Wednesday, 30 April 2025
TheStatesTimes

พอเสียที!! ตีข่าวในหลวงรับค่าธรรมเนียมพระราชปริญญาบัตร แม้สถาบันการศึกษามอบให้ พระองค์ก็ทรงคืนกลับไปทั้งหมด

เมื่อไม่นานนี้ พลตรี วันชนะ สวัสดี หรือ ‘ผู้พันเบิร์ด’ ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ ‘เงินค่าธรรมเนียมรับปริญญา’ โดยระบุว่า…

ที่ผ่านมา มักจะมีคําถามเกี่ยวกับ ‘เงินค่าธรรมเนียมรับปริญญา’ มาโดยตลอด เพราะมีคนที่มีความพยายามจะทําให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่า เงินค่าธรรมเนียมรับปริญญาที่บัณฑิตต้องจ่ายในพิธีรับปริญญานั้น จะถูกนำไปถวายให้ ‘ในหลวง’

ไม่จริงเลยครับ…

เงินค่าธรรมเนียมรับปริญญานั้น เป็นเงินที่ใช้สําหรับเป็นค่าบริหารจัดการของหน่วยงานนั้นๆ นะครับ ที่เขาจะเอาไปใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเปิดหอประชุม หรือค่าธุรการอะไรต่างๆ สำหรับในพิธีรับปริญญาทั้งหมด เป็นค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ จะต้องชี้แจงกับนักศึกษา

ผมยังไม่รู้เลยว่า เรื่องนี้นั้น จะมีใครบางคนชี้แจงแบบบิดเบือนหรือไม่ อีกทั้ง อาจจะมีอาจารย์บางท่านที่ชี้แจงอย่างไม่ครบถ้วนว่า เงินค่าธรรมเนียมนี้นั้น ส่วนนึงจะถวายให้ในหลวง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่นักศึกษา สิ่งนี้ก็เลยอาจจะทำให้นักศึกษาเกิดอคติ เกิดความคิดที่ไม่ดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์

แล้วเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เหล่านี้ มีการถวายให้ในหลวงจริงหรือไม่?

การที่มหาวิทยาลัยได้จัดการพระราชทานปริญญาบัตร และในหลวงท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินไปมอบปริญญาบัตรแก่บัณฑิตนั้น มีการถวายเงินให้กับสถาบันฯ จริง

แต่เงินที่ถวายให้กับสถาบันฯ นั้น เป็นเงินที่ทางมหาวิทยาลัยนั้นๆ ทูลเกล้าถวายให้กับสถาบันฯ เปรียบเหมือนเป็นการขอบพระคุณพระองค์ น้อมรำลึกถึงความกรุณาของพระองค์ท่าน

แต่เงินที่ถวายนั้น ไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมรายหัวของนักศึกษาที่เข้ารับปริญญา เงินที่ถวายนั้น เป็นเงินหลังจากการที่ทางมหาวิทยาลัยบริหารจัดการทั้งหมดแล้ว จึงอยากทูลเกล้าถวาย หรืออาจจะเป็นเงินที่มาจากงบประมาณส่วนอื่นๆ ก็ได้

แต่สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ ในหลวงท่านไม่รับ…

ในหลวงทรงพระราชทานเงินทั้งหมดนั้นคืนแก่ทางมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยในเครือราชภัฏ

ในหลวงท่านทรงพระราชทานคืนมาทุกครั้ง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นมกุฎราชกุมาร

ทูลเกล้าถวายไปกี่ครั้ง พระองค์ท่านก็จะทรงพระราชทานคืนลงมาที่ ‘มูลนิธิคุรุอุปถัมภ์’

เพราะฉะนั้น การที่เกิดอคติแบบนี้ขึ้นมาในสังคม แล้วไม่ใครออกมาชี้แจงข้อมูล อธิบายข้อเท็จจริง ผมจึงต้องออกมาอธิบายให้ทุกคนได้ฟัง

