Sunday, 20 April 2025
Politics

หนึ่งในความเลวทรามสกปรกของนักการเมืองรุ่นใหม่ คือการสร้าง “ข่าวปลอม” (Fake News) ออกสู่สังคม

(18 มี.ค. 68) หากย้อนกลับไป 30 - 40 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย นักการเมืองถ้าจะสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” เพื่อมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ก็จะอาศัยช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองของตนเองสนิทสนม หรือแอบมีส่วนในการ “เป็นเจ้าของ” ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ จะใช้ช่องทางที่ตนเองควบคุมบังคับได้เหล่านี้นำเสนอข่าวเท็จ ประเด็น และเรื่องราวที่ไม่จริงของฝ่ายตรงข้ามมาตีแผ่ออกสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิด เกลียดชัง จนลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามลง 

เหยื่อที่เจ็บปวด เสียหาย ถ้าไม่แข็งแรงมากพอก็จะเดินก้มหน้าออกจาก “สนามการเมือง” ไปทันที แต่ที่เป็นขาใหญ่จริง ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบหัวสิงห์ได้ง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องถูกใส่ร้ายป้ายความผิด ก็มักจะเล่นกลับแรง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างที่ “คนยุคนี้” นิยมเลือกมาจัดการคู่กรณี 

แต่คือการใช้ “ลูกปืน” ย่นเวลาทุกอย่างให้จบง่ายขึ้น 

นักการเมืองยุคเก่า แม้จะไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดี ๆ ชั่ว ๆ ความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังมีในจำนวนที่มากกว่านักการเมืองยุคสมัยนี้ และคำว่า “คนใจนักเลง” ยังใช้ได้กับนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนมาก เรียกว่าขอกันได้ แค่แสดงความนอบน้อม นับถือ รักษาสัจจะ ไม่ข้ามหัว ไม่ตีกิน หรือแอบแทงกันลับ ๆ ด้วยการ “สร้างข่าวปลอม” มาทำให้อีกฝ่ายต้องพังพินาศ ถือเป็นเรื่องที่ “คนรุ่นเก่า” ไม่นิยมทำกัน เพราะเป็นเรื่องของ “สวะ” ทั้งเหม็น และน่ารังเกียจ

“ข่าวปลอม” ยุคสมัยก่อน นาน ๆ จะโผล่มาสักเรื่องหนึ่ง ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะไม่คุ้ม เพราะคนปล่อยข่าว รวมถึงตัวการก็จะไร้ที่ยืน ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย ไม่แน่ก็อาจจะไร้ลมหายใจ จึงมักสู้กันแบบลูกผู้ชาย ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ที่นิยม “หนีการเกณฑ์ทหาร” ยากที่จะสะกดคำว่า “คนใจนักเลง” เป็น เราจึงมักเห็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ขี้หมา” จงใจสร้างข่าวปลอม พอถูกจับได้ก็หายศีรษะไปเงียบ ๆ หนีหน้าไม่มีออกมาขอโทษสังคม หรือสำนึกผิด แล้วก็รอปั้นแต่ง “ข่าวปลอมเรื่องใหม่” มาทำร้ายผู้คนดังเดิม 

ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองไทย” การที่ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ และไร้การเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้สังคมเดินตามก็ดูแย่มากแล้ว แต่การที่วัน ๆ สาละวนอยู่กับการ “คิดข่าวปลอม” เพื่อให้สังคมไทยวนอยู่ในวงจรน้ำเน่า คำว่า “เลวทรามต่ำช้า” ก็ถือว่ายังน้อยเกินไป 

‘ดร.ชาย’ เจาะงบลงทุน ในธุรกรรม skyy9 ของ สปส. ชี้ เป็นการลงทุนเพียง 7 พันล้าน แบ่งเป็นหุ้น 5 พันล้าน - ให้กู้ 2 พันล้าน

(17 มี.ค. 68) จากกรณี สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการด้านการเงินและปัญญาชนสาธารณะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ประกันสังคม น่าจะจ่ายเงิน 9 พันล้าน ในธุรกรรม skyy9 ไม่ใช่ 7 พันล้าน? วันนี้ลองโหลดงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม ประกันสังคม ตั้งกองทรัสต์ไปตั้งบริษัทใหม่ ไปซื้อบริษัทเจ้าของตึก skyy9 (ซับซ้อน 55) มาดูเล่นๆ ก็พบว่า ประกันสังคมน่าจะออกเงินทั้งหมด 9 พันล้านบาท ไม่ใช่ 7 พันล้านบาท ตามที่เป็นข่าวมาหลายสัปดาห์

