Saturday, 3 May 2025
TheStatesTimes

'พีระพันธุ์' ตั้งคณะทำงานรองนายกฯ 8 คน 'วิน-อิทธิพัทธ์-อาหมัด-อรัญญา' ร่วมทีม

(10 ต.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงนามในคำสั่งรองนายกรัฐมนตรีที่ 5 /2566 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้น เพื่อให้การบริหารราชการในความรับผิดชอบของนายพีระพันธุ์ ดำเนินไปโดยมีประสิทธิภาพ มีผลสัมฤทธิ์ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และบังเกิดผลดีแก่ราชการ

จึงแต่งตั้งคณะบุคคลดังต่อไปนี้ เป็นคณะทำงานรองนายกฯ (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) โดยมีหน้าที่ให้ปฏิบัติงานและสนับสนุนภารกิจของนายพีระพันธุ์ ตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้...

1. นายวินท์ สุธีรชัย
2. นายสมชาย แสงชมพูเพ็ญ
3. นายสฤษฎิ์เดช ธนาวุฒิ
4. นายสมหวัง อัสราษี
5. นายยศวริศ ชูกล่อม
6. นายอาหมัด บอสตา
7. นางสาวอรัญญา มณีแจ่ม
8. นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 ก.ย. 2566

‘ดร.สุวินัย’ หวั่น!! ยุคดาต้านิยม แฮกความเป็นมนุษย์ ด้วยทุนนิยมสอดแทรก ‘เด็ก-เยาวชน’ เหยื่อโอชะ จิตวิญญาณข้างในค่อยๆ ถูกฆ่าให้ตาย

(10 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุว่า…

แลไปข้างหน้าในยุคดาต้านิยม (Dataism) : ยุคแห่งมิคสัญญีท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ (Power Shift)

โลกนี้วุ่นวายหนอ แต่เพจนี้ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ขอเธอจงตั้งใจอ่านเถิด

วันนี้เรามาหัดมองป่าทั้งป่ากัน เพื่อเข้าใจว่าเรากำลังอยู่ในยุคอะไร และกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เพื่อรับมือกับคลื่นสึนามิลูกยักษ์ที่กำลังมา ไม่ให้ ‘นาวาสยาม’ ลำนี้ของเราล่มสลาย

ปัจจุบัน ‘ยุคดาต้านิยม’ (Dataism) ได้เริ่มต้นแล้ว และกำลังเข้ามาทดแทนยุคทุนนิยม (Capitalism) ที่ชาวโลกคุ้นเคย

มนุษย์จะไม่ใช่ ‘ตัวตนอันมีอิสระ’ (แบบเสรีนิยม) ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย ‘เรื่องเล่า’ ที่ตัวตนประดิษฐ์ขึ้นมาเหมือนยุคก่อนๆ อีกต่อไป

แต่มนุษย์จะถูกกลืนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลกอันมหึมาในที่สุด… โดยเป็นส่วนหนึ่งที่มีแต่จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายระดับโลกอันมหึมานี้ (ขอให้ขีดเส้นใต้ตรงนี้… “มนุษย์จะถูกลดระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ ในเครือข่ายอัลกอริทึมระดับโลก”)

การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจกับ Global Politic ผ่าน ‘สงครามใหญ่’ อย่าง ‘สงครามยูเครน-รัสเซีย’ ตามมาด้วยสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และต่อไปจะลุกลามไปที่เกาะไต้หวันกับคาบสมุทรเกาหลี 

คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ ‘The Great Reset’ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระดับโลก พร้อมกับการสถาปนาระบบ Technocracy (เทคโนโลยีเป็นใหญ่) เพื่อมาแทน Democracy (ประชาธิปไตยเป็นใหญ่) ที่ถูกรองรับด้วยปรัชญามนุษย์นิยมที่กำลังล่มสลาย

ภายใต้ระบบ Technocracy… เทคโนโลยีในยุคดาต้านิยม ทำให้อัลกอริทึมภายนอกสามารถ ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ได้ทุกคน ทำให้มันสามารถรู้จักคนผู้นั้นดีกว่าที่ผู้นั้นรู้จักตัวเองเสียอีก…

คนทุกคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ล้วนถูกมัน ‘แฮกความเป็นมนุษย์’ ทั้งสิ้น เพราะอีกชื่อหนึ่งของ ‘ดาต้านิยม’ คือ ‘ทุนนิยมสอดแนม’ (Surveillance Capitalism) ที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่แนบแน่นกับ ‘รัฐลึก’ (Deep State) ของประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายที่กำลังแย่งชิง-ท้าทาย ‘ความเป็นเจ้าโลก’ ของมหาอำนาจเจ้าโลกเดิม

อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้า (ภายในปี 2050) ความเชื่อในแนวคิดปัจเจกบุคคลของปรัชญามนุษย์นิยมคงถึงคราวล่มสลาย โดยที่ ‘อำนาจ’ จะย้ายเคลื่อนจาก ‘มนุษย์ผู้เป็นปัจเจก’ ไปยัง ‘อัลกอริทึม’ ที่โยงกันเป็นเครือข่ายมหึมาแทน…

กระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ (Power Shift)’ นี้ มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2010 แล้ว และคงจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2050 ขณะที่คนทั้งโลกกำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกระบวนการ ‘ย้ายอำนาจ’ กระบวนการนี้

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ฉับพลัน รุนแรง คาดไม่ถึง และไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต… เราต้องทำความเข้าใจมันด้วยมุมมองของ ‘ดาต้านิยม’ และ ‘กระบวนการย้ายอำนาจ’ ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังดำเนินอยู่ คืบหน้าอยู่ด้วยอัตราเร่ง

ในราวๆ ปี 2050 มนุษย์คงจะต้องยอมศิโรราบต่ออัลกอริทึมโดยสิ้นเชิง แล้วถอดใจหันมามองตัวเองเป็นแค่ ‘จิ้งหรีด’ ที่เป็นกลุ่มกลไกทางชีวเคมี ที่ถูกเครือข่ายอัลกอริทึมอิเล็กทรอนิกส์คอยเฝ้ามอง และชี้นำจูงจมูกอย่างต่อเนื่อง…

นี่คือความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ (Alienation) ที่ ‘คาร์ล มาร์กซ์’ เคยชี้ให้เห็นตอนเขาวิเคราะห์ระบบทุนนิยม และเรียกร้องให้ทุกคนที่รู้สึกแปลกแยกที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ ลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติกรรมาชีพ เพื่อโค่นล้มระบบทุนนิยม… จะกลายเป็นของเด็กๆ ที่น่ารักน่าคำนึงถึง เมื่อเทียบกับความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์อันเกิดจากระบบดาต้านิยม

พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งมีจิตใจเปราะบางกว่าคนวัยอื่น คือ เป้าหมายหรือเหยื่ออันโอชะรายแรกๆ ของเครือข่ายอัลกอริทึม

- เป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง
- ติดพนันออนไลน์
- คลั่งการเมืองแบบฝูงซอมบี้
- นิยมความรุนแรง เห็นชีวิตเป็นผักปลาเพราะติดเกมออนไลน์
- เป็นหนี้อย่างหนัก เพราะถูกกระตุ้นให้สร้างหนี้เพื่อการบริโภค
ฯลฯ

ดังนั้น ภายในปี 2050 ภายใต้ระบบดาต้านิยมที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอัตราเร่งอยู่นี้ พวกเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นลูกหลานของเราจำนวนมากจะถูกลดคุณค่าอย่างถึงที่สุด จนกลายเป็น ‘สิ่งไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ หรือ ‘สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์’ หรือ ‘สวะ’ สำหรับระบบดาต้านิยม

ส่วนคนที่ยังมีคุณค่าใช้สอยในระบบดาต้านิยม คือคนยอมกลายเป็นส่วนหนึ่ง หรือชิ้นส่วนอินทรีย์ของเครือข่ายอัลกอริทึมอันมหึมาเท่านั้น คนประเภทนี้ต้องมีทักษะทางดิจิทัลที่สูง ทำงานร่วมกับอัลกอริทึมได้ เขียนโปรแกรมซอฟท์แวร์ได้ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถใน ‘งานบริการขั้นสูง’ ที่หุ่นยนต์หรืออัลกอริทึมยังทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดีพอ…

มีแต่คนแบบนี้เท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในโลกอนาคตแห่งยุคดาต้านิยมได้

ในยุคดาต้านิยมนี้ อัลกอริทึมเริ่มต้นจากเป็น ‘เทพพยากรณ์ผู้รอบรู้ทุกสิ่ง’ (Oracle) ให้คนใช้ มันเป็นประโยชน์มาก และเป็นข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับมนุษย์

ปัจจุบันยุคดาต้านิยมเพิ่งอยู่ในขั้นนี้เท่านั้น

แต่อีกไม่นาน เมื่อยุคดาต้านิยมพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งในอีก 30 ปีข้างหน้า อัลกอริทึมจะวิวัฒนาการตนเองไปเป็น ‘ผู้แทน’ ที่ช่วยตัดสินใจแทน หรือทำงานแทนมนุษย์ในขอบเขตที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมทุกสิ่งทุกเรื่องในที่สุด

มันจะกลายเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ผู้ตัดสินใจ’ ที่ยอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องความเครียด อารมณ์และความเหนื่อยล้า ในการตัดสินใจ

