Tuesday, 10 June 2025
PoliticsQUIZ

'จิรายุ' โวย 'บิ๊กตู่' ชิ่งตอบกระทู้สด 'ทุนจีนสีเทา' ลั่น!! วันนี้ไม่มา วีกหน้าก็จะถามอีก ขออย่ายุบสภาหนีก่อน

‘จิรายุ’ จวก ‘บิ๊กตู่’ หลังชิ่งไม่มาตอบกระทู้สด 'ทุนจีนสีเทา-ตั๋วนำเที่ยววีไอพี' ยันไม่มาวันนี้ สัปดาห์หน้าก็จะถามอีก ดักคอ อย่ายุบสภาหนีก่อนซักฟอก 152 ลั่น ถ้าจะยุบก็รีบยุบเสาร์ อาทิตย์ นี้เลย!

(26 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาในวันนี้ (26 ม.ค.) ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้รับหน้าที่ให้ถามกระทู้สด 2 กระทู้ และมีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วย 1 กระทู้ โดยตนและพรรคก้าวไกล จะถามกระทู้เรื่องทุนจีนสีเทาในกรณีที่เข้ามาก่ออาชญากรรมและมีการข่มขู่พยาน รวมถึงตั๋ววีไอพีของนักท่องเที่ยวจีนที่มีการใช้บริการเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการขายบัตรอิดิสการ์ด ซึ่งเป็นบัตรวีไอพีให้กับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ราคา 5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท ปรากฏว่าผู้ที่ขายคือกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ที่ได้ขายให้กลุ่มทุนจีนสีเทาหลายคน ที่นักท่องเที่ยวหลายคนใช้สิทธิพิเศษนี้ผ่านตม.เข้ามา และซื้ออสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา จึงได้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีและรมว.ท่องเที่ยวฯ แต่ทั้ง 2 ท่านปฏิเสธและบอกว่าติดภารกิจ ซึ่งเป็นคำยอดฮิต แต่ในรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่าคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต้องมาตอบชี้แจงกระทู้ถามสดของที่ประชุมสภาฯ

“ท่านจะอธิบายว่าไม่ทราบล่วงหน้าไม่ได้ เพราะท่านนายกฯจะต้องเตรียมสแตนบายเพื่อที่จะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาตอบแทน ฉะนั้น วันนี้ (26 ม.ค.) แม้ว่าท่านจะไม่มาตอบ แต่ผมก็จะขอถามทิพย์ ถามไปอย่างนั้น ถามท่านประธานไป แม้ท่านประธานจะตอบได้หรือไม่ได้ ก็คงไม่ตอบอยู่แล้ว เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าปลายเทอมของรัฐบาลชุดนี้ ผมไม่เคยเห็นนายกฯมาตอบกระทู้เลย ครั้งที่แล้วมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯมาตอบ ก็ตอบไม่ชัดเจน ผมคิดว่าหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ทักท้วงก็รีบ ๆ ยุบสภาไปเลย เสียเวลาประเทศชาติและประชาชน ”นายจิรายุ กล่าว

เมื่อถามว่า แม้ไม่ได้ตั้งกระทู้ถามวันนี้ (26 ม.ค.) ฝ่ายค้านจะพิจารณานำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 หรือไม่ นายจิรายุ กล่าวว่า เราเอาเวลาอันใกล้ก่อน ในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในรัฐธรรมนูญเขียนว่ากระทู้สดต้องรีบถาม ถ้าไม่ถามก็จะเกิดปัญหา การอภิปรายมาตรา 152 หลังวันที่ 15 ก.พ. คิดว่าช้าไป ฉะนั้น สัปดาห์หน้าตนจะยื่นถามอีก

'โรม' เซ็ง!! ไร้คนตอบปม 'หลานประยุทธ์' อาจเอี่ยวทุนจีน จี้!! อย่าให้ 'จันทร์โอชา' อยู่เหนือกระบวนการยุติธรรม