ล่าสุด ดร.ชาย ทวนชัย นิยมชาติ อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตจอมทอง – บางบอน - หนองแขม พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้าไปคอมเม้นต์ ในโพสต์ของ อ.สฤณี ว่า เรียนอาจารย์ครับ ผมกระทบยอดได้ตามนี้ ไม่น่าจะผิดพลาด อาจารย์อาจจะไม่เห็นข้อมูลตัวนึงจากงบของ บจก. แคส แคปปิตอล ครับ ตอนขายหุ้น ไพร์ม ไนน์ ทาง บจก. แคส แคปปิตอล ขายหุ้น 50% ไปในราคา 1,054 ล้านบาท ครับ เท่ากับผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด ได้เงินไป 2,108 ล้านบาท ถ้าเห็นข้อมูลตัวนี้ ที่เหลือกระทบยอดตามปกติเลยครับ

ต่อมาเพิ่มทุนอีก 3,050 ล้านบาท รวมลงไปกับส่วนทุน 5,158 ล้านบาท (เท่า เงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบ) เกินกว่าทุนจดทะเบียนที่ลงที่ ไพร์ม เซเว่น 5,000 ล้าน อยู่ 158 ล้านบาท เงินนี้ก็เอามาจากเงินกู้ที่ ทรัสต์ ปล่อยให้ 2,000 ล้านบาท ทำให้เหลือวงเงินกู้คงเหลือ 1,842 ล้านบาท

ดูหมายเหตุประกอบงบของ ไพร์ม ไนน์ จะพบว่ามีการเบิกเงินกู้รวม 1,842 ล้านบาท พอดี ก็คือเบิกไปเต็มแล้ว (ตัวเลขทั้งหมดปัดเศษนะครับ) ตัวเลขชนกันหมดครับ ลงทุน 7,000 ล้านบาท หุ้น 5,000 ให้กู้ 2,000 ครับ "

สรุปสั้นๆ ดร.ชาย ยืนยันข้อมูลตรงตามที่หนูนำเสนอว่า " สปส ลงทุน 7,000 ล้าน เป็นหุ้น 5,000 ล้าน และ เป็นเจ้าหนี้ให้กู้ 2,000 ล้าน "

ขณะที่ อ. สฤณี ได้กล่าวขอบคุณ ดร.ชาย พร้อมแชร์ คลิปอธิบายให้ลูกเพจได้ฟัง และระบุว่าเข้าใจแล้วทำไมถึงลงทุน 7,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทาง ดร.ชาย ยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า แต่เราต้องไม่หลงประเด็นว่าถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะลงทุนด้วยเงินเท่าไหร่ แต่เมื่อสังคมยังคงสงสัย เค้าอาจจะไม่ได้สงสัยตัวเลขแล้ว แต่ก็ยังสงสัยการลงทุน ประสังคมก็ยังต้องอธิบายการลงทุนนี้อยู่ดี ว่า 7,000 ล้านนี้ คิดยังไง ตัดสินใจยังไงว่าคุ้มค่า การที่ สส. มาตรวจสอบก็ถูกต้องแล้ว

‘อัครเดช’ ชี้แก้ไข รธน.ต้องทำประชามติ 3 รอบ ย้ำจุดยืน รทสช. ห้ามแตะหมวด 1 – 2 และการปราบทุจริต

‘อัครเดช’ อธิบายชัดจะแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ 3 รอบ ขอให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสิ้นข้อสงสัยแก่ทุกฝ่าย จี้หาหลักประกันไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 การปราบปรามทุจริตหากมีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ

(17 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่า 

การแก้รัฐธรรมนูญสำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ มีจุดยืนที่ชัดเจนคือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้จะต้องไม่มีการแก้ไขในบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 

กรณีมีการตั้ง ส.ส.ร. เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น จะเป็นกรณีที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ และไม่มีการแก้ไขในบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 

สำหรับการสนับสนุนให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องมีการจัดทำประชามติกี่ครั้งนั้น ก่อนหน้านี้มีวุฒิสมาชิกท่านหนึ่งได้มีความเห็นว่าการเพิ่มหมวด 15/1 ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำได้หรือไม่เพียงใด เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8) ได้บัญญัติไว้ว่าเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 หมวดที่ 2 หรือเกี่ยวกับหมวด 15 จะต้องมีการทำประชามติก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามมาตรา 256(7) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า การเพิ่มหมวด 15/1 เป็นการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องมีการจัดทำประชามติจากพี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจก่อนที่จะมีการแก้ไข จึงเป็นที่มาว่าในครั้งนั้นรัฐสภาจึงไม่สามารถดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ 

สำหรับในครั้งนี้ได้มีการตีความคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนั้นแตกต่างกันออกไป สำหรับความเห็นส่วนตัวของตนนั้นเชื่อว่าไม่ต้องมีการส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าก่อนจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 ต้องมีการทำประชามติก่อน 1 ครั้ง เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติอีก 1 ครั้ง ก่อนที่เมื่อรัฐธรรมนูญที่ยกร่างโดย ส.ส.ร. แล้วเสร็จจะต้องมีการทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จึงต้องมีการทำประชามติทั้งสิ้น 3 ครั้ง ตามรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้

จากระเบียบวาระครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดหวั่นใจให้กับเพื่อนสมาชิกรัฐสภาหลายท่านทำให้หลายท่านลาประชุม หรือไม่แสดงตนเป็นองค์ประชุม เนื่องจากเกรงว่าจะมีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเพื่อให้สิ้นกระแสความ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย จึงเป็นอันดีและไม่เกิดความเสียหายใด ๆ ต่อประเทศชาติแต่อย่างใด 

“ทศวรรษที่สูญหาย” วาทกรรมที่กำลังถูกรื้อฟื้น ‘ชาวเน็ต’ ตั้งข้อสังเกตขบวนการดิสเครดิต ‘ลุงตู่’ กำลังเร่งทำงาน

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘LVanicha Liz’ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนหลายคนออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ภายใต้การบริหารของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นช่วงที่ประเทศไทยขาดการพัฒนา โดยใช้วาทกรรมว่า ทศวรรษที่สูญหาย โดยระบุว่า #ปรากฏการณ์รื้อฟื้นทศวรรษที่สูญหาย !?

คำว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” ได้ยินบ่อยทั้งช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้อ้างถึง บ้างก็ใช้คำว่า 8 ปี 9 ปี 10 ปี เพื่อจะสื่อว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ผลงาน สร้างความเสียหาย ฯลฯ

บุคคลที่ศึกษามาดี รวมทั้งผู้ไม่ดำรงอยู่ในความอคติ ก็น่าจะทราบดีว่าความจริงเป็นตรงกันข้าม รวมทั้งทางด้านการใช้ตัวชี้วัดสากล ผู้เขียนก็ได้นำเสนอข้อพิสูจน์จำนวนไม่น้อยที่แสดงถึงผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ชนะรัฐบาลก่อนหน้าและที่เหนือกว่ารัฐบาลปัจจุบัน 

แต่ขณะนี้ดูเหมือนจะเกิด #ปรากฏการณ์รื้อฟื้นทศวรรษที่สูญหาย ขึ้นมาอีก ในท่วงทำนองคล้ายจะลาก รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) + รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) มารับผิดชอบปัญหาของรัฐบาลปัจจุบัน

โดยเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. ๒๕๖๘ มีการเผยแพร่คลิปรายการ นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ 'หมาแก่' แสดงความเห็นว่า จะให้ผมยอมรับรัฐบาลลุงตู่ ผมรับไม่ได้ “ประเทศไทยเสียเวลาไปเกือบ 10 ปีกับลุงตู่โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ได้แค่การปะผุชั่วครั้งชั่วคราว …”
https://www.tiktok.com/@miss.../video/7477480842311372050

วันที่ 12 มี.ค. 2568 คลิปรายการฟังหูไว้หู นาทีที่ 13.48 นายวีระ ธีรภัทร กล่าวว่ามีปัญหามากมายในขณะนี้ หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำ การแข่งขันสู้ประเทศอื่นไม่ได้ ภาคการผลิตเทคโนโลยีไม่ทันเขา “ส่วนหนึ่งอาจต้องโทษ รบ.ประยุทธ์” ว่าปิดประตูไป 9 ปี ไม่มีทางไปเจรจาการค้า เรื่องการส่งออกเป็นตัวที่จะผลักดันเศรษฐกิจ เราเหลืออันเดียว-ท่องเที่ยว ที่เหลือไม่เห็นเลย
https://youtu.be/OI77d-T5XVE?si=Fa0xw3Ylj7gSoGJU

วันที่ 15 มี.ค. 2568 FB Thanong Fanclub โพสต์ว่า จีดีพีไทยตกต่ำ เศรษฐกิจฮ่วยสะท้อนอะไร “มันสะท้อนว่า 8 ปีของลุงตู่ไม่ได้วางรากฐานอะไรให้เศรษฐกิจไทยมีความก้าวหน้า หรือมีการเจริญเติบโต มีแต่สร้างหนี้ ...”https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1205569974270985&id=100044539804977&mibextid=Nif5oz

ปรากฏการณ์ข้างต้นคล้ายจะสะท้อนความคาดหมายไปยังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ว่าน่าจะเกิดขี้นในเวลาอีกไม่นาน และด้วยเหตุผลดังกล่าว ดูประหนึ่งว่าฝ่ายที่ไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาบริหารก็พากันเร่งสร้างความรู้สึกไม่ยอมรับขึ้นในหมู่ประชาชน หรือไม่

แต่หากการสร้างความรู้สึกไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งอยู่บนข้ออ้างที่ไม่เป็นความจริง มันมิเป็นการกล่าวเท็จบิดเบือนต่อประชาชน อันจะทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติหรือ

ลองนำข้ออ้างบางช่วงมาวิเคราะห์ดู: จากที่นายวีระ กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งอาจต้องโทษ รบ.ประยุทธ์” ว่าปิดประตูไป 9 ปี ไม่มีทางไปเจรจาการค้า

