Monday, 9 June 2025
PoliticsQUIZ

‘เพื่อไทย’ อัด ‘ประยุทธ์’ ทำลาย ศก.ไทยพังยับ ชี้!! ที่ผ่านมาเอื้อแต่นายทุน - ไม่ช่วยเกษตรกร

(30 ม.ค. 66) นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ได้รับเสียงสะท้อนถามกลับมาว่าเมื่อไหร่จะเลือกตั้ง อยากเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว เพราะหากยังเป็นรัฐบาลนี้ประชาชนคงอดตายแน่ ๆ ทั้งนี้ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาก โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก ขายข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม ซื้อมาม่ากินไม่ได้ ราคาข้าวเปลือกที่โรงสี รับซื้ออยู่ที่ 6,500-7,000 บาทต่อตัน ขณะที่ต้นทุนการเพาะปลูกพุ่งเกิน 6,500 บาทต่อไร่ ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนตั้งแต่ขาย ปัจจัยสำคัญมาจากการที่รัฐบาลปล่อยให้ต้นทุนสินค้าจำเป็นในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวปรับขึ้นไปหลายเท่าตัว โดยเฉพาะราคาปุ๋ยจาก 600 บาทต่อกระสอบปรับราคาขึ้นไป 3 เท่าตัวไปอยู่ที่ราคา 1,800 บาทต่อกระสอบ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีปีไหนเลยที่เกษตรกรมีความสุข  เพราะรัฐล้มเหลวในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร 

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล บริหารแบบข้าเก่งที่สุด ไม่ฟังใคร ผลที่ออกมาคือเศรษฐกิจพังพินาศ นโยบายของรัฐบาลไม่สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้เลย เอสเอ็มอีปิดกิจการนับหมื่นราย หลายพื้นที่ถูกขายให้ต่างชาติ จนไม่เหลือผู้ประกอบการ ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น เพราะนายทุนตักตวงผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลที่ประกาศออกมา ระบบการเงินหมุนเพียงรอบเดียว ส่งผลให้กระแสเงินสดในประเทศไหลเข้าสู่นายทุนเจ้าสัว ไม่หมุนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผิดหลักการเศรษฐศาสตร์มาก ยิ่งหมุนน้อยค่าของเงินก็ลดลง

‘เพื่อไทย’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ใช้อำนาจเล่นงานเยาวชน แต่กลับไม่ตรวจสอบ ‘ทุนจีนสีเทา’ บ่อนทำลายชาติ

(30 ม.ค. 66) นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านายทุนจีนสีเทาที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย สร้างความเสียหายทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง แต่น่าประหลาดใจว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กลับไม่ให้ความสำคัญ ไม่เคยสั่งการให้ดำเนินการกับกลุ่มทุนผิดกฎหมายอย่างจริงใจ ทั้ง ๆ ที่กลุ่มทุนนอกกฎหมายกลุ่มนี้ทำลายเศรษฐกิจ ทำลายประเทศชาติ ทำลายเกียรติภูมิประเทศชาติมาก เพราะกลุ่มทุนนี้ขนเงินผิดกฎหมายมาฟอกขาวในประเทศไทย ผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซื้อร้านอาหาร บริษัทนำเที่ยว รถทัวร์ 

นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงคือมีเว็บไซต์ในประเทศจีน ลงเกี่ยวกับการเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทย หากต้องการความสะดวก ได้สิทธิพิเศษ ต้องติดต่อผ่านช่องทางไหน แต่พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าส่วนราชการ สามารถที่จะหยุดยั้งความเสียหายได้ แต่เลือกที่จะเพิกเฉยกับกรณีดังกล่าว

เปลวสีเงิน แนะ ‘หมอฮา’ ลงพรรค ‘ก้าวไกล’ ได้นั่ง ‘รมว.สธ.’ เมื่อไร ย้ายได้ทุกตำแหน่ง

(30 ม.ค. 66) เปลวสีเงินในนำเสนอบทความ ในหัวข้อ ในคราบ 'แพทย์ชนบท' ความว่า…

‘นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ’ คุณอยู่แก๊ง ‘แพทย์ชนบท’ ตอนนี้เป็น ‘ประธานแก๊ง’ ก็ต้องบอกว่า…

‘ดี-เด่น-ดัง’ ใน ‘คราบหมอ’ อย่างที่คุณเป็น มันก็สุด ๆ ตามประสาที่คุณเป็นอยู่แล้ว อย่าทระนงตนถึงขั้น ‘หมอเทวดา’ อยู่เหนืออำนาจบริหารกระทรวงสาธารณสุข จนใคร ‘แตะต้อง-สั่งย้าย’ ไม่ได้แบบนั้้นเลย เห็นบอก อยู่โรงพยาบาลจะนะ พัฒนาจนโรงพยาบาลจะนะก้าวหน้า มีความพร้อมทุกอย่าง ก็ดีนี่ อนุโมทนาด้วย

ในเมื่อสถิตอยู่จะนะจนรากงอกใกล้จะหุ้มโรงพยาบาลมิดเหมือน ‘ปราสาทตาพรหม’ ที่เขมรอยู่แล้ว เขาอยากให้หมอสุภัทรหรือที่เรียกกันในขบวนการเอ็นจีโอ, ในขบวนการสามนิ้วล่มชาติด้วยกัน ว่า ‘หมอฮา’ นั่นไม่ใช่ย้ายด้วยกลั่นแกล้ง หรือย้ายด้วยการเมือง