'โรม' ตั้งกระทู้ถามสด ปมหลานประยุทธ์อาจเอี่ยวทุนจีน แต่ไม่มีใครมาตอบ เปิดความเชื่อมโยง ‘ตู้ห่าว’ เช่ารถทัวร์บริษัทก่อสร้างของ ‘ปฐมพล’ ตั้งคำถาม ตู้ห่าวโดนข้อหาฟอกเงิน ทำไม อสส. ไม่เรียกหลานประยุทธ์มาสอบ ชี้ ‘ประยุทธ์’ ยิ่งเงียบ ประชาชนยิ่งสงสัย จี้ อย่าให้ตระกูลจันทร์โอชา อยู่เหนือกระบวนการยุติธรรม

(26 ม.ค. 66) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีทุนจีนสีเทาเกี่ยวพันธุรกิจของหลานชาย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังตั้งกระทู้สดด้วยวาจา แต่ไม่มีรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ 

รังสิมันต์ กล่าวว่า การดำเนินคดีกลุ่มทุนจีนสีเทา เมื่อ 18 มกราคม 2566 อัยการได้มีคำสั่งฟ้อง ‘ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์’ หรือ ‘ตู้ห่าว’ กับพวก ในความผิด 9 ข้อหา ประเด็นที่ตนสนใจคือ ข้อหาฟอกเงิน หรือการปกปิดอำพรางเงินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ให้สืบได้ง่ายว่าต้นทางมันมาจากไหน ซึ่งการฟอกเงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในธุรกิจผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ายาเสพติด 

รังสิมันต์ กล่าวว่า สำหรับกรณีตู้ห่าว เพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลบุกค้นผับจินหลิงแล้วพบว่า เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาขนาดใหญ่ ก็ควรตั้งข้อสงสัยได้แล้วว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วยการเปิดสถานบริการต่าง ๆ ขึ้นมาบังหน้า แต่เมื่อย้อนไปดูกระบวนการดำเนินคดีที่ผ่านมา ตำรวจกลับไม่เคยแจ้งข้อหาฟอกเงินเลย ทั้งที่มีเวลาสืบสวนกว่า 1 - 2 เดือน เพิ่งจะมีเมื่อ 26 ธันวาคม หลังสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เข้ามาร่วมสอบสวน เป็นผลพวงจากการที่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์’ ไปร้องเรียนขอให้ อสส. รับคดีตู้ห่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักรเนื่องจากเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลกดดันให้ต่อมา ผบ.ตร. ต้องยื่นเรื่องเสนอต่อ อสส. ให้เข้ามารับคดีนี้ 

“พูดง่ายๆ คือถ้าไม่มีใครคอยตามจี้ ตำรวจก็คงไม่ไปเชิญ อสส. เข้ามาร่วมสอบสวน และอาจไม่มีการตั้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวเลยก็ได้” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวว่า การที่ตำรวจไม่ตั้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวตั้งแต่แรก ทำให้เกิดข้อกังขา 2 ประการ หนึ่ง อาจเป็นการเปิดช่องให้มีเวลายักย้ายถ่ายเททรัพย์สินที่จะเป็นของกลางได้ และสอง เกี่ยวพันไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าหลานของ พล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนในธุรกิจเทาๆ ของตู้ห่าวด้วย โดยพบว่าบริษัท เอ็มแอนด์เอ็มทรานสปอร์ตเซอร์วิส จำกัด บริหารโดยพี่ชายของภรรยาตู้ห่าว และระบุที่ตั้งบริษัทเป็นที่เดียวกับที่ตู้ห่าวแจ้งเป็นที่อยู่ตัวเอง จึงชัดเจนว่านี่คือบริษัทในเครือของตู้ห่าว บริษัทนี้ไปเช่ารถทัวร์จำนวนอย่างน้อย 33 คันจาก หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของนายปฐมพล จันทร์โอชา ลูกชายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ส.ว. และน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์

รังสิมันต์ กล่าวว่า รถทัวร์เหล่านี้ เมื่อดูประวัติของตู้ห่าวแล้ว น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจะเอาไปใช้ทำทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือใช้พาคนจีนเข้ามาในไทยเพื่อทำกิจกรรมผิดกฎหมายในสถานบริการของตัวเอง ซึ่งรถทัวร์ 33 คันนี้ หจก.คอนเทมโพรารีฯ ไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ไปเช่าซื้อมาอีกทีหนึ่งผ่านบริษัทลีสซิ่ง โดยติดต่อกับผู้ผลิตรถประจำทางยี่ห้อ 'Sunlong' บริษัทนี้เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษีด้วย  

“ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทำให้เป็นข้อสงสัยว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินกับตู้ห่าวตั้งแต่แรก และไม่ยอมแจ้งเสียที เพราะอาจทำให้ต้องลากเอาปฐมพล เจ้าของ หจก.คอนเทมโพรารีฯ หลาน พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาด้วย ในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถทัวร์ของตู้ห่าว ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของการฟอกเงินจีนเทาด้วย ใช่หรือไม่” รังสิมันต์ กล่าว

‘ลุงหนู’ เผย พร้อมชี้แจงในเวทีซักฟอก ไม่หวั่นยุบสภาฯ เชื่อ!! พรรคร่วมฯ พร้อมเลือกตั้ง

(26 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 14.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในวันที่ 15-16 ก.พ.นี้ ว่า เราพร้อมชี้แจง และทุกคนในคณะรัฐมนตรี ได้รับแจ้งให้ไปเตรียมความพร้อมในการชี้แจงต่อสภาเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าการจัดสรรเวลา 8 ชั่วโมง ให้รัฐบาลเพียงพอหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นการตกลงกันระหว่างวิปทั้ง 2 ฝ่าย ต้องยอมรับ จะได้ไม่มีปัญหา 

เมื่อถามว่าเวทีดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้ชี้แจงผลการดำเนินงาน และจะถือโอกาสยุบสภาหลังจากนี้ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า คิดว่ารัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงคงต้องชี้แจง ไม่ใช่เป็นเรื่องถือโอกาสอะไร เพราะได้ชี้แจงในส่วนที่ถูกกล่าวหาให้เกิดความชัดเจนว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ส่วนที่บอกว่าเป็นการพูดผลงานของตัวเอง ถ้าเกี่ยวข้องกับการอภิปรายก็เป็นสิทธิ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ที่จะแถลงต่อที่ประชุมสภา

‘ลุงหนู’ เผย ‘ศักดิ์สยาม’ ไม่กังวล ปมยื่นฟ้องถอดตำแหน่ง ยัน ไม่ติดใจ ‘เพื่อไทย’ ไล่งับ เข้าใจเรื่องการเมือง

(26 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 14.10 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคเพื่อไทย ยื่นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลง เป็นการดิสเครดิตก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ ว่า นายศักดิ์สยาม ชี้แจงไปแล้วในประเด็นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือน ก.ย.65 และนายศักดิ์สยาม ชี้แจงข้อกล่าวหาในสภาไปแล้ว และสิ่งที่พิสูจน์ได้คือ นายศักดิ์สยาม ได้รับคะแนนไว้วางใจในประเด็นที่ถูกกล่าวหา คะแนนห่างกับคะแนนไม่ไว้วางใจเป็นร้อยคะแนน จึงน่าจะโอเค ส่วนเรื่องที่จะไปยื่นอะไรเป็นสิทธิ์ตามกฎหมาย หากอยู่ภายใต้กฎหมายสามารถยื่นได้ 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าเป็นการดิสเครดิตกันหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ประชาชนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดจะพิจารณาได้ว่าวัตถุประสงค์เป็นอย่างไร 

ลงชื่อในแถลง ‘ก้าวไกล’ ค้านย้าย ‘หมอสุภัทร’ เสี่ยงผิด รธน.ฐานแทรกแซงแต่งตั้ง โทษถึงขั้นพ้น ส.ส.

'ก้าวไกล' แถลงคัดค้านย้าย 'หมอสุภัทร' จาก ผอ.รพ.จะนะ ไป รพ.สะบ้าย้อย อ้างเป็นเรื่องการเมือง พร้อมจี้ สธ.ทบทวนคำสั่ง ขณะที่ 'พิธา' ลงชื่อในแถลงการณ์เอง เสี่ยงทำผิด รธน.มาตรา 185 แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ส่อโดนศาลสั่งพ้นสภาพ ส.ส.