ถ้าเราย้อนระลึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย ที่พ่วงมาด้วยโอกาสทางการค้าอย่างมหาศาล รวมทั้งการจัดประชุมเอเปคที่ประเทศไทย ที่มีมิตรประเทศมากันมากมาย เปิดทางให้หน่วยงานไทยเจรจาด้วยมากเท่าที่อยากจะทำ

แม้ในสมัย คสช. ก็ปรากฏภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จับมือกับท่านสี ท่านปูติน ท่านโมดิ ด้วยความผึ่งผายในบรรยากาศอบอุ่นด้วยสัมพันธไมตรีอันดี 

แล้วยังจะพูดได้หรือว่าปิดประตูไป 9 ปี
นายวีระกล่าวต่อไปถึงเรื่องการส่งออกว่าเป็นตัวที่จะผลักดันเศรษฐกิจ คล้ายจะหมายความว่าปิดประตูไป 9 ปี การส่งออกก็ไม่เกิดด้วย

ผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อมูล World Bank พบว่าในยุค คสช. ยอดส่งออกพุ่งขึ้นสูงมากเมื่อเปรียบกับยุค รบ.ยิ่งลักษณ์ (ซึ่งยอดส่งออกของรัฐบาลเธอดูเตาะแตะมากแทบไม่เพิ่มเลย) และหลังวิกฤติโควิด ยอดส่งออกของ รบ.พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) ก็พุ่งขึ้นสูงอีกเช่นกัน ในครั้งนี้สูงชันกว่ายุครัฐบาลทักษิณเสียอีก (อ้างอิงภาพเปรียบเทียบผลงานการส่งออก) และยังนำมาซึ่งการได้ดุลการค้าสูงกว่าบรรดารัฐบาลก่อนหน้าในช่วงเท่าที่มีข้อมูลแสดง

น่าจะสรุปได้ว่าทางด้านการส่งออก รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางรากฐานที่ดีไว้ให้กับประเทศแล้ว

นายวีระกล่าวถึงแหล่งรายได้ของประเทศว่า เราเหลืออันเดียว-ท่องเที่ยว ที่เหลือไม่เห็นเลย ผู้เขียนเพิ่งพิสูจน์ไปในโพสต์ก่อนหน้า ว่า 1. อันดับความสามารถในการแข่งขัน Travel & Tourism รบ.คสช. ดีกว่า รบ.ยิ่งลักษณ์ 2. อันดับการขับเคลื่อนการพัฒนา Travel & Tourism รบ.พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) ดีกว่า รบ.เศรษฐา-แพทองธาร 3. SET Tourism Index หลังโควิด สูงสุดใน รบ.พล.อ.ประยุทธ์

ทั้งสามข้อน่าจะพิสูจน์แล้วว่าทางด้านการท่องเที่ยว รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้เปิดโอกาสที่ดีมากไว้ให้ประเทศอีกเช่นกัน ส่วนรัฐบาลปัจจุบันจะมีหรือไม่มีฝีมือรับช่วงต่อ จะต้องฉุดกระชากลากถูให้ รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ตามมารับผิดชอบด้วยทำไม ???

โพสต์นี้แม้จะพิสูจน์แย้งเนื้อหาของนายวีระคนเดียว แต่ข้อมูลก็น่าจะเพียงพอสำหรับแย้งเนื้อหาของนาย ‘หมาแก่’ และโพสต์ FB Thanong Fanclub ด้วยเช่นกัน 

“ทศวรรษที่สูญหาย” ถ้าจะมี ก็น่าจะกำลังเริ่มขึ้นมากกว่า

น่าสนใจ ‘พิพัฒน์’ คิดอะไรอยู่ ตั้ง ‘สุนทร รักษ์รงค์’ เป็นคณะทำงาน

เป็นประเด็นที่น่าสนใจกับการที่ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แต่งตั้ง สุนทร รักษ์รงค์ อดีตผู้สมัคร สส. เขต 8 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งปัจจุบันสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแล้ว ให้เป็นคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

สุนทร ก็โพสต์ว่า
“ผมจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง”

แม้สุนทร รักษ์รงค์ จะยังไม่เปิดตัวชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 หากศาลฎีกาตัดสินให้ใบแดงและเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส. เขต 8 พรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ก็ตาม

แต่สำหรับนายหัวไทร เชื่อว่า เป็นการแต่งตั้งอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่งตั้งในช่วงที่อีก 10 วันศาลอุทธรณ์ นัดอ่านคำพิพากษา สส.มุกดาวรรณ กรณีถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งถ้าศาลเชื่อตามพยานหลักฐานของ กกต. มุกดาวรรณก็จะโดนใบแดง เพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง และน่าจะต้องชดใช้ค่าจัดการเลือกตั้งใหม่ด้วย ซึ่งจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่

การแต่งตั้งสุนทรเป็นคณะทำงานของแกนนำภาคใต้ของพรรคภูมิใจไทย จึงมีความหมายยิ่งต่อการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯมีความหมายในแง่ของการคัดสรรตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งการแต่งตั้งสุนทรเป็นคณะทำงานมีหลายนัยยะให้พิจารณา