เป็นการย้ายด้วยยกย่อง ให้เกียรติหมอฮา ตรงตามปรัชญา ‘แพทย์ชนบท’ โดยตรง ที่มุ่งอุทิศตนเพื่อชาวบ้านตามชนบทที่ห่างไกล อยู่สร้างความเจริญ ความก้าวหน้า ให้โรงพยาบาลจะนะและนำชุมนุมต่อต้านโครงการต่าง ๆ จนเป็นเอ็นจีโอแถวหน้าระดับ ๕ ดาวแล้ว เขาให้ไปใช้ศักยภาพ ๕ ดาว พัฒนา ‘โรงพยาบาลสะบ้าย้อย’ ให้เจริญ ด้วยพัฒนาให้เหมือน ‘โรงพยาบาลจะนะ’ บ้าง

แล้วมันไม่ดี ผิดหลักการ ‘แพทย์ชนบท’ ตรงไหน?
เป็นการย้ายผิดปกติ เป็นเรื่องการเมือง ตรงไหน?
หรือหมอฮามีอะไร ‘นั่งทับ’ ไว้ที่จะนะ จึงไม่อยากลุก?

อย่าทำตัวเป็น ‘หมอเทวดา’ เลย หมอฮา! เห็นมาหลายต่อหลายหมอแล้วในแก๊งชนบทที่เป็นแบบนี้ สุดท้าย ‘ลายหมอลอก’ ก็ไปไหนไม่รอด ต้องเป็น ‘เหลือบอีแอบ’ อยู่ในคราบ ‘หมอคนดี’ เกาะสังคมกินแบบทุเรศไปจนแก่ตาย!

ถามจริงๆ เถอะ หมอฮา...
คุณคิดว่า ทุกวันนี้ คนไทยทั้งประเทศโง่เป็นควาย จนไม่รู้ว่า ฉากหลัง ‘นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ’ ทำอะไรอยู่กับแก๊งเอ็นจีโอ แก๊งสามนิ้ว และพรรค ‘ก้าวไกล’ เลย อย่างนั้นใช่มั้ย?

ขอถามอีกคำ...
ระหว่างที่จะนะกับที่กรุงเทพฯ เดือน ๆ ตัวคุณอยู่ที่ไหนมากกว่ากัน? ยิ่งตอนแก๊งสามนิ้ว ‘จลาจลกรุง’ ในปฏิบัติการ ‘ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์’ เชี่ยวจัด ตอนปักหมุดคณะราษฎรที่ท้องสนามหลวง เมื่อกรกฎา.๖๓ ธนาธรฮึกเหิม ถึงขั้นประกาศ ‘ประตูบานแรกเปิดแล้ว’! นั่นน่ะ ช่วงบู๊ล้างผลาญ-ละเลงเมือง ที่เรียกว่า ‘จุดติด’

ผมเห็นหน้าหมอฮาผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่กับแก๊งแดงส้ม ‘สามนิ้ว’ ล่มชาติ-ล้มสถาบัน แทบไม่เว้นแต่ละสัปดาห์
นั่นคือการ ‘ลา-มาราชการ’ หรือบังหน้ามาร่วมขบวนการ หรือกลั้นปัสสาวะจากจะนะ...นั่งเรือบินมาปัสสาวะที่กรุงเทพฯ แล้วบังเอิญเดินผ่านหน้ากล้องของพวกช่างภาพหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จึงมีเงาหมอฮาติดประจำ?

ที่ผมคุยมาทั้งหมด ไม่ต้องไปสน เพราะเป็นเพียง ‘ภาพจำ’ ของผมเกี่ยวกับหมอคนนี้ ‘เท่าที่เห็น’ เท่านั้น แต่นี่...กับ ‘หมอด้วยกัน’ น่าสนใจกว่า…

เมื่อ ๒๘ มกรา ‘นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ’ ที่ปรึกษากมธ.สาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซทีเดียว ๒ โพสต์รวด ผมว่า หมอฮา น่าจะอ่านนะ

หมอเอก Ekkapob Pianpises
คนบาปในคราบนักบุญ !!!
ตอนที่องค์การเภสัชกรรมจัดซื้อ ATK เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชน ซึ่งสุดท้ายการจัดซื้อในครั้งนั้น ได้กระจายการเข้าถึงชุดตรวจ ATK สำหรับประชาชน และได้กดดันให้ตลาดลดราคา ATK จาก 200-300 บาทต่อชุด มาเหลือเพียง 30-40 บาทในปัจจุบัน

จากข้อมูลที่องค์การเภสัชกรรมนำเสนอต่อกรรมาธิการการสาธารณสุขน่าสนใจมากๆ...