สุดท้าย ในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว ก็จะมาถึงขั้นตอนสูงสุดแห่งยุคดาต้านิยม เมื่ออัลกอริทึมกลายเป็น ‘พระเจ้า’ หรือ ‘ผู้มีอำนาจสูงสุด’ เสียเอง

ช่วงเวลาร้อยปี หรือสองร้อยสามร้อยปีหลังจากนี้ จึงมิใช่ช่วงเวลาอื่นใด แต่คือ ช่วงเวลาแห่งการพัฒนาไปสู่ขั้นตอนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ ของระบบดาต้านิยมเท่านั้น

ทบทวนอีกครั้ง เทคโนโลยีใหม่ของศตวรรษที่ 21 จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘การปฏิปักษ์ปฏิวัติมนุษย์นิยม’ หรือการถอดรื้อการปฏิวัติมนุษย์นิยม ผ่านการริบยึดอำนาจไปจากมนุษย์ และมอบโอนอำนาจให้แก่อัลกอริทึมซึ่งไม่ใช่มนุษย์แทน

ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคดาต้านิยม คือการที่ปัจเจกบุคคลจะถูกบดขยี้ให้แหลกลาญจากภายในเอง แทนที่จะถูกบดขยี้อย่างโหดร้ายจากภายนอก

ฟังให้ดีนะ ต่อไปลูกหลานของเรา… จะถูกบดขยี้จากภายใน พวกเขาจะถูกบดขยี้ทางจิตวิญญาณ ให้ย่อยยับไม่มีชิ้นดีจากภายใน จากข้างใน ในระดับลึกสุดถึงจิตวิญญาณ

โรคซึมเศร้าจะแพร่กระจายในหมู่คนทุกวัยทั่วทั้งสังคม แต่จะแพร่มากที่สุดในเด็กและเยาวชน

ต่อไป อัตราการฆ่าตัวตายจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอัตราการถูกฆาตกรรมเสียอีก

เนื่องเพราะ ‘การตายทางจิตวิญญาณข้างใน’ ย่อมนำมาซึ่งการฆ่าตัวตายทางกายภาพ ไม่ช้าก็เร็ว

นี่คือสัญญาณช่วงต้นๆ ที่บ่งบอกถึงการถูกบดขยี้จากภายในของปัจเจกบุคลทั้งหลายในยุคดาต้านิยม…

แต่นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเอง!!

ความแปลกแยกที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ น่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดาต้านิยม โดยออกมาในรูปของมิคสัญญี…

- สงครามโลก 
- ความล่มสลายของทุกสถาบันหลักในสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว  
- โรคระบาดระดับโลกโดยจงใจ (อาวุธชีวภาพ) 
- ความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้นในแต่ละประเทศ หลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจ
- สงครามกลางเมือง ที่มีที่มาจากความแตกแยกทางความคิดเป็นสองขั้วอย่างรุนแร งเพราะต่างฝ่ายต่างโดนปลุกปั่นด้วยอัลกอริทึม จนมันระเบิดออกมาแบบรวมหมู่ในที่สุด
ฯลฯ

ยุคของมวลชนและยุคเพื่อมวลชน ใกล้จะจบสิ้นแล้ว พร้อมๆ กับการรุดหน้าแบบก้าวกระโดดของระบบดาต้านิยมหลังจากนี้

ภายใต้ยุคดาต้านิยม คงจะเกิดศาสนาใหม่ขึ้นที่เรียกว่า ‘ศาสนาดาต้า’ (Data Religion) ซึ่งเป็นลัทธิบูชาดาต้าเทคโนโลยีแบบวัตถุนิยมสุดโต่งประเภทหนึ่ง

เพราะ ‘ศาสนาดาต้า’ ให้สัญญาแก่ผู้คนว่า จะนำพาผู้คนให้หลุดพ้นได้ด้วยอัลกอริทึมที่ ‘อัปเกรดจิตใจมนุษย์’ และด้วยเทคโนโลยีพันธุกรรม

สเปกตรัมของสภาวะจิต (Spectrum of mental state) ที่นักวิทยาศาสตร์ยุคดาต้านิยมใช้ในการสร้างอัลกอริทึมที่อัปเกรดจิตใจมนุษย์ มาจากภาคส่วนเล็กๆ 2 ภาคส่วนเท่านั้น คือ ส่วนพร่องจากบรรทัดฐาน (Sub-normaltive) และกลุ่ม WEIRD ที่มาจากคำหน้าของคำว่า Western, Educated, Industrialsed, Rich, Democratic คือ ใช้สภาวะจิตและระดับจิตเฉลี่ยของพลเมืองในสังคมประเทศตะวันตกเป็นข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

ตรงนี้แหละ คือข้อจำกัดของพวกดาต้านิยมในการทำความเข้าใจเรื่องจิต!!

เพราะพวกบรรษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่บูชา ‘ลัทธิดาต้านิยม’ ก็ยังยึดติดอยู่ในกรอบความคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์อย่างสุดโต่ง

แนวคิดแบบวัตถุนิยมประวัติศาตร์ของพวกดาต้านิยม คือมิจฉาทิฐิที่ร้ายแรงที่สุดในยุคนี้… ที่โลกได้เข้าสู่ยุคดาต้านิยมแล้ว

โลกทัศน์แบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งของพวกนักวิทยาศาสตร์ และนักเทคโนโลยีในวงการปัญญาประดิษฐ์ระดับแนวหน้าของโลกตอนนี้  คือสิ่งกำหนดทิศทางของยุคดาต้านิยมในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน

ในฐานะที่เป็นคนฝึกจิต ผมทราบดีว่าเรื่องที่เขียนข้างต้นนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก สำหรับชาวบ้านที่ยังต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนทางเศรษฐกิจไปวันๆ

แต่ลองตั้งใจอ่านบทความข้างต้นของผมทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรเถิด แล้วใช้มุมมองนี้ไปทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้… บางทีท่านผู้อ่านอาจได้คิด หรือสำเนียก แลเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นหรือเคยเฉลียวใจมาก่อนก็เป็นได้

รู้ไว้นะ คนที่อ่านอนาคตได้ขาด คนที่มองอนาคตได้กระจ่าง มีไม่มากนักหรอก ไม่ว่าในยุคใด

จะมีก็แต่คนประเภทนี้เท่านั้น ที่สามารถนำพาผู้คนโต้คลื่นแห่งยุคสมัยได้ โดยไม่ถูกคลื่นสึนามิกระหน่ำซัดจนล่มสลายเหมือนเรือลำอื่น

'พีระพันธุ์' ตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ 11 คน  'ดร.หิมาลัย-แรมโบ้-ศิลัมพา-สายัณห์' ตบเท้าเข้าร่วม

(10 ต.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงนามในคำสั่งรองนายกรัฐมนตรีที่ 8 /2566 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.พลังงาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.นั้น เพื่อให้การบริหารราชการในความรับผิดชอบของนายพีระพันธุ์ ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย บังเกิดผลดีแก่ทางราชการ จึงแต่งตั้งคณะที่ปรึกษารองนายกฯ

โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ รวมทั้งสนับสนุนภารกิจของนายพีระพันธุ์ ตามที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้...

1. นายสามารถ มะลูลีม 
2. นายโกวิทย์ ธารณา 
3. นายเจือ ราชสีห์ 
4. นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล 
5. นายหิมาลัย ผิวพรรณ 
6. นายประสิทธิ์ มะหะหมัด 
7. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ 
8. นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ 
9. นายสายัณห์ ยุติธรรม 
10. น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ 
และ 11. นางกุสุมาวดี ศิริโกมุท 

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 28 ก.ย.

3 เหตุผลขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน เพื่อ ‘ปกป้องชีวิตทรัพย์สิน-ล่าสัตว์-การกีฬา’

การใช้ปืนยิงทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีโทษตามกฎหมายสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แต่เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นเพียงเด็ก เหตุใดผู้ก่อเหตุจึงสามารถมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองได้

สถิติการครอบครองปืนในประเทศไทยมีมากถึง 10.3 ล้านกระบอก มากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่งสิงค์โปร์เป็นประเทศในอาเซียนที่ประชาชนมีปืนในครอบครองน้อยที่สุดเพียง 20,000 กระบอก

ในประเทศไทยหากต้องการมีปืนสักกระบอก ต้องทำอย่างไรบ้าง และจะมีปืนไว้เพื่อประโยชน์อะไร

พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการครอบครองปืนของประชาชน ทำให้รัฐสามารถควบคุม เก็บข้อมูลและและเป็นการจำกัดจำนวนของปืนที่มีอยู่ในประเทศไทย

หากประชาชนทั่วไปจะมีปืนสักกระบอกต้องเป็นไปเพื่อ 
1.ป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน 
2.ใช้ล่าสัตว์ 
3.เพื่อการกีฬา

ใบอนุญาตเกี่ยวกับอาวุธปืนที่สำคัญได้แก่ 
-การขออนุญาตซื้อขายปืน (แบบ ป.3)

-การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) มีสองประเภทคือชั่วคราว 6 เดือน และแบบถาวร

-ใบพกพา ทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตจังหวัด (แบบ ป.12)

การพกพาอาวุธปืนไปในทางหรือที่สาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะเป็นปืนที่มีทะเบียนก็เป็นความผิด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น เช่น การใช้ป้องกันทรัพย์สิน หรือการนำปืนไปใช้ในการแข่งขันกีฬา

ยกเว้นอาวุธสงคราม ที่จะไม่มีการอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถครอบครองได้