นัยยะหนึ่งอาจจะเป็นการเสริมทีมทำงานในระดับพื้นที่ให้แข็งแกร่งขึ้น กับเป้าหมายการสู้รบในอนาคต แน่นอนว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าภูมิใจไทย จะต้องเปิดหน้าชกแบบเต็มพื้นที่ไม่มีถอยให้ใครในสนามเลือกตั้งภาคใต้ กล่าวสำหรับนครศรีฯ การเลือกตั้งปี 2566 ปักธงเมืองคอนได้ถึงสองที่นั่ง เป้าหมายปี 2570 จึงน่าจะไม่น้อยกว่า 5-6 ที่นั่ง 

แม้จะเป็นเป้าหมายที่ยากกับ 10 ที่นั่งของเมืองคอน และเป็นสนามที่ประชาธิปัตย์จะต้องยืนหยัดรักษาเมืองหลวงไว้ให้ได้ จะเห็นได้ว่า ทำไมพลังเมืองนคร ของเจ้ต้อย -กนกพร เดชเดโช ที่มีแทน-ชัยชนะ เดชเดโช ลูกชายอยู่เบื้องหลังถึงไม่สู้ศึกชิงประธานสภา อบจ.นครศรีฯ เพราะเขาต้องการเปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ นายกฯอบจ.ได้ทำงานเต็มที่ ไม่มีใครขัดใครขวาง ถ้าสำเร็จก็โชคดีไป แต่พลังเมืองนครประเมินว่า นโยบายที่แถลงไว้ ยากจะทำได้ เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำท่วมเมือง เป็นต้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เป้าหมายของการเมืองกลุ่มนี้จึงมุ่งไปที่การเลือกตั้งใหญ่ สส.มากกว่า แล้วอนาคตค่อยมาหยิบเอาแบบง่ายๆในสนาม อบจ.บนความล้มเหลวในการจัดการของ ‘น้ำ-วาริณ’

เมื่อภูมิใจไทย มีเป้าหมายใหญ่ จึงต้องมีคณะทำงานที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ‘พิพัฒน์’ ก็คงจะมองเห็นศักยภาพของสุนทร จึงหยิบมาใช้งาน น่าจะใช้งานในเชิงการร่างนโยบายด้านการเกษตรของภาคใต้ เช่น นโยบายยางพารา นโยบายปาล์มน้ำมัน เป็นต้น

โดยพิพัฒน์น่าจะเล็งไปสู่สนามเลือกตั้งใหญ่มากกว่า แค่เลือกซ่อมให้เป็นเรื่องของคนในพื้นที่จัดการกันไป ตัวเลือกสำหรับภูมิใจไทยก็มีอยู่ไม่น้อย กลั่น และกรองออกมาได้ สจ.กระวี หวานแก้ว ผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เช่น การผลักดันเขาศูนย์เป็นแหล่งท่องเที่ยวการผลักดันแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้วยการนำน้ำจากเขื่อนกระทูน มาใช้งานช่วยเหลือเกษตรกร แม้เวลานี้เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด ก็ทำหน้าที่ชงข้อมูลให้ สว.ณัฐกิตติ์ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ (แล้ง) ในโซน อ.ฉวาง อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง

สุนทรเองก็มีความเหมาะสมยิ่งกับการลงสมัคร สส.จะในนามพรรคไหนก็แล้วแต่ เขตไหนก็ได้ หรือลงบัญชีรายชื่อก็ไม่แปลก เพราะเป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีเครือข่ายมาก

สุนทร จากนักศึกษากิจกรรม มาสู่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กับบทบาทหน้าที่ในการดูแลชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม

แต่สนามเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯสำหรับพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะส่งใครลงสมัครเป้าหมายคือต้องชนะ รักษาฐานเดิมไว้ให้ได้

โดยสรุปว่า สำหรับพรรคภูมิใจไทยแล้ว มีสองคนนี้เหมาะสมที่สุดในการได้รับโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ คนที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ลุยอยู่กับพื้นที่ควรได้รับโอกาสนั้น

ความมุ่งมั่น ตั้งใจ อยู่กับมัน ทำให้มันเกิด คือเป้าหมายการต่อสู้ในสนามการเมืองที่ดุเดือด เข้มข้น

สว. ลงมติคว่ำ ‘สิริพรรณ - ชาตรี’ นั่งตุลาการศาล รธน. หลังประชุมลับถกรายงานสอบประวัติกว่า 2 ชั่วโมง

มติ ‘วุฒิสภา’ ไม่เห็นชอบให้ 'สิริพรรณ นกสวน สวัสดี' และ 'ชาตรี อรรจนานันท์' นั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังประชุมลับถกรายงานสอบประวัติกว่า 2 ชั่วโมง

(18 มี.ค. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา (สว.) ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน คือ น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายชาตรี อรรจนานันท์  อดีตอธิบดีกรมการกงสุล และอดีตเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก แทนตำแหน่งที่ว่าง 

