรือ ให้เหมือนประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่มีท่าเรือขนาดใหญ่และสามารถอนุรักษ์ที่อยู่อาศัยของสัตว์และพันธุ์พืชหายากได้ ส่วนพื้นที่ที่จะสร้างท่าเรือเป็นพื้นที่ใกล้ป่าชายเลนซึ่งไม่เหมาะกับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือสร้างประโยชน์อะไรได้มากและพื้นที่ตรงนั้นมีความลึกที่เพียงพออาจขุดลงไปอีกไม่มากไม่กระทบต่อแหล่งท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

4. การพัฒนาระบบท่อส่งน้ำมัน ทุกวันนี้เรายังเห็นปัญหาน้ำมันรั่วไหลทางทะเลเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องตั้งคำถามว่า หากเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลขึ้นในโครงการนี้ รัฐบาลได้วางแผนระบบการกำจัดคราบน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ มีมาตรการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแบบมีส่วนร่วม และจะมีกองทุนเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือไม่

ตอบ : Mega Project อย่าง Land bridge จะต้องมีการเตรียมการ มีการศึกษาเชิงลึก และวางปัญหาที่จะเกิดขึ้นเอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้น ผู้ประมูลที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก จะไม่เสี่ยงที่จะทำงานให้ผิดพลาดเพราะในสัญญาการประมูล จะมีเพียงผู้ชนะการประมูลเพียงเจ้าเดียว เพื่อให้เป็น One port two sides ที่มีระบบการจัดการทั้งหมดเป็นAutomation รวมเป็นศูนย์เดียว และเป็นจะต้องถูกออกแบบและทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดหากมีข้อผิดพลาดบริษัทผู้ชนะประมูลต้องรับผิดชอบ

5. การขนส่งทางบกและทางรางซึ่งต้องผ่านพื้นที่ป่า ก็ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงสัตว์ป่าด้วยการสร้างทางเดินให้สัตว์ป่าด้วย

ตอบ : แน่นอนว่าการทำถนน เจาะอุโมงค์ ต้องกระทบกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วไม่มากก็น้อย แต่การพัฒนาโครงการ Land bridge จากการศึกษามีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยเพราะฉะนั้นแผนการก่อสร้างต่างๆ จะออกแบบให้เกิดผลกระทบที่น้อยสุด และตรงจุดที่้เลี่ยงไม่ได้ก็จะสร้างพื้นที่ป่าทดแทนให้เท่าเทียมหรือมากกว่าเดิมเพื่อให้เป็นบ้านของสัตว์ป่า 

โจทย์ว้าวุ่น 'เพื่อไทย' วันนี้ 'นายกฯ เศรษฐา' จะหลุดอะไร? ภาวนาลึกๆ ทำงานให้เข้าตา-โดนใจ แปลงแรงต้านให้เป็นแรงเชียร์

'เล็ก เลียบด่วน' สารภาพ...แม้จะเป็นสื่อมวลชน แต่อีกมิติหนึ่งก็เป็นประชาชน มีรักชอบโกรธหลง...แม้จะไม่ได้เป็นปลื้มกับ เศรษฐา ทวีสิน ที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ แต่เมื่อมาตามวิถีทาง...วิถี (ประชาธิปไตย) ไทย ก็เอาใจช่วยและภาวนาอยู่ลึกๆ ขอให้ไปได้ด้วยดี...

พรรคเพื่อไทยแม้จะมีภาพลักษณ์ทั้งที่อาจเป็นอยู่จริงหรือถูกใส่ร้ายใส่สีตีไข่...ก็ต้องยอมรับว่าออกอาการเทาๆ เรื่องความโปร่งใส แต่เมื่อเทียบกับความน่ากลัวของ 'วิถีใหม่' ของบางพรรค ที่บอกว่าเป็นวิถีแห่งความหวัง มองยังไงนาทีนี้ก็ยังเป็นวิถีแห่งความน่ากลัว...มากกว่า

เพื่อไทยจึงยังเป็นวิถีที่ต้องเลือกของคนจำนวนไม่น้อย...