เมื่อวานนี้ (26 ม.ค. 66) ที่ผ่านมา หลังจาก นพ.สวัสดิ์ อภิวัจนีวงค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปฏิบัติราชการแทนปลัด สธ. ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 125/2566 เรื่อง ย้ายข้าราชการ โดยการย้ายครั้งนี้ มี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.จะนะ ย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผอ.รพ.สะบ้าย้อย ในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สงขลา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนาม คือ วันที่ 25 ม.ค. 2566 เป็นต้นไปแล้วนั้น

พรรคก้าวไกลได้ออกแถลงการณ์ ลงชื่อโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อแสดงจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าว มีรายละเอียดระบุว่า “จากกรณีมีคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขโยกย้ายข้าราชการ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

“พรรคก้าวไกลขอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว และขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการโยกย้ายด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจากนายแพทย์สุภัทรเป็นข้าราชการที่ทำงานเป็นปากเสียงแทนประชาชน มีความกล้าหาญในการแสดงความเห็นคัดค้านผู้มีอำนาจ และเปิดเผยข้อมูลสาธารณสุขที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนคำสั่งดังกล่าวโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชน”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การออกแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลคัดค้านการย้าย นพ.สุภัทร และขอให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนคำสั่งย้ายดังกล่าว มีความสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ที่ระบุว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตําแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภากระทําการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้

‘ลุงหนู’ โต้!! ปมย้าย ‘หมอสุภัทร’ ไม่เกี่ยวการเมือง ถาม!! ‘แพทย์ชนบท’ ต้องช่วยพัฒนาพื้นที่ มิใช่หรือ?

(27 ม.ค. 66) จากกรณีที่ นพ.สวัสดิ์ อภิวัจนีวงค์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปฏิบัติราชการแทนปลัด สธ.ลงนามในคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 125/2566 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 โยกย้าย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) จะนะ ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สงขลา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป ต่อมา นพ.สุภัทร ได้ออกมาให้ความเห็นว่าเป็นการโยกย้ายที่มีประเด็นการเมืองแอบแฝง 

ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้เป็นการบริหารจัดการของฝ่ายข้าราชการประจำ และตนก็ไม่ขอก้าวก่ายการทำงานกัน เพราะเป็นอำนาจของท่านปลัดฯ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรัฐมนตรี ซึ่งตามหลักการ การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนภารกิจหน้าที่ เป็นเรื่องปกติในระบบราชการ โดยหาก นพ.สุภัทร บอกว่าตัวเองมีผลงาน มีความเก่ง ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้ไปพัฒนา รพ.ที่ต้องการพัฒนา ยิ่งได้คนเก่งไป ยิ่งเป็นผลดีกับชาวบ้าน กับกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อถามถึงกรณี พรรคก้าวไกลออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งย้าย โดยตั้งข้อสังเกต เป็นการโยกย้ายด้วยเหตุผลทางการเมือง นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าหากคนที่ไม่เข้าใจ ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่คนที่เข้าใจจะรู้ว่าเป็นเรื่องของการทำงาน เป็นอำนาจของปลัด สธ.ในการบริหารจัดการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ทำไมไม่มองว่าการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนภารกิจ หน้าที่ เป็นเรื่องปกติในระบบราชการ

“หากนพ.สุภัทร บอกว่าตัวเองมีผลงาน มีความเก่ง ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้ไปพัฒนา รพ.ที่ต้องการพัฒนา ยิ่งได้คนเก่งไป ยิ่งเป็นผลดีกับชาวบ้าน กับ สธ. อย่าง 2 ปีที่แล้ว ที่ นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ย้ายจาก ผอ.รพ.ขอนแก่น ไป รพ.ร้อยเอ็ด มีประเด็นเกิดขึ้น มีการบอกว่าแย่แน่นอน แต่ทุกวันนี้ รพ.ร้อยเอ็ด กลายเป็น รพ.ที่มีประสิทธิภาพ เรื่องนี้อยู่กับบุคคล คนเก่งไปอยู่ไหนก็ได้ เหมือนรัฐมนตรีฯ อยู่ไหนก็ทำความเจริญได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกย้ายไปไหน ถ้าเรามีความมั่นใจว่า ตอนที่เราอยู่ เราทำความเจริญ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เราไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำอะไร หลังจากที่เราย้ายไปแล้ว เวลาที่ใครถูกย้ายแล้วโวยวาย ส่วนใหญ่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ทำอะไรไว้หรือไม่ แล้วกลัวคนมาตรวจสอบ” นายอนุทิน กล่าว