ปืน BB GUN หรือปืน แบลงค์ กัน ถือเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืน หมายถึง สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงชื่อว่าเป็นอาวุธปืน การจะมีไว้ครอบครองไม่ต้องขออนุญาตเหมือนปืนจริง

ถึงเวลาแล้วที่การให้มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธ ควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น การกำหนดระยะเวลาใบอนุญาต การประเมินสภาพจิตก่อนออกใบอนุญาต เพื่อให้การควบคุมจำนวนปืน เป็นประโยชน์ในการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับสุจริตชน

'อ.ปิติ' ถอดบทเรียนวิกฤต ‘อิสราเอล-ปาเลสไตน์’ สิ่งที่คนไทยและรัฐไทย 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ'

(10 ต.ค. 66) รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจ และขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยและประชาคมนานาชาติ โดยเฉพาะกับครอบครัว ญาติ มิตร ของผู้สูญเสีย ทั้งชีวิต ผู้บาดเจ็บ ผู้สูญเสียทรัพย์สิน และผู้สูญเสียโอกาสในการทำงาน รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอเรียกร้องให้มีการทุกฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ และยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงต่อประชาชน

อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งซึ่งสะท้อนจากการติดตามสถานการณ์ คือ พวกเราชาวไทยดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนในภาวะวิกฤตที่ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล ดังนั้นจึงขออนุญาตใช้พื้นที่นี้ถอดบทเรียนและกล่าวถึงสิ่งที่คนไทยและรัฐไทยควรทำ และไม่ควรทำ

>> สำหรับประชาชนทั่วไป

1. โทรหาสถานทูตไทยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ การตรวจสอบดูว่าประเทศที่ไป หรือเมืองที่จะไป มีสถานทูตไทย หรือสถานกงสุลไทยที่อยู่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่ที่ใด และช่องทางติดต่อกับสถานทูตสามารถทำได้อย่างไร เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบภัยธรรมชาติ ภัยก่อการร้าย ภัยสงคราม หรือ ปัญหาส่วนบุคคล อาทิ ถูกหลอกลวง ถูกขโมย ถูกทำร้าย ช่องทางการติดต่อเหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะนอกจากจะให้คำปรึกษาต่อการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องแล้ว ยังเป็นช่องทางในการยืนยันตัวตน และเป็นจุดศูนย์กลางในการที่จะพาท่านกลับสู่ประเทศไทยในกรณีฉุกเฉินอีกด้วย โดยภาพที่ผมแปะไว้ใน FB นี้คือ เบอร์ Hotline สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก ที่ update โดยกรมการกงสุล

2. กรณีไม่มีสถานทูตไทย ให้ติดต่อสถานทูตอาเซียน สำหรับเมือง และประเทศที่ประเทศไทยไม่ได้มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อประสบเหตุคนไทยสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือได้ทันทีที่สถานทูตของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน อันได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยประชาคมอาเซียนมีข้อตกลงกันแล้วในเรื่องนี้ว่าสถานทูตของแต่ละประเทศสมาชิกจะให้การดูแลและให้บริการกับประชาชนอาเซียนในรูปแบบเดียวกับคนชาติของตนเอง

3. ออกจากพื้นที่อันตราย และงด Live สด แน่นอนว่าการออกจากพื้นที่อันตรายน่าจะเป็นสัญชาตญานอัตโนมัติ แต่ในโลกยุคดิจิตอลที่ทุกคนเข้าถึง Social Media สิ่งย้อนแย้งที่เราเห็นซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการคือ เราเห็นพี่น้องคนไทยจำนวนหนึ่งออกไป Live สด เพื่อเล่าให้เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย และครอบครัวทราบว่า ท่านปลอดภัยดี และบางคนก็อยากได้ยอด Like อยากได้ Engagement ซึ่งนั่นคือ การกระทำที่อันตรายที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นภัยจากการก่อการร้าย และ/หรือ ภัยสงคราม เพราะผู้ก่อเหตุที่มีแนวคิดสุดโต่งจะรู้ทันทีว่าตำแหน่งของท่านอยู่ ณ จุดใด ท่านกำลังเปิดเผยสถานที่อยู่ของท่านให้อันตราย และ/หรือ ฆาตกรเข้ามาหาตัวท่านได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการ กรณีปาเลสไตน์ต้องอย่าลืมว่า การที่เราคนไทยไปทำงานให้ฝั่งอิสราเอลทำให้มีกลุ่มแนวคิดสุดโต่งจำนวนหนึ่งพิจารณาว่า คนไทยคือส่วนหนึ่งของขบวนการ Zionist หรือขบวนการชาตินิยมในหมู่ชาวยิวทั้งที่เชื่อในการสถาปนาใหม่และสนับสนุนรัฐยิวในบริเวณที่นิยามว่าเป็นแผ่นดินอิสราเอล ซึ่งถือเป็นศัตรูคู่แค้นโดยตรงของพวกเขา ดังนั้นหากอยากจะแจ้งข่าวให้ครอบครัวทราบว่าท่านปลอดภัยดี อย่าได้ Post ใน Social Media หากแต่ต้องอยู่ในที่ปลอดภัย และใช้โทรศัพท์ในการโทรแจ้งกับครอบครัว อย่า live สด

4. เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อท่านอยู่ในต่างประเทศกับครอบครัว กับเพื่อน สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ การเตรียมแผนรับมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน สำรวจทางหนีทีไล่ เตรียมอุปกรณ์ยังชีพ Supply ต่าง ๆ ที่จำเป็น อาทิ เครื่องปฐมพยาบาล น้ำสะอาด อาหารกระป๋อง รองเท้า สำเนาเอกสารสำคัญ ไฟฉาย ไม้ขีดไฟ Power Bank ฯลฯ บรรจุใส่ประเป๋า วางในตำแหน่งที่รับรู้กัน และนำติดตัวไปด้วยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งนัดหมายสถานที่ที่จะนัดเจอกันเมื่อต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดออกไปได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เกิดภาวะห่วงหน้าพะวงหลัง นัดจุดนัดพบที่ปลอดภัย และรอคอยความช่วยเหลืออยู่ ณ บริเวณนั้น

>> สำหรับรัฐบาล

ด้วยความเคารพท่านผู้บริหารรัฐบาล ผมพิจารณาว่าการบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤตของท่านต้องได้รับการปรับปรุง การสื่อสารในภาวะวิฤต (Crisis Communication) เบื้องต้น มีหลักการดังนี้

1. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุวิกฤต 

• ท่านต้องกำหนด Spokeperson ที่ชัดเจน และให้เขาเป็นผู้สื่อสารแต่เพียงผู้เดียวจากจุดเดียวเพื่อป้องกันความสับสน ดังนั้นสายการบังคับบัญชาต้องชัดเจน ซึ่งผู้ที่เหมาะสมที่สุดถ้าเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงจริงๆ ท่านนายกรัฐมนตรีต้องหยุดภารกิจในต่างประเทศและกลับมาทำหน้าที่นี้ในการแถลงด้วยตนเอง จากนั้นอาจจะมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีด้านการต่างประเทศ หรือถ้าจะให้เป็นมืออาชีพก็ควรจะเป็นอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอยู่แล้ว และมีคณะทำงานที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ครบถ้วน

• วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหลักของการสื่อสารในภาวะวิกฤต องค์ความรู้ในเรื่องการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Communication) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เป้าหมายของการสื่อสาร (End) อยู่ที่จุดใด แนวทางในการสื่อสาร (Ways) ที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์เป็นอย่างไร และเครื่องมือ (Means) หน่วยงานไหน ใคร สื่อไหน และพันธมิตรในการสื่อสารคือใคร เหล่านี้ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า

2. ระหว่างเกิดวิกฤต

• กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าในวิกฤตแต่ละวิกฤต เป้าหมายแรกที่สำคัญที่สุดคือสิ่งใด เป้าหมายรองลงมาคือเป้าหมายใด ในกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดตามลำดับความสำคัญ อาทิ  1) ช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นตัวประกัน 2) ช่วยเหลือคนไทยให้อพยพออกจากพื้นที่ 3) เยียวยา ชดเชย ผลกระทบจากเหตุการณ์ ฯลฯ เมื่อเป้าหมายชัด Ways และ Means จะตามมา

• แถลงการณ์ที่จะออกมาต้องใช้ช่องทางที่เป็นทางการ หลีกเลี่ยงการใช้ Social Media โดยเฉพาะ Twitter-X เพราะมีข้อจำกัดเรื่องความยาวจากจำนวนตัวอักษร รวมทั้งไม่ควรใช้ Social Media เพราะเป็นการสื่อสารที่ฉับพลันทันที อาจทำให้มือลั่น สื่อสารออกไปโดยยังไม่ได้คิดวิเคราะห์พิจาณาอย่างรอบคอบรอบด้าน หลีกเลี่ยงข้อความที่สามารถตีความได้ว่า ประเทศไทยได้เลือกข้าง เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะสถานกาณ์อย่างกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์มีความซับซ้อนในทางประวัติศาสตร์ ศาสนา ความเชื่อ และมีการแทรกแซงจากหลายฝ่าย และถูกตีความโดยอคติได้ง่าย