ข้อเท็จจริงที่ว่า “ในหลวงทรงไม่เคยรับเงินค่าธรรมเนียมรับปริญญา และพระองค์ทรงพระราชทานคืนแก่มหาวิทยาลัยทั้งหมด”

‘ฝรั่งเศส’ ยกระดับเฝ้าระวังก่อการร้ายสูงสุด หลังเกิดเหตุบุกแทงคนใน รร. คาดผลพวงสถานการณ์ฉนวนกาซา ด้าน ‘สถานทูต’ เตือนคนไทยระวังตัว

(15 ต.ค. 66) เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความเตือนคนไทยในฝรั่งเศส หลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายซึ่งคาดว่าอาจเป็นผลจากสถานการณ์ในฉนวนกาซา ดังนี้

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ขอแจ้งว่า ตามที่ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์การก่อการร้ายภายในประเทศ เป็นระดับสูงสุด ภายหลังเกิดเหตุผู้ร้ายใช้มีดทำร้ายร่างกายคนในโรงเรียนฝรั่งเศส เมือง Arras เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 โดยทางการฝรั่งเศสคาด ว่าอาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สู้รบบริเวณฉนวนกาซาขณะนี้อีกทั้งต่อมา วานนี้ (14 ต.ค. 66) ทางการฝรั่งเศสได้มีการอพยพผู้คนโดยด่วนออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และพระราชวังแวร์ซาย และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่นๆ เนื่องจากทางการฝรั่งเศสได้รับแจ้งเตือนว่าอาจมีการวางระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว

สถานเอกอัครราชทูตจึงขอประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว ตรวจสอบเส้นทางการเดินทาง และการเปิดทำการของสถานที่ต่างๆ รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการฝรั่งเศสอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ หากมีเหตุด่วนและฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตกรุณาติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +33 6 03 59 97 05 และ +33 6 46 71 96 94

‘ลิซ่า’ หอบของขวัญเซอร์ไพรส์ ‘คุณพ่อมาร์โค’ ในวันเกิดครบ 70 ปี  ด้านคนบันเทิง-แฟนคลับ ร่วมส่งคำอวยพรขอให้คุณพ่อสุขภาพแข็งแรง

เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 66 คุณแม่ของ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปดังอย่าง ‘BLACKPINK’ ได้โพสต์ภาพชุดผ่านอินสตาแกรม พร้อมพร้อมหน้า คุณพ่อ คุณแม่ และลิซ่า ภายในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของคุณพ่อ ‘มาร์โค บรูสชไวเลอร์’ ในโอกาสครบรอบ 70 ปี

โดย ลิซ่า มาในลุคสบายๆ สุดน่ารัก เดรสยีนส์กอดกล่องของขวัญมาเซอร์ไพรส์คุณพ่อ โดยคุณแม่ยังได้ระบุไว้ในแคปชันว่า “สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆนะคะแด๊ด”

นอกจากนี้ ยังมีบรรดาคนดัง และแฟนๆ ของสาวลิซ่า เข้าไปอวยพรวันเกิดคุณพ่ออย่างต่อเนื่อง

สำหรับคุณพ่อของลิซ่า หรือ ‘มาร์โค บรูสชไวเลอร์’ เป็นเชฟชื่อดังระดับโลก โดย ‘เคป็อบสตาร์’ เล่าถึงปูมหลังของคุณพ่อมาร์โคว่า เมื่อครั้งคุณพ่อ อายุราว 60 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพ่อเลี้ยงของลิซ่า โดยในปี 1989 คุณพ่อจบการศึกษาในระดับปริญญาโทจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำงานในร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังระดับโลกหลายสิบแห่ง หนึ่งในนั้นคือ ‘ซันซิตี้คาซิโน’ ที่ดังระดับโลกในประเทศแอฟริกาใต้