และเศรษฐาจะเป็นหุ่นเชิดหรือไม่เชิดอะไรนั้น...ยังไม่สำคัญเท่ากับเมื่อมีโอกาสแล้ว 'เศรษฐา' คงได้โชว์กึ๋นให้เห็นกันได้บ้าง...

แต่ก็นั่นแหละ...ประเมินว่าบรรดาแฟนคลับที่มีสติของ 'นายกนิด' ในนาทีนี้ คงซีเครียดว้าวุ่นอยู่กับการลุ้นระทึกในแต่ละสัปดาห์ว่า...เศรษฐาหลุดอะไร...หัวใจจะวายกับประเด็นที่หลุดมั้ย...

เป็นนายกฯ มาสองเดือนเศรษฐา...ภาพจำของนายกฯ เศรษฐา...เริ่มกลายเป็นว่า...

- นายกสูงยาวถุงเท้าแดง (ดีที่ยังไหว้สวย)
- ปากไวพูดเรื่องถล่มอิสราเอลแบบไม่ทรงภูมิความเป็นนายกฯ
- ออกอาการซีอีโอ โยนปากกา/ชอบปรี๊ดแตกอัดข้าราชการกลางวง (สื่อ)
- ใช้คำว่า 'ขี้ข้า' ขณะแนะนำลูกหลานนักศึกษาที่สหรัฐฯ
- หลุดพูดเรื่อง (ฝาก) ย้ายตำรวจ...ผู้กำกับใหม่กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
- ฯลฯ-

ส่วนภาพจำในเชิงบวกที่พอจะเห็นๆ ก็คือ...ขยันขันแข็ง ลุยงาน...แต่บางครั้งก็ออกอาการเหมือนนักบริหารที่ลนลาน ประเภท 'คิดไม่จบ' แต่พูดล้ำหน้า...

ครับ...ในฐานะที่หัวใจให้โอกาส ก็ต้องสารภาพรักด้วยวิธีสะท้อนภาพให้รับทราบแบบนี้...ถ้าเห็นด้วยก็นำไปปรับปรุง คนเราพลาดกันได้ เพียงแต่สองเดือนเศษ 'นายกนิด' พลาดมาก...พลาดที่ปากไว...ปากพาจน...

"ผู้กำกับใหม่...คงมีผู้ผิดหวัง มากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไปเพราะขอมาเยอะเหลือเกิน..." คำพูดแบบนี้ในห้องประชุมที่มี สส.ของพรรคนั่งกันเต็ม ต้องบอกว่าอันตรายยิ่ง...มีทางเดียวต้องไปคิดแก้ปัญหาให้มันเจ็บน้อยที่สุด

จะฝ่าข้ามมาตรา 185(3) มาตรา 186 ประกอบมาตราอื่นๆ ของรัฐธรรมนูญไปได้อย่างไร และที่สำคัญนักร้องอันดับหนึ่งประเทศ ศรีสุวรรณ จรรยา ไปร้องป.ป.ช.เรื่องผิด-ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม 2561 เอาไว้แล้วด้วย...ถ้าเรื่องเดินทางไปถึงศาลฎีกานักการเมืองวันไหนมีโอกาสพักงานเหมือนกัน...!!

ดังนั้นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดของนายกฯ เศรษฐาตอนนี้ก็คือ ทำงานหนัก สร้างผลงานให้เข้าตากรรมการ (ประชาชน) ให้มากๆ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในบ้านในเมือง...แปลงแรงต้านเป็นแรงเชียร์

ภาพรวมผู้คนที่เขามั่นคงในสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เคยถูกเพื่อไทยมองเป็นพวกจารีต...พวกเขายังให้โอกาส เหตุผลสำคัญเพราะยังไงๆ เพื่อไทยก็ไม่ถึงกับคิดล่มชาติล้มสถาบัน..!!