• เมื่อเป้าหมายคือการช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นตัวประกันออกมาจากพื้นที่ และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไทยไม่ได้มีสถานเอกอัครราชทูต ถึงแม้ไทยจะยอมรับสถานะของ State of Palestine มาตั้งแต่ปี 2012 และมีการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดี Mahmoud Abbas แห่งปาเลสไตน์ในปี 2016 แต่ด้วยความที่ประเทศไทยยังไม่มีสถานทูตในปาเลสไตน์ และสถานทูตในอิสราเอลซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะเจรจาได้ โดยสถานทูตไทยที่อยู่ใกล้ที่สุดคือที่ กรุง Amman ประเทศจอร์แดน ดังนั้นการขอความอนุเคราะห์จากรัฐบาลมาเลเซียและ/หรืออินโดนีเซียที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับปาเลสไตน์เป็นเรื่องสำคัญ และทั้ง 2 ประเทศเองก็ไม่ต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล ดังนั้นการออกข้อความที่ทำให้คิดได้ว่า ไทยสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะทำให้การขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านทำได้ยากมากยิ่งขึ้น

• แถลงการณ์ที่จะออกต้องมาจากจุดเดียว เพื่อป้องกันความสับสน ใช้ข้อมูลทางการ ผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบด้านจากผู้เชี่ยวชาญ มีการตรวจสอบเนื้อหาอย่างรอบคอบรอบด้าน เน้นเรื่องการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง รวมทั้งให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต

• ใช้วิธีการอ่านแถลงการณ์อย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเนิบ ปราศจาการใส่อารมณ์ และไม่จำเป็นต้องมีการถาม-ตอบปัญหาหลังการอ่านแถลงการณ์ เพราะอาจเกิดการยั่วยุ อาจเกิดการเข้าใจผิด หรืออาจเกิดการผลิดพลาดทางการสื่อสาร

• สื่อสารจากจุดๆ เดียว ในกรณีวิกฤตอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สิ่งที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง การให้ผู้บริหารภาครัฐหลายคนออกมาแถลงกับสื่อ โดยไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว หรือการสื่อสารโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง การใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ หรือข้อมูลที่ผิดพลาด รวมทั้งการใช้คำพูดที่พลั้งปาก จะทำให้เกิดความเสียหาย อาทิ ผู้บริหารระดับสูงบางท่านออกมาแถลงข่าวและแจ้งว่าเป็นข่าวดีหรือเป็นเรื่องดีที่คนไทยเสียชีวิตเพียงหนึ่งราย เพราะอีกรายเป็นชาวจีน การใช้คำว่า ข่าวดีหรือเรื่องดี ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะคนไทยไม่เสียชีวิต แต่คนชาติอื่นเขาเสียชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ก่อนหน้านี้พึ่งจะมีการเสียชีวิตของคนต่างชาติในประเทศของเราจากเหตุการณ์เลวร้ายก่อนหน้า เหตุการณ์เช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น

3. ระยะเวลาต่อเนื่อง

• เร่งหารือกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับทราบในเบื้องต้นถึงผลกระทบในมิติต่างๆ ที่จะตามมาทั้งมิติความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสังคม

• การมอบหมายให้มีการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น การถอดบทเรียน และจัดทำเป็น Playbook คู่มือการจัดการภายใต้ภาวะวิกฤต เพื่อรับมือกับสภานการณ์ในอนาคต คือสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

4. พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

• เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่ใช่ทุกประเทศที่มีสถานทูตในทั้งอิสราเอล และปาเลสไตน์ แต่ทุกประเทศมีโอกาสที่จะมีประชาชนของเขาตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะขอให้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน เพื่อยืนยันความเป็นประชาคมอาเซียนร่วมกัน ว่าเราจะมอบหมายให้ประเทศสมาชิกที่มีสถานทูตอยู่ในทั้ง 2 รัฐนี้ ให้ความช่วยเหลือกับประชาชนอาเซียนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้คนอาเซียนได้เห็นว่า ในภาวะวิกฤต อาเซียนคือที่พึ่งของเขา อาเซียนคือกลไกที่เป็นประชาคมของประชาชน และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้กลไกของอาเซียน ที่เรียกว่า ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on Disaster Management หรือ AHA Centre ในการส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากอาเซียนไปสู่ผู้ประสบภัยในพื้นที่เสี่ยง โดยไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายใด แต่นี่คือภารกิจของอาเซียนต่อประชาคมโลก นี่คือโอกาสในการกลับมามีบทบาทนำของไทยในเวทีอาเซียน

‘ดร.หิมาลัย’ ขอบคุณ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ ตั้งเป็นคณะที่ปรึกษารองนายกฯ ทำงานรับใช้ ปชช.