มีผู้สังเกตการณ์จาก สปสช. (แพทย์ชนบท 2 ท่าน) ได้ให้ข้อมูลที่ดูเหมือนตั้งใจจะเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทบางบริษัท ที่ต้องการขายในราคา 120 บาทต่อชุด มีความพยายามที่จะปรับรายละเอียด TOR เพื่อล็อกสเปกให้กับบริษัทนี้ แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ เพราะองค์การเภสัชฯ และกระทรวงสาธารณสุขไม่เล่นด้วย

จุดที่น่าสงสัยต่อไป ซึ่งกรรมาธิการการสาธารณสุขขอให้ ผอ.โรงพยาบาลจะนะส่งรายละเอียดการจัดซื้อจัดจ้างชุดตรวจ ATK ของโรงพยาบาลมาให้ตรวจสอบ แต่ทาง ผอ.ปฏิเสธที่จะส่งมาให้ตรวจสอบ เท่ากับว่า ยอมรับข้อกล่าวหา โดยไม่โต้แย้ง ว่ามีการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ด้วยอำนาจของ ผอ.แบบพิเศษ ในราคาและยี่ห้อที่น่าจะเป็นยี่ห้อเดียวกับทางกลุ่มเครือข่ายนั้นได้พยายามผลักดัน และการจัดซื้อนั้น ถูกนำมาใช้ในการคัดกรองในกรุงเทพฯ เพื่อให้ได้มีจำนวนการจัดซื้อที่มาก

‘ชาวจะนะ’ จึงควรตั้งคำถามกับการใช้งบประมาณในตอนนั้นว่า ทั้งการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ที่มาตรวจในกรุงเทพฯ แทนที่จะใช้กับคนในพื้นที่ และการใช้เวลาราชการ ‘ทิ้งพื้นที่’ ซึ่งกำลังประสบปัญหาการระบาดของโควิด นั้น สมควรแล้วหรือไม่?

เครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ที่เกาะกินฝังรากลึก ในกระทรวงสาธารณสุข จะต้องถูกกำจัด เพื่อให้งบประมาณของสาธารณสุขเกิดประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด

‘ศุภชัย’ ยกคำวินิจฉัย กกต. ตอกหน้า ‘แพทย์ชนบท’ หลังจะยื่นฟ้อง ‘ลุงหนู’ ปมขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์หน้า รพ.

‘ศุภชัย’ ยกคำวินิจฉัย กกต.ตอก ‘เพจแพทย์ชนบท’ ปมดราม่า ‘ป้ายอนุทิน’ ไม่ผิดกฎหมาย เป็นการปฏิบัติภารกิจในอำนาจหน้าที่ทางราชการ!

จากกรณีที่เพจแพทย์ชนบท ให้ กกต. สอบเรื่องการขึ้นป้ายหน้าโรงพยาบาล ที่ปรากฏหน้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บนป้ายประชาสัมพันธ์นโยบายดูแลผู้สูงอายุอาจเข้าข่ายการหาเสียง ซึ่งผิดกฎหมาย

ล่าสุด (30 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphachai Jaismut’ โดยนำรูปภาพเอกสารการพิจารณาของ กกต.ฉบับหนึ่ง พร้อมข้อความว่า

“ไม่ผิดกฎหมายครับ

เรื่องที่เพจแพทย์ชนบท จะยื่น กกต. เพราะสงสัยว่า การที่โรงพยาบาลขึ้นภาพรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สธ. อาจเข้าข่ายหาเสียง เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นั้น

ผมอยากจะเรียนว่า เรื่องการขึ้นป้ายนั้น ไม่ผิดกฎหมายครับ

และผมไม่ได้พูดลอย ๆ แต่ผมได้เอาคำวินิจฉัยของ กกต. แนบมาให้อ่านโดยทั่วกัน

‘เปลวสีเงิน’ มองไทย ยุค ‘8 ปี นายกฯ ลุงตู่’ พัฒนาไกลลิ่ว เทคโนโลยีก้าวหน้า-ต่างชาติยอมรับ-โครงสร้างพื้นฐานยอดเยี่ยม

(31 ม.ค. 66) เปลวสีเงิน ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ ไทย ‘พัฒนาไกลเกินมอง’ โดยระบุว่า…

‘ประเทศไทย’ ยุค ‘๘ ปี นายกฯ ประยุทธ์’ นี่

หลาย ๆ ด้าน ....

มันพัฒนา "เกินหน้า-เกินตา" ประเทศเพื่อนบ้านเขาเร็วมากไป

จึงค่อนข้าง "วางตัวยาก" ในหมู่เพื่อนบ้าน อย่างเช่น เขมร เวียดนาม แม้กระทั่งกับสิงคโปร์ก็เถอะ!

เพราะไทยเรา เดี๋ยวติดอันดับประเทศคนมาท่องเที่ยวมากที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศน่าอยู่-น่าลงทุนที่สุดบ้าง

เดี๋ยวเป็นประเทศที่ค่าเงินเสถียรที่สุดบ้าง

เดี๋ยวเป็นประเทศที่คนใจดี-น่ารักที่สุดบ้าง เป็นประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม สะดวก-เร็ว ที่สุดบ้าง

เพื่อนบ้านเขาจึง "มองค้อน"!

ยิ่งตอนนี้ "การรถไฟ" ร่วมมือกับ "สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง"

ผลิตหัวรถไฟพลังงานแบตเตอรี่ออกทดลองวิ่งที่ "สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์" นำหน้าในอาเซียน

ภาพการทดลองวิ่งปรากฏออกไปเท่านั้้นแหละ

เวียดนาม "กินไม่ได้-นอนไม่หลับ"!