เฮ่อออ...วันนี้ตอนแรกจะเขียนเรื่อง 'ตั๋วผู้การ'...'ตั๋วอดีตนายกฯ'...โยงกับ 'ตั๋วผู้กำกับ'...แต่ความที่อยากกระตุกนายกฯ นิดเลยร่ายซะยาว...หลังย้ายระดับรองผบก.-ผกก.สิ้นเดือน พ.ย.นี้ค่อยว่ากันเรื่องตั๋วอีกที!!

‘จีน’ เตรียมเปิดนโยบาย ‘ฟรีวีซ่าฝ่ายเดียว’ 6 ชาติ สามารถเข้าประเทศได้ไม่เกิน 15 วัน ดีเดย์ 1 ธ.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานการแถลงการณ์ที่เผยแพร่ในบัญชีโซเชียลมีเดียของกระทรวงการต่างประเทศจีน ซึ่งระบุว่าจีนตัดสินใจทดลองดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าฝ่ายเดียว สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจากฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย

แถลงการณ์ออนไลน์เผยว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจาก 6 ประเทศข้างต้นสามารถเดินทางเข้าจีนได้โดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่า เพื่อทำธุรกิจ ท่องเที่ยว เยี่ยมเยียนญาติและมิตรสหาย และแวะพักเครื่อง เป็นเวลาไม่เกิน 15 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2023 ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2024

อย่างไรก็ดี ประชาชนจาก 6 ประเทศเหล่านี้ที่ไม่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดการยกเว้นวีซ่า ยังคงต้องยื่นขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศจีน โดยนโยบายนี้จะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้คน และรองรับการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงและการเปิดกว้างในระดับสูง

นโยบายพัฒนาคุณภาพข้าว หรือแค่แจกเพื่อรักษาฐานเสียง

หลังมีข่าวจากการประชุมของ คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม ซึ่งในที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 ในโครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 780 ล้านบาท เฉพาะผู้ประกอบการโรงสีชดเชยดอกเบี้ย 4% เป้าหมาย 4 ล้านตัน ระยะเวลาการรับซื้อ ตั้งแต่ ครม.อนุมัติ - 30 มีนาคม 2567 ส่วนภาคใต้ วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567 กรอบระยะเวลาโครงการ ครม.อนุมัติ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568

นอกจากนี้ในที่ประชุมยังได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการจ่าย 'เงินช่วยเหลือชาวนา' ตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 เกษตรกรเป้าหมาย 4.68 ล้านครัวเรือน ช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ โดยผู้แทน ธ.ก.ส. แจ้งว่า จะมีการโอนเงินตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2566 โดยจะจ่าย 5 วันต่อเนื่องพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันแรกจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกดปุ่มโอนจ่ายเงินคิกออฟที่ทำเนียบรัฐบาล

สำหรับ โครงการ 'เงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท' ใช้วงเงินงบประมาณจ่ายขาดทั้งสิ้น 56,321.07 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณจ่ายขาดให้เกษตรกร โดยใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. วงเงิน 54,336.14 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการ ธ.ก.ส. วงเงิน 1,984.93 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปในช่วง 8 ปีก่อนหน้านี้ (ปี 2557-2565) หรือในช่วงรัฐบาล คสช. และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ รวมถึงปีที่ 1 ของรัฐบาล ‘เศรษฐา ทวีสิน’ พบว่า ครม.อนุมัติมาตรการช่วยเหลือชาวนา โดยมีวิธีการ ‘แจกเงิน' 9 ปีการผลิต รวมงบประมาณที่ใช้มากถึง 485,497 ล้านบาท ได้แก่...