ดร.หิมาลัย โพสต์ขอบคุณ รองนายกฯ พีระพันธุ์ หลังตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ย้ำพร้อมทำงานอย่างเต็มความสามารถ ตามที่ได้รับความไว้วางใจและให้โอกาสรับใช้พี่น้องประชาชน

(10 ต.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวภายหลังจาก ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ โดยระบุว่า “กราบขอบพระคุณท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ที่กรุณาแต่งตั้งผมเป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ครับ”

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า พร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ตามที่ท่านพีระพันธุ์ท่านกรุณาให้ความไว้วางใจ และมอบโอกาสให้ได้ทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

'พิมพ์ภัทรา' ลั่น!! สินค้าด้อยคุณภาพต้องหมด ภายใน 6 เดือน สั่ง!! สมอ. จัดการกวาดล้างให้สิ้นซากจากท้องตลาด

(10 ต.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สินค้าด้อยคุณภาพที่มีราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้เข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้านำเข้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าดังกล่าวเข้าประเทศ ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายภายใน 6 เดือน จะต้องกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด

ด้าน นายวันชัย พนมชัย รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. จะเข้มงวดในทุกช่องทางเพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 143 รายการ ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หากมีสินค้านำเข้าที่ใช้พิกัดและรหัสสถิติที่เชื่อมโยงไว้ ผู้นำเข้าจะต้องยื่นข้อมูลการนำเข้าผ่านระบบ NSW และได้รับใบอนุญาตก่อนรับมอบสินค้าจากกรมศุลกากร เพื่อป้องกันการนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่ายในประเทศ นอกจากนี้ ยังตรวจสอบการนำเข้าสินค้าที่ผ่านพิธีการทางศุลกากรผ่านระบบ e-Tracking เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของการนำเข้า และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ผิดกฎหมาย รวมถึงมีการตรวจติดตามผู้รับใบอนุญาตผ่านระบบ e-Surveillance ซึ่งเป็นการนำระบบมาช่วยอำนวยความสะดวกในการแจ้งข้อมูลของผู้ได้รับอนุญาต 

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดและทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม โดยนำระบบ e-Market surveillance มาใช้ในการตรวจติดตามสถานที่จำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำชับทีมนักรบไซเบอร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าทางโทรทัศน์ และ Platform Online ต่างๆ เพื่อเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอีกด้วย

“สินค้าด้อยคุณภาพราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและความปลอดภัยของประชาชน สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมและกำกับติดตามสินค้าไม่ได้มาตรฐานในทุกช่องทาง หากผู้ผลิตและผู้นำเข้าฝ่าฝืนกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้จำหน่ายหากขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดย สมอ. จะดำเนินการกับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย” นายวันชัยฯ กล่าว

สินค้า GI ไทยตัวไหน? ได้รับการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศแล้วบ้าง?

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังคงเดินหน้าส่งเสริมสินค้า GI ไทยขึ้นทะเบียน GI ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ GI สร้างรายได้ให้กับชุมชนและรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

‘สมศักดิ์’ ลั่น!! ‘เพื่อไทย’ พร้อมรับผิดชอบนโยบายเงินดิจิทัล เหน็บ นักวิชาการชอบวิจารณ์ฟรี แต่พอผลลัพธ์ดีกลับเงียบ

(10 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ร่วมลงชื่อให้ทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า เป็นเรื่องของการคิดและวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสามารถทำได้ แต่ในเรื่องที่เราจะดำเนินนโยบายอะไรสักเรื่องเป็นการรับผิดชอบในนโยบายของพรรคการเมืองที่มีต่อประชาชน เราต้องคิดมาดีแล้วถึงดำเนินการ โดยหากทำแล้วออกมาดีก็ไม่มีอะไร ส่วนคนวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ขาดทุนหรือเข้าเนื้ออะไร ทุกเรื่องมีสองมุม จะดีหรือไม่ดี อย่าเพิ่งคิดว่ามันมีผลอย่างไร แต่ให้รอดูว่าเมื่อรัฐบาลดำเนินการออกมาแล้ว หากผลออกมาไม่ดีคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีผลต่อพรรคการเมืองที่นำเสนอ เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำอะไรต้องรับผิดชอบในด้านนั้น 

“คนวิพากษ์วิจารณ์ก็พูดฟรีๆ ถึงจะผิดก็ไม่มีใครว่า ผมเห็นควรว่าต้องเดินหน้านโยบายนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ประกาศต่อสาธารณะแล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว

ปตท. คว้ารางวัล ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ ตอกย้ำการบริหารจัดการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ‘องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก’ (Climate Action Leading Organization) หรือ CALO ให้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) โดย ปตท. เป็น 1 ใน 16 องค์กรของประเทศที่ได้รับรางวัล ประเภทโดดเด่น มีผลการประเมินในด้านการวัดและการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับทอง ตอกย้ำการดำเนินงานของ ปตท. ที่บูรณาการความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวคิดเรื่อง ESG โดยวัดผลการดำเนินงานในระดับสากล Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 

รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ Climate Change ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ที่ ปตท. ตั้งไว้ 3 ด้าน คือ New Growth, Business Growth และ Clean Growth เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top