นักรบคีย์บอร์ดออกมากระแนะ-กระแหนด้วยฤทธิ์แรงริษยา ประเทศเขาตะหาก ที่จะเป็นเจ้า EV ในอนาคต

ส่วนเพื่อนเขมร กางแผ่นหินนครวัด "เคลมทุกอย่าง" ในโลก ว่าลอกเลียนไปจากเขมรทั้งนั้น

ตอนนี้ชักจะล้ำเส้นเกินไปซักหน่อย

เคลมมวยไทยเป็น "กุน ขแมร์" ก็พอจะทำให้คลายเครียด แต่การนำ "ครุฑ" ตราแผ่นดินของไทย ไปปักกางเกงนักมวยเขานี่ซี

"ผู้หลัก-ผู้ใหญ่" ฝ่ายไทย-ฝ่ายเขมร น่าจะคุยกัน ไปเตือนทั้งสองฝ่าย ว่าเอาพอหอมปาก-หอมคอ "อยู่ในกรอบ" พอรับกันได้เถอะ

แต่ถ้า "ล้นกรอบ" มากไป

อย่างเอา "ตราแผ่นดิน" ของไทยไปใช้ไม่เหมาะสมอย่างนั้นน่ะ...มันเกินไป 

ฝรั่งว่า เรื่องอย่างนี้ Sensitive เรื่องเล็กมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ

ควรห้ามปราม อย่าปล่อยให้ไฟในเตา กระเด็นออกมาเป็นไฟลามบ้าน-ลามเมืองเลย

ก็พอรู้แหละ....
ว่ามีคนปั่นจิ้งหรีด หวังให้ "ไทย-เขมร" กินใจ ต้องการให้ไปถึงขั้นบาดหมาง "ระดับประเทศ"

เมื่อรู้ ก็ควรรีบคุยกันแต่เนิ่นๆ ให้มันอยู่แค่ "มวย" พอแล้ว

ขืนปล่อยให้ลามปามไปถึงขั้น "ตราแผ่นดิน" ไม่มีคนไทยคนไหนจะวางเฉยได้หรอก

ก็เตือนสติกันไว้ กับเรื่องที่ "ไวต่อความรู้สึก"

"มวยไทย" น่ะ คือศาสตร์ที่ดึงเอาส่วนกายกับส่วนจิตในความเป็นสัญชาตญาณ พัฒนาให้ความคิดและความรู้สึกผนึกรวมเป็นศิลป์ ผ่านความเป็นแม่ไม้มวยไทยเปี่ยมปัญญา-เปี่ยมสปิริต

มวยไทย ใครๆ ก็ "ครูพักลักจำ" ได้

แต่จะให้เข้าถึงศาสตร์และศิลป์ด้วยจิตวิญญาณ ถ้าไม่เรียนด้วยตัวเอง ไม่มีทางเข้าถึงได้

เพราะอย่างนั้น "มวยไทย" จึงต้อง "ไหว้ครู"

เพราะ "มวยไทย" มีครู

นักมวยไทยทุกคน จึงได้รับการขนานนามว่า "ศิษย์มีครู"

"มวยไทย" จึงไม่ใช่สัตว์ ที่เขา "จับใส่กรงให้กัดกัน"

เพราะมวยไทย ครูสอนให้ลูกศิษย์ รู้จักคำว่า "สุภาพบุรุษ"

คำว่า "สุภาพบุรุษสังเวียน" จึงคู่กับ "มวยไทย" มาแต่อ้อน-แต่ออก!

ด้วยความลึกซึ้งของมวยไทยที่ "หลายชาติ" เข้าไม่ถึง

จึงใช้ความหยาบฉกฉวยรูปแบบมวยไทยไปทางธุรกิจการค้า โดยตั้งชื่อเลี่ยงไปต่างๆ นานา

อย่างสิงคโปร์ ก็จากมวยไทย ด้วยหัวการค้า พลิกแพลงเอามวยไทยผสมมวยมนุษย์ยุคหิน

ให้ค่าตัวแพงๆ มวยไทยก็แห่ไปฟัดกับมวยต่างชาติเป็นการล่ารางวัล

สำหรับผม ดูแล้วไม่เห็นมีตรงไหน ที่เรียกว่า "ศาสตร์และศิลป์" เลย

ไม่ต่าง "จับสัตว์ขังกรง" ให้กัดกัน

มันจึงมีแค่คำว่า "สัตว์ป่า" เข้ามาแทนคำว่า "สปิริต"!

นี่ "มวยสิงคโปร์"

แต่เขาเก่ง เขาไม่ได้เคลมมวยไทยด้วยอิจฉา แต่เขาใช้หัวการค้าประยุกต์ "ทำการตลาด" จึงเกิดเป็น "ธุรกิจคนกัดกัน"

ส่วน "มวยเขมร" อะไรนั่น จะกุน ขแมร์ ก็กุนไป ไม่มีใครว่า แต่การเคลมว่ามวยไทยว่าก๊อบไปจากมวยเขมร

ก็ไม่รู้จะไปหาเหตุผลจากคนตะแบงไปเพื่ออะไร สู้มองไปในทาง "ตลกคลายเครียด" จะสบายใจกว่า              

"มวยไทย" เป็นที่รู้จักและยอมรับเป็น "สากลโลก" ไปแล้ว

มันเลยจุดต้องมานั่งเล่นจ้ำจี้กับเพื่อนเขมรแล้ว!