>> รัฐบาล คสช. (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ)

- ปีการผลิต 2557/58 ครม.อนุมัติโครงการช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้ชาวนา 3.63 ล้านครัวเรือน งบจ่ายขาด 39,506 ล้านบาท

- ปีการผลิต 2559/60 ครม.อนุมัติโครงการช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ช่วยเหลือชาวนา 3.7 ล้านราย งบจ่ายขาด 37,860.25 ล้านบาท

- และมาตรการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/60 ให้แก่ผู้ปลูกข้าวเปลือกหอมมะลิ และผู้ปลูกข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 1 งบจ่ายขาด 32,541.58 ล้านบาท

- ปีการผลิต 2560/61 ครม. อนุมัติโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบจ่ายขาด 37,898.11 ล้านบาท

- ปีการผลิต 2561/62 ครม. อนุมัติโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี งบจ่ายขาด 62,791.35 ล้านบาท (อนุมัติ กรอบวงเงินงบประมาณ 2 ครั้ง)

>> รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

- ปีการผลิต 2562/63 ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตฯ ไร่ละ 500 บาท งบจ่ายขาด 28,054.83 ล้านบาท และโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวฯ ไร่ละ 500 บาท งบจ่ายขาด 26,458.89 ล้านบาท หรือใช้งบจ่ายขาดรวม 54,553.72 ล้านบาท มีชาวนาได้ประโยชน์รวม 4.57 ล้านครัวเรือน

- ปีการผลิต 2563/64 ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบจ่ายขาด 56,093.63 ล้านบาท มีชาวนาได้ประโยชน์ 4.56 ล้านครัวเรือน

- ปีการผลิต 2564/65 ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบจ่ายขาด 55,567.36 ล้านบาท มีชาวนาได้ประโยชน์ 4.69 ล้านครัวเรือน

- ปีการผลิต 2565/66 ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบจ่ายขาด 55,364.75 ล้านบาท มีชาวนาได้ประโยชน์ 4.68 ล้านครัวเรือน

>> รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

- ปีการผลิต 2566/67 ครม.อนุมัติโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบจ่ายขาด 56,321.07 ล้านบาท มีชาวนาได้ประโยชน์ 4.68 ล้านครัวเรือน

งบประมาณที่ใช้ไปมากกว่า 485,497 ล้านบาท ในรอบ 9 ปี ไม่ได้ทำให้คุณภาพข้าวของไทย มีคุณภาพมากขึ้น ไม่ได้สร้างให้เกิด Productivity ในการพัฒนาคุณภาพการผลิต จึงเป็นคำถามที่ว่า สิ่งที่ทุกรัฐบาลทำอยู่ เพียงเพื่อเป็นการรักษาฐานเสียง เพราะไม่ได้จูงใจให้เกษตรกรมีการพัฒนาคุณภาพข้าว ตามชื่อของโครงการ 'พัฒนาคุณภาพผลผลิต' ได้อย่างแท้จริง

เมื่อเทียบกับ ประเทศเวียดนาม ที่มีการยกระดับการปลูกข้าวให้มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งในแง่ปริมาณผลผลิตต่อไร่ โดยการจัดสรรงบประมาณภาครัฐลงไปในส่วนการวิจัย การพัฒนาสายพันธุ์ ที่เห็นได้ชัดในปี 2565 การวิจัยพันธุ์ข้าวหอมพื้นนุ่มสายพันธุ์ ST25 ในพื้นที่เพาะปลูกบริเวณดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงของเวียดนาม ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในจีน และให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงถึง 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ (ข้าวเปลือก 1,600 กิโลกรัมต่อไร่) ซึ่งมากกว่าผลผลิตต่อไร่ของข้าวหอมมะลิของไทย 

นอกจากนี้ ยังมีการอนุมัติแผนงาน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมข้าวของเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. 2568 - 2573 วางนโยบายที่มุ่งเน้นการส่งออกข้าวที่มีมูลค่าสูงทดแทนการส่งออกที่เน้นปริมาณเป็นหลัก

ถึงเวลาหรือยัง ที่จะต้องกลับมาทบทวนนโยบายการ ‘แจกเงิน’ กับโครงการในลักษณะนี้ ว่าหากจะต้องแจกต่อควรมีเงื่อนไขอย่างไร ในการที่จะควบคุมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างแท้จริง