รายงานระบุด้วยว่า คุณพ่อมาร์โคได้เดินทางมาทำงานที่โรงแรมเอเชีย และโนโวเทลบางนา และได้พบกับคุณแม่ของลิซ่า และได้เลี้ยงดูลิซ่าอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เด็ก ซึ่งลิซ่าก็รักคุณพ่อมากๆ บรรดาแฟนคลับมักจะเห็นลิซ่ากับคุณพ่อบ่อยครั้ง

ขณะที่ลิซ่าเองก็เคยแชร์รูปคู่กับคุณพ่อเนื่องในวันพ่อด้วย ส่วนคุณพ่อก็เคยมาเชียร์ลิซ่าทุกครั้งที่วงแบล็กพิงก์มาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย

‘ECOT’ จับมือ ‘ICDL’ เดินหน้ายกระดับศักยภาพให้นายจ้าง-ลูกจ้าง เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล-เท่าทันโลกยุคใหม่ มุ่งสู่ ‘ไทยแลนด์ 4.0’

(15 ต.ค. 66) สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย หรือ ‘ECOT’ โดยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาฯ จับมือ สถาบันพัฒนาและทดสอบทักษะด้านดิจิทัล หรือ ‘ICDL Thailand’ โดย Dr.Hugh O' Connell กรรมการผู้จัดการ ยกระดับสมรรถนะดิจิทัลให้เจ้าของธุรกิจ หรือ นายจ้างและลูกจ้างอยู่ในระดับมาตรฐานสากลและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า  ECOT ต้องหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากร เพื่อร่วมกันยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้องค์กรธุรกิจและบุคลากรของประเทศ มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับการทำงานในยุคดิจิทัลและบรรลุถึงการเป็นไทยแลนด์ 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้านการพัฒนาความสามารถด้านการใช้ดิจิทัล (Digital Literacy)

สำหรับการลงนามนั้น มีผู้บริหารของทั้งสององค์กร รวมถึงภาคี เข้าร่วม เช่น คุณจุลลดา มีจุล รักษาการผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ คุณสุปรีย์ ทองเพชร ประธาน สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย คุณกฤษฏิ์กัญญา กานต์จิรธันย์ Executive Director, ICDL Thailand พล.อ.ต.ศ.ดร.ประสงค์ ปราณีตพลกรัง ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ คุณสิริวัน ร่มฉัตรทอง เลขาธิการ ECOT ดร.ภูชิสส์ ศรีเจริญ รองประธานอาวุโสสภา SMEs

‘จีน’ สุดล้ำ!! เปิดตัว ‘รถบัสท่องเที่ยวไร้คนขับ’ สายแรกในนครอู่ฮั่น เดินทางสะดวกสบาย แถมจ่ายค่าโดยสารเพียงแค่ 5 สตางค์เท่านั้น!!

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, อู่ฮั่น ได้รายงานข่าว การเปิดให้บริการสำหรับ ‘รถบัสท่องเที่ยวไร้คนขับ’ สายแรกของนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน

โดยรถบัสสายนี้วิ่งให้บริการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอู่ฮั่น มีระยะทางรวม 24 กิโลเมตร ปัจจุบันมีรถมินิบัสไร้คนขับวิ่งให้บริการรวม 7 คัน แต่ละคันสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 10 คน แถมค่าโดยสารยังสนนราคาเพียง 1 เฟิน หรือ 0.01 หยวนเท่านั้น (ราว 5 สตางค์)