หลังจากที่ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาเป็นการลับ ต่อรายงานของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม นานกว่า 2 ชั่วโมง 20 นาที แล้วจึงเป็นการลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่

นายมงคล ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า บุคคลที่จะได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสว.ที่มี ปัจจุบันมี สว.ทำหน้าที่ 199 คน ดังนั้นต้องได้ 100 คะแนนขึ้นไป 

สำหรับการลงคะแนนจะใช้การลงคะแนนลับด้วยเครื่องออกเสียง จากนั้นจึงให้ สว.แสดงตน โดยพบว่า มี สว. ที่แสดงตนจำนวน 189 คน

สำหรับผลการลงมติพบว่า 

น.ส.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
ได้รับคะแนนเห็นชอบ 43 เสียง 
ไม่เห็นชอบ 136 เสียง 
งดออกเสียง 7 เสียง 
และไม่ลงคะแนน 1 เสียง 
จาก สว.ที่ลงมติทั้งสิ้น 187 คน

นายชาตรี อรรจนานันท์
ได้รับคะแนนเห็นชอบ 47 เสียง 
ไม่เห็นชอบ 115 เสียง 
งดออกเสียง 22 เสียง 
ไม่ลงคะแนน 3 คน 
จากสว.ที่ลงมติทั้งสิ้น 187 คน

นายมงคล แจ้งว่า การลงคะแนนดังกล่าวถือว่า น.ส.สิริพรรณ และนายชาตรี ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะได้คะแนนน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสว.

ทั้งนี้ ที่ประชุมวุฒิสภา ยังมีมติต่อว่า "มิให้เปิดเผย" บันทึกการประชุมจำนวน 5 ครั้ง และรายงานลับของกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 147 ต่อ 33 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง

ชาวเน็ตสงสัย หลัง 'ใบตองแห้ง' คอลัมนิสต์ดังโพสต์เดือด “อาจเป็นเกียรติมากกว่า ที่ไม่ก้มหัวให้ โจรห้อยร้อยกว่าตัว”

(18 มี.ค. 68) นายอธึกกิต แสวงสุข  คอลัมนิสต์ที่คร่ำหวอดในแวดวงสื่อมวลชนมานาน ที่หลายคนรู้จักในนาม 'ใบตองแห้ง' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “อาจเป็นเกียรติมากกว่า ที่ไม่ก้มหัวให้ โจรห้อยร้อยกว่าตัว”

ทั้งนี้ ชาวเน็ตจำนวนมากต่างสงสัยว่า ข้อความที่ ใบตองแห้ง โพสต์นั้นหมายถึงอะไรกันแน่

ขณะที่ บางส่วนชี้ว่า น่าจะโพสต์ถึงการลงคะแนนเลือกตุลาการศาลรัฐธรรม ที่ สว.ตีตกทั้ง 2 รายชื่อ คือ “สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” และ “ชาตรี อรรจนานันท์” เนื่องจากเป็นการโพสต์ภายหลังจากที่ทราบผลการลงคะแนนไม่นานนั่นเอง

‘สุชาติ’ ฟ้อง ‘รักชนก-สหัสวัต’ หมิ่นประมาท 50 ล้าน ปมกล่าวหาพันซื้อตึก Skyy9 พร้อมจ่อร้อง ป.ป.ช. ฟันจริยธรรมต่อ

(18 มี.ค. 68) ‘สุชาติ’ เผย ส่งทนายฟ้อง ‘รักชนก-สหัสวัต’ หมิ่นประมาท 50 ล้าน ต่างกรรมต่างวาระ กล่าวหาพัน สปส. ซื้อตึก Skyy9 จ่อร้อง ป.ป.ช. ฟัน จริยธรรม ลั่น ไม่ยอมความ คนนี้เหนือเยียวยา

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีส่งทนายดำเนินคดี น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน หมิ่นประมาทพาดพิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบลงทุนของสำนักงานประกันสังคม ซื้อตึก Skyy9 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงาน ว่า ได้มอบทีมกฎหมายไปดำเนินการฟ้องแล้ว รูปแบบการฟ้องเป็นรูปแบบต่างกรรมต่างวาระกันไป ซึ่งจะฟ้องค่าเสียหายที่ทำให้เสียชื่อเสียง 50 ล้านบาท ยืนยันว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายครั้งนี้ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เพื่อป้องกันเกียรติศักดิ์ศรีของตนและคนในครอบครัว เพราะวันก่อนพ่อและแม่ตน นั่งรถเข็นมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง ทั้งนี้ หากศาลประทับร้องฟ้อง จะมียื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดมาตรฐานจริยธรรมต่อ เหมือนกับกรณีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมว.คมนาคม ฟ้องนายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ อดีต สส.พรรคไทยศรีวิไลย์ 