เรื่อง: The PALM

‘MK’ บุกตลาด ‘น้ำจิ้มสุกี้’ ไร้ ‘ผงชูรส’ ปลอด ‘สารกันเสีย’ ชู!! เก็บได้นาน 1 ปี ชาวเน็ตแห่ดีใจ เชียร์ให้ขายน้ำชาด้วย

(25 พ.ย.66) หนุ่มเมืองจันท์ หรือ สรกล อดุลยานนท์ นักเขียนชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งว่าร้านเอ็มเคสุกี้ เปิดขายน้ำจิ้มสุกี้อย่างเป็นทางการวันนี้เป็นวันแรก ระบุว่า เมื่อวาน คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน เจ้าของ ‘เอ็มเคสุกี้’ ส่งรูปนี้มาทางไลน์ ‘ขออนุญาตเป็น presenter เองเลย’ คาดว่าคุณฤทธิ์คงจะบุกตลาด ‘น้ำจิ้มสุกี้’ อย่างจริงจัง หลังจากทดลองขายมาได้พักหนึ่ง

แต่ครั้งนี้มีการใช้เทคโนโลยีให้เก็บได้นานถึง 1 ปี จากเดิมเก็บได้นานแค่ 7 วัน โดยที่ ‘ไม่ใส่ผงชูรส’ และ ‘ไม่ใส่สารกันเสีย’ เหมือนเดิม จะเริ่มขายวันนี้ที่ร้าน ‘เอ็มเคสุกี้’ ทุกสาขา ดูเหมือนว่าคุณฤทธิ์จะบุกตลาด ‘น้ำจิ้มสุกี้’ อย่างจริงจัง เพราะการเพิ่มอายุสินค้าได้นานถึง 1 ปี เป็นจุดเปลี่ยนของเกม

อย่าลืมว่าตลาดน้ำจิ้มสุกี้ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าปลีกต่างๆ มีมูลค่าน่าจะหลายพันล้านบาท นึกเล่นๆ ว่าถ้ามีน้ำจิ้มสุกี้ ตรา ‘เอ็มเคสุกี้’ เข้าไปวางแข่ง ตลาดคงสะเทือน ผมตอบคุณฤทธิ์ไปสั้นๆ ด้วยความเป็นห่วง “ระวังรายได้จะมากกว่าร้านเอ็มเคนะครับ“ เป็นห่วงจริงๆ ครับ

หลังจากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แสดงความยินดี อาทิเช่น “ควรทำนานแล้วคับ รอซื้อเลย”, “ส่งต่างประเทศ​ไหมเนี่ยคืออยู่แคนาดา​แต่อยากกินบ้าง”, “น่าจะทำตั้งนานแล้วนะครับ” เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหลายคนอยากให้ทำน้ำชาของเอ็มเคขายด้วย

'นักวิเคราะห์' หวั่น!! 'แลนด์บริดจ์' สะเทือนมาเลเซีย เชื่อ!! อาจทำ 'ท่าเรือกลัง' ยอดให้บริการวูบ 20%

(25 พ.ย.66) หลังจากที่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปนำเสนอโครงการ Land Bridge (แลนด์บริดจ์) ต่อกลุ่มนักลงทุนต่างชาติในการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน ที่จะกลายเป็นเส้นทางการค้าทางเลือกผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรูปแบบการขนส่งเชื่อมสองท่าเรือให้โยงถึงกันอย่างไร้รอยต่อ

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการขนส่งทางน้ำให้มีความทันสมัย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับนานาประเทศ 

เนื่องจากโครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ นี้จะสร้างข้ามมาจากภาคใต้ของไทย เพื่อเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งจะเป็นการค้าทางเรือที่เลี่ยงผ่านมาเลเซียและสิงคโปร์ไป โดยที่เรือไม่ต้องแล่นลงไปตามปลายสุดของสิงคโปร์ผ่านช่องแคบมะละกา หนึ่งในท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก

มุมมองและความคิดเห็นของนักวิเคราะห์และนักวิชาการ Free Malaysia Today หรือ FMT ในมาเลเซียรายงานว่า แลนด์บริดจ์ของไทยอาจทำให้ท่าเรือมาเลเซียพ่ายแพ้ทางการเงินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า

สายการเดินเรือจะได้รับประโยชน์จากเส้นทางลัดระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตามที่นักวิเคราะห์ระบุ ท่าเรือกลังมีแนวโน้มที่จะประสบกับความพ่ายแพ้ทางการเงินที่สำคัญ แต่ท่าเรือปีนังอาจได้รับผลประโยชน์จากสะพานแลนด์บริดจ์ทางภาคใต้ของประเทศไทย 

Karisma Putera Rahman แห่งสถาบันวิจัย Bait Al-Amanah กล่าวว่า อาจเห็นท่าเรือกลังที่ทำหน้าที่เป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ของช่องแคบมะละกา และเป็นช่องทางเดินเรือที่พลุกพล่านที่สุดในโลก อาจมีการลดบริการจัดการสินค้าลงถึง 20% แต่ในทางกลับกัน นอร์ดิน อับดุลละห์ (Nordin Abdullah) รองประธานหอการค้าออสเตรเลีย-อาเซียน กล่าวว่า ปีนังอาจได้รับประโยชน์จาก ‘ทางลัด’ ระหว่างทะเลอันดามันและอ่าวไทย เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทย 

อีกทั้งจากคำแถลงของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่ว่า ประเทศไทยกำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ในการฟื้นฟูโครงการที่มีอายุหลายศตวรรษ พร้อมกล่าวปราศรัยกับนักลงทุนนอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่ซานฟรานซิสโก ว่า เส้นทางภาคพื้นดินนี้จะสามารถลดเวลาการเดินทางของเรือได้ถึง 4 วัน และลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 15%

>> ย้อนอดีตเชื่อมสองฝั่งทะเล

แนวคิดเรื่องการทำเส้นทางตรงระหว่างผืนน้ำทั้งสองที่ประกบกับคลองกระ ซึ่งเป็นแถบแผ่นดินที่เชื่อมต่อกับคาบสมุทรมลายู เคยถูกเสนอมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2220 แต่แทนที่จะทำเพื่อการค้าขาย กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางทหาร เพื่อให้สามารถเคลื่อนกำลังทหารได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่มีการรุกรานโดยอาณาจักรพม่า (เมียนมา) ที่อยู่ใกล้เคียง

ทั้งนี้ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ชาวฝรั่งเศสและชาวอังกฤษยังพิจารณาแนวคิดนี้ด้วยเหตุผลทางการค้า แต่มุ่งเน้นไปที่การขุดคลองมากกว่าการสร้างเส้นทางบก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

Karisma Putera Rahman คาดว่า ช่องแคบมะละกาจะเต็มความจุภายในปี 2573 สะพานแลนด์บริดจ์จะทำหน้าที่เป็นเส้นทางทางเลือกในอุดมคติสำหรับการจราจรทางทะเล อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นการเปลี่ยนเส้นทางสินค้าส่วนใหญ่ออกจากท่าเรือกลัง (Klang Port) ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียสายการเดินเรือในท้องถิ่น และเป็นอันตรายต่อสถานะทางการเงินที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วของท่าเรือนี้

ทั้งยังคาดการณ์ว่า 15-20% ของการขนส่งสินค้าจะถูกเปลี่ยนเส้นทางจากมาเลเซียและสิงคโปร์ทันทีที่สะพานแลนด์บริดจ์เปิดใช้งาน พร้อมเสริมว่า “จากปริมาณปี 2565 ของท่าเรือกลัง อยู่ที่ 13.22 ล้านหน่วยเทียบเท่า (TEU) ซึ่งสร้างรายได้ประมาณ 2.4 พันล้านริงกิตนั้น คาดว่ารายรับจะลดลงจาก 360 ล้านริงกิต ถึง 480 ล้านริงกิต” 