เมื่อวาน อ่าน "การพยากรณ์เรื่องที่จะเกิดในโลกอนาคตที่" ดร.วรศักดิ์ กนกนุกูลชัย" โพสต์เฟซ และอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา นำมาแชร์

ดร.วรศักดิ์สรุปจากที่ศาสตราจารย์ "Yuval Noah Harari" เขียนเป็น ๑๓ หัวข้อ ในหัวข้อที่ ๘ มีว่า

8.ในที่สุดมนุษยชาติจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้น ได้แก่                    

-กลุ่มชนชั้นสูง (Super Elite Class) ที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุม AI

และการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษยชาติ (เพื่อให้ฉลาดขึ้น หรือ อายุยาวขึ้น)

-กลุ่มชนที่ไร้ประโยชน์ (Useless Class)

ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงกำลังพลทางทหาร (กำลังพลจะไร้ความหมาย เพราะกองทัพในอนาคต จะใช้เทคโนโลยี AI แทน)

ถามว่า "โลกอนาคต" ที่ว่านี่ หมายถึงเมื่อไหร่?

ก็ราวๆ ๒๐-๓๐ ปี ต่อจากนี้ พูดชัดๆ คือศตวรรษที่ ๒๑ ใครมีลูกตอนนี้ ก็รุ่นลูกโตเป็นหนุ่ม-เป็นสาว นั่นแหละ

ผมอ่าน แล้วประเมินจากสังคมปัจจุบัน ประเด็นที่ท่านศาสตราจารณ์ Yuval Noah Harari เขียนไว้

มีความน่าจะเป็น ระดับ ๙๙.๙๙%

-กลุ่มชนชั้นสูง (Super Elite Class) ที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุม AI ก็เห็น และเป็นอยู่ขณะนี้

-การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษยชาติ (เพื่อให้ฉลาดขึ้น หรืออายุยาวขึ้น)

ข้อนี้ ไม่ต้องมองหาที่ไหน ...

ณ วันนี้ ขณะนี้ คนไทย ด้วย "วิจัย-พัฒนา" วิทยาการไทยไปถึงระดับเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของมนุษยชาติสำเร็จแล้ว!

ไม่ใช่สำเร็จอยู่ใน "ห้องทดลอง" นะครับ

เป็นผลิตภัณฑ์ Life Science วางขายตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่ยา แต่เป็นอาหารเสริม

เป็นคนละเรื่อง-คนละอย่างกับ "อาหารเสริม" ที่เราเรียกกันเปรอะทั่วไป

แต่นี่เป็นผลิตภัณฑ์ Life Science "วิจัย-พัฒนา" ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพชั้่นสูง สู่ความยั่งยืนของมนุษย์

หลักๆ คือ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพนี่แหละ จะทำให้ยุคต่อไปนี้ มนุษย์ตายช้า คืออายุยืนขึ้น ไม่เจ็บ-ไม่ป่วย แถมฉลาดยิ่งขึ้น

คงจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยนำมาเล่าว่า ปตท.เขาดิสรัปท์ "ข้ามสายพันธุ์" จากประเทศมั่นคงทางพลังงาน ไปสู่สายพันธุ์ "มั่นคงทางยา"

โดยเฉพาะด้าน "ชีววิทยาศาสตร์" หรือ Life Science ตั้งบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด "ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ" เป็นประธาน

แป๊บเดียวร่วม ๒ ปี

'จตุพร' สวนไอโอหน้าโง่ งัดรูปร่วมโต๊ะ 'เทพเทือก' ปมยัดเยียดใส่ร้ายรับงานถล่ม ‘ทักษิณ’

(31 ม.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน 'ความคับแค้น แปรเปลี่ยนเป็นพลัง' มี อรุโณทัย ศิริบุตร ดำเนินรายการ โดยตอบโต้ขบวนการไอโอปกป้องเพื่อไทย นำรูปถ่ายกับสุเทพ เทือกสุบรรณ มายัดเยียดใส่ร้ายว่า รับงานวิพากษ์วิจารณ์ถล่มทักษิณ ชินวัตร

นายจตุพร ประเมินถึงวิกฤตในอนาคตว่า ว่า จะเกิดขึ้นจาก 2 เรื่องสำคัญคือ กรณีตะวัน-แบม และคำประกาศกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร โดยวิธีพิเศษ ในส่วนการอดอาหารของตะวัน-แบมนั้น เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงจุดตรึงเครียดยิ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนสำคัญในการสร้างปัญหาให้ ม.112 ขยายตัวมากขึ้น จึงต้องเป็นผู้ดึงฟืนออกจากไฟ เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่า พระราชประสงค์ของ ร.10 ไม่ต้องการดำเนินคดีกับใคร ด้วยเหตุนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นคนสร้างความเดือดร้อนให้ ร.10

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประมุขฝ่ายบริหารกับประมุขฝ่ายตุลาการต้องหารือหาทางออกร่วมกัน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่คาดคิด จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ซึ่งเป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่ไม่ต้องการอธิบายด้วยเหตุผลจากฝ่ายใด ๆ สถานการณ์แบบนี้ยากที่ใครจะควบคุมอยู่ได้ 