นายสุชาติ กล่าวว่า การเป็นบุคคลสาธารณะ รัฐมนตรี สส. ต้องตรวจสอบได้หมด และพร้อมให้คนอื่นตรวจสอบในกระบวนการที่ถูกต้อง การให้ข่าวเกี่ยวข้องกับคนอื่นในที่สาธารณะ ควรจะต้องรู้จริง ถึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคม ส่วนกรณีที่ข่าวว่า น.ส.รักชนก ไปพูดคุยกับ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อขอข้อมูลนั้น จากการสอบถามนางศิริวรรณ บอกว่า ไม่ได้พูดคุยอะไรกับ น.ส.รักชนกเลย ฉะนั้น คนเราต้องพูดความจริง ควรเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองรุ่นหลังๆ ที่จะมาสร้างบ้านเมืองในอนาคต หากมาให้ข้อมูลที่บิดเบือนเช่นนี้ เด็กรุ่นใหม่ๆ ใครจะมาเป็นนักการเมือง อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวตนไม่ได้มีความกังวลเลย เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีอะไรสืบเนื่องมาถึงตัวตน  

ผู้สื่อข่าวถามว่า การฟ้องครั้งนี้เพื่อปิดปากหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า หากตนไม่ฟ้องศาลแล้วใครจะเป็นคนตัดสิน เพราะศาลเป็นที่พึ่งของผู้บริสุทธิ์ แล้วคนที่เป็นนักการเมืองหรือคนที่จะมากล่าวหาลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานและไม่ใช่เรื่องจริง ต้องได้รับผลสุดท้ายว่าอะไรคืออะไร 

เมื่อถามว่า หากคู่กรณีมาขอโทษ จะยอมหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า “คนๆ นี้มันเหนือการเยียวยา สังคมรับไม่ได้ คุณก็รู้ว่าเขามีคดีอื่นอยู่ แล้วคนอย่างผมตรงข้ามกับคนพวกนี้ล้านเปอร์เซ็นต์ และคิดว่าคนอย่างนี้ไม่ใช่คนที่สำนึกผิดได้”

‘ยิ่งชีพ’ iLAW‘ หวัง ‘รมช.สุชาติ’ เร่งเคลียร์ข้อกังขาของสังคมปมซื้อตึก 7 พันล้าน ชี้! ไม่ควรเสียเวลาขึ้นศาลฟ้อง สส.ปากกล้า

(19 มี.ค. 68) นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yingcheep Atchanont ว่า ท่านสุชาติ ชมกลิ่น เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีแรงงาน เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ เป็นสส. มาสามสมัย ภาษีและประสบการณ์สูงกว่า ไอซ์ รักชนก มาก นั่งเก้าอี้สูงสุดแรงงานอยู่สามปีกว่าน่าจะเชี่ยวชาญเรื่องประกันสังคมมากๆ รู้จักคนข้างในเข้าถึงข้อมูลทะลุปรุโปร่งกว่าสส. ปากกล้าเป็นไหน ๆ

ถ้าสิ่งที่ไอซ์เปิดออกมานั้น ”ไม่จริง“ สิ่งที่ทำได้และควรทำอันดับแรกคือต้องชี้แจง

กองทุนประกันสังคม ซื้อตึกนั่นจริงไหม??
ซื้อ 7,000 ล้าน+ จริงไหม??
ราคาประเมิน จริงๆควรซื้อ 3,000 ล้าน+ จริงไหม??
ถ้าไม่จริงแล้วมันเท่าไร??
แล้วที่ว่าซื้อมาแทบไม่ทำกำไร ไม่สร้างรายได้ จริงไหม?? หรือมันสร้างกำไรมากมาย เท่าไร??
ซื้อมาจากใคร?? ใครเป็นเจ้าของเดิม??
ถ้าบอกไม่รู้เรื่องการซื้อตึก แล้วใครรู้ กระบวนการตัดสินใจใช้งบและการตรวจสอบที่ถูกต้องเป็นยังไง?? ใครรับผิดชอบ??

รวมถึงอธิบายเรื่องวิธีคิด วิธีการบริหารกองทุนประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพ ให้เป็นประโยชน์กับผู้ประกันตน ความจำเป็นของการไปดูงานต่างประเทศ ความเป็นมืออาชีพ หรือความพยายามประหยัดเงินที่ผ่านมา ถ้าทำเต็มที่มั่นใจว่าดีแล้วก็เล่ารายละเอียดได้เลย ตั้งโต๊ะแถลงเต็มๆ ตัวอย่างแบบมาดามแป้ง นั่งเล่าไปเลยชั่วโมงนึง รับรองสื่อทุกช่องอยากฟัง ประชาชนก็อยากฟัง ถ้าไอซ์ผิดหมดคนเขาฟังก็เข้าใจ