ตำรวจไซเบอร์ เตือนภัยแก๊ง Call Center อ้างเป็นตำรวจ แจ้งว่าเป็นผู้เช่าบ้านที่มีการตรวจค้นพบยาเสพติด และพัวพันกับการฟอกเงิน ให้โอนมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ในช่วงที่ผ่านมาตรวจสอบพบแผนประทุษกรรมของมิจฉาชีพแก๊ง Call Center โทรศัพท์ไปยังผู้เสียหายจำนวนหลายรายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจธุรการคดี สังกัดสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสถานีตำรวจในพื้นที่ห่างไกล เริ่มจากสร้างความน่าเชื่อถือโดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน หรือแจ้งข้อมูลตัวของผู้เสียหายได้อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง จากนั้นมิจฉาชีพจะแจ้งว่าผู้เสียหายมีชื่อเป็นผู้เช่าบ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวพบยาเสพติด และสิ่งของผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้เสียหายปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านหลังดังกล่าว มิจฉาชีพจะให้ผู้เสียเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์กับสถานีตำรวจเพื่อทำการสอบสวนปากคำ ระหว่างนั้นมิจฉาชีพจะส่งเอกสารราชการปลอมให้ตรวจสอบ รวมถึงสวมเครื่องแบบตำรวจเปิดกล้องโทรศัพท์วิดีโอคอลกับผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง นอกจากนี้จะแจ้งผู้เสียหายว่าเพื่อไม่การสอบสวนปากคำถูกเสียงภายนอกรบกวน ให้อยู่เพียงตัวคนเดียวในสถานที่ที่ไม่มีผู้อื่นอยู่

ต่อมามิจฉาชีพจะสอบถามว่าผู้เสียหายมีบัญชีธนาคารกี่บัญชี แต่ละบัญชีมีจำนวนเงินเท่าใดบ้าง กระทั่งแจ้งผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้โอนเงินมาตรวจสอบถึงแหล่งที่มา โดยเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นจะคืนเงินให้ผู้เสียหาย

ทั้งนี้ จากสถิติศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 - วันที่ 30 ก.ย.66 พบว่า การข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center) มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์กว่า 24,601 เรื่อง หรือคิดเป็น 7.34% จากเรื่องการรับแจ้งความทั้งหมด สูงเป็นลำดับที่ 5 รองจากการหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน หลอกให้กู้เงิน และการหลอกลวงให้ลงทุน โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 5,449 ล้านบาท สูงเป็นลำดับที่ 2 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด รองจากการหลอกลวงให้ลงทุน

ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนของนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ส่งข้อความสั้น (SMS) หรือโทรศัพท์ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชนสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งนี้นอกจากการระดมกวาดล้างจับกุมปราบปรามผู้กระทำผิดในหลายๆ ปฏิบัติการแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ยังได้ร่วมกันแสวงหาแนวทาง และวางมาตรการป้องกันในการแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการเตือนภัยไซเบอร์วัคซีน การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับสถาบันการเงิน การบังคับกฎหมายตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 การแก้ไขการรับจ้างการเปิดบัญชีธนาคาร การครอบครองซิมโทรศัพท์มือถือ การอายัดบัญชีธนาคารอย่างรวดเร็วให้ทันท่วงที การตรวจจับบัญชี หรือการทำธุรกรรมการเงินที่ต้องสงสัย และการยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมการเงินที่มีวงเงินสูง เป็นต้น 

การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน ” หรือกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 

โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า สิ่งแรกที่มิจฉาชีพมักจะทำคือการสร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้เสียหาย โดยการทราบชื่อนามสกุลของผู้เสียหาย ใช้จิตวิทยาเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของเหยื่อ มีการเขียนบทสนทนาให้มิจฉาชีพใช้พูดคุยกับเหยื่อ มีการแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมือนจริง เพื่อทำให้เหยื่อคล้อยตามหลงเชื่อ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยในการหลอกลวง เช่น การใช้ระบบตอบรับอัตโนมัติ IVR (Interactive Voice Response) หรือเทคโนโลยี Deepfake เป็นต้น เพราะฉะนั้นประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน ให้พึงระมัดระวังการรับสายโทรศัพท์หมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ทั้งหมายเลขที่โทรมาจากในประเทศ หรือโทรมาจากต่างประเทศ ขอให้ท่านอย่าตื่นตระหนก อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว อย่าหลงเชื่อเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน และโอนให้กับผู้ใดโดยเด็ดขาด