"ตะวัน-แบม อดอาหารเดิมพันชีวิตอย่างเอาจริง ฝ่ายรัฐจะประเมินด้วยเหตุการณ์อดอาหารแบบเดิม ๆ ไม่ได้ และเรื่องนี้จะอาศัยความสะใจหรืออคติหรือความเป็นการเมืองไม่ได้เลย แต่แก้ไขได้อย่างเดียวคือให้คุณค่าความเป็นมนุษย์ที่จะดึงไฟออกจากฟืนก่อนที่จะเกิดวิกฤตรุนแรง จนลุกลามเป็นไฟลามทุ่งอย่างที่คาดไม่ถึง"

กรณีการประกาศกลับบ้านของทักษิณนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ใครอาจจะคิดว่าไม่มีอะไร เนื่องจากประกาศมาหลายครั้งก็ไม่ได้กลับและไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ประกาศในช่วงเวลาที่กำลังจะได้เสียทางการเมือง และยิ่งมาประกาศไม่ใช้กฎหมาย ไม่พึ่งเพื่อไทยหรือรอมชอมกับพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้น ในทางกฎหมาย คดีที่มีโทษจำคุกเป็นที่สุดแล้ว ทักษิณต้องเข้าเรือนจำอย่างเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ใครจะไปดีลโดยไม่สมควรดีล ซึ่งได้เริ่มต้นดีลแล้วยิ่งจะทำให้กลายเป็นชนวนใหญ่ เท่ากับปลุกผี พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาหลอกหลอนสังคมไทย จนกลายเป็นชนวนเผชิญหน้าของฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์และฝ่ายทักษิณ อีกครั้งหนึ่งอย่างไม่จำเป็นเลย

"เมื่อเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และทักษิณกลับบ้านจะกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก แล้วนำไปสู่การล้มกระดานทั้งปวง ดังนั้นพวกเราจึงตอกย้ำเตือนให้ยึดประเทศไทยต้องมาก่อน เพราะความแตกแยกรุนแรงท่ามกลางการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือนักการเมืองก็ตาม"

นายจตุพร กล่าวถึงการแตกหักกับทักษิณ และถูกขบวนการไอโอระบาดทำลายมากขึ้นว่า ที่ผ่านมาตนเจอปฏิบัติการไอโอจากทั้งฝ่ายเสมอ ขณะนี้ฝ่ายทักษิณได้แพร่รูปตนกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งร่วมโต๊ะอาหารในงานเลี้ยงแต่งงานลูกของชาดา ไทยเศรษฐ์ นักการเมืองคนสำคัญขณะสังกัดพรรคชาติไทย โดยมีเจตนาทำให้เข้าใจผิดแล้วหวังทำลายตน

ก่อนจะชี้แจงรูปนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับนายสุเทพ นายจตุพร กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณกับสุเทพว่า ข้อเท็จจริงแรก สุเทพเป็นเพื่อนทักษิณ ในช่วง 4 ปีแรกที่ทักษิณเป็นนายกฯ แต่สุเทพนั่งเลขา ปชป. เป็นฝ่ายค้าน และไม่เคยอภิปรายทักษิณสักครั้งเดียว สามารถตรวจค้นความจริงกันได้ทั่วไป

สองทักษิณ เคยไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้านสุเทพถึง อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และเครือข่ายยังซื้อหุ้นสหกรณ์โคออฟร่วมลงทุนกับสุเทพด้วย นอกจากนี้ลูกน้องมือทำงานคนสำคัญของสุเทพ ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารระดับรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกทั้งถึงการเลือกตั้งปี 2548 สุเทพเริ่มมีปัญหาขัดแย้งกับทักษิณ แล้วนัดเจรจากันที่บ้านพิษณุโลก ตอนนั้นตนอยู่ในทีมโฆษกพรรคได้ แถลงข่าวเสนอให้ทักษิณเลิกคบกับสุเทพ

อีกอย่างในบทบาททางการเมือง ตนกับสุเทพต่างทำหน้าที่อยู่กับคนละฝายกันทั้งในการอภิปรายฟาดฟันในสภา และต่อสู้กันยิบตาบนท้องถนน ไม่มีอะไรลดราวาศอกกันเช่นเดิม กระทั่งได้มาคุยกันตัวต่อตัวในวันเจรจาก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจปี 2557 ซึ่งเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายและไม่ได้คุยกันอีกเลย

ส่วนกรณีรูปภาพถ่ายกับนายสุเทพนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ชาดา เป็นนักการเมืองใจนักเลง มีมิตรอยู่แทบทุกพรรค ซึ่งตนชอบนักเลงการเมืองมากกว่านักธุรกิจการเมือง เพราะพูดคำไหนคำนั้น ไม่ว่าอยู่ซีกไหน ไม่มีอะไรซับซ้อน จึงได้คบค้าสมาคมกัน แต่นักธุรกิจการเมืองพูดวันนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกอย่าง

จากนั้น ชาดา ชวนไปงานแต่งงานลูกในเดือนมกราคม ปี 2559 ตนก็ไปและเจอสุเทพ ก็เดินดิ่งเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะ จึงมีภาพถ่ายปรากฎ สิ่งสำคัญ เมื่อเป็นงานแต่งงานก็ต้องมีมารยาทกันตามประเพณีต้องให้เกียรติเจ้าภาพ จะฟาดฟันกันยับเยินได้อย่างไร อีกอย่างถ้าตนหลบหนีสุเทพไปนั่งโต๊ะอื่น ก็จะถูกอีกฝ่ายด่าอยู่ดี พวกไอโอจะให้ตนไปรบกันในงานแต่งงานหรือ?