>> ข้อได้เปรียบสำหรับปีนัง มาเลเซีย

นอร์ดิน อับดุลละห์ (Nordin Abdullah) รองประธานหอการค้าออสเตรเลีย-อาเซียน กล่าวว่า หากท่าเรือปีนังดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ขนส่งในการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อขนส่งทางรถไฟมายังประเทศไทย “แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าท่าเรือในประเทศไทยหรือไม่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรม ความสามารถในการแข่งขัน และความสามารถในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก” เขากล่าวเสริม 

แม้ว่าผลกระทบของสะพานแลนด์บริดจ์อาจก่อให้เกิดความกังวลในมาเลเซีย แต่ก็มีบางคนที่ไม่กังวลมากนัก

Alvin Chua รองประธานสมาพันธ์ผู้ขนส่งสินค้าแห่งมาเลเซีย กล่าวว่า ต้นทุนเพิ่มเติมในการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือไทยทั้งสองแห่ง น่าจะช่วยในเรื่องความประหยัดจากระยะเวลาเดินทางที่สั้นลงได้พอๆ กัน พร้อมเสริมว่า “การขนถ่ายสินค้ามีราคาแพง โดยอาจมีราคาอยู่ที่ 125,000 ถึง 150,000 เหรียญสหรัฐต่อลำ ต่อวัน” นอกจากนี้ กระบวนการใหม่นี้จะต้องใช้เรือสองลำแทนที่จะเป็นลำเดียวในการส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทาง

Karisma Putera Rahman เห็นด้วยว่า กระบวนการเทียบท่า การขนส่งสินค้าทางถนนเป็นระยะทางมากกว่า 100 กม. จากนั้นก็บรรจุลงเรืออีกลำหนึ่งนั้น อาจลดปริมาณการใช้งานสะพานแลนด์บริดจ์ลงได้ “ดังนั้น ผลกระทบที่แท้จริงทางเศรษฐกิจของโครงการดังกล่าวต่อมาเลเซีย จึงยังคงไม่แน่นอน จับต้องไม่ได้” Karisma กล่าวเสริม

>> ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์
โครงการดังกล่าวยังคงทำให้เกิดข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ในวงกว้างมากขึ้น เส้นทางภาคพื้นดินจะช่วยให้เรือของจีนสามารถเลี่ยงท่าเรือของมาเลเซียได้ ซึ่งถือเป็นการประนีประนอมกับชิปต่อรองที่มาเลเซียมีในความสัมพันธ์ทวิภาคีกับจีน 

Karisma Putera Rahman กล่าวอีกว่า “นี่อาจทำให้ความสามารถในการสร้างสมดุลความสัมพันธ์ที่มีระหว่างมหาอำนาจทั้งสองของมาเลเซียเกิดความซับซ้อนมากขึ้น และอาจทำให้ความสามารถในการดำเนินการตามกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศมีความซับซ้อน เนื่องจากมาเลเซียมีบทบาทในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมสำหรับสหรัฐฯ และจีน”

ด้าน นอร์ดิน อับดุลละห์ (Nordin Abdullah) มองว่านี่เป็น ‘การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด’ ของไทย ในการรับประกันการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในและรอบๆ ท่าเรือทั้งสองแห่ง และกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินการหลายอย่าง เพื่อปรับปรุงภาวะเศรษฐกิจในภาคใต้ แต่ตอนนี้ได้แต่หวังเพียงว่าจะสามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว” 

หลังจากได้มีการเสนอโครงการนี้ให้กับนักลงทุนจากประเทศจีนและซาอุดิอาระเบีย นายกฯเศรษฐา กล่าวว่า โครงการนี้จะสามารถสร้างงานได้ 280,000 ตำแหน่ง และเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้ถึง 5.5%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top