พร้อมขอประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันภัยจากมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังนี้ 
1.หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชน ไม่มีนโยบายที่จะต้องโทรศัพท์ไปยังประชาชน เพื่อแสดงเอกสารราชการ กล่าวอ้างว่าท่านเกี่ยวข้องกับกระทำความผิดกฎหมาย หากท่านได้รับสายในลักษณะดังกล่าวสันนิษฐานได้ว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน
2.ไม่ตกใจกลัว ไม่เชื่อเรื่องราวต่างๆ จากบุคคลที่ไม่รู้จัก ให้วางสายการสนทนาดังกล่าว ตรวจสอบก่อนโดยการโทรศัพท์ไปยังหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ของหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือโทรศัพท์สอบถามไปยังสายด่วนตำรวจไซเบอร์ หมายเลข 1441
3.ไม่เพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีตำรวจ หรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆ  
4.อย่าโอนเงินเด็ดขาด หากมีคำพูดว่าให้โอนเงินมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หรือเพื่อสิ่งใดก็ตาม นั่นคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์มิจฉาชีพ
5.ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลการเงินกับผู้ใดทั้งนั้น เช่น เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร รหัสหลังบัตร รหัส OTP เป็นต้น 
6.ท่านสามารถบล็อกสายเรียกเข้าที่มาจากต่างประเทศได้ ด้วยการกด *138*1# แล้วโทรออก 
7.ติดตั้งแอปพลิเคชัน Whos Call เพื่อแจ้งเตือนระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพที่อาจโทรศัพท์มาหลอกลวง

‘อิสราเอล’ โจมตีทางอากาศ ทิ้งบอมบ์ใส่ผู้อพยพปาเลสไตน์ในกาซา ดับแล้วอย่างน้อย 70 ราย ช็อก!! พบเหยื่ออายุน้อยสุดเพียง 2 ขวบ

(15 ต.ค. 66) ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเที่ยวหนึ่ง ถล่มใส่คาราวานผู้คนที่กำลังหลบหนี บริเวณทางเหนือของฉนวนกาซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 ราย ในนั้นมีเด็กหลายคน อายุน้อยสุดแค่ 2 ขวบ ความโหดร้ายป่าเถื่อนซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางปฏิบัติการทิ้งบอมบ์ของอิสราเอล แก้แค้นกรณีถูกกลุ่มนักรบฮามาสบุกจู่โจมนองเลือดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐยิวปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ รายงานข่าวระบุว่า นอกเหนือจากผู้เสียชีวิตแล้ว ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 200 ราย ในเหตุการณ์นี้ ซึ่งเกิดขึ้นบนเส้นทางที่ปลอดภัยแห่งนี้ บนถนนชาลาห์ อัล-อิน ในกาซา ซิตี ตอนบ่ายวันศุกร์ (13 ต.ค.)

การโจมตีครั้งนี้ เป็นการโจมตีใส่ถนนสายหนึ่งซึ่งคับคั่งไปด้วยยานพาหนะ ในระหว่างที่ชาวปาเลสไตน์พยายามหลบหนีออกจากกาซา ก่อนถึงเส้นตายที่ทางอิสราเอลขีดไว้ สำหรับให้อพยพออกจากฉนวนแห่งนี้ ก่อนหน้าสิ่งที่คาดหมายว่า อิสราเอลจะเปิดปฏิบัติการโจมตีทางภาคพื้น

อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมอิสราเอล ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีคาราวานผู้อพยพ โดยอ้างว่าไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่ากองกำลังของพวกเขาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว

กระทรวงกลาโหมอิสราเอล ให้ข้อมูลเพียงว่าในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีพลเรือนมากกว่า 1 ล้านคนที่หลบหนีไปทางใต้ของฉนวนกาซา ผ่านถนนสายหลัก 2 สาย ระหว่าง 10.00 น. ถึง 16.00 น. ของวันเสาร์ (14 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

จากการตรวจสอบของบีบีซี พบว่ามีผู้หญิงและเด็กเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตด้วย