ไม่ใช่ใช้วิธีการฟ้อง หรือการออกมาด่ากลับคนวิจารณ์ 

ท่านสุชาติ บอกว่ายินดีจะไปศาลเอง เบิกความเอง ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องดีมากๆ ในแง่หนึ่งนะครับ เพราะคดีหมิ่นประมาทเป็นความผิดต่อส่วนตัว เป็นเรื่องที่แต่ละคนรู้สึกไปส่วนตัวว่าตัวเองเสียหายอย่างไร ก็ควรไปอธิบายเอง 

พวกผู้ใหญ่ในสังคมชอบยื่นฟ้องคนเป็นชุดหลายสิบคดี แล้วตัวเองไม่เคยไปศาล ไม่ไปเบิกความเองไม่ไปชี้แจงว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่ไปให้โอกาสอีกฝ่ายถามค้าน ส่งตัวแทนไปแล้วพอถูกถามค้านก็ตอบไม่ได้ ศาลยกฟ้อง แต่จำเลยถูกบังคับโดยกระบวนการว่าต้องไปศาล ฝ่ายจำเลยชนะคดีแต่เสียเวลาและค่าทนายไปมากมายแล้ว คนรวยที่ฟ้องคนอื่นแค่จ่ายเงิน แทบไม่มีต้นทุนทางสังคม แบบนี้เรียกคดีปิดปาก

การที่รัฐมนตรีจะไปศาลเอง แปลว่าเลือกแล้วว่างานอื่นในหน้าที่ตอนนี้ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ สำคัญกว่าสำหรับท่านสุชาติตอนนี้คืออยากสู้กลับ และอยากออกมาพูดเองให้ศาลฟังว่า เขารู้อะไรหรือคิดอะไร ซึ่งการไปศาลจะใช้เวลามากอาจจะถูกถามค้านหนึ่งวันเต็มหรือมากกว่านั้น และในกระบวนการศาลให้คนเข้าไปนั่งฟังได้จำกัด บางครั้งคดีใหญ่ตรวจเข้มเข้าไม่ได้ นักข่าวเข้าไม่ได้ หรือถ้าเข้าได้ก็จดไม่ทัน หรือบางคดีไม่ให้จด แต่ที่แน่ ๆ อัดเสียงและอัดวิดีโอไม่ได้ ทำให้ข้อเท็จจริงที่ เขาอยากจะสื่อสาร ไปถึงเพียงหูผู้พิพากษาซึ่งอาจจะอายุ 25 - 30 ปีไม่กี่คน แต่สังคมกลับไม่ได้มีโอกาสเต็มที่ในการรับรู้สิ่งนั้น

ดังนั้น ถ้ามั่นใจในข้อเท็จจริงในมือของตัวเองและอยากจะสื่อสารต่อสาธารณะบ้างเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ตัวเองคิดว่าไม่เป็นจริง กระบวนการศาลทำงานนี้ได้ไม่เต็มที่ครับ การตั้งโต๊ะแถลงหรือไปเดินสายออกรายการสรยุทธ์บ้าง พี่หนุ่มบ้าง จะทำให้ประชาชนได้ยินมากกว่า อาจจะใช้เวลาน้อยกว่าไปศาลด้วย 

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่มอบเอกสารจัดที่ดินให้ชาวสุพรรณ 65 ราย เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี มอบเอกสารจัดที่ดินให้ชาวบ้านไร้ที่ทำกิน 65 ราย ขับเคลื่อนนโยบายบริหารที่ดินของรัฐอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน

เมื่อวันที่ (19 มี.ค. 68)  ที่ศาลาการเปรียญวัดวังยาว ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานมอบเอกสารการจัดที่ดินในพื้นที่ป่าองค์พระ ป่าเขาพุระกำ และป่าเขาห้วยพลู ให้แก่ผู้ขอรับการจัดที่ดินตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม เนื้อที่ 557 ไร่ จำนวน 65 ราย โดยมี นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ปลัดจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หัวหน้าสำนักงานจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอด่านช้าง อปท. อบต. ผู้นำชุมชน และประชาชน ร่วมพิธี

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต รายได้ที่ไม่มั่นคง รัฐบาลจึงมีนโยบายในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ในการขับเคลื่อนมาตรการและแนวทางการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับที่ดินของรัฐ และบูรณาการการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ ให้เป็นเอกภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชน ซึ่งจังหวัดสุพรรณบุรีมีการบูรณาการการทำงานของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนราชการ และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ตลอดจนการบูรณาการขับเคลื่อนงานร่วมกัน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความสุข และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ดี การมอบเอกสารสิทธิในครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการที่ดินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด  และถือเป็นอีกความสำเร็จในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเดือดร้อนไร้ที่ทำกินใน อ.ด่านช้าง ซึ่งนายพีระพันธุ์ได้กำกับและติดตามการแก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2565  ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามคำสั่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยนายพีระพันธุ์ได้ประสานขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางผ่อนปรน แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคทำให้การดำเนินการจัดสรรที่ดินล่าช้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าพื้นที่ทำกินโดยเร็ว โดยเฉพาะการเร่งรัดขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ และการกำหนดแปลงที่ดินเพื่อจัดสรรตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top