‘พิธา’ ยัน!! ‘ก้าวไกล’ ไม่เคยเสนอลดบำนาญ ขรก. ย้ำ!! มีแต่แนะรัฐเพิ่มรายได้ - ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น

(30 ม.ค.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีมีข่าวปลอมกลับมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง บิดเบือนว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ

โดยนายพิธากล่าวว่า พรรคก้าวไกลขอยืนยันอีกครั้ง ว่าเราไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ สิ่งที่เราเสนอคือให้ลดงบประจำ ที่ไม่ใช่เงินเดือนของข้าราชการ เช่นการไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา โครงการที่ซ้ำซ้อน รวมถึงลดงบกลางที่เป็นเงินสำรองที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลเอาไปใช้ได้ตามใจชอบ โดยไม่เกิดประโยชน์ พรรคก้าวไกลเสนอว่าควรโยกเงินเหล่านี้มาจัดสวัสดิการที่ดี ให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้มีความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยดีกว่านี้ได้

‘รศ.หริรักษ์’ ชำแหละ เจ้าของพรรคแลนด์ไลด์ ตั้งลูกสาวนั่ง ‘หัวหน้าครอบครัว’ หวังกรุยทางกลับบ้าน

(30 ม.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ปีนี้ เราน่าจะได้เห็นการยุบสภาก่อนครบวาระในเดือนมีนาคม การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีการคาดคะเนกันว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่จะมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ และจะมีการใช้เงินกันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ด้วยระบบการเมืองและนักการเเมืองที่มีอยู่เป็นอยู่ในขณะนี้ พรรคการเมืองที่ได้เปรียบย่อมเป็นพรรคที่มีเงินทุนมาก ดังนั้น พรรคที่ประกาศว่าจะชนะเลือกตั้งแบบ landslide คงต้องทุ่มทุกอย่างจนสุดตัว ใช้ทุกวิธี เพื่อที่จะให้ชนะเลือกตั้งแบบ landslide ให้ได้

พรรคการเมืองพรรคนี้ ใครที่เป็นหัวหน้าพรรคเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เพราะแทบจะไม่มีอำนาจตัดสินใจในระดับนโยบายเลย ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีการสร้างตำแหน่งขึ้นใหม่ในพรรค เป็นตำแหน่งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือตำแหน่ง 'หัวหน้าครอบครัว' เพื่อให้ลูกสาวเจ้าของพรรคเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ และจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อไป หัวหน้าพรรคต้องคอยเดินตามหลัง ค้อมคำนับให้หัวหน้าครอบครัวที่มีอายุคราวลูก ยืนอยู่ข้างหลังเวลาหัวหน้าครอบครัวให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และจะต้องทำหน้ายิ้มแย้มด้วยความชื่นชม ยากเหลือเกินสำหรับการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคของพรรคการเมืองพรรคนี้

หัวหน้าครอบครัวประกาศว่า จะต้องได้ชัยชนะแบบ landslide และจะนำพ่อกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน พูดเช่นนี้คอการเมืองก็เข้าใจทันทีว่า ที่ต้องการชนะแบบ landslide เพราะต้องการเป็นรัฐบาลที่สามารถคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อได้กลับบ้านโดยไม่ต้องเดินเข้าคุกนั่นเอง เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะให้พ่อกลับบ้านแบบเท่ ๆ ได้