นอกจากนี้ ในงานแต่งบางงานของอดีต ส.ส.เพื่อไทย สุเทพก็ไปเช่นกัน เพราะเขามีเพื่อนมากทุกพรรค เมื่อครั้งงานแต่งของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งจัดทั้งที่บ้านเจ้าบ่าวและเจ้าสาว กรณีงานจัดที่บ้านเจ้าสาวนั้น สุเทพเป็นประธานจัดงาน เพราะสนิทกับพ่อเจ้าสาว ช่วงนั้นเสื้อแดงสู้กันเต็มบ้านเมือง ตนจึงไม่ได้ไป แต่เมื่อจัดบ้านณัฐวุฒิ มีจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธาน ตนก็ไป เมื่อสุเทพไปงานแต่งงานณัฐวุฒิได้ ก็ไม่เห็นขบวนการไอโอทั้งสองฝ่ายรุมถล่มว่าอะไร

นายจตุพร กล่าวว่า แต่อยู่ดีๆ ตนไปนั่งร่วมโต๊ะกินช้าวกับสุเทพในงานแต่งเมื่อปี 59 ผ่านมา 7 ปีแล้ว ขบวนการไอโอก็เอามาปั่นกระแส โยงถึงการถล่มทักษิณก็ว่ากันไป แต่ตนถล่มทักษิณเพราะมาดูถูกกันเมื่อเร็วๆ นี้เอง จะให้รอจนกว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วจะตอบโต้หรืออย่างไรกัน

‘เพื่อไทย’ จี้ กกต.สอบ ‘อนุทิน’ ปมติดป้ายหน้า รพ. หวั่นใช้เงินงบหลวงแฝงหาเสียง - เอาเปรียบพรรคคู่แข่ง

เมื่อเวลา 10.00 น. (31 ม.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคพท.กล่าวกรณีที่ปรากฏป้ายประชาสัมพันธ์โครงการของขวัญปีใหม่ปี 2566 ด้านหน้าโรงพยาบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ โดยมีภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข อยู่ภายในแผ่นประชาสัมพันธ์ดังกล่าวว่า ในการติดตั้งป้ายดังกล่าวมีคำสั่งทางราชการไปยังทุกหน่วยงานให้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์นั้น อยากให้ กกต.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เอกสารสั่งการจากกระทรวงสาธารณสุข เป็นเอกสารจริงหรือไม่ หากเป็นเอกสารจริงก็ควรตรวจสอบว่าถ้อยคำที่ใช้ในป้ายประชาสัมพันธ์ และการมีรูปของนายอนุทินปรากฏอยู่ในภาพ เป็นการใช้งบประมาณและบุคลากรของรัฐในการหาเสียงหรือไม่ ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อเป็นคุณแก่พรรคของตนและผู้สมัครของพรรคตน อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ หากเป็นข้อเท็จจริงนอกจากจะเป็นการกระทำผิดในทางกฎหมายแล้ว ยังขัดต่อคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมืองด้วย เพราะถือเป็นการใช้งบหลวงจากภาษีประชาชนมาหาเสียง เป็นการแข่งขันทางการเมืองที่ไม่เป็นธรรม

‘คณะราษฎร’ บุกเพื่อไทย ทวงจุดยืนยกเลิก ม.112 จี้ พาผู้ลี้ภัยกลับไทย ไม่ใช่แค่ ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’

แลนด์สไลด์เพื่อไทยสะดุด เจอกดดันจากคณะราษฎร์ยกเลิกม.112 ให้พิจารณาแก้ไขมาตรา 112 และนำผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่มีกว่าร้อยคน กลับประเทศ ไม่ใช่แค่นายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ให้นึกถึงคนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้กันมา กลุ่มเตรียมเดินหน้าไปทุกพรรคให้แก้ไข มาตรา112

(31 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.20 น. ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคณะราษฎรยกเลิก ม.112 เดินทางมาที่พรรคเพื่อไทยเพื่อสอบถามความชัดเจนในแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 และมาตรา 116 ว่าพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร โดยเรียกร้องมายังนางสาวแพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นเหยื่อในคดีทางศาล จะดำเนินการอย่างไรในเรื่องดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกลุ่มได้มีการเคลื่อนไหวลงชื่อจำนวน 3 แสนรายชื่อ เพื่อสนับสนุน 3 ข้อเรียกร้องคือให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ศาลต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในการแสดงออกต้องเป็นอิสระปราศจากอำนาจ นำปกครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน และผู้บริหารศาลต้องไม่แทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดี ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนที่ถูกคุมขัง ผลักดันต่อศาลอาญาให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไขให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560  