วิดีโอที่เผยแพร่โดยกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ พบเห็นเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินกำลังเดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุที่ถูกโจมตีทางอากาศ และมีเจ้าหน้าที่รถฉุกเฉินคันหนึ่งถูกโจมตี ระหว่างที่พวกเขากำลังพยายามพาตัวเด็กหญิงคนหนึ่งและผู้หญิงอีกคนเข้าไปภายในรถฉุกเฉิน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางปฏิบัติการโจมตีแก้แค้นของอิสราเอล ต่อเหตุการณ์ที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมสายฟ้าแลบเข้าไปยังดินแดนของอิสราเอล เข่นฆ่าหลายครอบครัว กราดยิงใส่เทศกาลดนตรีหนึ่ง ฆาตกรรมทารกและเด็กไปราว 40 ชีวิต รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,300 รายในอิสราเอล

จนถึงตอนนี้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2,200 คน ในปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของอิสราเอล ในนั้นเป็นเด็ก 724 คน

ขอนแก่น-"อาชีวศึกษาเอกชน" 19 แห่ง ร้อง ไม่ได้รับเงินอุดหนุน จากรัฐ ต้องยืมเงินจ่ายเงินเดือนครู 

โรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน 19 แห่งในขอนแก่น ร้อง ไม่ได้รับเงินอุดหนุน ทำโรงเรียนแย่ ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนให้ครู ต้องยืมเงินดอกมา สำรองจ่ายก่อน ส่งเรื่องให้กรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เสนอเรื่องพิจารณาการทำงานของ ผอ.สนง.อาชีวศึกษา ทำไมไม่อนุมัติและไม่ดำเนินการในเรื่องเงินอุดหนุนให้ทางโรงเรียน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 15 ตุลาคม 2566 ที่สำนักงาน สส.เอกราช ช่างเหลา ริมถนนเลี่ยงเมือง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้มี นายพยัต ชาญประเสริฐ ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีพิมพ์ไทย และ อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ,ผศ.ดร.ดำรงพล ดอกบัว ผู้อำนวยการวิยาลัยเทคโนโลยีภูเวียงพณิชยการ พร้อมด้วย ดร.ปกรณ์ ขันช้อน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีอมตะ,ผศ.ดร.เกรียงไกร ปัญญาประเสริฐกุล ผู้ก่อตั้ง / ผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการวิทยาลัยเทคโนโลยีชุมแพ ไทย - เยอรมัน (จีเทค) ขอนแก่น, ดร.อัษฎางค์ แสวงการ ผู้รับใบอนุญาต และผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนในระบบ ในฐานะตัวแทนโรงเรียนเอกชนในระบบ 19 โรงเรียน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์กับนายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย ในฐานะ กรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โรงเรียนเอกชนในระบบ ประเภทอาชีวศึกษาไม่ได้รับเงินอุดหนุน ประจำเดือนกันยายน 2566
 

ดร.ปกรณ์ ขันช้อน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีอมตะ  กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรื่องของเงินอุดหนุนไม่เคยมีปัญหา และได้ย้ายมาในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาหรือ สอศ.มีการจ่ายเงินอุดหนุนเป็นไตรมาส และมีการตรวจสถานศึกษาปีละ 2 ครั้ง คือตรวจในช่วงเทอมที่ 1 และเทอมที่ 2 ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ  โดยมีคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นควบคุมดูแล ซึ่งการจ่ายเงินอุดหนุนนั้นจะจ่ายให้โรงเรียนเอกชนในระบบทั้ง  19 โรงเรียน   ประมาณวันที่ 25-26 เงินก็เข้าในระบบแล้ว แต่ในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งอยู่ในไตรมาสสุดท้ายของปี ทุกโรงเรียนยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน ทั้งที่มีการตรวจผ่านไปแล้ว ซึ่งทราบว่ามี 12 โรงเรียนที่ผ่านตามระเบียบส่วนที่เหลือจะมีการตรวจรอบที่ 2  แต่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ไม่อนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนให้โรงเรียนที่ผ่านมาตราฐานแล้ว  แต่กลับเหมารวมไม่จ่ายทั้งจังหวัด รวม 19 แห่ง และเป็นเพียงจังหวัดเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุน  ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใด เพราะไม่มีการแจ้งรายละเอียดให้ทางโรงเรียนทราบ

จึงเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรมกับโรงเรียนทั้ง 19 แห่ง  เพราะเงินอุดหนุนนั้นเป็นเงินภาษีของประชาชน ที่รัฐบาลจัดสรรมาอุดหนุนโรงเรียน ให้จัดการศึกษาให้นักเรียนที่ต้องการเรียนหนังสือ  โรงเรียนบางแห่งไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนครู  ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ต้องไปกู้ยืมเงินดอกมาจ่ายแทน ทุกอย่างเกิดปัญหาโดยรวมทั้งหมด  จึงได้รวมตัวกันเขียนหนังสือร้องเรียน มาร้องเรียนกับ กรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้พิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นว่าเหมาะสมหรือไม่ เพื่อแก้ไขปัญหาให้โรงเรียนเอกชนในระบบทั้ง 19 แห่ง

ทางด้าน ผศ.ดร.ดำรงพล ดอกบัว ผู้อำนวยการวิยาลัยเทคโนโลยีภูเวียงพณิชยการ  กล่าวถึงปัญหาของโรงเรียนเอกชนในระบบ 19 โรงเรียน  ในขณะนี้ว่า เกิดจากผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ไม่อนุมัติและไม่ดำเนินการในเรื่องเงินอุดหนุนให้ทางโรงเรียน เพราะถ้าคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ลงพื้นที่ตรวจสถานศึกษาจนเสร็จเรียบร้อยรายงานไปยังผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการก็ต้องอนุมัติเรื่องไปยังกระทรวง แล้วกระทรวงก็จะจ่ายเงินมาให้ทางโรงเรียน แต่ไม่มีการจ่ายของเดือนกันยายน 2566 ทั้ง 19 แห่งของจังหวัดขอนแก่น

“ในส่วนของการตรวจสถานศึกษานั้น หากพบว่าในวันตรวจ นักเรียนมาไม่ครบตามจำนวนที่แจ้งไป ทางโรงเรียนก็สามารถแจ้งหรือรายงานเข้าระบบในภายหลังได้ และถ้าโรงเรียนใดบกพร่อง คณะกรรมการการอาชีวศึกษาก็จะต้องแจ้งให้ปรับปรุงแก้ไข  ไม่ใช่เหมารวมไม่จ่ายทั้งจังหวัดเช่นนี้  เพราะทำแบบนี้ปัญหามันเกิดกับทางโรงเรียน ไม่มีเงินใช้จ่ายภายใน จึงอยากให้มีการแก้ไขการบริหารงานในสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นด้วย เพราะขณะนี้ทั้ง 19 โรงเรียนเดือดร้อนกันทั้งหมด”

ท้ายสุด นายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น ในฐานะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร  กล่าวว่า วันนี้พึ่งทราบรายละเอียดจากทางผู้ร้องเรียน ในเบื้องต้นจะทำการประสานกับผู้อำนวยการสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและขอทราบเหตุผลการไม่จ่ายเงินอุดหนุนให้โรงเรียนเอกชนทั้ง 19 แห่งว่า เกิดจากอะไร  ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็จบกัน ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง ก็จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร และหากเรื่องไม่จบอีกก็จะนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไปตามขั้นตอน.