ทั้งเจ้าของพรรคและหัวหน้าครอบครัวดูจะมีความมั่นใจมากว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเชียร์ตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา จีงกล้าประกาศเช่นนั้น แต่มาวันนี้น่าจะเห็นแล้วว่า คนไทยไม่ได้เชียร์พ่อตัวเองอย่างไม่ลืมหัวลืมตาแล้ว แน่นอนคนแบบนั้นยังมีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่คนอื่นๆ ที่เคยเลือกพรรคนี้เป็นจำนวนมากเริ่มไม่สบายใจที่จะเลือกพรรคนี้เพื่อให้ไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อคนเพียงคนเดียว หากเลือกพรรคนี้ก็จะมีความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาแน่ ๆ และอาจจะมีความรุนแรงกว่าเมื่อครั้งออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเสียอีก

ล่าสุดเจ้าของพรรคซึ่งประกาศว่าตัวเองจะกลับบ้านมาทุกปีเป็นเวลาหลายปีแล้ว ยังคงกลับไม่ได้ จึงออกมาพูดนำทางแก้เกี้ยวว่ายังกลับบ้านไม่ได้เพราะครอบครัวกลัวจะไม่ปลอดภัย (ว่าเข้าไปนั่น) แต่เมื่อจะกลับ จะไม่ต้องออกฎหมาย ไม่ต้องเกี้ยเซี๊ยกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องใช้พรรคเพื่อไทย หลังจากนั้นหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นลูกสาวก็ให้สัมภาษน์นักข่าวว่า จะมุ่งทำงานให้ประชาชน เรื่องนำพ่อกลับบ้านยังไม่คิด กลับลำซะงั้น เสมือนไม่เคยพูดว่าต้องการชนะแบบ landslide เพื่อพาพ่อกลับบ้านมาก่อนเลย

‘ตรีชฎา’ อัด ‘บิ๊กตู่’ ปราศรัยชุมพรมัดคอตัวเอง แซะ!! ‘พลิกคว่ำประเทศ’ มากกว่า ‘พลิกโฉม’

(30 ม.ค. 66) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การปราศรัยครั้งแรกของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ที่ จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ไม่ได้ต่างไปจากการปราศรัยที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่พูดไปแล้วสร้างปัญหา ขาดตรรกะ เหตุผล เช่น “พูดว่าทำไปหลายอย่างมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาหลายพรรคหลายปีและหลายเท่าด้วยซ้ำ” ซึ่งหลายรัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์อ้างถึง รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์พรรคร่วมรัฐบาลที่เคยยกมือโหวตพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ พรรคพลังประชารัฐที่อาศัยใต้ร่มในการเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือหลงลืมอดีต เข้าตำราขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะเมื่อพูดออกไปจะโดนสวนกลับให้ได้รับความเดือดร้อนและเสียหาย การย้ายสังกัดพรรคขณะที่ยังเอาขาเกี่ยวอยู่อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ทำลายหลักการประชาธิปไตย ขีดความรับผิดชอบของพรรคการเมืองและการเป็นนายกฯ หมดสิ้น

‘ลุงหนู’ จ่อชง ครม. แก้กฎกระทรวงเพิ่มโทษยาบ้า หวังแก้ปัญหายาเสพติดเกลื่อนเมือง

‘ลุงหนู’ จ่อชง ครม. แก้กฎกระทรวงเพิ่มโทษยาบ้า หวังแก้ปัญหายาเสพติดเกลื่อนเมือง 

‘อนุทิน’ จ่อชงครม.แก้กฎกระทรวง ครอบครองยาบ้า 1 เม็ด เป็นผู้เสพ 2 เม็ด เป็นผู้ค้า หวังแก้ปัญหาผู้ค้าเลี่ยงกม. ลั่น ต้องมีมาตรการ จัดการเด็ดขาด

(30 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.20 น. ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์กำหนดการครอบครองยาบ้าเกิน 1 เม็ดเป็นผู้ค้าว่า ตนได้รับรายงานจากปลัดกระทรวงสาธารณสุข ว่ากำลังจัดเตรียมประกาศอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากคณะกรรมการการบำบัดรักษา ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และจะมีการนำเสนอให้ตนได้ลงนาม ขณะนี้กำลังเตรียมเอกสารอยู่ ซึ่งมาตรการนี้เป็นร่างของกฎกระทรวง ซึ่งจะต้องนำเสนอให้ครม.เห็นชอบด้วยก่อนประกาศในราชกิจานุเบกษาฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top