รวมทั้งให้พรรคการเมืองทุกพรรคเสนอแนวนโยบายเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนโดยยกเลิกมาตรา 112 และมาตรา 116 และกฎหมายที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพการรวมกลุ่มการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองเพื่อคืนความยุติธรรมนำผู้ลี้ภัยการเมืองกลับมาประเทศไทย

‘ลุงหนู’ ตอบชัด!! ไม่เคยพบ ‘ทักษิณ’ ครั้งเดินทางไปประชุมที่อังกฤษ

(31 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าวลือ เรื่องนายอนุทิน ได้พบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอังกฤษ ว่า 

“ไม่เคยเจอนะ ผมไปยุโรปนี่ผมไปกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข ท่านเลขา สปสช. และท่านเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงลอนดอน ท่านเอกอัคราชทูตไทย ท่านน่ารักมาก ผมจะทำ หนังสือไปถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศด้วยซ้ำ ขอบคุณที่ท่านทูตใส่ใจ ไปร่วมประชุมกับผมทุกนัด ถือว่าเป็นสปีริตที่ดีมาก การที่เราไปประชุมพร้อมท่านเอกอัคราชทูตฯ ทำให้ฝ่ายที่หารือด้วยเกิดความมั่นใจ ในฐานะที่เราก็เป็นตัวแทนของประเทศไทย การหารือจึงสัมฤทธิ์ผล”

‘เพื่อไทย’ แถลงเคารพความเสียสละ ‘ตะวัน-แบม’ ชี้แก้ ม.112 ต้องผ่านสภา พรรคไม่อาจแก้ได้โดยลำพัง

(31 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 13.35 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.เนติพร หรือบุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง กล่าวภายหลังการหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับการใช้อำนาจที่ล้นเกินของกระบวนการยุติธรรม พรรคเพื่อไทยจะเลื่อนวาระการพิจารณาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายของศาลและกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาในการประชุมสภาฯ วันที่ 1 ก.พ. ส่วนเรื่องท่าทีการประกันตัวของผู้ต้องหานั้น ตัวแทนพรรคเพื่อไทยระบุว่าต้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวในนามพรรค เบื้องต้นจะให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยยื่นประกันตัวนักโทษทางการเมืองคดี 112 ที่ยังถูกคุมขัง โดยพรรคจะให้คำตอบเรื่องดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ส่วนเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 นั้น ไม่สามารถแก้ไขได้ภายในวันสองวัน จะแถลงท่าทีอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร อย่างไรก็ตาม หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะเปิดพื้นที่ที่ปลอดภัย เพื่อถกเถียงถึงปัญหาการบังคับใช้ เพราะเรื่องนี้สังคมเห็นต่างเยอะ จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้พรรคออกมาพูดว่ายกเลิกไปเลย ต้องฟังท่าทีจากคนส่วนใหญ่ในสังคมด้วย

จากนั้นเวลา 14.15 น. แกนนำพรรคเพื่อไทยประกอบด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ร่วมแถลงภายหลังการหารือกับแกนนำกลุ่มทะลุวัง โดยนายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับข้อเรียกร้องของเยาวชนที่มาเรียกร้องที่พรรคเพื่อไทยนั้น 

1.เราขอแสดงความเคารพในการตัดสินใจ ความเสียสละในการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวของคุณตะวัน ตัวตุลานนท์ และคุณอรวรรณ ภู่พงษ์ในครั้งนี้ การถอนประกันตัวเองและอดอาหารและน้ำของตะวันและแบม เรามีความห่วงใยในความปลอดภัยแห่งชีวิตของน้องนักศึกษาทั้ง 2 ซึ่งควรจะมีชีวิต เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวและชาติบ้านเมืองต่อไป มีข้อฝากว่าแพทย์มีหน้าที่รักษาผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต แม้จะขัดต่อเจตนารมณ์และความยินยอมของผู้ป่วยตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ข้อบังคับแพทยสภา และพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม จึงไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะสามารถปล่อยให้ผู้ป่วยสิ้นชีวิตไปได้ต่อหน้าต่อตา โดยมิได้ทำอะไรเลย

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า 2.พรรคเห็นว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะสิทธิในการประกันตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมทั้งของไทย และนานาอารยประเทศ พรรคเห็นว่าการให้ประกันตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นนิสิต นักศึกษา เป็นเพียงผู้เห็นต่างทางความคิด มิได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพเป็นหลัก จึงถึงเวลาที่ควรจะได้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ดังเช่นที่พรรคเพื่อไทยได้เคยเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิในการประกันตัวจะต้องเป็นหลัก การไม่ให้ประกันต้องเป็นข้อยกเว้น จะคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้เกินหนึ่งปีมิได้ และให้เพิ่มเติมสิทธิในกระบวนการยุติธรรมไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเร่งด่วนในชั้นนี้เห็นว่าการที่ศาลไม่ให้ประกันตัว โดยเหตุผลที่ไม่สอดคล้องกับ ป.วิ.อาญา การถอนประกันโดยศาลเองโดยมิได้มีคำร้องจากฝ่ายใด เป็นเรื่องที่จะต้องทบทวน นอกจากนี้พรรคจะเสนอเลื่อนญัตติด่วนเรื่องการใช้กฎหมายที่ล้นเกินอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ค้างอยู่ในสภาขึ้นมาพิจารณาในสัปดาห์นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top