‘รัฐบาล’ เตือน ‘คนไทยในฝรั่งเศส’ เลี่ยงพื้นที่ชุมนุม-สถานที่ท่องเที่ยว  หลังทางการออกประกาศยกระดับเฝ้าระวังเหตุก่อการร้ายสูงสุด

(15 ต.ค. 66) นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์ข่าวสารจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปารีส ประกาศเตือนคนไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง-ท่องเที่ยว ภายหลังทางการฝรั่งเศสประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสถานการณ์การก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุด

จากกรณีเกิดเหตุร้ายเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งทางการฝรั่งเศสคาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อีกทั้งต่อมาในวันที่ 14 ตุลาคม 2566 ทางการฝรั่งเศสได้มีการอพยพผู้คนโดยด่วนออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และพระราชวังแวร์ซาย และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอื่น ๆ เนื่องจากทางการฝรั่งเศสได้รับแจ้งเตือนว่าอาจมีการวางระเบิดในพื้นที่ดังกล่าว

ทางสถานเอกอัครราชทูตฯ จึงได้ประกาศเตือนคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวไทยในฝรั่งเศสให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว ตรวจสอบเส้นทางการเดินทาง และการเปิดทำการของสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการฝรั่งเศสอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากมีเหตุด่วนและฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตฯ กรุณาติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน +33 6 03 59 97 05 และ +33 6 46 71 96 94

“รัฐบาลห่วงใยสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทยทุกคนด้วยขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการเดินทาง หรือก่อนวางแผนการเดินทางทุกครั้ง” นายสัตวแพทย์ชัย กล่าว

‘หน.อุทยานฯ เขาใหญ่’ แจงดรามา กลุ่มคนวิ่งไล่ตามถ่ายภาพช้างป่า เตือน!! อย่าหาทำ เพราะเป็นช่วงฤดูตกมัน หวั่นเกิดอันตรายกับ นทท.

หลังมีดรามา ตามถ่ายภาพช้างป่าเขาใหญ่ 3 ตัว ชื่อแม่ด้วน ช้างแม่ลูกอ่อน ‘น้องจิ๊ดริด’ และพี่สาวชื่อไพริน ออกมาหากินริมถนน ระหว่า กม.37-38 ถนนที่ทำการไปเหวนรก บนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขณะเจ้าหน้าที่กำลังดูแลและเพื่อต้อนช้างป่าอยู่นั้น มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จอดรถลงไปเดินตามช้างถ่ายภาพ ดูแล้วอาจจะเกิดอันตรายหากช้างมีอาการหงุดหงิด และบางคนวิ่งตามถ่ายภาพ เห็นภาพแล้วหลายคนบอกเป็นการไปรบกวนช้างป่าหรือไม่

ล่าสุดวันที่ 15 ต.ค. 66 นายชัยยา ห้วยหงษ์ทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กล่าวว่า หลังจากมีการเผยแพร่ภาพทางโลกโซเชี่ยล หลายคนก็โทรมาสอบถาม และได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลในเวลานั้นว่า เหตุการณ์จริงช่างภาพ กับช้างอยู่ห่างกันไกลพอสมควร ประมาณ 50 เมตร แต่มุมภาพจะดูว่าอยู่ใกล้ช้าง

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้นักท่องเที่ยวหรือช่างภาพลงมาเดินถ่ายภาพ อาจจะเกิดอันตรายหากมีช้างตัวอื่น ๆ ที่หลบอยู่ในป่าข้างทางวิ่งออกมาทำร้ายได้ เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูช้างตกมัน และพื้นที่ก็เป็นบ้านของสัตว์ป่า และได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดมากกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ อย่าหาทำ

ซึ่งก็ขอฝากนักท่องเที่ยวขึ้นไปท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ 4 ม.คือ 1.) ไม่ขับรถเร็ว 2.) ไม่ส่งเสียงดังรบกวน 3.) ไม่ให้อาหารสัตว์ป่า 4.) ไม่ทิ้งขยะ และห้ามนำสัตว์เลี้ยงขึ้นไปไม่กดแตรรถ ไม่ดับเครื่องยนต์ และอย่าเข้าใกล้สัตว์ป่าอยู่ห่างอย่างน้อย 50 เมตร เพื่อความปลอดภัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top